ประวัติวัดเกาะวาลุการาม (ตัวอักษร)

ตามทางภูมิศาสตร์ได้กล่าวว่า เกาะ คือแผ่นดินส่วนใดส่วนหนึ่งผืนแผ่นดินส่วนนั้นมีน้ำล้อมรอบ เรียกว่าเกาะประมาณ 40-50 ปี ย้อนหลังขึ้นไป ลำแม่น้ำวัง เมื่อไหลผ่านสะพานรัษฎาภิเษกลงไปประมาณ 250 เมตร ก็จะแยกออกจากกัน เป็นสองแถว ที่แยกจากกันนั้นเกิดเป็นเกาะกลางขึ้นเกาะหนึ่ง แควทั้งสองข้างเกาะ จะมีน้ำไหลมากพอให้เรือเดินขึ้นล่องได้สะดวก น้ำที่ไหลแตกแยกจากกัน จะไปบรรจบเป็นแควเดียวกันอีก จากหัวเกาะถึงท้ายเกาะยาวประมาณ 200 เมตร ตอนที่กว้างที่สุดของเกาะ ประมาณ 50 เมตร


watkoh_begin

เกาะแห่งนี้แต่โบราณกาลประมาณไม่ได้ว่าจะเป็นกี่ปีมาแล้ว นัยว่าเป็นสถานที่เจ้าหญิงองค์หนึ่ง แห่งลานนามาประทับอยู่หรือทำพิธีอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง (ผู้เขียนไม่กล้ายืนยัน) เมื่อหมดสมัย หรือหมดความต้องการของใคร ๆ แล้ว ก็คงจะทิ้งอยู่เป็นเกาะป่าละเมาะร้างว่างเปล่าอยู่ดังนั้นตลอดมา พอจะประมาณได้ว่า ราว 90-100 ปีมานี้ก็มีประชาชนข้ามไปจับจอง แผ้วถางถือกรรมสิทธิ์ปลูกบ้านอยู่อาศัย เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ ทำสวนปลูกผักเป็นตอน ๆ การจะข้ามไปมาสู่เกาะนี้ จากฝั่งซ้ายทิศเหนือและฝั่งขวาทิศใต้จะต้องใช้เรือหรือทำสะพานไม้ไผ่ขัดแตะชั่วคราว มีตอนปิดเปิดตรงร่องน้ำให้เรือแพผ่านไปมาได้ สะพานนี้จะทำใช้ได้เฉพาะฤดูแล้งน้ำลดเท่านั้น แม้จะเป็นฤดูแล้งน้ำแห้งมากแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าสมัยนั้นมีน้ำมากไหลเอ่ออยู่ตลอดเวลาด้านซ้ายและขวาของเกาะก็มีน้ำไหล เรือแพขึ้นล่องได้ตลอดสาย ตั้งแแต่ อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง ถึงสุดปากแม่น้ำวัง ไหลลงไปบรรจบแม่น้ำปิง ที่ อ.สามเงา จ.ตาก เมื่อได้ทราบถึงที่มาของเกาะนี้และแม่น้ำวังบ้างเล็กน้อยแล้ว ก็จะขอกล่าวถึงสภาพถนนสายยาวของเมืองลำปาง เพื่อเป็นความรู้แก่ผู้ที่ไม่เคยรู้เห็นในรุ่นหลัง ๆ นี่บ้าง และพอเป็นทางเชื่อมโยงเกี่ยวพันกับวัดเกาะนั้นต่อไป
ถนนสามสายในตัวเมือง นอกจากถนนซอยตัดเชื่อมกันแต่ละสายแล้ว ก็มีถนนสายยาวตัวเมืองลำปางอยู่ 3 สาย คือ สายที่ 1 ตั้งแต่หมู่บ้านพิชัย ผ่านหลังค่ายทหาร (เมื่อก่อนถือเป็นด้านหน้าค่ายทหารปัจจุบัน) ไปจากกำแพงเมือง ที่ห้าแยกหอนาฬิกาเรียกว่าประตูเชียงราย ต่อจากกำแพงเมืองออกไปเป็นป่าละเมาะทุ่งนา ถนนสายนี้มีชื่อเรียกว่า “กองหลวง” (ปัจจุบันมีชื่อว่าถนนบุญวาทย์) ที่มีชื่อว่ากองหลวงเห็นจะเป็นเพราะถนนสายนี้ผ่านศาลากลาง ซึ่งสมัยนั้นเรียกว่า “เก๊าสนามหลวง” และติดต่อกันขึ้นไปอีก ตอนหหน้าโรงพักตำรวจและโรงเรียนบุญทวงศ์ (เทศบาล 3) ก็เป็นคุ้มหลวงที่อยู่ของเจ้าผู้ปกครองเมือง นครลำปาง ซึ่งชาวเมืองเรียกว่า “เจ้าหลวง” (องค์สุดท้ายคือเจ้าหลวงบุญวาทย์)

