Hathayung!
11-19-2008, 01:16 PM
จากการสนทนาธรรมกับเพื่อนๆ ในเว็บวัดเกาะนับว่าได้่ข้อคิด และสาระธรรมมากมาย แต่ในบางครั้งก็ยังแอบคิด ว่า เอ แล้วเราและเขาทั้งหลายที่โต้กระดานสนทนากันอยู่จะนำสิ่งที่ถกกันนั้นไปปฏิบัติให้เกิดผลอย่างไรหนอ
วันนี้หะทะยัง มีประสบการณ์จากการปฏิบัติของตัวเองมาเล่าให้ฟังนะคะ
โดยทั่วไปไปแล้วหากมี โอกาส หะ ก็จะไปที่วัดปทุมวนารามก่อนเข้าประชุมในเมือง เพราะที่วัดฯ มีสถานที่ให้นั่งสมาธิที่สงบเงียบ และยังได้ฟังข้อคิดดีๆจากหลวงพ่อถาวร แถมยังได้ทำทานคือใส่บาตร ช่วงเช้าด้วย แต่พออกมาจากวัด ทุกท่านจะเห็นความวุ่นวายของผู้คนในเมืองหลวง เวลาเดินก็ต้องกำหนดในใจแล้วค่ะ พร้อมกับอาการที่ย่างก้าว ซ้าย ขวา -ซ้าย ขวาไปเรื่อยๆ หลังจากวัด หะก็ไปสยามฯซอยแรกๆ ระหว่างที่กำหนดการเดินก็ดูจิตไปด้วย พบว่า จิตมันพุ่งเร็วมากต้องตามดูตลอดไม่ให้ไหลไปตามสิ่งที่มากระทบตาเรา แต่แล้ว มีรูปๆหนึ่งๆมากระทบตาที่สะพานลอย ซึ่งเรามองขึ้นไปเพื่อจะขึ้นรถไฟฟ้า ไม่ได้การแล้ว จิตมันสั่งว่าให้ เรียกรูปๆนั้นเลย ซึ่งก็คือเพื่อนของเราเอง ปากไวดังใจคิด เราก็ตะโกนเลย เพื่อนสาวก็ลงมาจากสะพานลอย มายืนคุยกันข้างสะพาน ระหว่างคุยก็กำหนดสติไปด้วยว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควรพูด เพื่อนบอกว่าไม่มีเวลานั่งสมาธิเลย เราก็เลยบอกไปว่าไม่เป็นไร ให้มีสติรู้ตัวตลอดกับสิ่งที่ทำแล้วกัน เช่นระหว่างการพูด เพื่อนก็พูดขึ้นว่า ให้รู้ว่ากำลังพูดอะไรเหรอ หะเลยบอกว่าทั้งก่อนพูดก็ควรกำหนดด้วยว่า จะพูดสิ่งที่คิดดีมั้ย เพื่อนก็พยักหน้า หะทะยังก็ได้สัจจธรรมที่ว่า หากเรามองทุกสิ่งด้วยธรรมะและฝึกตัวเองตามหลักธรรมที่เราได้ได้ยิน ได้ฟัง และอ่านมา เราก็จะเห็นและเข้าใจธรรมะมากขึ้น แม้ในช่วงเวลาน้อยนิดข้างสะพานลอย ตรงข้าม Siam Discovery เราก็สามารถสนทนาและฝึกเรื่องการมีสติอยู่ทุกขณะจิต หรือการอยู่กับปัจจุบันนั่นเอง หากเรารู้ธรรมะแล้วไม่ปฏิบัติ หะทะยังคิดว่ายังไม่มีประโยชน์ในการพัฒนาตนเองนะคะ เพราเราชาวพุทธมีหน้าที่พัฒนาจิตและตนค่ะ
หากท่านใดมีประสบการณ์การปฏิบัติที่เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวันก็มาเล่าให้ฟังบ้างนะคะ
ขอบคุณค่ะ
หะทะยัง
วันนี้หะทะยัง มีประสบการณ์จากการปฏิบัติของตัวเองมาเล่าให้ฟังนะคะ
โดยทั่วไปไปแล้วหากมี โอกาส หะ ก็จะไปที่วัดปทุมวนารามก่อนเข้าประชุมในเมือง เพราะที่วัดฯ มีสถานที่ให้นั่งสมาธิที่สงบเงียบ และยังได้ฟังข้อคิดดีๆจากหลวงพ่อถาวร แถมยังได้ทำทานคือใส่บาตร ช่วงเช้าด้วย แต่พออกมาจากวัด ทุกท่านจะเห็นความวุ่นวายของผู้คนในเมืองหลวง เวลาเดินก็ต้องกำหนดในใจแล้วค่ะ พร้อมกับอาการที่ย่างก้าว ซ้าย ขวา -ซ้าย ขวาไปเรื่อยๆ หลังจากวัด หะก็ไปสยามฯซอยแรกๆ ระหว่างที่กำหนดการเดินก็ดูจิตไปด้วย พบว่า จิตมันพุ่งเร็วมากต้องตามดูตลอดไม่ให้ไหลไปตามสิ่งที่มากระทบตาเรา แต่แล้ว มีรูปๆหนึ่งๆมากระทบตาที่สะพานลอย ซึ่งเรามองขึ้นไปเพื่อจะขึ้นรถไฟฟ้า ไม่ได้การแล้ว จิตมันสั่งว่าให้ เรียกรูปๆนั้นเลย ซึ่งก็คือเพื่อนของเราเอง ปากไวดังใจคิด เราก็ตะโกนเลย เพื่อนสาวก็ลงมาจากสะพานลอย มายืนคุยกันข้างสะพาน ระหว่างคุยก็กำหนดสติไปด้วยว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควรพูด เพื่อนบอกว่าไม่มีเวลานั่งสมาธิเลย เราก็เลยบอกไปว่าไม่เป็นไร ให้มีสติรู้ตัวตลอดกับสิ่งที่ทำแล้วกัน เช่นระหว่างการพูด เพื่อนก็พูดขึ้นว่า ให้รู้ว่ากำลังพูดอะไรเหรอ หะเลยบอกว่าทั้งก่อนพูดก็ควรกำหนดด้วยว่า จะพูดสิ่งที่คิดดีมั้ย เพื่อนก็พยักหน้า หะทะยังก็ได้สัจจธรรมที่ว่า หากเรามองทุกสิ่งด้วยธรรมะและฝึกตัวเองตามหลักธรรมที่เราได้ได้ยิน ได้ฟัง และอ่านมา เราก็จะเห็นและเข้าใจธรรมะมากขึ้น แม้ในช่วงเวลาน้อยนิดข้างสะพานลอย ตรงข้าม Siam Discovery เราก็สามารถสนทนาและฝึกเรื่องการมีสติอยู่ทุกขณะจิต หรือการอยู่กับปัจจุบันนั่นเอง หากเรารู้ธรรมะแล้วไม่ปฏิบัติ หะทะยังคิดว่ายังไม่มีประโยชน์ในการพัฒนาตนเองนะคะ เพราเราชาวพุทธมีหน้าที่พัฒนาจิตและตนค่ะ
หากท่านใดมีประสบการณ์การปฏิบัติที่เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวันก็มาเล่าให้ฟังบ้างนะคะ
ขอบคุณค่ะ
หะทะยัง