DAO
11-14-2008, 02:04 PM
http://www.amulet.in.th/forums/images/1460.jpg
พระครูญาณทัสสี (หลวงปู่คำดี ปภาโส) วัดถ้ำผาปู่ อ.เมือง จ.เลย
ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
หลวงปู่คำดี ปภาโส เกิดวันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2445 ตรงกับแรม 14 ค่ำ ปีขาล ท่านเป็นบุตรคนที่ 2 หลงนายพร-นางหมอก นินเขียว เกิดที่บ้านหนองคู ตำลบบ้านหว้า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดากัน คือ ชาย 3 คน หญิง 3 คน รวม 6 คน
หลวงปู่คำดี เมื่อเป็นเด็กท่านไม่ได้เข้าโรงเรียน เพราะสมัยนั้นตามชนบทบ้านนอกไม่มีโรงเรียน ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว โดยเข้าเรียนโรงเรียนผู้ใหญ่จบขั้นประถมปีที่ 4 บริบูรณ์ ในสมัยที่ท่านยังเป็นเด็ก เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนและมีจิตใจเลื่อมใสในทางพระพุทธศาสนาตลอดมา ท่านนึกอยากจะบวชมาตลอด เมื่อายุพอบวชเป็นสามเณรได้ ท่านขออนุญาตโยมบิดา-มารดาบวช แต่ไม่ได้รับอนุญาต กลับบอกว่า เอาไว้อายุครบบวชเป็นพระแล้วค่อยบวชทีเดียวเลย เพราะตอนนี้ทางบ้านกำลังต้องการให้อยู่ช่วยทำงานก่อน ท่านก็ได้ช่วยพ่อแม่ทำงานด้วยความขยันหมั่นเพียรด้วยความอดทนมาตลอด จนกระทั่งอายุครบ 22 ปีบริบูรณ์ จึงได้ขออนุญาตบิดา-มารดาของท่านบวชอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จึงยินดีอนุญาตให้ท่านบวชได้ตามต้องการ ท่านดีใจมาก เพราะสมใจที่คิดไว้ ท่านพูดว่าสมัยท่านเป็นเด็กมองเห็นภูเขาเขียวๆ ที่ใกล้บ้านท่าน เป็นสถานที่ที่เหมือนว่าเคยอาศัยอยู่มาแต่ก่อนแล้ว และคิดว่าบวชครั้งนี้แล้ว คงจะได้ไปอยู่อาศัยทำความเพียรแน่ เกิดความปิติ และเกิดความชื่นใจตอลดเวลา
ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา
หลวงปู่คำดี ปภาโส บวชเป็นพระมหานิกาย ที่วัดหนองแวง บ้านเมืองเก่า ตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น พระอาจารย์ที่บวชให้คือ
พระครูเมือง เป็นพระอุปัชฌาย์
พระอาจารย์โพธิ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระอาจารย์ชานุหลิด เป็นพระอนุสาวนาจารย์
เมื่อบวชแล้วท่านไปจำพรรษาอยู่ที่บ้านหนองคู ตำบลบ้านหว้า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น กับอาจารย์ของท่าน ต่อมาไม่นานอาจารย์ได้ลาสิกขาจากท่านไป ท่านจึงต้องทำหน้าที่เป็นสมภารวัดแทน ท่านได้บวชอยู่ 4 พรรษา ในระหว่างที่บวชอยู่นั้น ไม่มีความยินดีและพอใจในความเป็นอยู่ เพราะท่านได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการบวชตามพระเพณีเช่นนี้ คงจะไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ถ้าฝึกบวชและจำพรรษาอยู่อย่างนี้แล้ว คงขาดทุนในการบวชแน่นอน เพราะเป็นการอยู่ด้วยความประมาท ทั้งวันทั้งคืน อยู่ตลอดเวลา เมื่อท่านพิจารณาเห็นโทษในความเป็นอยู่ ท่านจึงคิดอยากที่จะไปธุดงค์กรรมฐานปฏิบัติภาวนาให้รู้แจ้งเห็นจริงให้ได้
การจะออกธุดงคกรรมฐานท่านมีความตั้งใจตั้งแต่ครั้งยังเป็นพระฝ่ายมหานิกายอยอู่ โดยครั้งหนึ่งท่านเคยพาสามเณรออกไปนั่งกรรมฐานที่ป่าช้า ท่านเล่าว่า วันหนึ่งมีคนตายใหม่เพิ่งเอาไปเผา เวลาประมาณ 2 ทุ่ม ท่านไปกับสามเณรเพียง 2 รูป ถึงป่าช้าท่านกับสมณเณรแยกกัน ท่านอยู่ที่โคนไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง การภาวนาของท่านครั้งนั้นยังไม่มีครูบาอาจารย์สอน ท่านได้ศึกษาตามแบบแผนที่ท่านอ่านพบ และปฏิบัติภาวนาตามคือให้บริกรรมพุทโธ ท่านภาวนาไปสักพัก ทำให้เกิดจิตว่าง จากความนึกคิด กายก็ปรากฏว่าหายไปหมด มีสติกับความรู้อยู่เฉย มีแต่ความสุขใจ ท่านนั่งประมาณ 3 ชั่วโมง จิตจึงถอนออก
จากพรรษาที่ 1-2-3 ผ่านไป มีอยู่วันหนึ่ง หลวงปู่คำดี มีความสงสัยเรื่อง พระนั่งหลับตามาก จึงเข้าไปถามพระอาจารย์ ท่านตอบว่า "นั่นท่านนั่งภาวนา เรียกว่านั่งกรรมฐานเป็นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ท่านเดินธุดงค์ไปตามป่าเขาอยู่ในถ้ำบำเพ็ญเพียรของท่าน" ความนึกคิดและความรู้ใหม่ๆ นี้ ทำให้หลวงปู่คำดีสนใจมากเป็นพิเศษ ได้เก็บความรู้สึกนอนเนื่องในหัวใจตั้งแต่บัดนั้นมา ไม่เคยลืม แม้จะศึกษาทางด้านปริยัติธรรม สวดมนต์ทำวัตรโดยปกติก็ตาม
ต่อมาพรรษาที่ 4 หลวงปู่คำดี เกิดเบื่อหน่ายในการศึกษาพระธรรมวินัยตามที่เคยเรียนรู้อยู่ ท่านจึงมาพิจารณาเองว่า การบวชของเรานี้ดูแล้วไม่มีอะไรเป็นแก่นเป็นสารเลย คงเป็นการบวชตามประเพณีอย่างที่เขาบวชกันเฉยๆ นั่นเอง แต่ถ้าเราได้ออกเดินธุดงค์เหมือนอย่างพระมาปักกลดข้างๆ วัดเราก็จะมีประโยชน์มาก อีกทั้งยังได้ประสบการณ์ที่เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นอีกด้วย ถ้ายังเป็นอยู่เช่นนี้คงไม่เป็นเพื่อพ้นทุกข์เสียแล้ว เมื่อคิดได้ดังนั้น ท่านจึงตั้งจิตอธิษฐานไปว่า "ถ้าแม้ว่าข้าพเจ้ายังดำเนินชีวิตอยู่เช่นนี้ เห็นทีจะต้องลาสิกขาออกไปใช้ชีวิตภายนอกแน่นอนแต่ถ้าแม้ว่าข้าพเจ้าสามารถประพฤติปฏิบัติธรรมตามเยี่ยงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ทางพ้นทุกข์ดังเช่นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่เดินธุดงค์มาปักกลดเมื่อไม่นานมานี้แล้วก็ขอให้พระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบมาโปรดสั่งสอนแนะแนวทางแก้ข้าพเจ้าภายในสองวันนี้ด้วยเถิด" หลังจากหลวงปู่ได้อธิษฐานแล้ว 2 วัน ก็ปรากฏพระกรรมฐานเดินธุดงค์ผ่านมาและพักตรงบริเวณใต้ต้นไม้ ใกล้ๆ วัด ที่เดียวกับพระธุดงค์ชุดก่อน ท่านมาถึงคำอธิฐานได้ก็แสนจะดีใจ รีบหาน้ำฝนที่สะอาดไปถวายซึ่งในครั้งนี้มากันหลายองค์กระจายกันพักเป็นจุดๆ ไป เมื่อหลวงปู่ถวายน้ำแล้วได้กราบเรียนถามตามที่ตนสงสัยนั้นว่า "นี่พระคุณเจ้ามาจากไหนและจะเดินทางไปที่ใดครับกระผม" พระธุดงค์ตอบว่า "พวกผมพากันเดินธุดงค์จะขึ้นเขา แต่นี่ผ่านมาจึงแวะพักเหนื่อย" หลวงปู่คำดีถามว่า "การเดินธุดงค์นี้เป็นไปเพื่อจุดประสงค์สิ่งใดครับกระผม" พระธุดงค์ตอบว่า "เพื่อความวิเวกเพื่อหาความสงบและเพื่อโมกขธรรมคือ ความพ้นทุกข์" หลวงปู่คำพีนิ่งคิด เพราะเรื่องนี้เคยได้ถามพระอาจารย์มาแล้ว ท่านว่าหาทางพ้นทุกข์เหมือนกัน ท่านยิ่งเกิดความปิติยินดีในปฏิปทาของท่านเหล่านั้นมาก ท่านมีความศรัทธาในอิริยาบถต่างๆ ที่พระธุดงค์แสดงออกมาให้เห็น ท่านจึงออกปากพูดไปว่า "กระผมมีความสนใจมานานพระคุณเจ้าจะรังเกียจหรือไม่ถ้ากระผมจะขอติดตามเดินธุดงค์ไปด้วย เพื่อพระคุณเจ้าจะได้อบรมสั่งสอนให้กระผมได้มีความรู้ความเข้าใจตามแนวทางปฏิบัติอย่างที่พระคุณเจ้ากระทำอยู่" พระธุดงค์จึงถามว่า "ท่านเป็นพระมหานิกาย หรือธรรมยุต" หลวงปู่คำดีตอบว่า "กระผมเป็นพระมหานิกายครับกระผม" พระธุดงค์พูดว่า "ท่านเป็นพระมหานิกายไปกับพวกผมไม่ได้ เพราะบางสิ่งบางอย่างหลักธรรมวินัยเข้ากันไม่ได้ หมายถึงไม่เหมือนกัน อย่างเช่นพิธีการต่างๆ พวกผมไม่ได้รังเกียจท่านหรอก แต่ทางที่ดีถ้าท่านอยากไปกับพวกผมจริงๆ แล้วขอให้ท่านไปญัตติใหม่เป็นธรรมยุตเสียก่อน จึงจะไปกับพวกผมได้ เอาละพวกผมก็พักเป็นเวลาสมควรแล้วจะต้องรีบเดินธุดงค์ต่อไป"
หลังจากที่พระธุดงค์ชุดดังกล่าวจากไปแล้ว หลวงปู่มีความอึดอัดใจ เพราะว่าพระธุดงค์บอกว่าถ้าจะร่วมไปกับท่านจริงต้องไปญัตติเป็นธรรมยุตก่อน ส่วนเราหรือก็ได้รับความเมตตาพระอาจารย์ ตลอดจนญาติโยมมากมาย แต่ใจหลวงปู่ก็ไม่อยากทิ้งความพยายามที่จะออกธุดงค์ ท่านรุ่มร้อนจิตใจจนทนไม่ได้จึงอยากจะกราบพระอาจารย์ขออนุญาตลาไปญัตติใหม่ ถ้าท่านเมตตาเราแล้วท่านคงไม่ขัดขวาง ต้องยินดีกับการดำเนินชีวิตที่ดีที่ชอบของลูกศิษย์อย่างแน่นอน เพราะการเดินธุดงค์เป็นไปเพื่อหาทางพ้นเสียจากทุกข์พระอาจารย์คงจะอนุโมทนากับเรา จึงได้หาโอกาสในวันหนึ่งเข้านมัสการพระอาจารย์เพื่อขอลาญัตติใหม่ เมื่อเข้ามาถึงตรงหน้าแล้วพระอาจารย์ถามว่า "มีธุระอะไรหรือ"หลวงปู่ตอบไปว่า "กระผมมีปัญหาอยู่ว่า กระผมมีความประสงค์ที่จะออกธุดงค์ แต่ในการเดินธุดงค์นั้น กระผมได้รับคำแนะนำว่า ให้ไปแปรนิกายใหม่เป็นธรรมยุตกระผมจึงมีความอัดอั้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง พระอาจารย์เห็นเป็นการสมควรประการใดครับกระผม" พระอาจารย์ตอบว่า ผู้เป็นพระคณาจารย์ใหญ่ในขณะนี้ท่านเป็นพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุต เป็นพระอาจารย์ปฏิบัติกรรมฐาน มีความสามารถเป็นยอด ท่านได้อบรมสั่งสอนบรรดาลูกศิษย์ให้ประพฤติปฏิบัติแนวทางพ้นทุกข์จนสามารถมีดวงตาเห็นธรรมกันมากมี ถ้าแม้ว่าเป็นวาสนาของท่านคำดีแล้ว ควรจะรีบเร่งขวนขวายในขณะครูบาอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ จงไปดีนะ และขอให้ตั้งใจค้นคว้าหาสัจธรรมอันล้ำเลิศอันเป็นทางพ้นทุกข์ได้จริงแท้แน่นอน เป็นหนทางเอกของท่านคำดีแล้ว ขออนุโมทนาให้กุศลผลแห่งภาวนามัยนี้ด้วย - ข้อให้พบธรรม" หลวงปู่คำดีแสนตื้นตันใจน้ำตาเอ่อนอนด้วยความปีตินี่แหละหนอครูบาอาจารย์ผู้ประเสริฐ พระอาจารย์ผู้อยากเห็นศิษย์ได้ดีมีวิชชา ต่อไปในอนาคตท่านย่อมส่งเสริมเช่นนี้เสมอ...หลวงปู่คำดีได้ลาพระอาจารย์แล้ว ยังคิดถึงโยมอุปัฏฐาก ท่านจึงได้บอกข่าวและมาประชุมกัน เพื่อขอลาเดินธุดงค์และจะเรียนรู้ในการแปรญัตติเป็นธรรมยุตด้วย
หลังจากที่หลวงปู่ฯ ได้ยินคำอธิบายจากพระธุดงค์ผ่านไปไม่กี่วัน ท่านก็บอกญาติโยมให้เตรียมบริขารที่จะไปทำการญัตติใหม่ ไม่กี่วันการเตรียมบริขารเสร็จเรียบร้อย จึงลาญาติโยมเพื่อไปญัตติเป็นพระธรรมยุต ญาติโยมต่างก็อนุโมทนาทุกคน ท่านจึงออกเดินทางจากวัดหนองคู ซึ่งเป็นบ้านเกิดไปเมืองขอนแก่น ขออนุญาติเข้าพบ พระครูพิศาลอรัญเขต เจ้าอาวาสวัดศรีจันทราวาส ตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น และนมัสการกราบเรียนให้ท่านช่วยญัตติเป็นพระธรรมยุตท่านก็รับไว้ด้วยความเมตตา และพักอยู่ที่วัดนี้ จนกระทั่งหลวงปู่คำดี ได้ฝึกหัดอ่านอักขระฐานกรณ์จากอาจารย์ ได้เรียบร้อยไม่ขาดตกบกพร่อง ท่านจึงได้อนุญาตให้ญัตติได้เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2471 ตรงกับปีมะโรง เวลา 13.30 น. เป็นอันเสร็จพิธี โดยมี
พระครูพิศาลอรัญเขต เป็นพระอุปัชฌาย์
พระปลัดสังข์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระสมชาย เป็นพระอนุสาวนาจารย์
ปี พ.ศ. 2481 ท่านจำพรรษาที่วัดถ้ำกวาง บ้านหินร่อง ตำบลเมืองเก่า อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ครั้งแรกท่านอยู่องค์เดียว อาศัยญาติโยมชาวบ้านหาร้านที่พักให้ชั่วคราว ต่อมามีหมู่คณะไปด้วยมีพระ 3 รูป ตาปะขาว 1 คน ถ้ำกวางนี้เป็นสถานที่ที่มีป่าทึบ ห่างไกลจากหมู่บ้านประมาณ 2 กม. ก่อนที่ท่านจะมาถ้ำกวางนี้ ท่านมุ่งมั่นทำความเพียรอย่างเดียว ยอมสละชีพเพื่อพรหมจรรย์ เพื่อมรรคผลนิพพาน ท่านได้ตั้งสัจจะอธิษฐานอยู่จำพรรษาที่ถ้ำกวางนี้ 5 พรรษา ถ้าหากจะมีอุปสรรคอะไรเกิดขึ้น ท่านก็จะไม่ยอมหนีให้เสียสัจจะโดยเด็ดขาด การจำพรรษาที่นี่ท่านได้ปฏิบัติภาวนาอย่างเอาเป็นเอาตาย
จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2483 ท่านได้เป็นไข้มาลาเรียอย่างหนักแม้แต่หมู่คณะของท่านทุกรูปก็เป็นไม่มีใครดูแลกันได้เลย ได้อาศัยชาวบ้านหินร่องมาช่วยอุปัฏฐากดูแลต่อมาพระ 2 รูป มรณภาพ และตาปะขาว 1 คน ได้ตายจากไป ส่วนพระที่ยังไม่มรณภาพต่างก็หนีไปที่ต่างๆ ไม่มีใครกล้าอยู่เพราะกลัวไข้มาลาเรียกัน สำหรับหลวงปู่ได้มีญาติโยมมาอ้อนวอนให้หนี แต่หลวงปู่อธิษฐานไว้แล้ว ท่านอยู่ของท่านรูปเดียวตลอดฤดูแล้ง พอจวนจะเข้าพรรษามีพระไปร่วมจำพรรษาอีก 4 รูป ตาปะขาว 1 คนคือ พระอ่อน หลวงตาสีดา หลวงตาช่วง ตาปะขาวบัว (หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ วัดป่าหนองแซง จังหวัดอุดรธานี) ได้ร่วมกับเพื่อนพระด้วยกันปฏิบัติภาวนาจนกระทั่งออกพรรษา
ในขณะที่อยู่ถ้ำกวาง บ้านหินร่อง กลางฤดูแล้ง ปี พ.ศ. 2484 คิดอยากจะไปวิเวกที่ "ภูแก้ว" ขณะนั้นไข้ยังไม่หายดี ก่อนไปคิดเสียสละตัดสินใจไป หากจะเป็นอย่างไรก็ยอมเป็น จะหายก็หายจะตายก็ตาย ตัดสินใจอย่างนั้นก็เล่าให้ลูกศิษย์ซึ่งเป็นไข้เหมือนกันฟัง
"ผมจะไปภูแก้ว ท่านจะไปด้วยไหม ถ้าผมไปผมยอมสละชีพได้น่ะ จะหายก็หายจะตายก็ตายหากถึงภูเขาแล้วถ้ำแล้ว ถ้าลงบิณฑบาตไม่ได้ ผมก็ไม่ลง หากชาวบ้านเขาไม่เอาอาหารมาส่งผมก็ไม่ฉัน" โสสุด (ตั้งใจแน่นอน) อย่างนี้ก็ตกลงไปด้วยกัน หลวงปู่เป็นนักต่อสู้ผู้ล้ำเลิศจริงจังต่อการประพฤติปฏิบัติธรรมเป็นยอด ถึงแม้ว่าสังขารร่างกายจะเป็นอย่างไร หลวงปู่ไม่เคยคิดเดือดร้อน ท่านถือว่า ถ้าไม่ได้ธรรมแล้วขอยอมตาย สัจจะวาจาที่ตั้งไว้บังเกิดผลได้