ถนนสายนี้ได้ผ่านสถานที่ที่มีคำว่า “หลวง ๆ” อยู่กระมังจึงเรียกชื่อว่า “กองหลวง” ถนนสายนี้ใช่ว่าจะมีความแออัดด้วยตึกราม บ้านเรือน ร้านค้า รถราวิ่งขวักไขว่ เช่น ปัจจุบันนี้ก็หาไม่ เงียบเหงากว่าทุกสาย มีบ้านเรือนอยู่ห่าง ๆ กัน รั้วบ้านก็เป็นไม้ไผ่ขัดสานเรียกตามภาษาพื้นเมืองว่า “ฮั้วสะราบ” อย่างหนึ่ง และ “ฮั้วตาแสง” อย่างหนึ่ง ถ้าใครไม่กล้าเข้มแข็งพอแล้ว ขนาดคนเดียวสองคนอย่าได้ริไป เดินยามค่ำคืนเลย อาจถูกมิจฉาชีพอันธพาลรังควานเอาก็ได้ หรือไม่ก็อาจถูกผีข้าง ๆ ถนนตอนเปลี่ยว ๆ หลอกเอา เมื่อผู้เขียนเป็นเด็ก ๆ พอจะจำความได้แล้วไปมาเล่นตามละแวกตอนที่เฉพาะใกล้ ๆ บ้านมาเล่าสู่กันฟัง คือตอนมุมนอกกำแพงวัดสวนดอก ด้านตะวันออกมีต้นโพธ์ใหญ่อยู่ต้นหนึ่งข้าง ๆ ถนน เวลานี้ถูกล้มลงไปแล้วใต้ต้นโพธิ์นั้นจะมี สวย (กรวยใบตอบดอกไม้ธูปเทียน)วางอยู่โค้นต้นเสมอ เก่าหายไปใหม่มาแทน บางทีก็มีสองสามสวยแสดงว่าต้องมีการบนบานศาลกล่าว จ้าว ผีสาง นางไม้หรือเทวดาอะไรก็แล้วแต่ สิงสู่อยู่ต้นโพธิ์นั้นศักดิ์สิทธิ์ อาจดลบันดาลให้เป็นไปตามความขอร้องวิงวอน ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงเต็มไปด้วยธูปเทียนจุดขอหวยเบอร์กันเกร่อทีเดียว นอกจากนั้นยังเคยได้ทราบข่าวเล่าบ่อย ๆ ว่า มีนักเที่ยวกลางคืนหรือมีความจำเป็นบางคนที่ต้องผ่านไปมาทางนั้น โดนผีหลอกถึงกับเป็นไข้หัวโกร๋นไปก็มี นอกจากนี้ คงจะมีที่เฮี้ยน ๆ และศักดิ์สิทธิ์ตอนใดตอนหนึ่ง บนถนนสายนี้อีกก็เป็นได้ ตอนเหนือขึ้นไปถึงสี่แยกราชวงศ์ หน้าธนาคารออมสินตรงตึกแถวร้านค้าสหกรณ์ จะเป็นที่ตั้งของคอก (เรือนจำ) ตอนกลางคืนจะได้ยินเสียงตำรวจยามตีเกราะเคาะไม้ บนป้อมยามเป็นระยะ ๆ ทำให้สะท้อนเศร้า วังเวงใจไม่น้อย

สายที่ 2 ถึงต้นแยกจากกองหลวง (ถนนสายบุญวาทย์) ตอนเหนือวัดหมื่นกาดขึ้นไป ลงมาผ่านหน้าวัดคะตึก ไม่มีคำว่าเชียงมั่น เพราะสมัยนั้น คำว่า คะตึก กับเชียงมั่นเป็นชื่อวัดสองวัด วัดคะตึกอยู่ด้านหน้าติดถนน วัดเชียงมั่นอยู่ด้านหลัง ต่อมารื้อกำแพงกลางออกรวมเป็นวัดเดียวกันเรียกชื่อเสียใหม่ว่า “วัดคะตึกเชียงมั่น” (ปัจจุบัน) ตรงลงมาผ่านหน้ากาดมั่ว (ตลาดสด) ที่หัวถนนทิพย์วรรณ เมื่อก่อนถนนทิพย์วรรณตลอดทั้งสาย เป็นตลาดสดมีหลังคามุงครอบสุดสาย ทะลุถึงถนนบุญวาทย์ แยกออกไปทะลุถนนราชวงศ์เชื่อมอีกตอนหนึ่ง ซึ่งได้ถูกไฟไหม้ไปเสียทั้งหมด แต่เมื่อ พ.ศ. 2468 เลยตัดเป็นถนนอยู่จนทุกวันนี้ส่วนสายใหญ่ที่ผ่านวัดคะตึกฯ ลงมาคือสายที่สองนี้มีชื่อว่า “กองก๋าง” (ทิพย์ช้างปัจจุบัน) เป็นสายที่ยาวกว่าทุกสาย เมื่อผ่ากาดมั่วมาแล้ว ก็ยาวเรื่อยลงไป ผ่านวัดสิงห์ชัย, ดำรงธรรม, ศรีบุญเรือง, นาก่วม ขนานไปกับริมแม่น้ำวัง ผ่านบ้านปงบ้านต้า บ้านฟ่อน ไปบรรจบลงแม่น้ำวังข้างวัดลำปางกลางฝั่งตะวันออก นับว่าเป็นถนนที่ยาวที่สุด

