แผ่น 6 วันที่ 26/8/55
ภวังค์จิตหนทางสู่วิปัสสนาญาน

การภาวนาหรือการนั่งสมาธิเป็นอาหารใจที่บำรุงและหล่อเลี้ยงให้ใจนั้นมีกำลัง มีทั้งพลังจิตมีทั้งพลังใจที่เข้มแข็ง จิตถ้ามีพลังแล้วสามารถกระทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง แม้กระทั่งการสื่อกับสิ่งที่มองไม่เห็นก็สามารถกระทำได้ พลังจิตที่กล้าแข็งไม่ว่าจะไปอยู่หนใดถิ่นฐานใด แม้จะเจออุปสรรคอันใดก็สามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เพราะเทวดาหรือภูมิแห่งที่ทางทั้งหลายที่เราเหยียบย่างไป ย่อมระลึกรู้ในสิ่งที่เรากำลังกระทำ และพร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลให้สิ่งต่างๆ ที่เราจะกระทำนั้นลุล่วงไปได้อย่างดี ฉะนั้นการภาวนาจึงเป็นการเลี้ยงใจหรือส่งอาหารให้ใจให้มีความแข็งแรงให้มีความเข้มแข็ง สุดท้ายแล้วก็มีภูมิรู้ต่างๆ
เราจะสังเกตได้ว่าในยามที่เราไม่ได้ภาวนานั้น จิตใจของเรานั้นบางครั้งก็วุ่นวาย บางครั้งก็วอกแวก บางครั้งก็ร้อนรุ่ม แต่เวลาเรานั่งภาวนานั่งหลับตาเราจะสังเกตได้เลยว่าภายในของเรานั้นเริ่มมีความสงบเย็นลง เราจะสังเกตได้ว่าเวลาเราลืมตาขึ้นนั้นเรารู้สึกมีกำลัง ฉะนั้นอาหารที่เราส่งให้ใจนั้นจึงมีคุณค่าและมีประโยชน์ ถ้าเรากระทำบ่อยๆ กระทำได้มากๆ เราจะเป็นบุคคลหนึ่งที่มีอำนาจจิตหรืออำนาจของใจนั้นเข้มแข็ง ไปอยู่แห่งหนตำบลใดอธิฐานจิตขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่อยู่ในสถานที่นั้น เข้ามาช่วยเหลือหรืออนุเคราะห์เราได้
การฝึกภาวนาในเบื้องต้นนั้นย่อมมีความลำบาก ย่อมมีความอ่อนล้า ย่อมมีความท้อถอย แต่ถ้าเราฝืนพยายามเคร่งครัดปฏิบัติให้บ่อยขึ้นๆ บนความท้อแท้นั้นวันหนึ่งเราก็จะผ่านพ้นไปเหมือนกัน ที่ท้อแท้เพราะว่ากำลังจิตกำลังใจของเรานั้นอ่อนแอ กำลังใจของเรานั้นอ่อนแอมาก แต่ถ้าวันใดจิตใจเราฝึกถึงขั้นกล้าแข็งแล้ว การภาวนาถือเป็นเรื่องธรรมดา ยืน เดิน นั่ง นอน หรือโอภาปราศรัยก็สามารถภาวนาได้ ถือว่าเราจะภาวนาได้ตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะกระทำภารกิจใดๆฉะนั้นการฝึกเพื่อให้มันเข้มข้นขึ้นในวันนี้ จริงๆ แล้วเราจะไม่นั่งอยู่ในห้องนี้ แต่จะอยู่ในธรรมชาติที่มีน้ำมีลมมีอากาศ
การกำหนดเวลา การรักษาเวลาเป็นส่วนสำคัญของการปฏิบัติ เพราะว่ามันเป็นสัจจะอธิฐานของเราที่เราตั้ง สิ่งที่เราตั้งไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเราเปลี่ยนแปลง วาจาที่เราพูดนั้นจะไม่มีผลเลย จะสังเกตได้ว่าครูบาอาจารย์ทั้งหลาย คำพูดของท่านเป็นวาจาสิทธิ์ ถ้าเราอยากจะให้คำพูดของเรานั้นเป็นวาจาสิทธิ์ที่พูดแล้วเกิด พูดแล้วมี พูดแล้วเป็น เราต้องพยายามมี สัจจะและคำพูดของเรานั้นต้องทำให้ได้
วันนี้เป็นวันที่เริ่มต้นที่ดีในรอบ 2 ปี ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 24 ครบรอบ 2 ปีพอดี จากวันนี้ไปการปฏิบัติของเรานั้นจะเข้มข้นขึ้น และคิดว่าทุกคนก็ได้ปฏิบัติมานาน แต่ก็ยังไม่ได้สอนอะไรที่เป็นหลักเพราะว่าอยากจะปล่อยให้สบายๆ ให้เกิดความเคยชิน
จริงๆ แล้วการปฏิบัตินั้นมันมีคุณค่าอยู่ในตัว เป็นของดีที่เป็นสิริมงคลที่จะเสริมสร้างจากคนธรรมดาคนหนึ่งมาเป็นบุคคลที่มีความพิเศษในหลายๆ ด้าน การสอนเพื่อให้ปฏิบัติเข้าถึงแก่นแห่งธรรม จึงมีขั้นตอนที่จะต้องเป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อให้ถูกต้อง จะได้ไม่ผิดไม่เพี้ยน การภาวนานั้นมิได้เกิดจากความนึกคิด ไม่ได้เกิดจากสมอง ถ้าเราใช้ความนึกคิดใช้สมองมากำกับในการภาวนาแล้วเราจะมีความผิดพลาดหรือนัยหนึ่งเขาเรียกว่าเพี้ยน เพราะจิตภาวนานั้นจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด เราอาศัยจิตที่มีความสงบ ภูมิเกิดแห่งผู้รู้มิใช่เกิดจากสมอง ภูมิจิตเท่านั้นจึงเป็นภูมิรู้ที่กว้างไกล เพราะอะไรรู้ไหม เพราะจิตวิญญาณของเรานั้นก่อเกิดมาทุกภพทุกชาติ ในอดีตชาติเราเกิดเป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่สิ่งที่ติดตามจิตของเรานั้นก็คือภูมิรู้ เราอาจจะเกิดมาแล้ว 1,000 ชาติ ภูมิรู้ต่างๆ ก็อยู่ในจิตวิญญาณของเรา ถ้าเราสามารถฝึกจิตจนกระทั่งสามารถอาศัยภูมิรู้ต่างๆ ภายในจิตภายในของเรานั้น ค้นจนกระทั่งปฏิบัติจนกระทั่งเราสามารถบริหารจัดการใช้ภูมิรู้ในอดีตมาใช้ในปัจจุบัน เราย่อมเป็นผู้รู้ แต่ถ้าสมองมันเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของกาย เป็นองค์ประกอบของความหยาบเพราะเป็นสรีระเป็นกายเนื้อ ถึงแม้จะจับต้องไม่ได้แต่ก็ยังคงเป็นกายเนื้อ คิดได้ไม่ไกล คิดได้ไม่แจ้ง แต่ถ้าเป็นภูมิรู้ที่เกิดจากจิตภายในที่ได้รับการฝึกฝนได้รับการปฏิบัติมาอย่างดีและต่อเนื่องย่อมเป็นภูมิรู้ภูมิธรรมที่แน่นอน
การกำหนดจิตในสมถะสุดท้ายเข้าสู่วิปัสสนาญาณนั้นมันเป็นผลต่อเนื่อง สมถะในเบื้องต้นเป็นรากฐานเป็นแก่นที่จะนำพาจิตวิญญาณของเรานั้นเข้าสู่วิปัสสนาในที่สุด บางครั้งส่วนใหญ่แล้วจะไม่เข้าใจ คิดว่าเรานั่งสมาธิคือวิปัสสนา จริงๆ แล้ว 2 สิ่งนี้เขาแยกกันต่างหาก วิปัสสนานั้นเป็นโลกุตรธรรมเป็นธรรมขั้นสูง ส่วนสมถะนั้นเป็นโลกียธรรมเป็นธรรมในเบื้องต่ำหรือเป็นธรรมในเบื้องต้น แต่ว่าธรรมในเบื้องต้นนั้นก็มีความสำคัญ ถ้าเราไม่สามารถปรับรากฐานหรือเบื้องต้นนี้ให้แข็งแกร่งแล้ว เราจะเดินไปสู่วิปัสสนาญาณนั้นไม่ง่าย เพราะส่วนใหญ่แล้วเป็นวิปัสสนานึกคือใช้นึกเอา นึกว่าเห็น นึกว่ารู้ นึกว่าใช่ แต่จริงๆ กลายเป็นเขาเรียกว่าปรุงแต่งใช้ความนึกคิดเข้ามาปรุงแต่ง สิ่งต่างๆ ที่ได้จากการนึกคิดนั้นผิดพลาด 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีเปอร์เซ็นต์ที่จะถูกต้อง แต่ถ้าสมถะเราเข้มแข็งเหมือนรากฐานของบ้านเรือนที่จะต้องตอกเสาเข็ม ต้องทำโบเค้าต้องตั้งหลักของเสาให้มั่นคงบ้านหลังนั้นก็มีความแข็งแรง เวลาก่อฉาบ ก่ออิฐ ก่อปูน ก่อฝาผนังนั้นอย่างไรก็ไม่ล่มสลาย เปรียบเหมือนสมถะ ถ้าเราปฏิบัติจนกระทั่งสมถะนั้นเข้าสู่ความนิ่ง มีอาการเป็นหนึ่งเดียว อาการที่ว่าเราเรียกใจนั้นเป็นหนึ่ง ลมก็เป็นหนึ่ง จิตก็เป็นหนึ่ง เมื่อทั้งสามสิ่งรวมกันอยู่ในวาระเดียวลมหายใจจะหาย ตรงนั้นเขาเรียกอุปจารสมาธิ คือเป็นเอกัคคตารมณ์ที่จิตนั้นเป็นหนึ่งรวม ลมหายใจจะขาดหาย จากความหนักหน่วงของลมหายใจที่เราใช้อยู่มันจะเบาเหมือนขนนก ขนนกในที่นี้หมายถึงขนนกที่ลอยจากที่สูง เบากระทั่งไม่รู้สึกถึงการหายใจของเรา อันนี้เขาเรียกว่าสมถะในความหยาบเข้าสู่สมถะในขั้นสูงคือความเบาบางของลมหายใจของเรา ที่ให้ฝึกลมหายใจทุกวันนี้เพราะคนเราเมื่อหายใจนานๆ เข้าลมนั้นจะละเอียด ในระหว่างช่วงเดินทางของสมถะเข้าสู่ลมละเอียดที่สูงสุดนั้นจะมีเหตุการณ์ต่างๆ หรือขั้นตอนต่างๆ เข้ามาเข้าสู่วาระจิตของเรานั้น ทำให้จิตนั้นรู้ว่าสิ่งต่างๆ ที่เราผ่านเข้าไปนั้นมีอะไรบ้าง
ครูบาอาจารย์ที่จะสอนธรรม สอนวิธีการปฏิบัตินั้นไม่สามารถนำพาสิ่งต่างๆ ที่รู้มาบอกมากล่าวได้ เพราะถึงพูดไปก็ไม่เข้าใจนอกจากเราจะนำจิตของเรานั้นไปสัมผัสรู้ ฉะนั้นสมถะจะไปได้ด้วยดีก็ด้วยความอดทนอดกลั้นในเบื้องต้น เมื่อเราเข้าสู่ในท่ามกลางแล้วเป็นของง่าย เราจะนั่งเมื่อไหร่จิตมันก็จะเป็นสมาธิ จิตมันก็จะรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวได้ตลอด ถึงแม้เราจะไม่นั่งสมาธิจิตเราก็เบาบางอยู่ตลอด การนั่งท่าการฝึกท่านั้นเป็นเพียงเบื้องต้นที่จะนำพาจิตวิญญาณของเรานั้นไปสู่ความละเอียด ถ้าบุคคลใดปฏิบัติจนถึงแก่นแล้วไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิ เรานั่งพูดคุยไม่ว่าคุยสิ่งใด ไม่ว่าหน้าที่การงานสิ่งใดแล้ว ในช่วงคุยนั้นแหละก็สามารถแบ่งภาคนั่งสมาธิภาคหนึ่งพูดคุยภาคหนึ่งได้ เพราะว่าเอกัคคัตตารมณ์เมื่อจิตเป็นหนึ่งเดียวนั้นในช่วงกายจิตสามารถแยกกันได้ แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง ภูมิรู้ต่างๆ จะบังเกิดขึ้นในขณะนั้น