หลวงปู่คำดีไปอยู่ในถ้ำกวางแต่ละครั้ง ก็ล้มป่วยถูกชาวบ้านหามลงมาทุกครั้ง ท่านอธิษฐานอยู่ 5 ปี ก็ต้องถูกหามลงมาทุกปีเหมือนกัน แต่อาศัยความเพียรเป็นเลิศมุ่งตรงทางเอกปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างไม่มีอะไรจะเปลี่ยนจิตใจท่านได้ แม้สุขภาพไม่สมบูรณ์นักก็ตาม ความขยันในการประพฤติปฏิบัติภาวนา หลวงปู่ไม่เคยทอดทิ้งละเลย แม้ยามเจ็บป่วยหลวงปู่ยังมีสติพร้อมมูล มุ่งหวังธรรมะด้วยการเอาชีวิตเข้าแลก
ปฏิปทาในการปฏิบัติของท่านๆ เอาความตายเข้าสู้ บางวันเดินจงกรมตลอดถึงมือก็มี บางครั้งนั่งสมาธิตลอดคืน บางวันเดินจงกรมตลอดวันอีก การปฏิบัติของท่านปฏิบัติแบบเอาเป็นเอาตายไม่ห่วงแม้แต่เรื่องการอาบน้ำ แม้เหงื่อจะไหลชุ่มโชกก็ตาม ท่านบอกว่าเหงื่อไหลตามตัวไม่เป็นไรแต่ใจมันเย็นชุมฉ่ำตลอดเวลา จึงไม่เกิดความรำคาญ ลูกศิษย์ที่ศึกษาปฏิบัติภาวนากับท่านกราบเรียนถามท่านอีกว่า
"ท่านอาจารย์ กระผมเห็นท่านปฏิบัติภาวนาตลอดวันตลอดคืน ไม่ทราบว่าท่านเอาเวลาไหนนอน" ท่านตอบว่า "จิตมันพักอยู่ในตัวนอนอยู่ในตัว มีความยินดีและเพลิดเพลินในการปฏิบัติภาวนา จึงไม่รู้สึกเหนื่อยและไม่ง่วงนอน"
ในระหว่างที่ท่านวิเวกภาวนาอยู่ที่เขาตะกุดรังนั้น ท่านได้ถือสัจจะอันหนึ่งคือ ท่านถือสัจจะฉันผลไม้แทนข้าวและอาหารสับเปลี่ยนกันไปคือ ฉันกล้วย มะพร้าว มัน เผือก น้ำอ้อย น้ำตาล 5 วัน แล้วจึงกลับไปฉันอาหาร-หวาน 3 วัน สลับกันเช่นนี้ตลอด เวลาขณะที่ท่านออกธุดงค์ประมาณ 3-4 เดือน ในระหว่างที่เร่งความเพียรอยู่นั้นท่านพูดแต่น้อย ไม่มีเรื่องจำเป็นท่านไม่พูดคือ ท่านพยายามฝึกสติไม่ให้เผลอออกจากกายและใจไปทุกๆ อิริยาบถ 4 คืน ยืน เดิน นั่ง นอน ท่านมีความเพียรพยายามจนจิตของท่านได้สมาธิใหม่สมความประสงค์ของท่าน จิตของท่านรวมอยู่เป็นวันเป็นคืนก็ได้ ขณะที่จิตของท่านได้กำลังเช่นนี้ ท่านได้พิจารณาธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ตลอดทั้งอากร 32 ก็เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ท่านได้เพียรพยายามพิจารณาทะลุเข้าไปถึงเวทนาทั้ง 3 ตลอดไปถึงสิ่งต่างๆ ก็เห็นเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ท่านได้พิจารณาไปจนกระทั่ง จิตแสดงความบริสุทธิ์ของจิตให้เห็นอย่างชัดเจน ขณะนี้แสดงว่า จิตของท่านได้ผ่านไตรลักษณ์ไปแล้ว
ครั้งหนึ่งเป็นฤดูแล้ง ตรงกับเดือน 3 แรม 3 ค่ำ ปี พ.ศ. 2476 ได้ยินเสียงใบพลวงหล่นดังตั้งติ้งๆ ขณะที่หลวงปู่คำดีเดินจงกรมอยู่นั้น ประมาณ 3 ทุ่ม สมัยนั้นใช้เทียนไขตั้งไว้ตรงกลางโคมผ้าที่ทำเป็นรูปทรงกลม เจาะรูมันก็สว่างดี ลมพัดไฟก็ไม่ดับ มองไกลๆ เห็นแดงร่า ทางจนงกรมสูงขึ้นไปจากพื้นประมาณ 2 เมตร เงียบสงัดดี ได้ยินแต่เสียงใบพลวงตกดังตั้งติ้งๆ ทันใดนั้นได้ยินเสียงสัตว์ขู่ ได้ยินเสียงขู่ครั้งแรก สงสัยเสียงอะไรแปลกๆ ใจมันบอกว่า "เสือ" แต่ก็ยังไม่แน่ใจจึงเดินกำหนดจิตกลับไปกลับมาที่ทางจงกรมอยู่อย่างนั้น มันขู่ครั้งที่สอง นี่ชัดเสียแล้ว มันดังชัด "อา..อา..อา..อา! " เสียงหายใจดังโครกคราก ไกลออกไปประมาณ 10 เมตร ไม่นานนักได้ยินเสียงขู่คำรามอีก มาอยู่ใกล้ๆ ทางจงกรมแหงนหน้าขึ้นดู แล้วขู่ อา..อา..อา..อากลัวแสนกลัวยืนอยู่กับที่เผลอไปพักหนึ่ง จิตมันจึงบอกว่า "กรรม"พอจิตมันแสดงความผุดขึ้นในใจว่า "กรรม"ก็มีสติดีขึ้น ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และครูบาอาจารย์ พอระลึกได้แล้ว มีสติปกติ จึงได้พูดกับมันว่า ถ้าเราเคยทำกรรมทำเวรต่อกัน ถ้าจะขึ้นมากินข้าพเจ้าจงขึ้นมากินเถิด ถ้าเราไม่เคยทำเวรทำกรรมต่อกัน ก็จงหนีเสีย เรามาอยู่ที่นี่ก็ไม่เคยรบกวนใคร ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ว่าสัตว์ตัวเล็กและสัตว์ตัวใหญ่ เรามาที่นี่เพื่อมาปฏิบัติสมณธรรมเท่านั้น
พอระลึกได้จิตตั้งมั่นแล้ว หายกลัว ความกลัวหายหมดเลย ไม่มีความกลัว เกิดความเมตตา รักมัน ฉวยโคมได้ออกตามหามันทันที ถ้าพบแล้วจะไม่มีความกลับ ไม่ว่าจะเป็นเสือเล็กหรือเสือใหญ่ สามารถจะเข้าลูบหลังและขี่หลังมันได้