ให้ประชาชนใกล้ไกลบ้านนอกในเมืองมีทางสัญจรไปมาสะดวกมาก ถึงแม้จะไม่มีเคหะสถานบ้านเรือน สองข้างถนนแออัดนัก ก็นับว่าจะยังดีกว่าสายที่ 1 แต่ถึงกระนั้นก็มีเพียงบางครั้งบางคราวหรือเวลาเทศบาลเท่านั้นพอมีความสัญจรมาก เพราะอยู่กลางเมืองจึงเรียกว่ากองก๋าง ส่วนกลางคืนนับว่าเงียบเชียงอยู่นั้นเอง ถ้าจะเปรียบกับปัจจุบัแล้ว เทียบกันไม่ติดไกลกันอย่างมากมาย ความสว่างไสวฟืนไฟ ก็คงมีตะเกียงน้ำมันหรือจุดใต้กันบ้านใครบ้านมัน หมดงานก็พักผ่อนนอน รุ่งขึ้นก็ออกไปทำมาหากินตามอาชีพ ทำไร่ ทำนา ค้าขาย ไม่วุ่นวายว้าวุ่นอกจะแตกตายเหมือนทุกวันนี้ สายที่ 3 “ กองต้า ” อันเป็นภาษาของชาวพื้นเมืองเรียกกัน หรือถนนตลาดจีน (ตลาดเก่าปัจจุบัน) แยกจากถนนทิพย์ช้าง ตั้งแต่เหนือเชิงสะพานรัษฎาภิเษกขึ้นไปเล็กน้อย ยาวเรื่อยมาขนานไปกับฝั่งแม่น้ำวัง เลี้ยวกลับขึ้นไปจรดกับถนนทิพย์ช้างอีก ที่หมู่บ้านเชียงราย ดังปรากฎให้เห็นอยู่อย่างทุกวันนี้ไม่เปลี่ยนย้ายแต่อย่างใด ถนนสายนี้มีบทบาทเกี่ยวพันกับวัดเกาะวาลุการามอยู่มากพอควร

ซึ่งจะกล่าวพาดพิงถึง ในตอนต่อไป เป็นสายที่รวมการพานิชกรรมอุตสาหกรรมย่านการค้าชุมนุมชน ของจังหวัดลำปางทีเดียวตั้งแต่เช้ายันค่ำจะมีคนมาจากทิศที่ต่าง ๆ ตามอำเภอรอบนอก ในเมือง และต่างจังหวัด เดินกันไปมาขวักไขว่ ซื้อขายขนถ่ายสินค้า ธุรกิจ ข้าวของกัน ทั้งทางบกและทางน้ำ ทางบกก็มี วัวต่าง ม้าต่าง เกวียน เป็นพาหนะบรรทุกทั้งนำมาและขนออก ไม่ได้ขนถ่ายกันด้วยรถยนต์ เช่นปัจจุบันเพราะไม่มีรถยนต์ใช้ ส่วนทางน้ำก็ได้อาศัย เรือถ่อค้ำ ขึ้นล่องสัญจรกันทางแม่น้ำวัง เครื่องอุปโภค เสื้อผ้าแพรพรรณสิ่งบริโภคนานาชนิด จะอุดมสมบูรณ์ ซื้อขายกันตามบ้านร้านตลาดในถนนสายนี้ ตั้งแต่เชิงสะพานถึงปลายสุดถนนกลางคืนก็ยังสว่างไสวด้วยแสงตะเกียงลาน โคมระย้า เจ้า พายุ อิ๊ดด้า (ไม่มีไฟฟ้า) ประกอบการงาน หรือพักผ่อนกันตามอัธยาศัยจนกว่าจะปิดบ้านร้านนอนกัน การคมนาคม ขนถ่ายสินค้าโดยเรือ ในเส้นทางแม่น้ำวัง ดังได้กล่าวมาแล้วว่า เมื่อสมัย 40-50 ปีขึ้นไป น้ำในแม่น้ำวังมีไหลมากพอ ที่จะให้เรือแพเดินขึ้นล่องได้สะดวกสินค้าต่าง ๆ เวลานี้เราขนกันด้วยรถไฟ รถยนต์ แต่สมัยนั้นไม่มีโอกาสที่จะได้ใช้ จึงใช้เรือเป็นพาหนะขนถ่ายสินค้าตั้งแต่กรุงเทพ-ขึ้นมา ตามรายทาง ปากน้ำโพ นครสวรรค์ กำแพงเพชร ตาก