สิ่งแรกที่สมถะจะเข้าถึงนั้นเป็นเหมือนอุโมงค์ เป็นเหมือนถ้ำที่มืดมิด ถ้าใครไปฝึกปฏิบัติในถ้ำแล้วจะรู้เองว่าความมืดมิดในถ้ำนั้นเป็นอย่างไร ภวังค์จิตก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นวิธีการหาโอกาสที่จะไปเรียนรู้จากธรรมชาติในป่าเขาในถ้ำที่มืดมิดนั้นจึงเป็นโอกาสดีของนักปฏิบัติทุกคน เพราะสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในสถานที่นั้นย่อมเป็นวิถีแห่งธรรม เป็นวิถีแห่งภูมิรู้ต่างๆ ที่จะเข้ามาหาเราโดยธรรมชาติ ไม่ต้องฝืนหรือบังคับ ไปเองโดยธรรมชาติ รู้โดยธรรมชาติ ฉะนั้นจิตนั้นไวสามารถปรับและรับรู้ในเรื่องต่างๆ ได้อย่างดี เพียงแต่เราไม่ค่อยมีโอกาสจะได้ใช้ ส่วนใหญ่จะใช้สมองความนึกคิดเป็นหลัก ไม่เคยใช้จิตของเรานั้นเป็นตัวหลักในการกระทำต่างๆ ไม่มีอำนาจใดจะเหนืออำนาจจิตได้ เพราะจิตเป็นผู้รู้เป็นตัวรู้เป็นทุกสิ่งของตัวเรา
กายเป็นเพียงที่อาศัย เป็นที่อาศัยเป็นตัวปฏิบัติเป็นตัวกระทำ จิตนั้นเป็นตัวสั่งการทั้งหมด การกระทำ ความนึกคิด คำพูด ล้วนมาจากจิตทั้งสิ้นมิใช่มาจากสมอง สมถะเมื่อถึงวาระนี้ต้องพยายามทรงอยู่ให้ได้พยายามรักษาให้อยู่ในสถานะนั้นให้ได้มากที่สุดและให้ได้นานที่สุด เมื่อจิตตกสู่ภวังค์พยายามรักษาภวังค์นั้นให้มันอยู่ในความมืดนั่นแหละ ร่างกายสรีระทั้งหลายแม้กระทั่งลมหายใจในภาวะภวังค์จิตนั้น ดับความหนักหน่วง ดับร่างกายที่แข็งทื่อ ดับความปวดร้าวมันจะค่อยๆ จาง สุดท้ายจะหายไปในที่สุดแม้กระทั่งกายของเรานั้นก็ยังหายไปโดยสิ้นเชิง ในเบื้องต้นกายท่อนล่างจะหาย นานๆ เข้ากายท่อนบนก็จะหาย เมื่อกายนั้นดับหายจากตัวตนของเรา มันก็จะเหลือแต่จิตดวงเดียว จะเหลือแต่ลมหายใจที่แผ่วเบา ฉะนั้นการฝึกฝนต้องมีความตั้งใจ ต้องมีปณิธานที่ตั้งมั่น ต้องมีสัจจะวาจาที่มั่นคง เราถึงจะมีโอกาสสำเร็จได้ การปฏิบัติไม่จำเป็นที่จะอาศัยเวลาที่มากๆ แต่อาศัยการปฏิบัติที่ต่อเนื่อง คำพูดนี้ หลวงปู่ศรี มหาวีโรท่านกล่าวว่า “การจะปฏิบัติให้ได้ผลนั้น ต้องกระทำให้ต่อเนื่องเราจึงจะสำเร็จในสิ่งที่เรากำลังกระทำได้” หลวงปู่หล้า วัดภูจ้อก้อท่านว่า “ระหว่างโลกุตรธรรมแล้วและโลกียธรรม โลกุตรธรรมเป็นธรรมในเบื้องต้น เป็นธรรมในมวลหมู่มนุษย์ ผู้ปฏิบัติดีย่อมยังอยู่ตามบ้านเรือนชานมิได้ไปไหนเลย แต่เป็นเพียงผู้ถือข้อวัตรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ถึงแม้จะเป็นโลกียธรรมแต่สุดท้ายก็เข้าโลกุตรธรรมในที่สุดได้เหมือนกัน”
ฉะนั้นการที่เราปฏิบัติในแนวทางแห่งพุทธ ต้องมีความวิริยะอุตสาหะ มีขันติความอดทนอดกลั้นอย่างสูง เราคิดหรือเราจะกระทำสิ่งใดถ้าทำด้วยศรัทธาทำด้วยความถึงพร้อมแล้วเป็นสิ่งที่ดีทั้งหมด ถ้าเรามีความสำเร็จได้ภูมิธรรมขั้นสูง เราจะรู้เลยว่าชีวิตนั้นเกิดมาแล้วเป็นอย่างไร เกิดมาแล้วทำอย่างไร ผลแห่งกุศลต่างๆ ที่เรากระทำมีอานิสงส์อย่างไร อันนี้ไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือแต่ภูมิจิตดั้งเดิมของเรานั้นจะเป็นตัวสอน เป็นตัวชี้นำ เป็นตัวชี้แจง
สิ่งต่างๆ ที่ล่วงมาในอดีตย่อมเป็นบทเรียนเป็นภูมิรู้ต่างๆ ที่เราสามารถมาแยกแยะและวิจารณ์ สิ่งต่างๆ ที่เราผู้ทรงไว้ซึ่งกำลังจิตที่กล้าแข็งแล้ว ย่อมแตกฉาน ย่อมล่วงรู้ ย่อมแยกแยะ ย่อมรู้จริง สุดท้ายย่อมรู้แจ้งในที่สุด องค์ภาวนาแค่ลมหายใจดูแล้วเหมือนง่าย แต่จริงๆ แล้วยาก การกำกับที่เราให้ลมหายใจได้ถึงท้องได้ถึงกลางทรวงอกนั้นส่วนใหญ่แล้วจะลืม แต่ถ้าบุคคลใดสามารถปฏิบัติถึงอารมณ์ที่เป็นหนึ่งเดียว ลมหายใจนั้นจะติดตัวติดใจเราไปตลอดจะไม่มีวันลืม แม้กระทั่งถึงซึ่งกาลแตกดับในวาระสุดท้ายในชีวิตของเรา จะไม่มีวันลืมลมหายใจอันนี้ การภาวนาอย่างต่อเนื่องจะทำให้เราสามารถกำกับลมหายใจเข้า-ออกได้ เมื่อวิถีแห่งลมหายใจมีความละเอียด ร่างกายแข็งแรง สุขภาพจิตดี สมองปลอดโปร่ง