มีต่อคะ
พระครูญาณทัสสี (หลวงปู่คำดี ปภาโส) วัดถ้ำผาปู่ อ.เมือง จ.เลย
ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
หลวงปู่คำดี ปภาโส เกิดวันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2445 ตรงกับแรม 14 ค่ำ ปีขาล ท่านเป็นบุตรคนที่ 2 หลงนายพร-นางหมอก นินเขียว เกิดที่บ้านหนองคู ตำลบบ้านหว้า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดากัน คือ ชาย 3 คน หญิง 3 คน รวม 6 คน
หลวงปู่คำดี เมื่อเป็นเด็กท่านไม่ได้เข้าโรงเรียน เพราะสมัยนั้นตามชนบทบ้านนอกไม่มีโรงเรียน ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว โดยเข้าเรียนโรงเรียนผู้ใหญ่จบขั้นประถมปีที่ 4 บริบูรณ์ ในสมัยที่ท่านยังเป็นเด็ก เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนและมีจิตใจเลื่อมใสในทางพระพุทธศาสนาตลอดมา ท่านนึกอยากจะบวชมาตลอด เมื่อายุพอบวชเป็นสามเณรได้ ท่านขออนุญาตโยมบิดา-มารดาบวช แต่ไม่ได้รับอนุญาต กลับบอกว่า เอาไว้อายุครบบวชเป็นพระแล้วค่อยบวชทีเดียวเลย เพราะตอนนี้ทางบ้านกำลังต้องการให้อยู่ช่วยทำงานก่อน ท่านก็ได้ช่วยพ่อแม่ทำงานด้วยความขยันหมั่นเพียรด้วยความอดทนมาตลอด จนกระทั่งอายุครบ 22 ปีบริบูรณ์ จึงได้ขออนุญาตบิดา-มารดาของท่านบวชอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จึงยินดีอนุญาตให้ท่านบวชได้ตามต้องการ ท่านดีใจมาก เพราะสมใจที่คิดไว้ ท่านพูดว่าสมัยท่านเป็นเด็กมองเห็นภูเขาเขียวๆ ที่ใกล้บ้านท่าน เป็นสถานที่ที่เหมือนว่าเคยอาศัยอยู่มาแต่ก่อนแล้ว และคิดว่าบวชครั้งนี้แล้ว คงจะได้ไปอยู่อาศัยทำความเพียรแน่ เกิดความปิติ และเกิดความชื่นใจตอลดเวลา
ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา
หลวงปู่คำดี ปภาโส บวชเป็นพระมหานิกาย ที่วัดหนองแวง บ้านเมืองเก่า ตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น พระอาจารย์ที่บวชให้คือ
พระครูเมือง เป็นพระอุปัชฌาย์
พระอาจารย์โพธิ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระอาจารย์ชานุหลิด เป็นพระอนุสาวนาจารย์
เมื่อบวชแล้วท่านไปจำพรรษาอยู่ที่บ้านหนองคู ตำบลบ้านหว้า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น กับอาจารย์ของท่าน ต่อมาไม่นานอาจารย์ได้ลาสิกขาจากท่านไป ท่านจึงต้องทำหน้าที่เป็นสมภารวัดแทน ท่านได้บวชอยู่ 4 พรรษา ในระหว่างที่บวชอยู่นั้น ไม่มีความยินดีและพอใจในความเป็นอยู่ เพราะท่านได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการบวชตามพระเพณีเช่นนี้ คงจะไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ถ้าฝึกบวชและจำพรรษาอยู่อย่างนี้แล้ว คงขาดทุนในการบวชแน่นอน เพราะเป็นการอยู่ด้วยความประมาท ทั้งวันทั้งคืน อยู่ตลอดเวลา เมื่อท่านพิจารณาเห็นโทษในความเป็นอยู่ ท่านจึงคิดอยากที่จะไปธุดงค์กรรมฐานปฏิบัติภาวนาให้รู้แจ้งเห็นจริงให้ได้
การจะออกธุดงคกรรมฐานท่านมีความตั้งใจตั้งแต่ครั้งยังเป็นพระฝ่ายมหานิกายอยอู่ โดยครั้งหนึ่งท่านเคยพาสามเณรออกไปนั่งกรรมฐานที่ป่าช้า ท่านเล่าว่า วันหนึ่งมีคนตายใหม่เพิ่งเอาไปเผา เวลาประมาณ 2 ทุ่ม ท่านไปกับสามเณรเพียง 2 รูป ถึงป่าช้าท่านกับสมณเณรแยกกัน ท่านอยู่ที่โคนไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง การภาวนาของท่านครั้งนั้นยังไม่มีครูบาอาจารย์สอน ท่านได้ศึกษาตามแบบแผนที่ท่านอ่านพบ และปฏิบัติภาวนาตามคือให้บริกรรมพุทโธ ท่านภาวนาไปสักพัก ทำให้เกิดจิตว่าง จากความนึกคิด กายก็ปรากฏว่าหายไปหมด มีสติกับความรู้อยู่เฉย มีแต่ความสุขใจ ท่านนั่งประมาณ 3 ชั่วโมง จิตจึงถอนออก
จากพรรษาที่ 1-2-3 ผ่านไป มีอยู่วันหนึ่ง หลวงปู่คำดี มีความสงสัยเรื่อง พระนั่งหลับตามาก จึงเข้าไปถามพระอาจารย์ ท่านตอบว่า "นั่นท่านนั่งภาวนา เรียกว่านั่งกรรมฐานเป็นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ท่านเดินธุดงค์ไปตามป่าเขาอยู่ในถ้ำบำเพ็ญเพียรของท่าน" ความนึกคิดและความรู้ใหม่ๆ นี้ ทำให้หลวงปู่คำดีสนใจมากเป็นพิเศษ ได้เก็บความรู้สึกนอนเนื่องในหัวใจตั้งแต่บัดนั้นมา ไม่เคยลืม แม้จะศึกษาทางด้านปริยัติธรรม สวดมนต์ทำวัตรโดยปกติก็ตาม
