PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : อานิสงส์การเจริญพระกรรมฐาน พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ)



*8q*
11-29-2008, 03:40 PM
สมถกรรมฐาน กับ วิปัสสนากรรมฐาน

ผู้ถาม “คำว่า สมถกรรมฐาน กับ วิปัสสนากรรมฐาน มีความแตกต่างกันอย่างไรครับ?”

“สมถะ นี่เป็นจุดเริ่มต้นทำจิตใจให้เป็นสมาธิ ท่านมีความหมายว่า ทำจิตให้สงบจาก นิวรณ์ 5

สำหรับวิปัสสนา เป็นการใช้ปัญญาพิจารณาร่างกายเพื่อตัดกิเลส มันต่างกันตรงนี้

การทำจิตให้เป็นสมาธิ ก็เพื่อไม่ให้จิตวุ่นวาย เมื่อจิตไม่วุ่นวายแล้ว ก็ใช้ปัญญาพิจารณา คือ

* ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง เกิดมาแล้วมันก็ต้องแก่
* เมื่อทรงชีวิตอยู่มันก็ป่วยไข้ไม่สบาย มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ
* เมื่อมีชีวิตอยู่ต้องมีการนินทาสรรเสริญ กระทบกระทั่ง
* และในที่สุดเราก็ตาย นี่เป็นของธรรมดา

ถ้าอาการอย่างนี้มันเกิดขึ้นกับเรา เราจะไม่หวั่นไหวในอารมณ์ ถือว่ามันเป็นธรรมดาของการเกิด”

ผู้ถาม “สมถะนี่ตัดกิเลสได้ไหมครับ?”

“ยังตัดกิเลสไม่ได้ แต่ว่าระงับได้”

ผู้ถาม “มันแตกต่างกันอย่างไรครับ?”
“คำว่า ระงับ ก็เปรียบเหมือนกับเรามีสัตว์ร้ายอยู่ตัวหนึ่ง ถ้ามันจะกัดเรา วิธีระงับ ก็คือ จับมันมัดหรือกดมันไว้ ไม่ให้ทำร้าย

ส่วนคำว่า ตัด หรือวิปัสสนาญาณ นั้นก็หมายถึงฆ่าสัตว์ร้ายนั้นไม่ให้มีฤทธิ์ต่อไป เข้าใจไหม?

ผู้ถาม “ครับ ทีนี้กระผมได้ยินมาจากคุยกับพวกนักปฏิบัติ นักสมถะบอกว่าสมถะก็ตัดกิเลสได้ ปัญญาไม่เกี่ยว ส่วนพวกเจริญวิปัสสนาญาณนั้นบอกว่า วิปัสสนาญาณเป็นส่วนที่ตัดกิเลสได้ สมถะไม่เกี่ยว ไม่จำเป็นจะต้องเจริญสมถะก็ได้ เลยไม่รู้ว่าความเห็นของฝ่ายไหนที่ถูก

“ก็เป็นไปตามความเห็นของเขา อาตมาเคยคุยมาหลายราย มีอยู่รายหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รถไฟ ท่านบอกว่าสมัยก่อนผมเจริญสมถะจนกระทั่งมีจิตสงบมาก แต่มาตอนหลังเห็นว่าไม่เป็นการตัดกิเลสได้ เลยเจริญวิปัสสนาอย่างเดียวก็เลยบอกกับท่านว่า ถึงแม้จะเจริญวิปัสสนาอย่างเดียว ก็ต้องมีสมถะร่วมด้วย
คือ อันดับแรก จะต้องมีจิตเรียบร้อยในด้านศีล และ

ประการที่สอง เวลาที่ใช้ปัญญาพิจารณาเพื่อการตัดกิเลสในเวลานั้น อารมณ์อื่นไม่เข้ามารบกวน ไอ้ตัวที่อารมณ์ไม่เข้ามารบกวนหรือไอ้ตัวที่สงบจากอารมณ์อื่น มันเป็นสมถะหรือท่านเรียกว่า สมาธิ ซึ่งมันมีอยู่ในตัวอยู่แล้ว ท่านจึงเข้าใจ”

ผู้ถาม “ก็เป็นอันว่าทั้งสองอย่างจะต้องร่วมกันแยกกันไม่ได้ใช่ไหมครับ?
“ใช่ ถ้าจะเจริญวิปัสสนาญาณอย่างเดียว แต่ขาดสมถะก็ไปไม่รอด ท่านเปรียบไว้แบบนี้นะว่า

สมถะ นี่ก็เหมือนกับคนที่เพราะกำลังกายให้แข็งแรง ส่วน

วิปัสสนาญาณก็เหมือนกับอาวุธที่คมกล้า ถ้าคนไม่มีแรงหยิบอาวุธ จะฆ่าข้าศึกได้ไหม?

ผู้ถาม “ไม่ได้แน่ๆ ครับ”

“เพราะฉะนั้น ทั้งสมถะและวิปัสสนา 2 อย่างนี้จะต้องคู่กัน นี่เป็นแบบของพระพุทธเจ้านะ”

ผู้ถาม “การเจริญสมถะก็ดี เจริญวิปัสสนาญาณก็ดี จะต้อง ปฏิบัติในเรื่องศีลไหมครับ?