ขาล่องจากลำปางก็ล่องลงไปตามน้ำวัง ทะลุออกลำน้ำปิง ล่องผ่านตาก ลงไปถึงปากน้ำโพ อันเป็นที่รวมแม่น้ำสายต่าง ๆ และสินค้าด้วย สินค้าขาล่องจากลำปางก็ไม่ค่อยมีอะไรมากนัก มักจะเอาเรือเปล่าไปซื้อสินค้าขึ้นมาขายมากกว่า ต้องการสินค้าอย่างไหน มีในจังหวัดใด ก็ไปซื้อเอาลงบรรทุกเรือจากจังหวัดนั้นขึ้นมา ถ้าสินค้านั้น ๆ มีในกรุงเทพฯ ก็มักจะเอาเรือไปพักจอดคอยอยู่แค่ปากน้ำโพ ฉะนั้นปากน้ำโพจึงจอแจเป็นที่รวมเรือแพหรือเป็นเมืองท่าพ่อค้าเจ้าของเรือก็จะขึ้นจากเรือไปขึ้นรถไฟต่อลงไปกรุงเทพฯ ซื้อของบรรทุกรถไฟ ขึ้นมาถ่ายลงเรือที่จอดคอยอยู่ปากน้ำโพอีกทอดหนึ่ง ลักษณะของเรือที่บรรทุกสินค้ามานี้ เป็นเรือมีประทุน กลางลำแข็งแรง กันฝนกันแดดได้ยาวประมาณ 10-11 เมตร ตอนหัวปูกระดานเป็นตอนหนึ่งที่สำหรับเดินถ่อร่าว ๆ 3 เมตร ตอนท้ายเป็นที่พักของผู้โดยสาร หรือเจ้าของเรือ ยาวสัก 2 เมตร นั่งนอนได้สบาย รู้สึกว่าสวยงามกระทัดรัดเหมาะสมดี ขนาดของเรือแล้วแต่จะใหญ่เล็ก ขาล่องตามน้ำใช้แจว, ค้ำ, ขาขึ้นทวนน้ำใช้ถ่อ 4-6 คน จากลำปางไปกลับใช้เวลาประมาณ 20-25 วัน หรืออาจถึง 1 เดือน

watkoh_02

การที่จะต้องนอนค้างอ้างแรมไปมาด้วยเรือตามลำน้ำเวลานั้น เป็นที่เพลิดเพลินได้ชมทิวทัศน์ ได้อากาศสดชื่น เห็นโขดเขาสูงเหลื่อมล้ำ สวยงามน่าชมยิ่งนัก บางตอนก็เป็นเกาะ แก่งน้ำ ไหลเชี่ยว การขึ้นล่องแต่ละครั้งบางทีก็ต้องมีด้วยกันเป็นหมู่ ๆ ละหลาย ๆ ลำ หมู่เรือเหล่านี้มาถึงลำปางก็จะเข้าจอดท่า เพื่อขนสินค้าขึ้นตามแนวริมฝั่งหรือใกล้บ้าน, ห้าง, ร้าน, อันเป็นที่เก็บและจำหน่ายของเจ้าของ ซึ่งตั้งอยู่บนถนนสายที่ 3 กองต้า (ตลาดจีน) นั้นแทบทุกลำ ฉะนั้นถนนสายนี้จึงจอแจ แออัด เป็นย่านที่ตั้งห้างร้าน การค้าขายดังกล่าวมาข้างต้น ถ้าเปรียบกับปัจจุบันก็ตรงกันข้ามหน้ามือเป็นหลังมือ คือ ถนนบุญวาทย์กับถนนตลาดเก่า เหตุผลของการสร้างวัดเกาะวาลุการาม ตามที่ได้กล่าวมาว่า ถนนสายที่ 3 ตลาดจีนนี้ เป็นที่ตั้งของห้างร้านย่านค้าขายตลอดทั้งสาย เจ้าของห้างร้านเหล่านั้น โดยมากเป็นชาวต่างถิ่นไม่ใช่เป็นคนพื้นเมืองลำปางโดยตรงทีเดียว นอกจากจะเป็นบุตรหลานภรรยาบ้างเท่านั้น นอกนั้นก็อพยพมาจากต่างประเทศก็มี และบ้านเมืองอื่นก็มีมามีหลักฐานตั้งรกรากขึ้นที่นี่ เขาและครอบครัวทั้งหลายเหล่านั้นโดยมากอพยพมาจากภาคกลาง เป็นต้นว่ากรุงเทพฯ ปากน้ำโพ นครสวรรค์ กำแพงเพชร หรือตาล เหล่านี้เป็นครึ่งจีนไทยบ้าง แต่ส่วนมากเป็นลูกจีนในไทย ก็นับได้ว่าเป็นคนไทย และมีประเพณีของไทยอย่างสมบูรณ์แบบเกือบทุกประการอีกด้วย ยังมีน้ำใจรักบ้านเมืองไทย รักชาติไทย นับถือศาสนาไทย (ศาสนาพุทธ)