ต่อมาพรรษาที่ 4 หลวงปู่คำดี เกิดเบื่อหน่ายในการศึกษาพระธรรมวินัยตามที่เคยเรียนรู้อยู่ ท่านจึงมาพิจารณาเองว่า การบวชของเรานี้ดูแล้วไม่มีอะไรเป็นแก่นเป็นสารเลย คงเป็นการบวชตามประเพณีอย่างที่เขาบวชกันเฉยๆ นั่นเอง แต่ถ้าเราได้ออกเดินธุดงค์เหมือนอย่างพระมาปักกลดข้างๆ วัดเราก็จะมีประโยชน์มาก อีกทั้งยังได้ประสบการณ์ที่เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นอีกด้วย ถ้ายังเป็นอยู่เช่นนี้คงไม่เป็นเพื่อพ้นทุกข์เสียแล้ว เมื่อคิดได้ดังนั้น ท่านจึงตั้งจิตอธิษฐานไปว่า "ถ้าแม้ว่าข้าพเจ้ายังดำเนินชีวิตอยู่เช่นนี้ เห็นทีจะต้องลาสิกขาออกไปใช้ชีวิตภายนอกแน่นอนแต่ถ้าแม้ว่าข้าพเจ้าสามารถประพฤติปฏิบัติธรรมตามเยี่ยงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ทางพ้นทุกข์ดังเช่นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่เดินธุดงค์มาปักกลดเมื่อไม่นานมานี้แล้วก็ขอให้พระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบมาโปรดสั่งสอนแนะแนวทางแก้ข้าพเจ้าภายในสองวันนี้ด้วยเถิด" หลังจากหลวงปู่ได้อธิษฐานแล้ว 2 วัน ก็ปรากฏพระกรรมฐานเดินธุดงค์ผ่านมาและพักตรงบริเวณใต้ต้นไม้ ใกล้ๆ วัด ที่เดียวกับพระธุดงค์ชุดก่อน ท่านมาถึงคำอธิฐานได้ก็แสนจะดีใจ รีบหาน้ำฝนที่สะอาดไปถวายซึ่งในครั้งนี้มากันหลายองค์กระจายกันพักเป็นจุดๆ ไป เมื่อหลวงปู่ถวายน้ำแล้วได้กราบเรียนถามตามที่ตนสงสัยนั้นว่า "นี่พระคุณเจ้ามาจากไหนและจะเดินทางไปที่ใดครับกระผม" พระธุดงค์ตอบว่า "พวกผมพากันเดินธุดงค์จะขึ้นเขา แต่นี่ผ่านมาจึงแวะพักเหนื่อย" หลวงปู่คำดีถามว่า "การเดินธุดงค์นี้เป็นไปเพื่อจุดประสงค์สิ่งใดครับกระผม" พระธุดงค์ตอบว่า "เพื่อความวิเวกเพื่อหาความสงบและเพื่อโมกขธรรมคือ ความพ้นทุกข์" หลวงปู่คำพีนิ่งคิด เพราะเรื่องนี้เคยได้ถามพระอาจารย์มาแล้ว ท่านว่าหาทางพ้นทุกข์เหมือนกัน ท่านยิ่งเกิดความปิติยินดีในปฏิปทาของท่านเหล่านั้นมาก ท่านมีความศรัทธาในอิริยาบถต่างๆ ที่พระธุดงค์แสดงออกมาให้เห็น ท่านจึงออกปากพูดไปว่า "กระผมมีความสนใจมานานพระคุณเจ้าจะรังเกียจหรือไม่ถ้ากระผมจะขอติดตามเดินธุดงค์ไปด้วย เพื่อพระคุณเจ้าจะได้อบรมสั่งสอนให้กระผมได้มีความรู้ความเข้าใจตามแนวทางปฏิบัติอย่างที่พระคุณเจ้ากระทำอยู่" พระธุดงค์จึงถามว่า "ท่านเป็นพระมหานิกาย หรือธรรมยุต" หลวงปู่คำดีตอบว่า "กระผมเป็นพระมหานิกายครับกระผม" พระธุดงค์พูดว่า "ท่านเป็นพระมหานิกายไปกับพวกผมไม่ได้ เพราะบางสิ่งบางอย่างหลักธรรมวินัยเข้ากันไม่ได้ หมายถึงไม่เหมือนกัน อย่างเช่นพิธีการต่างๆ พวกผมไม่ได้รังเกียจท่านหรอก แต่ทางที่ดีถ้าท่านอยากไปกับพวกผมจริงๆ แล้วขอให้ท่านไปญัตติใหม่เป็นธรรมยุตเสียก่อน จึงจะไปกับพวกผมได้ เอาละพวกผมก็พักเป็นเวลาสมควรแล้วจะต้องรีบเดินธุดงค์ต่อไป"
หลังจากที่พระธุดงค์ชุดดังกล่าวจากไปแล้ว หลวงปู่มีความอึดอัดใจ เพราะว่าพระธุดงค์บอกว่าถ้าจะร่วมไปกับท่านจริงต้องไปญัตติเป็นธรรมยุตก่อน ส่วนเราหรือก็ได้รับความเมตตาพระอาจารย์ ตลอดจนญาติโยมมากมาย แต่ใจหลวงปู่ก็ไม่อยากทิ้งความพยายามที่จะออกธุดงค์ ท่านรุ่มร้อนจิตใจจนทนไม่ได้จึงอยากจะกราบพระอาจารย์ขออนุญาตลาไปญัตติใหม่ ถ้าท่านเมตตาเราแล้วท่านคงไม่ขัดขวาง ต้องยินดีกับการดำเนินชีวิตที่ดีที่ชอบของลูกศิษย์อย่างแน่นอน เพราะการเดินธุดงค์เป็นไปเพื่อหาทางพ้นเสียจากทุกข์พระอาจารย์คงจะอนุโมทนากับเรา จึงได้หาโอกาสในวันหนึ่งเข้านมัสการพระอาจารย์เพื่อขอลาญัตติใหม่ เมื่อเข้ามาถึงตรงหน้าแล้วพระอาจารย์ถามว่า "มีธุระอะไรหรือ"หลวงปู่ตอบไปว่า "กระผมมีปัญหาอยู่ว่า กระผมมีความประสงค์ที่จะออกธุดงค์ แต่ในการเดินธุดงค์นั้น กระผมได้รับคำแนะนำว่า ให้ไปแปรนิกายใหม่เป็นธรรมยุตกระผมจึงมีความอัดอั้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง พระอาจารย์เห็นเป็นการสมควรประการใดครับกระผม" พระอาจารย์ตอบว่า ผู้เป็นพระคณาจารย์ใหญ่ในขณะนี้ท่านเป็นพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุต เป็นพระอาจารย์ปฏิบัติกรรมฐาน มีความสามารถเป็นยอด ท่านได้อบรมสั่งสอนบรรดาลูกศิษย์ให้ประพฤติปฏิบัติแนวทางพ้นทุกข์จนสามารถมีดวงตาเห็นธรรมกันมากมี ถ้าแม้ว่าเป็นวาสนาของท่านคำดีแล้ว ควรจะรีบเร่งขวนขวายในขณะครูบาอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ จงไปดีนะ และขอให้ตั้งใจค้นคว้าหาสัจธรรมอันล้ำเลิศอันเป็นทางพ้นทุกข์ได้จริงแท้แน่นอน เป็นหนทางเอกของท่านคำดีแล้ว ขออนุโมทนาให้กุศลผลแห่งภาวนามัยนี้ด้วย - ข้อให้พบธรรม" หลวงปู่คำดีแสนตื้นตันใจน้ำตาเอ่อนอนด้วยความปีตินี่แหละหนอครูบาอาจารย์ผู้ประเสริฐ พระอาจารย์ผู้อยากเห็นศิษย์ได้ดีมีวิชชา ต่อไปในอนาคตท่านย่อมส่งเสริมเช่นนี้เสมอ...หลวงปู่คำดีได้ลาพระอาจารย์แล้ว ยังคิดถึงโยมอุปัฏฐาก ท่านจึงได้บอกข่าวและมาประชุมกัน เพื่อขอลาเดินธุดงค์และจะเรียนรู้ในการแปรญัตติเป็นธรรมยุตด้วย
หลังจากที่หลวงปู่ฯ ได้ยินคำอธิบายจากพระธุดงค์ผ่านไปไม่กี่วัน ท่านก็บอกญาติโยมให้เตรียมบริขารที่จะไปทำการญัตติใหม่ ไม่กี่วันการเตรียมบริขารเสร็จเรียบร้อย จึงลาญาติโยมเพื่อไปญัตติเป็นพระธรรมยุต ญาติโยมต่างก็อนุโมทนาทุกคน ท่านจึงออกเดินทางจากวัดหนองคู ซึ่งเป็นบ้านเกิดไปเมืองขอนแก่น ขออนุญาติเข้าพบ พระครูพิศาลอรัญเขต เจ้าอาวาสวัดศรีจันทราวาส ตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น และนมัสการกราบเรียนให้ท่านช่วยญัตติเป็นพระธรรมยุตท่านก็รับไว้ด้วยความเมตตา และพักอยู่ที่วัดนี้ จนกระทั่งหลวงปู่คำดี ได้ฝึกหัดอ่านอักขระฐานกรณ์จากอาจารย์ ได้เรียบร้อยไม่ขาดตกบกพร่อง ท่านจึงได้อนุญาตให้ญัตติได้เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2471 ตรงกับปีมะโรง เวลา 13.30 น. เป็นอันเสร็จพิธี โดยมี
พระครูพิศาลอรัญเขต เป็นพระอุปัชฌาย์
พระปลัดสังข์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระสมชาย เป็นพระอนุสาวนาจารย์
ปี พ.ศ. 2481 ท่านจำพรรษาที่วัดถ้ำกวาง บ้านหินร่อง ตำบลเมืองเก่า อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ครั้งแรกท่านอยู่องค์เดียว อาศัยญาติโยมชาวบ้านหาร้านที่พักให้ชั่วคราว ต่อมามีหมู่คณะไปด้วยมีพระ 3 รูป ตาปะขาว 1 คน ถ้ำกวางนี้เป็นสถานที่ที่มีป่าทึบ ห่างไกลจากหมู่บ้านประมาณ 2 กม. ก่อนที่ท่านจะมาถ้ำกวางนี้ ท่านมุ่งมั่นทำความเพียรอย่างเดียว ยอมสละชีพเพื่อพรหมจรรย์ เพื่อมรรคผลนิพพาน ท่านได้ตั้งสัจจะอธิษฐานอยู่จำพรรษาที่ถ้ำกวางนี้ 5 พรรษา ถ้าหากจะมีอุปสรรคอะไรเกิดขึ้น ท่านก็จะไม่ยอมหนีให้เสียสัจจะโดยเด็ดขาด การจำพรรษาที่นี่ท่านได้ปฏิบัติภาวนาอย่างเอาเป็นเอาตาย
จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2483 ท่านได้เป็นไข้มาลาเรียอย่างหนักแม้แต่หมู่คณะของท่านทุกรูปก็เป็นไม่มีใครดูแลกันได้เลย ได้อาศัยชาวบ้านหินร่องมาช่วยอุปัฏฐากดูแลต่อมาพระ 2 รูป มรณภาพ และตาปะขาว 1 คน ได้ตายจากไป ส่วนพระที่ยังไม่มรณภาพต่างก็หนีไปที่ต่างๆ ไม่มีใครกล้าอยู่เพราะกลัวไข้มาลาเรียกัน สำหรับหลวงปู่ได้มีญาติโยมมาอ้อนวอนให้หนี แต่หลวงปู่อธิษฐานไว้แล้ว ท่านอยู่ของท่านรูปเดียวตลอดฤดูแล้ง พอจวนจะเข้าพรรษามีพระไปร่วมจำพรรษาอีก 4 รูป ตาปะขาว 1 คนคือ พระอ่อน หลวงตาสีดา หลวงตาช่วง ตาปะขาวบัว (หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ วัดป่าหนองแซง จังหวัดอุดรธานี) ได้ร่วมกับเพื่อนพระด้วยกันปฏิบัติภาวนาจนกระทั่งออกพรรษา
ในขณะที่อยู่ถ้ำกวาง บ้านหินร่อง กลางฤดูแล้ง ปี พ.ศ. 2484 คิดอยากจะไปวิเวกที่ "ภูแก้ว" ขณะนั้นไข้ยังไม่หายดี ก่อนไปคิดเสียสละตัดสินใจไป หากจะเป็นอย่างไรก็ยอมเป็น จะหายก็หายจะตายก็ตาย ตัดสินใจอย่างนั้นก็เล่าให้ลูกศิษย์ซึ่งเป็นไข้เหมือนกันฟัง
"ผมจะไปภูแก้ว ท่านจะไปด้วยไหม ถ้าผมไปผมยอมสละชีพได้น่ะ จะหายก็หายจะตายก็ตายหากถึงภูเขาแล้วถ้ำแล้ว ถ้าลงบิณฑบาตไม่ได้ ผมก็ไม่ลง หากชาวบ้านเขาไม่เอาอาหารมาส่งผมก็ไม่ฉัน" โสสุด (ตั้งใจแน่นอน) อย่างนี้ก็ตกลงไปด้วยกัน หลวงปู่เป็นนักต่อสู้ผู้ล้ำเลิศจริงจังต่อการประพฤติปฏิบัติธรรมเป็นยอด ถึงแม้ว่าสังขารร่างกายจะเป็นอย่างไร หลวงปู่ไม่เคยคิดเดือดร้อน ท่านถือว่า ถ้าไม่ได้ธรรมแล้วขอยอมตาย สัจจะวาจาที่ตั้งไว้บังเกิดผลได้