โรคภัยไข้เจ็บจะหายในที่สุด เคยได้ยินไหมว่าการภาวนานั่งสมาธิสามารถรักษาโรคร้ายให้หายจากตัวเราได้ อันนี้เป็นเรื่องจริงเพราะอะไร เพราะสิ่งที่เรากำกับด้วยลมหายใจนั้นมีอยู่ในอากาศ เมื่อเราสูดเข้าไปมากๆ ในอากาศมีแบคทีเรีย มีทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อเราสูดเข้าไปมากๆ แบคทีเรียต่างๆที่อยู่ในอากาศก็เข้าไปอยู่ในร่างกายอยู่ในกระแสของเลือดของเรา เพราะลมหายในของเรานี้ไปฟอกเลือด เมื่อฟอกเลือดทุกสิ่งทุกอย่างก็เข้าไปเจือปน จุลินทรีย์หรือสิ่งต่างๆ ยารักษาโรคต่างๆ ก็อยู่ในกระแสเลือดของเรา เมื่อกระแสเลือดนั้นมีความหมดจดมีการขจัดโรคภัยต่างๆ เชื้อร้ายต่างๆ นั้นมันก็จะค่อยๆ จางและหมดไป และเมื่อลมหายใจเราเบาบางลมหายใจเราก็จะเย็นลงช้าลง การเต้นของชีพจรหัวใจจะน้อยลง คิดดูว่าถ้าเลือดภายในกายของเราเดินช้าลงอวัยวะต่างๆ ภายในทำงานช้าลง ร่างกายของเราเข้มแข็งขึ้น เราจะชะลอความแก่ทำให้ร่างกายเรานั้นความเสื่อมนั้นน้อยลง คนอายุ 80 อาจจะดูเหมือน 60 เราจะสังเกตได้จากครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่อายุมากๆ 90 กว่าร่วม 100 แต่ดูเหมือน 70 เพราะอะไร ก็เพราะจากลมหายใจนั่นแหละที่เข้าไปหล่อเลี้ยงที่ทำให้เลือดเดินช้าลง เมื่อเลือดเดินช้าทุกสิ่งในร่างกายเราเดินช้า เหมือนกับย่อเวลาที่พ้นผ่านให้น้อยลง 10 วันเท่ากับ 1 วัน การนั่งสมาธิ 1 ชั่วโมงเท่ากับ 1 นาที เมื่อจิตนั้นรวมเป็นหนึ่งเดียว 1 ชั่วโมงเท่ากับ 1 นาที 24 ชั่วโมงเท่ากับ 24 นาที ทุกสิ่งทุกอย่างจะช้าลง แต่จริงๆ เวลาของโลกนั้นไม่ได้ช้า เวลาของโลกมันก็ยังเดินไปตามแนวทางของโลก แต่เวลาของตัวเรานั้นเดินช้ากว่าเวลาโลก
ฉะนั้นการปฏิบัติจึงต้องพยายามทำให้เข้มข้น เราทำมานานมากแล้ว 2 ปีเข้าในวันนี้ในครั้งนี้ ต่อไปต้องพยายามเข้าสู่ภวังค์จิตให้ได้ ความมืดเป็นครูเป็นผู้รู้เป็นผู้สอน ไม่สามารถกางตำรามาอ่านให้เข้าใจได้ แต่ในอุโมงค์ในพลังแห่งความมืดจะเป็นครูผู้สอนเราเอง ขอให้วิริยะอุตสาหะตั้งจิตตั้งใจให้เข้มแข็ง อย่าย่อท้อในอุปสรรคที่เข้ามาขัดขวาง เราจะเป็นผู้สำเร็จคนหนึ่งของโลก ในเบื้องต้นนั้นค่อนข้างจะลำบาก แต่ถ้าอยู่ในท่ามกลางแล้วง่ายไม่ยากเลย ถ้าเราเข้าถึงภวังค์เมื่อไหร่ ภูมิธรรมต่างๆ สิ่งที่เรากำลังใฝ่หาสิ่งที่เราอยากรู้เราจะได้รู้ทั้งหมด ขอให้ตั้งหน้าตั้งตาหาโอกาสให้มาก ในวันนี้เราตื่นตี 4 ได้ทุกคนก็ถือว่าสุดยอดรักษาเวลาได้ดีนี้เป็นเบื้องต้นของความสำเร็จ ก็ขอให้ทุกคนพยายามกระทำให้ได้อย่างดั่งวันนี้ ด้วยผลที่ดีการภาวนาเป็นการปรับสมดุลของร่างกายของคน เป็นการนำออกซิเจนซึ่งมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายของคนเราให้เข้าไปเยียวยารักษา ขจัดเชื้อโรคต่างๆ ในร่างกายของเรา เราจะสังเกตได้ว่าบุคคลใดที่ภาวนาอยู่สม่ำเสมอบุคคลนั้นจะไม่ค่อยเป็นโรค หน้าตาก็จะผุดผ่องสดใส ดวงตาก็จะมีความเข้มแข็ง คำพูดคำจาก็นิ่มนวลปราศจากอารมณ์ต่างๆ ฉะนั้นการภาวนาให้เป็น การภาวนาให้ถูกจึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อชีวิตของเรา ภาวนาสามารถขจัดโรคร้ายต่างๆ ขจัดอารมณ์ต่างๆ ขจัดสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ ให้พ้นไปจากชีวิตของเราได้ เพราะฉะนั้นรากฐานแห่งการภาวนาจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดแห่งการเป็นคน ถ้าเราภาวนาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ทั้งชีวิต ทั้งจิตใจ ทั้งร่างกาย ทั้งกิริยาอาการวาจาและใจทั้งหลาย ย่อมเป็นผลดีต่อสิ่งต่างๆ ของเรา