เป็นคนไทยทั้งนิตินัยและพฤตินัย ช่วยเหลือราชการบ้านเมืองไทยเป็นอย่างดี ทั้งภาษีอากรก็มิได้ขาด บางท่านได้รับพระราชทานให้มียศถาบรรดาศักดิ์เป็นขุน-หลวง เครื่องราชอิสสริยาภรณ์ จากทางราชการบ้านเมืองก็มีหลายท่าน ท่านและครอบครัวเหล่านั้นมีขนบธรรมเนียมเป็นไทย ตลอดทั้งนิสัยใจคอโอบอ้อมอารีมีเมตตากรุณา กิริยามารยาทสุภาพเรียบร้อยนิ่มนวลอย่างแบบไทย ๆ ในอดีตกาล เป็นประเพณีของไทยอย่างหนึ่งแต่โบราณกาลมา คือถ้าคนหมู่ใดเหล่าใด อพยพไปอยู่แห่งใดเป็นกลุ่มเป็นก้อนแล้ว ก็มักจะไปสร้างวัดขึ้น นิมนต์พระสงฆ์องค์เจ้ามาประจำเพื่อให้เป็นที่ประกอบศาสนกิจได้ทำบุญสุนทาน เอากุศลเป็นที่พึ่งอุ่นใจในปัจจุบันและอนาคตของชีวิตเมื่อได้สร้างวัดวาอารามขึ้นแล้ว มีพระสงฆ์องค์เจ้าอยู่ประจำ ก็ฝากลูกฝากหลานให้ได้ศึกษาเรียนหนังสือหนังหาพระธรรม คัมภีร์ บวชเรียนเขียนอ่าน สืบ ๆ กันต่อ ๆ มา ประเพณีอันนี้กระมัง บ้านเมืองไทยเราจึงได้มีวัดวาอารามอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ทั้งวัดร้างซากวัด และวัดสมบูรณ์อย่างตาดดื่นที่เห็นกันอยู่

เมื่อโบราณกาล คนไทยอพยพไปอยู่ที่ใด เป็นกลุ่มก้อนมักไปสร้างวัดให้ใกล้บ้านตน ตามสมควรในที่เหมาะสมเป็นของตนเองสักแห่งหนึ่ง หรือหลายแห่งแล้วแต่โอกาสวัดในอำเภอเมืองลำปางขณะนั้น มีอยู่แล้วอย่างที่เห็น ๆ กันในขณะนี้ แต่อาจเป็นเพราะหวังผลอานิสงส์ทางศาสนาอย่างหนึ่ง เกียรติคุณชื่อเสียงอย่างหนึ่ง และการไปมาวัดเพื่อความสะดวกบางประการหรือหลายประการ เวลานั้นก็มีพระและวัดชาวใต้อยู่ 2 วัด คือวัดไทยใต้

วัดดำรงธรรมปัจจุบันและวัดบนหรือวัดไทยบน วัดเมืองสาสน์ใต้ แล้วแต่จะเรียกกันตามถนัด ปัจจุบันวัดบนหรือวัดเมืองสาสน์ใต้ไม่มีแล้ว ได้รื้อถอนเป็นศาสนสมบัติของวัดเมืองสาสน์ใต้ ปัจจุบันนี้ตั้งโรงเรียนพินิจวัฒนา ท่านเหล่านั้นนอกจากได้ทำบุญตามวัดพื้นเมืองต่าง ๆ แล้ว วัดชาวใต้ 2 วัด ที่มีดำรงธรรม กับวัดบนอาจไม่พอกับความต้องการหรือห่างไกลไปและโดยอการปกครองคณะสงฆ์ตลอดทั้งพิธีศาสนกิจการสวดอรรถาบาลีทำนอง ยังไม่เป็นระเบียบอย่างเดี๋ยวนี้ ต่างวัดต่างปฏิบัติตามความนิยมของแต่ละฝ่าย สิ่งเหล่านี้หรือหลายอย่างอาจประกอบดัน จึงเกิดศรัทธาประสาทะการสร้างวัดอีกวัดหนึ่ง จึงต่างมองแสวงหาที่ทางอันเหมาะสม จะได้สร้างกันต่อไป

0003

กำเนิดของวัดเกาะวาลุการาม เมื่อพ่อค้าแม่ค้าคหบดี แถวถนนตลาดจีนเหล่านั้นตั้งใจจะสร้างวัดอยู่แล้ว ก็เห็นว่าเกาะกลางที่แยกแม่น้ำออกสองแคว ในแถวใกล้หรือหลังบ้านของตนอยู่นี้พอจะข้ามไปมา อุปถัมภ์ทำบุญสุนทานได้สะดวก ทั้งตั้งอยู่ในที่แยก ๆ ออกไปเป็นสัดส่วนต่างหาก ไม่ปะปนกับชุมนุมชน ค้าขายแต่อย่างใด เป็นทำเลร่มเย็นเหมาะสมเป็นบริเวณอารามสถานได้ดี แม้จะมีคนไปจับจองทำสวนปลูกบ้านเรือนอยู่ทางหัวเกาะบ้างแล้ว ก็เป็นเพียงบางส่วน พอจะแผ้วถางปลูกสร้างได้ ต่างก็มีจิตศรัทธาเลื่อมใส สนับสนุนออกทุนทรัพย์ทั้งกำลังกายกำลังใจแผ้วถางที่ทางขยับขยายด้วยการซื้อขายแบ่งปันยกให้ สุดแล้วแต่กำลังศรัทธา อาคารหลังแรกของวัดเกาะวาลุการามก็ปรากฎขึ้นเป็นกุฏิไม้ไผ่ หลังคามุงตอนตึง (ตองควง) ฝาขัดแตะ ตั้งอยู่บริเวณข้างต้นโพธิ์ใหญ่ ซึ่งเวลานี้ได้ล้มโค่นลงแล้ว อยู่ใกล้ ๆ กับกุฏิพระนอนประมาณปีเริ่มตั้งวัดก็เห็นจะอยู่ระหว่าง พ.ศ. 2427 ถึง พ.ศ. 2430 ประมาณ 90 ปีมาแล้ว