หลวงปู่คำดีไปอยู่ในถ้ำกวางแต่ละครั้ง ก็ล้มป่วยถูกชาวบ้านหามลงมาทุกครั้ง ท่านอธิษฐานอยู่ 5 ปี ก็ต้องถูกหามลงมาทุกปีเหมือนกัน แต่อาศัยความเพียรเป็นเลิศมุ่งตรงทางเอกปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างไม่มีอะไรจะเปลี่ยนจิตใจท่านได้ แม้สุขภาพไม่สมบูรณ์นักก็ตาม ความขยันในการประพฤติปฏิบัติภาวนา หลวงปู่ไม่เคยทอดทิ้งละเลย แม้ยามเจ็บป่วยหลวงปู่ยังมีสติพร้อมมูล มุ่งหวังธรรมะด้วยการเอาชีวิตเข้าแลก
ปฏิปทาในการปฏิบัติของท่านๆ เอาความตายเข้าสู้ บางวันเดินจงกรมตลอดถึงมือก็มี บางครั้งนั่งสมาธิตลอดคืน บางวันเดินจงกรมตลอดวันอีก การปฏิบัติของท่านปฏิบัติแบบเอาเป็นเอาตายไม่ห่วงแม้แต่เรื่องการอาบน้ำ แม้เหงื่อจะไหลชุ่มโชกก็ตาม ท่านบอกว่าเหงื่อไหลตามตัวไม่เป็นไรแต่ใจมันเย็นชุมฉ่ำตลอดเวลา จึงไม่เกิดความรำคาญ ลูกศิษย์ที่ศึกษาปฏิบัติภาวนากับท่านกราบเรียนถามท่านอีกว่า
"ท่านอาจารย์ กระผมเห็นท่านปฏิบัติภาวนาตลอดวันตลอดคืน ไม่ทราบว่าท่านเอาเวลาไหนนอน" ท่านตอบว่า "จิตมันพักอยู่ในตัวนอนอยู่ในตัว มีความยินดีและเพลิดเพลินในการปฏิบัติภาวนา จึงไม่รู้สึกเหนื่อยและไม่ง่วงนอน"
ในระหว่างที่ท่านวิเวกภาวนาอยู่ที่เขาตะกุดรังนั้น ท่านได้ถือสัจจะอันหนึ่งคือ ท่านถือสัจจะฉันผลไม้แทนข้าวและอาหารสับเปลี่ยนกันไปคือ ฉันกล้วย มะพร้าว มัน เผือก น้ำอ้อย น้ำตาล 5 วัน แล้วจึงกลับไปฉันอาหาร-หวาน 3 วัน สลับกันเช่นนี้ตลอด เวลาขณะที่ท่านออกธุดงค์ประมาณ 3-4 เดือน ในระหว่างที่เร่งความเพียรอยู่นั้นท่านพูดแต่น้อย ไม่มีเรื่องจำเป็นท่านไม่พูดคือ ท่านพยายามฝึกสติไม่ให้เผลอออกจากกายและใจไปทุกๆ อิริยาบถ 4 คืน ยืน เดิน นั่ง นอน ท่านมีความเพียรพยายามจนจิตของท่านได้สมาธิใหม่สมความประสงค์ของท่าน จิตของท่านรวมอยู่เป็นวันเป็นคืนก็ได้ ขณะที่จิตของท่านได้กำลังเช่นนี้ ท่านได้พิจารณาธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ตลอดทั้งอากร 32 ก็เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ท่านได้เพียรพยายามพิจารณาทะลุเข้าไปถึงเวทนาทั้ง 3 ตลอดไปถึงสิ่งต่างๆ ก็เห็นเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ท่านได้พิจารณาไปจนกระทั่ง จิตแสดงความบริสุทธิ์ของจิตให้เห็นอย่างชัดเจน ขณะนี้แสดงว่า จิตของท่านได้ผ่านไตรลักษณ์ไปแล้ว
ครั้งหนึ่งเป็นฤดูแล้ง ตรงกับเดือน 3 แรม 3 ค่ำ ปี พ.ศ. 2476 ได้ยินเสียงใบพลวงหล่นดังตั้งติ้งๆ ขณะที่หลวงปู่คำดีเดินจงกรมอยู่นั้น ประมาณ 3 ทุ่ม สมัยนั้นใช้เทียนไขตั้งไว้ตรงกลางโคมผ้าที่ทำเป็นรูปทรงกลม เจาะรูมันก็สว่างดี ลมพัดไฟก็ไม่ดับ มองไกลๆ เห็นแดงร่า ทางจนงกรมสูงขึ้นไปจากพื้นประมาณ 2 เมตร เงียบสงัดดี ได้ยินแต่เสียงใบพลวงตกดังตั้งติ้งๆ ทันใดนั้นได้ยินเสียงสัตว์ขู่ ได้ยินเสียงขู่ครั้งแรก สงสัยเสียงอะไรแปลกๆ ใจมันบอกว่า "เสือ" แต่ก็ยังไม่แน่ใจจึงเดินกำหนดจิตกลับไปกลับมาที่ทางจงกรมอยู่อย่างนั้น มันขู่ครั้งที่สอง นี่ชัดเสียแล้ว มันดังชัด "อา..อา..อา..อา! " เสียงหายใจดังโครกคราก ไกลออกไปประมาณ 10 เมตร ไม่นานนักได้ยินเสียงขู่คำรามอีก มาอยู่ใกล้ๆ ทางจงกรมแหงนหน้าขึ้นดู แล้วขู่ อา..อา..อา..อากลัวแสนกลัวยืนอยู่กับที่เผลอไปพักหนึ่ง จิตมันจึงบอกว่า "กรรม"พอจิตมันแสดงความผุดขึ้นในใจว่า "กรรม"ก็มีสติดีขึ้น ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และครูบาอาจารย์ พอระลึกได้แล้ว มีสติปกติ จึงได้พูดกับมันว่า ถ้าเราเคยทำกรรมทำเวรต่อกัน ถ้าจะขึ้นมากินข้าพเจ้าจงขึ้นมากินเถิด ถ้าเราไม่เคยทำเวรทำกรรมต่อกัน ก็จงหนีเสีย เรามาอยู่ที่นี่ก็ไม่เคยรบกวนใคร ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ว่าสัตว์ตัวเล็กและสัตว์ตัวใหญ่ เรามาที่นี่เพื่อมาปฏิบัติสมณธรรมเท่านั้น
พอระลึกได้จิตตั้งมั่นแล้ว หายกลัว ความกลัวหายหมดเลย ไม่มีความกลัว เกิดความเมตตา รักมัน ฉวยโคมได้ออกตามหามันทันที ถ้าพบแล้วจะไม่มีความกลับ ไม่ว่าจะเป็นเสือเล็กหรือเสือใหญ่ สามารถจะเข้าลูบหลังและขี่หลังมันได้
มีต่อคะ