การภาวนาให้ถูกการภาวนาให้เป็นการระลึกรู้ อยู่ที่ว่าเราจะสามารถทำได้มากน้อยขนาดไหน ถ้าเราภาวนาบ่อยๆ สุขภาพจิตของเราจะดี ความนึกคิดของเราก็จะปลอดโปร่งสดใส ร่างกายของเราก็จะมีกำลังวังชา จิตใจของเราก็จะมีความเข้มแข็ง ไม่อ่อนระทวยตามกระแสโลก ไม่มีความอ่อนไหวแต่มีความหนักแน่นและมีความจริงจัง ภาวนาได้อย่างยาวนาน จิตใจจะถึงพร้อมซึ่งความหมดจด ทุกสิ่งทุกอย่างจะเจือปนด้วยเหตุและผลอยู่ในตัวตลอด จะเป็นบุคคลที่มีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องและดีงาม มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความโอบอ้อมอารี มีจิตที่เป็นทานและมีจิตที่เป็นธรรมทาน สุดท้ายแล้วจิตก็จะเป็นอภัยทานที่สุด
ฉะนั้นการอบรมบ่มใจด้วยวิธีทางแห่ง ทาน ศีล ภาวนา จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญของการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ สิ่งใดก็แล้วแต่ที่เรากระทำมา ไม่มีสิ่งใดที่จะสำคัญเท่าการสำรวจตัวเอง หยุดพักตัวเอง ทบทวนตัวเอง ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดที่จะสามารถชี้นำได้ทั้งหมด เพราะบางสิ่งบางอย่างเราก็เก็บกดอยู่ในจิตในใจของเรา แต่ถ้าเราภาวนาเราก็สามารถค้นหาในสิ่งต่างๆ ที่หมักหมมซ่อนเร้นอยู่ในห้วงชีวิตและในจิตวิญญาณของเรา สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายเหล่านั้นต้องพยายามลดเลือนให้ได้มากที่สุด ยิ่งลบมากได้เท่าไหร่เราจะเป็นคนที่สมบูรณ์ได้มากเท่านั้น ดังเช่นอารมณ์ มีโลภ มีความโกรธ มีความหลง ความโลภมักได้ ความโกรธยังรุนแรง ความหลงเชื่อทุกสิ่งที่ไม่เป็นเรื่องหลงเดินทางผิด ฉะนั้นการภาวนาจึงเป็นวิถีทางเดียวที่จะทำให้เรามีสติที่จะเข้าไปควบคุมหรือสลายในสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายหมดไปได้ คำภาวนานั้นไม่จำกัดวัย ผู้ใดเริ่มต้นได้เร็วผู้นั้นจะได้รับคุณค่าได้เร็ว ผู้ใดภาวนาเป็นนิจผู้นั้นย่อมมีจิตใจที่เบิกบานและสดใส สิ่งที่ติดตามมาในห้วงชีวิตก็คือความสุขและความดีงาม ฉะนั้นการภาวนาจึงเป็นความจำเป็นสำคัญอย่างยิ่ง ในหลายวันนี้เราก็คุยในเรื่องนี้มาตลอด แต่ก็พยายามแจกแจงให้เข้าใจให้รู้ลึกถึงแก่นของคำว่าภาวนา
ภาวนาถึงสูงสุดมีคุณค่าสำคัญที่สุดของการเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ สิ่งต่างๆ ที่ล้วนผ่านมาในอดีตที่เราเคยเก็บงำ เคยตัก เคยบันทึก เคยจดจำว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นของเรา เป็นอารมณ์โดยพื้นเพ แต่จริงๆ สิ่งต่างๆที่ไม่ดีเราไม่สมควรที่จะจดจำหรือยึดถือไว้ เพราะถ้าเรายึดถือไว้มันก็จะทำลายชีวิตของเราไปตลอด จนกระทั่งแรกเกิด จนกระทั่งกลางคน จนกระทั่งสุดท้ายแล้วแก่เฒ่าและจากโลกนี้ไปในที่สุด เราจะยินดีหรือยินยอมให้อารมณ์ต่างๆ ที่ไม่ดีที่เลวร้ายนำพาจิตวิญญาณของเรานั้นไปเกิดในที่ต่ำ เพราะถ้าจิตใจยังมีโมหะจริต โลภะจริต หรือโทสะจริตนั้นก็นำพาชีวิตของเราไปสู่ที่ต่ำ การเกิดแต่ละครั้งมีกิริยาอาการ กาย วาจา ใจ นั้นเป็นตัวนำ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นจากกาย วาจา ใจของเราทั้งสิ้น ถ้าเราไม่มีความสำรวมทางกาย วาจา ใน แล้วการเกิดของเราทุกชาติมันก็จะเสื่อมลงทุกชาติไป ฉะนั้นการภาวนาที่จะเรียนรู้ในสิ่งต่างๆ ที่เราเคยผ่านพ้น แต่ไม่เคยสำรวจ ไม่เคยตรึกตรอง ไม่เคยนำมาพิจารณา ก็ต้องพยายามนำสิ่งต่างๆ ที่ล้วนผ่านมาในอดีตมาพิจารณาดูนั้นว่าถูกหรือผิดใช่หรือไม่ใช่ สิ่งที่ไม่ใช่ทุกอย่างต้องพยายามขจัดออกไปให้เร็วที่สุด จะต้องเหลือความร่มเย็นของภาวะของจิต ความปลอดโปร่งสบาย ขจัดอารมณ์ต่างๆ ที่เลวร้ายที่สถิตอยู่คู่กายของเราตลอดเวลาที่เรายืนอยู่บนโลกนี้ ถ้าเราสามารถกระทำได้เราจะปิดอบายได้ทันที