ผู้ศรัทธาก่อตั้งในรุ่นแรก ๆ ก็มีมากมาย อาจกล่าวได้ว่า ท่านพ่อค้า แม่ค้า พาณิชย์ คหบดีที่ตั้งเคหสถานบ้านเรือนในแถวตลาดจีนตลอดทั้งสายได้ให้ความอุปถัมภ์ค้ำชูมาทั้งสิ้น นอกจากนั้น ก็มีชาวบ้านข้าราชการทั้งที่ไม่อยู่ในละแวกนั้นอีกเป็นจำนวนมาก ท่านผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในรุ่นก่อน ๆ ที่เป็นหัวหน้าชักจูงและออกทรัพย์ทั้งของตนเอง ของศรัทธาร่วมกัน เท่าที่ค้นคว้าสอบถามได้จากผู้เฒ่าผู้แก่ ที่มีชีวิตอยู่เล่าอาจบกพร่องไปบ้าง พอทราบมาก็มีเป็นต้นว่า พญาเก๊า-แม่เหม็น (เป็นหัวหน้าพ่อค้าแถวตลาดจีน หรือพระยาพิทักษ์) โกตา-แม่บูญรอด (ต่อมาเป็นขุนพิพัฒน์) หลวงประสารไมตรีราษฎร์-คุณนายหอม เหยี่ยนซีไท้ลีกี -แม่ฮวย พ่อเต็ง, พ่อหนาบุญ คุณยายหมา เพ็ชรสุวรรณ คุณยายมา สมิติพัฒน์, แม่จุ้ม แม่ตุ่น, พ่อฮ้วน-แม่สีลา พ่อหมาใหญ่ พ่อหมาน้อย พ่อน้อยคอมสันเป็นต้น

ผู้เขียนยอมรับแล้วว่าไม่สามารถจะสอบถามจากที่ใดอีก จึงขอกราบอภัยดวงวิญญาณของท่านที่ล่วงลับไปแล้ว และญาติลูกหลานของท่านที่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้เขียนไม่ได้บันทึกลงไปในหนังสือนี้ ว่าใครเป็นผู้สร้างสิ่งใดไว้ที่ใดก็ย่อมได้บุญกุศลที่ทำไปแล้วอย่างบริบูรณ์ ขออย่าได้ถือว่าเป็นการปิดทองหลังพระเลย แม้ปิดทองหลังพระก็มีมงคลภาษิตกล่าวไว้ว่า ทองหลังพระ ปิดไว้ ได้กุศล บันดาลดล พระก็งาม อร่ามทั่ว ทำการใด ใฝ่กุศล ผลบุญตัว ไม่ทำชั่ว ทำดีแล้ว ไม่แคล้วบุญ

ลำดับเจ้าอาวาสและความเป็นมา พระภิกษุที่ผ่านเข้ามาในตอนต้น ๆ นั้น ก็มีหลายรูปแต่มิได้มาประจำเป็นเจ้าอาวาส คือมาชั่วครั้งชั่วขณะ แล้วก็ผ่านไป เช่นหลวงพ่อเนตร หลวงพ่อรัตน์เป็นต้น รูปที่ 1 พอเอ๋ยถึง หลวงพ่อกริ่ม เท่านั้น ท่านทั้งหลายแม้ใครที่ยังไม่ทันได้เห็นท่านมาเลยก็ได้ยินจนชินหูทีเดียว เพราะท่านนอกจากจะเป็นปฐมเจ้าอาวาส แห่งวัดเกาะวาลุการามแล้ว ท่านยังประกอบไปด้วยคุณธรรมอีก เอนกประการ ดังจะได้บรรยายพอสังเขปตามที่ทราบ ว่าท่านมาจากจันทร์บุรี เดินธุดงผ่านแวะมาหลายจังหวัด ถึงจังหวัดตากแล้วเลยขึ้นมาถึงจังหวัดลำปาง มาพักอยู่วัดเมืองสาสน์ และวัดดำรงธรรมชั่วระยะหนึ่ง แล้วได้รับการนิมนต์จากท่านผู้ใหญ่ในคณะอุปถัมภ์ก่อตั้งวัด ให้มาจำพรรษาอยู่เสียทางวัดเกาะนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอยู่แล้ว ก็เป็นความปรารถนาของคณะศรัทธาญาติโยมทั้งหลาย ขอให้เป็นเจ้าอาวาสของวัดเกาะวาลุการามนี้ต่อไป

กุฏิอาคารถาวรวัตถุต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นมาในสมัยท่านเป็นลำดับ ทีละอย่างทีละหลังเรื่อย ๆ มีพระเจดีย์ โบสถ์ พระสถูบที่บรรจุรอยพระพุทธบาทจำลองเป็นต้น อาคารปูชนีย์สถานเหล่านี้ ท่านเป็นประธานพร้อมด้วยคณะศรัทธาเป็นหัวหน้า ออกทุนชักจูงเรี่ยไรพุทธศาสนิกชนก่อสร้างปลูกขึ้นแทนของเก่าที่ชำรุดหรือไม่เหมาะสม เพื่อให้ถาวรดีงามยิ่งขึ้น หลวงพ่อกริ่มที่ชำรุดหรือไม่เหมาะสม เพื่อให้ถาวรดีงามยิ่งขึ้น หลวงพ่อกริ่มเป็นพระอุปชฌาย์มีลูกศิษย์ลูกหามากขึ้นทุกที พระเณรในวัดแต่ละปีก็มีมากขึ้น โดยบวชในวัดนั้นเอง บ้างก็มาจากที่อื่น จำพรรษาอยู่ด้วยก็มีไม่ขาด ทั้งศรัทธาญาติโยมแถวตลาดเก่านี้ก็อุปถัมภ์ ส่งข้าวปลาอาหารเครื่องขบฉันเป็นอย่างดีตลอด ท่านเป็นผู้ปลูกความนิยมแก่ชาวบ้านร้านถิ่น สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่วัดเป็นปึกแผ่น ประกอบด้วยการปกครองในคุณธรรมสูงส่ง มีความเมตตากรุณาเป็นที่ตั้ง เป็นที่เคารพนับถือรักใคร่ยำเกรงและยกย่องของพระเณรและประชาชนชาวลำปาง ที่ได้มาร่วมสังคมด้วย

0002

ในชีวิตของท่านตามที่ทราบว่าท่านมีโอกาสได้อยู่ในเพศฆราวาสน้อยที่สุด เมื่อครั้งเยาว์วัยตอนก่อนบวชเป็นพระภิกษุก็เป็นสามเณรมาตลอด เมื่อท่านมีอายุย่างเข้าวัยหนุ่มจะอุปสมบทเป็นพระภิกษุชั่วระยะที่ต้องสึกจากเณรมารอเตรียมการบวชเป็นพระเท่านั้น นอกนั้นก็อยู่ในผ้ากาสวพัตร์ตลอดมา เรื่องราวของทางโลกแล้วเกือบจะกล่าวได้ว่าไม่มีความสนใจเอาเสียเลย นอกจากท่านจะได้ปฏิบัติแต่ทางสมณเพศ ทางด้านโหราศาสตร์ (หมอดู) ก็ดูได้อย่างแม่นยำดี มีคนนิยมเชื่อถือมาให้ท่านดูอยู่มิได้ขาด ทั้งขอให้ท่านรดน้ำมนต์ปัดรังควานอยู่เนือง ๆ หลวงพ่อกริ่มเป็นพระอุปฌาย์เจ้าอาวาสของวัดเกาะวาลุการามองค์แรก ลุถึง พ.ศ. 2487 ท่านก็มรณะภาพด้วยความชรา รวมท่านมีอายุ 90 ปี เป็นสามเณร 6 พรรษา เป็นพระภิกษุ 69 พรรษา รวมอยู่ในสมณเพศ 75 พรรษา

ตั้งแต่ท่านได้เป็นเจ้าอาวาส อาคารสิ่งก่อสร้างในสมัยของท่านที่มีขึ้นก็คือ กุฏิที่ท่านพักอาศัยอยู่เปลี่ยนจากไม้ไผ่ มาเป็นกุฎิไม้หลังใหญ่ถาวรด้านทิศตะวันตกนอกจากนั้นก็มีพระเจดีย์ โบสถ์ และมณฑป ประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง ซึ่งก็มีผู้สร้างแต่ละสิ่ง ละอย่างเป็นหัวหน้าตามที่ปรากฎนามอยู่บ้าง เมื่อท่านได้มรณะภาพไปบรรดาศิษยานุศิษย์ พร้อมด้วยศรัทธา ญาติ โยม มีความอาลัยในความดีของท่าน จึงหล่อรูปของท่านด้วยทองเท่าตัวจริง ไว้เป็นที่ระลึกสักการะ ซึ่งตั้งประดิษฐานอยู่ในกุฎิพระไสยาสน์ ดังปรากฎตราบเท่าบัดนี้

เจ้าอาวาสองค์ที่ 2 เมื่อหลวงพ่อกริ่ม มรณะภาพสิ้นไปแล้ว ขณะนั้นมีพระภิกษุอาวุโสอีกรูปหนึ่งเหมาะสมที่จะเป็นเจ้าอาวาสแทนได้ ซึ่งจำพรรษาร่วมอยู่ในวัดนั้นจึงได้นิมนต์ท่านขึ้น เป็นเจ้าอาวาสเมื่อ พ.ศ. 2489 คือ หลวงพ่อเอม มาจากอำเภอโกรกพระ จังหวัดอุทัยธานี ท่านได้ปกครองวัดวาอาราม ภิกษุสามเณร มาด้วยความเอาใจใส่บูรณะสืบต่อมาด้วยดี ยังให้ความเจริญแก่วัดตามสมควร ในสมัยท่านหลวงพ่อเอมก็ได้ชักชวนญาติโยมศรัทธาปลูกศาลาการเปรียญหลังปัจจุบันขึ้น และกุฎิไม้อีกหลังหนึ่งด้านใต้ของวัดซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับศาลาฯ ห่างกันเพียงเล็กน้อย