อบาย 4 นั้นทรมานทุกข์ยากแสนเข็ญ ผู้ใดถ้าไปตกอยู่ในภพภูมิต่างๆ เหล่านี้แล้ว ย่อมมีความทุกข์สาหัสยิ่งกว่าการเกิดมาเป็นคนอีกหลายแสนหลายหมื่นขั้น ฉะนั้นการกระทำสิ่งใดก็ตามในอดีต ขจัดขัดเกลาให้มาก ปฏิบัติให้ถึงพร้อมในปัจจุบัน สละแล้วซึ่งความโกรธ ความโลภ ความหลงให้มาก เหลือแต่จิตใจที่มีแต่เมตตากรุณา ถ้าเราสามารถกระทำได้ ชีวิตในบั้นปลายของเรานั้นก็จะดำเนินไปได้อย่างดี ถึงแม้จิตดับจากชาตินี้ไปก็จะไปจุติในดินแดนที่ดีกว่านี้ หรือการเกิดจะยกระดับได้สูงกว่านี้ ชาตินี้เราเกิดมาเป็นคนบางคนก็ทุกข์ทนลำบาก บางคนก็มั่งมีศรีสุข แต่มันค่าเท่ากันทั้งหมดไม่ว่าคุณจะยากดีมีจนถ้าแนวทางของคุณผิดพลาดคุณก็มีโอกาสตกสู่อบายทั้งสิ้น ไม่ว่ายากดีมีจนถ้าเป็นนักปฏิบัติที่ดีคนจนเป็นคนรวยในทันที ในชาติภพต่อไปเป็นคนรวยอย่างมหาศาล คนรวยก็สามารถจนได้ในทันทีเหมือนกัน เมื่อจิตดับจากโลกนี้ไป ก็จะไปทนทุกข์ทรมานอยู่ในชาติภพหน้าตามแต่อารมณ์ในขณะจิตดับ
ฉะนั้นคนดีมีเงินมิใช่ว่าจะเกิดในทุกๆ ภพชาตินั้นจะเกิดมาดีได้ตลอด อยู่ที่ว่าเราเกิดมาดีแล้วเราจะกระทำอย่างไรเพื่อจะรักษาคุณงามความดี รักษาบุญกุศลที่หนุนส่งเรามาในทุกวันนี้ ให้มันคงอยู่กับเราหรือมากขึ้นกว่าในอดีต เราเป็นผู้รู้ในชาตินี้ เราสามารถรู้ตามถ้าเราได้ฟังในสิ่งที่ดีและสมควรนำกลับไปพิจารณาให้ถ่องแท้ให้รู้แจ้งให้รู้จริง พิจารณาให้ถึงแก่น แปรเปลี่ยนสภาพในชะตาในชีวิตของเราให้ได้ คนจนไม่ใช่ไม่มีสิทธิ์ที่จะรวย ชาตินี้ยากจนแสนเข็ญแต่ชาติหน้าถ้าเราเกิดมาแล้วเราอาจจะรวยมหาศาลก็ได้ มันอยู่ที่การสะสมของเรา สะสมยิ่งมากการเดินทางของเรายิ่งสดใส
คนเราเกิดมาแล้วมีหลายอย่าง มืดมาสว่างไป มืดมามืดไป สว่างมาสว่างไป อยู่ที่เราเลือก ถ้าเราคิดว่าเรามาสว่างมาสว่างไปเราต้องกระทำให้ถึงที่สุด ทุกสิ่งที่จะเป็นการก่อบาปสร้างเวรต้องพยายามระงับยับยั้งให้ได้ การภาวนาในชั่วอึดใจหนึ่ง ในชั่วโมงหนึ่งเป็นการสร้างกุศลอย่างมหาศาล เพราะในช่วงแห่งการภาวนานั้นเราหยุด หยุดการก่อกรรมสร้างความทุกข์ยาก แต่กลับสร้างคุณงามความดีเป็นเบื้องต้น เราภาวนาวันละ 2 ครั้งก็ได้กุศล 2 ครั้ง เราเท่ากับไม่ได้ทำบาป 2 ครั้ง อย่างต่ำก็ 2-3 ชั่วโมงได้ ก็แสดงว่าเราก็ยังหลีกไกลจากบาปกรรมที่จะเกิดขึ้นในขณะที่เราตื่นอยู่
สิ่งที่เรากำลังทำเป็นอานิสงส์ เป็นมหากุศล เป็นบุญกุศล ยิ่งบุคคลใดที่สามารถนำพาจิตใจไปสู่ความสงบ บุคคลนั้นย่อมเป็นบุญกุศลอย่างสูง เพราะความสงบเป็นวิถีทางที่นำพาชีวิตให้มีความเจริญ เรายิ่งสงบเรายิ่งมีจิตใจที่เยือกเย็น คนรอบข้างของเราก็จะได้รับผลพลอยได้จากสิ่งต่างๆ ที่เรากระทำ ไม่ว่าญาติมิตร บริวารหรือบุตรหลานของเราก็ได้สิ่งต่างๆ ที่เป็นความร่มเย็นเป็นสุข พ่อแม่มีให้กับลูกมิใช่เงินทองที่สามารถสร้างสรรค์ได้ แต่กลับเป็นคุณงามความดีที่พ่อแม่เรากระทำ จึงจะสร้างความร่มเย็นเป็นสุขให้กับบุตรหลานของเราได้
ฉะนั้นการกระทำต่างๆ จึงมีผลเป็นที่สุดของการเกิดของเราในชาตินี้ กระทำดีให้มากให้สม่ำเสมอ รักษาและทรงความดีให้ได้ยั่งยืนให้ได้นานที่สุด เมื่อเรากระทำได้ในวันข้างหน้านี้ชีวิตเราแปรเปลี่ยน สิ่งที่เลวร้ายต่างๆ ที่เข้ามารุมเร้าเราก็ย่อมจะถูกขจัดออกไปในที่สุด แต่ขอให้มีความตั้งจิตตั้งใจให้มั่นคง ตั้งมั่นพยายามรักษาและทรงความดีต่างๆ ไว้ให้ได้มากที่สุด และเราจะเป็นบุคคลหนึ่งที่เกิดมาแล้วมีคุณประโยชน์ต่อโลก
การไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นเป็นมหากุศลที่สูงสุด สิ่งใดก็แล้วแต่ที่สามารถสร้างสรรค์ แก้ไข ช่วยเหลือให้เรามีโอกาสไปในวันข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดต้องรีบกระทำ การนั่งนิ่งๆ สงบๆ เราจะสังเกตได้ว่าเรารู้สึกมีความสบาย ถึงจะเมื่อยขัดอยู่บ้างแต่ก็ยังพอทนได้ ภาวนาให้ถึงขีดสุด สำรวจตรวจตราภายในของเราให้มาก ส่วนภายนอกนั้นที่เข้าหาเราส่วนใหญ่แล้วจะเป็นความทุกข์จะหาสิ่งดีดีที่จะเข้ามามันได้น้อย แต่ถ้ามองไปข้างในมองให้รู้ถึงภายในของเรามันจะกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ตัวเรานั้นจะเป็นบุญหรือกุศลก็ด้วยตัวตนของเราเอง ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดสามารถที่จะนำบุญกุศลต่างๆ มาให้เราทำได้นอกจากเรากระทำเอง เราทำเอง เรารักษาเอง ไม่มีสิ่งดีดีต่างๆ ที่คนดีทั้งหลายะจะยัดเยียดความดีนั้นให้เรานอกจากเราทำเอง เราเป็นผู้รู้ตัวตนของเราเอง ตนนั้นเป็นที่พึ่งแห่งตน ไม่มีใครสามารถพึ่งได้ในยามที่เราคับขันในยามที่เราหมดหนทาง ถ้าเราไม่มีสติถ้าเราขาดสติ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกก็พังทลายทั้งหมด ไม่มีวันยืนหยัดหรือยืนอยู่คู่เราได้โดยตลอด ฉะนั้นต้องพยายามภาวนาให้ได้มากให้ได้สม่ำเสมอ ให้ได้ในทุกๆ วัน ภาวนาจากความหยาบของลมหายใจไปสู่ความละเอียด ให้ถึงขั้นของความละเอียดในละเอียดเมื่อถึงวาระนั้นจิตใจเราแปรเปลี่ยนจากความทุกข์ที่รุมเร้าจากความร้อนรุ่มเหมือนไฟเผาจะมะลายเจือจางไปในที่สุด เราจะเป็นบุคคลที่ละเอียดอ่อนแม้กระทั่งกาย วาจา ใจ การกระทำ คำพูด ความนึกคิดมันก็จะเป็นไปโดยธรรมชาติของจิตที่ฝึกมาดีแล้ว จะกลายเป็นกุศลที่เราจะไม่มีวันพลั้งพลาดหรือเผลอเลอไปกระทำในสิ่งที่เป็นภัยเป็นโทษต่อจิตวิญญาณ ถ้าเราสามารถกระทำได้อย่างนี้ โอกาสการเกิดของเราในภายหน้าย่อมไปอย่างดีที่สุด ขอให้ตั้งอกตั้งใจขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติให้มาก ต้องถือว่าการภาวนาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเรา วันใดถ้าเราขาดภาวนาวันนั้นเราจะนอนไม่หลับ เป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดที่เราใช้ในการดำเนินชีวิตของเราทุกวัน ต้องพยายามปฏิบัติหาให้กระจ่าง ทำให้เสมอต้นเสมอปลาย ทำให้รู้จริงและรู้แจ้งในที่สุด
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นบากบั่นจนสุดท้ายก็สามารถบรรลุธรรมนำคำสอนต่างๆ มาสอนโลก กว่าจะได้มาซึ่งธรรมขั้นสูงนั้นยากเย็นแสนเข็ญ เราเป็นเพียงผู้รู้ตามในข้อธรรมต่างๆ เราจึงมีโอกาสมาก ถ้าเราสามารถนำสิ่งต่างๆ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นตรัสสอนไว้ เราก็สามารถบรรลุตามในข้อธรรมต่างๆ ที่พระพุทธองค์นั้นตรัสไว้เป็นการง่าย พระพุทธองค์นั้นกว่าจะตรัสรู้ต้องทำทุกอย่าง ความลำบากยากเข็ญทุกอย่างถึงจะบรรลุโพธิญาณเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
ฉะนั้นสิ่งที่เราเรียนรู้มาจากอดีตย่อมเป็นครูผู้สอน เพียงแต่เราต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะ ใช้ความขยัน ใช้ความอดทนและกระทำตามให้ได้ ของที่เรารู้แล้วแต่ถ้าขาดหละความอดทนอดกลั้นมาปฏิบัติก็ย่อมรู้อย่างผิวเผิน รู้ไม่จริงรู้ไม่แจ้ง เพียงแต่รู้จักรู้จำเท่านั้น การปฏิบัติอาศัยวันเวลา อาศัยซึ่งความเพียร บางคนบอกเวลาเราไม่มีถ้าเราคิดอย่างนั้นชีวิตเราก็อับเฉา เพราะอะไร เพราะเวลาทั้งหมดจริงๆ มันเป็นของเราไม่ใช่ว่าเราสละเวลาแล้วเป็นของผู้อื่นที่ไหน ไม่ใช่ มันเป็นของเราเองทำแล้วก็ได้กับเราเองไม่ใช่ว่าเราทำแล้วได้กับคนอื่นที่ไหน ไม่มี ฉะนั้นเราต้องมีเวลาให้กับตัวเองอย่ามีเวลาให้กับสังคมโลกมากเกินไป ตรวจตราเวลาจดวันเวลาให้แน่นอน เวลาช่วงนี้ต้องเป็นเวลาปฏิบัติเราก็ต้องปฏิบัติ เราจะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อมาปฏิบัติ เวลาใดเป็นหน้าที่เพื่อกระทำเพื่อหาเลี้ยงชีพเพื่ออนาคตเราก็ต้องทำ แต่เมื่อหมดเวลาในการหาเลี้ยงชีพแล้วเราต้องหยุด เราต้องมีเวลามาหาเลี้ยงใจ เพราะใจไม่มีวันดับใจไม่มีวันที่จะหลุดพ้นเราจึงต้องพยายามให้อาหารใจให้มีกำลังให้มาก ด้วยการกระทำในการอบรมจิตอบรมใจให้มากที่สุด
การปฏิบัติภาวนาเหมือนการทำงานของเรา ถ้าเราขาดซึ่งการทำงานเราก็ไม่มีทรัพย์ไม่มีรายได้ แต่ถ้าเราขาดซึ่งหลักใจเราก็เกิดมาแล้วทำร้ายดวงจิตวิญญาณของเราเอง เพราะสิ่งที่เรากระทำในหน้าที่การงานไม่สามารถจะเยียวยาช่วยเหลือให้จิตวิญญาณของเรานั้นมีคุณภาพได้ ไม่สามารถนำพาจิตวิญญาณของเรานั้นไปเกิดในที่ดีได้