หลวงพ่อเอมครองตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดเกาะฯ อยู่ได้ 8 พรรษาก็มรณะภาพไปเป็นองค์ที่ 2 มีพรรษา 52 พรรษาอายุ 72 ปี ในทำนองเดียวกับศิษยานุศิษย์ศรัทธาญาติโยมก็ได้หล่อรูปของท่านด้วยทองเท่าตัวจริงตั้งไว้ในกุฎิพระไสยาสน์ คู่กับหลวงพ่อกริ่ม เพื่อเป็นที่ระลึกสักกาะนบไหว้บูชาเช่นกัน

ขณะนั้นยังมีพระภิกษุอีกรูปหนึ่ง มาจากจังหวัดชัยนาท จำพรรษาร่วมอยู่ในวัดนั้น ท่านมีบุคลิกลักษณะ ความปรีชา สามารถเหมาะสมที่จะได้รับนิมนต์ขึ้นครองตำแหน่งเจ้าอาวาสต่อไป ในระยะที่ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งก็มอบให้ท่านรักษาการแทน เจ้าอาวาสไปพรางก่อน จนกว่าจะได้เผาศพหลวงพ่อเอมและกิจการอื่นใดเรียบร้อยแล้ว เจ้าอาวาสองค์ที่ 3 ดังได้กล่าวว่าท่านมีพื้นอยู่จังหวัดชัยนาท มีความปรีชาสามารถ บุคลิกที่จะเป็นเจ้าอาวาสได้รูปหนึ่ง จึงได้ขอนิมนต์ท่านรับตำแหน่งเจ้าอาวาสต่อไป เมื่อ พ.ศ. 2498 ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นทางการของคณะสงฆ์

ท่านคือ เจ้าอธิการ บุญชุบ ทินฺนโก เจ้าอาวาสได้เป็นพระอุปฌาย์ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลสวนดอก อ.เมือง จ.ลำปาง เมื่อ พ.ศ. 2502 ท่านเป็นผู้มีอุปนิสัยใจคออย่างไร ทำคุณให้วัดเกาะวาลุการามอย่างไร เป็นที่นับถือนิยมรักใคร่ใกล้ชิดขึ้นสู่หาของศรัทธาญาติโยมมากน้อยเพียงใด ผู้เขียนเห็นว่ายังไม่จำเป็นอ้างความดี และการวางตัวปฏิบัติของท่านจะนำมาเขียนไว้ที่นี้ จึงขอยุติไว้ก่อน จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควรเพราะท่านทั้งหลายก็คงได้ทราบได้เห็น ความเป็นอยู่ของท่านทุกวันนี้ไม่มากก็น้อย ในด้านการปลูกสร้างบูรณะวัดก็จะเห็นอาคารวัตถุเกิดขึ้นจำนวนมาก เป็นต้นว่า หอฉัน กุฏิสงฆ์ ห้องน้ำ เพื่อรับรองแขกมาพักและเยี่ยมเยือนสิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างขึ้นด้วยอิฐ เสริมเหล็กปูนอย่างถาวรแข็งแรงทั้งสิ้น นอกจากนี้ก็มีกุฏิกรรมฐานเป็นไม้อีกหลายหลัง ซึ่งล้วนแต่เป็นคุณประโยชน์ให้แก่วัดวาอารามอย่างมาก ความอัดแอของวัดอันมีพระภิกษุสามเณรก็ยังล้นหลามอยู่เสมอไม่พอกับจำนวน ต้องไปอาศัยพักในศาลาการเปรียญบ้างในโบสถ์บ้างท่านจึงดำเนินการสร้างกุฎิสงฆ์ หลังใหญ่ 2 ชั้น และเขื่อนป้องกันศาสนสมบัติอย่างมั่นคง ยาวตลอดแนวฝั่งเขตวัดซึ่งกำลังทำการก่อสร้างอยู่ยังไม่เสร็จเพราะการเงิน ท่านจึงบอกบุญแก่ศรัทธาศาสนิกชนช่วยกันค้ำจุนสมทบทุนตามกำลังศรัทธาให้การก่อสร้างสิ่งถาวรนี้ ได้สำเร็จไว้เป็นอนุสรณ์ในบวรพุทธศาสนา มั่นคงสืบต่อลูกหลานเยาวชนรุ่นหลังเป็นพลังได้ยึด เป็นที่พึ่งหลักธรรมประจำชาติไทยในอนาคตกาลยืนนานสืบไป

***** จบ *****   ประวัติวัดเกาะวาลุการาม เสียงอ่าน Youtube

Comments

comments