ฉะนั้นชาติภพมีจริง การเกิดมีจริง สิ่งที่เราเห็นด้วยตาเนื้อมีมากกว่าที่เราเห็น การทำงานเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบชีวิตของเรา แต่การบริหารจิตใจของเรานั้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่เราพึงกระทำให้ได้มากที่สุด เพราะในสิ่งหลังนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะว่ามันจะต้องเกิดต่อไปในชาติภพต่อไป อยู่ที่วัฏฏะที่ยังเวียนไม่รู้จบ แต่ถ้าหน้าที่การงานของเราในชาตินี้มันจะสิ้นสภาพไปต่อเมื่อจิตวิญญาณนั้นดับ กายดับ จิตดับ การงานก็ดับไปหมดทั้งสิ้นไม่มีเหลือ แต่จิตวิญญาณดวงนี้ไม่มีวันดับ เพราะมันจะสถิตกระแสแห่งกรรมทั้งหลายที่เราสร้าง การกระทำที่เราทำอยู่ทุกวัน จิตที่ดับนั้นกระแสไม่ดับเมื่อกระแสไม่ดับปฏิสนธิใหม่ในจิตดวงใหม่นั้นมันก็นำพาเราไปเกิดทุกภพทุกชาติเกิดดีเกิดไม่ดี แต่ถ้าเราระลึกรู้เราไม่ประมาทเราก็ต้องสร้างทั้งสองอย่างขึ้นพร้อมกัน วันหนึ่ง 8 ชั่วโมงที่เราทำงาน สัก 2 ชั่วโมงที่เราปฏิบัติ ก็ยังเหลือ 14 ชั่วโมงที่เราจะพักผ่อน ฉะนั้นต้องพยายามแบ่งเวลาให้ถูกอย่างบอกว่าไม่มีเวลาไมได้ ส่วนใหญ่จะบอกว่าเวลาไม่มีเวลารัดตัวเหลือเกิน แต่จริงๆ แล้วเป็นโทษอย่างเดียวเลยไม่ใช่ความถูกต้อง ถ้าเราแบ่งเวลาถูกเวลาเหลือเฟือเวลาเหลือเยอะแยะ ถ้าเวลาไม่พอก็นอนให้น้อยลง เคยนอน 7 ชั่วโมงก็เหลือสัก 5 ชั่วโมง เคยนอน 8 ก็เหลือสัก 6 ถ้าเราสามารถแบ่งเวลาต่างๆ ได้ชีวิตของเรานั้นทั้งโลกนี้และโลกหน้าไม่มีวันตกอับ ไม่มีวันเสื่อม มีแต่สิ่งที่ดีที่เข้าหาในชีวิตของเรา ยิ่งถ้าเราภาวนามากชีวิตและจิตใจของเรานั้น 1.ได้กุศล 2.ได้ความรู้ 3.เป็นผู้มีความฉลาด เพราะอะไร เพราะความสงบเป็นเบื้องต้นของสมาธิ สมาธิเมื่อเกิดแก่กล้าก็เป็นส่วนของปัญญา ปัญญาต่างๆ ที่ได้จากสมาธิก็สามารถนำมาประกอบกิจการทั้งหลายที่เรากระทำอยู่ จะสังเกตได้ว่าคนนั่งสมาธิจะมีความเฉลียวฉลาดมาก มีความไวต่อเหตุการณ์ต่างๆ ทีเกิด แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฉะนั้นการภาวนาจึงทรงคุณค่าอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตของเรา
ความรู้ทั้งหมดนั้นก่อเกิดจากจิตที่ฝึกมาดี เมื่อจิตดีปัญญาย่อมดี สมองจะมาเทียบจิตไม่ได้ จิตนั้นเกิดมาหลายพันหลายร้อยชาติ สถิตความรู้ต่างๆในแก่นจิตมาโดยตลอด ถ้าเราอาศัยสมองทำงานอย่างเดียวเราไปไม่ได้ไกลเท่าไหร่ แต่ถ้าเราอาศัยจิตเข้ามาช่วยเหลือมาแก้ไขย่อมมีประสิทธิภาพอย่างสูง ฉะนั้นขอให้ทุกคนภาวนาให้มากเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นในวันหน้า จิตภาวนาเป็นจิตที่สมบูรณ์ เป็นจิตที่ทรงคุณค่าทรงอำนาจ ทรงพลัง สามารถเนรมิตในทุกอย่างได้ ขอให้ทุกคนพร้อมในการปฏิบัติให้ได้ต่อเนื่อง แบ่งเวลาให้ถูก แบ่งเวลาให้ดี วันหนึ่งอย่างต่ำสัก 2 ชั่วโมงก็ยังดี แต่ 2 ชั่วโมงนี้มีคุณค่ามหาศาล มากกว่า 8 ชั่วโมงที่เราทำงาน ฉะนั้นขอให้ตั้งอกตั้งใจเปลี่ยนแปลงชีวิตและแนวทางในการดำเนินชีวิตใหม่ให้ได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน สิ่งต่างๆ ในโลกเป็นของโลกไม่ใช่ของเรา ไม่มีสิ่งใดเลยแม้กระทั่งกายของเราก็ยังไม่ใช่ของเราอยู่ดี เป็นเพียงที่อยู่ที่อาศัยของจิตวิญญาณที่มาเกิดเท่านั้น ส่วนจิตวิญญาณนั้นล่องลอยไปตามกระแสแห่งกรรมตลอด เมื่อดับจากชาตินี้ก็ต้องไปสู่ในชาติภาพใหม่ เป็นอย่างนี้มาโดยตลอดยังหาที่สิ้นสุดมิได้
ฉะนั้นเรามีเบื้องต้นในการภาวนาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการดำเนินชีวิต สุดท้ายแล้วนำพาจิตวิญญาณนั้นไปเกิดต่อเนื่องในที่ดีขึ้นๆ โดยตลอด สุดท้ายในวันหนึ่งเราจะได้สำเร็จในภูมิของอรหันต์ผล สิ้นสุดการเกิดสิ้นสุดการเวียนว่ายได้ในอนาคต ฉะนั้นขอให้กระทำอย่างดีและมีประสิทธิภาพที่สุด ขอให้ยึดถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่เราเกิดมาแล้วครั้งหนึ่งมีโอกาสเกิดมาเป็นคนที่สมบูรณ์ได้ การเจริญสมาธิ เจริญภาวนาเป็นรากฐานของความเป็นคนที่สมบูรณ์
ป.จิตธรรม
26-7-56
.........................................................