“คือการทำสมถะ หรือสมาธิก็ดี วิปัสสนาก็ดี ทั้งหมดนี้จะต้องประกอบด้วยเหตุ 3 ประการร่วมกัน คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์จิตก็ไม่เป็นสมาธิ ถ้าศีลบริสุทธิ์แล้วจิตจึงเกิดสมาธิ เมื่อจิตสงบจากอารมณ์ต่างๆ ปัญญามันจึงจะเกิด มันต้องร่วมกัน 3 อย่าง”

ผู้ถาม “หลวงพ่อครับ การนั่งวิปัสสนากรรมฐาน บางคนก็ว่าพุทโธ บางคนก็ สัมมาอรหัง บางคนก็ว่า เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ” ฯลฯ จะเอาอย่างไหนเป็นที่แน่นอนครับ ?
“แน่นอนทุกอันน่ะโยม ใช้ได้หมด ไม่ผิดหรอก ยังมีมากกว่านี้ สุดแล้วแต่เขาจะใช้เพื่อความเหมาะสม”

ผู้ถาม “บางคนก็บอกว่า ภาวนาแบบนี้ถูก แบบนั้นไม่ถูก”

“การศึกษาพระกรรมฐาน ถ้าศึกษาไม่ครบ 40 อย่าง พอเขาทำไม่เหมือนกับตัว ก็หาว่าเขาผิด มันก็ใช้อะไรไม่ได้เลย จะต้องศึกษา ถ้าอย่างเป็นลูกศิษย์ก็ไม่เป็นไร ที่นี้อย่างพวกครูซิ ถ้าครูศึกษาไม่ครบ 40 อย่าง ก็นั่งเถียงกันอยู่นั่นแหละ ถ้าศึกษาครบ 40 อย่าง ก็ไม่มีอะไรจะเถียงกัน

คำภาวนานี่มันไม่แน่นอน เอาอะไรก็ได้ มันสำคัญที่อารมณ์ตั้งใจ จะใช้อะไรก็ได้ อย่างพุทธานุสติ มีคำภาวนาตั้งเยอแยะ อติปิโส บทต้นทั้งหมดนั่นแหละ ว่าไปไม่ใช่ใช้คำว่าพุทโธอย่างเดียว อะไรที่ปรารภพระพุทธเจ้าใช้ได้เลย อย่างธัมมานุสสติ ไม่ใช่ภาวนา ธัมโมอย่างเดียว อะไรที่ปรารภพระธรรมก็ใช้ได้ และอย่าง สังฆานุสสติ ก็ไม่ใช่ภาวนาว่าสังโฆ อย่างเดียว นี่มันต้องเข้าใจถ้าไม่เข้าใจแกภาวนาไม่เหมือนข้า ของแกสู้ข้าไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปไหนกันละ มันเป็น มานะ มานะตัวเลวเสียด้วย ไอ้มานะกิเลสตัวเลวนี่มันดึงไปไหนไม่ได้เลย

ในอุทุมพริกสูตร คนที่จะเจริญพระกรรมฐาน ทำจิตเพื่อจะกิเลส พระพุทธเจ้าให้ทำจิตเบื้องต้นอย่างไร จิตเบื้องต้นท่านวางไว้ประมาณ 60 ข้อ ถ้าเราพิจารณากันจริงๆ ก็มีอยู่ 2 จุด

* จงอย่าสนใจในจริยาของคนอื่น เขาจะดีเขาจะเลวเป็นเรื่องของเขา
* ดูว่าเราทำถูกไหม อย่าทำเพื่ออวดเขา เท่านี้เอง

สรุปแล้วได้ 2 อย่างแต่ท่านเรียงไว้ประมาณ 60 กว่า ถ้าเราทำอารมณ์ได้เพียง 2 อย่างเท่านี้ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ามันเป็นสะเก็ดความดี ของที่ท่านสอนเท่านั้นเอง

ทีนี้ถ้ายังนึกว่า เขาสู้เราไม่ได้ เราสู้เขาไม่ได้ ก็เลยไม่ถึงสะเก็ด อันนี้เป็นเรื่องจริงๆ ท่านวางไว้ตามเกณฑ์ เราอย่าคิดว่าไอ้วันนั้นสู้เราไม่ได้ วันเราสู้วัดเขาไม่ได้ เอาอะไรไปเป็นเครื่องวัด ถ้าอารมณ์ยังมีอย่างนี้อยู่แสดงว่าจิตเลวมาก ถ้าจิตมันเลวจะดีอย่างไร การปฏิบัติ อย่างชูงวงเข้าบ้าน คืออย่างโอ้อวดเขา อย่านั่งให้เขาเป็นการทำสมาธิเพื่ออวดคน นั่งปั๊บตรงนี้ คนเดินผ่านไปผ่านมามันจะได้เห็น นี่เป็นอุปกิเลส ไม่ได้อะไรเลย แทนที่จะได้นั่งไล่กิเลสได้ กลับนั่งดึงกิเลสเข้ามา ไอ้ตัวอวดน่ะมันเป็นกิเลสนี่อันนี้ท่านห้าม ถ้าหากรักษาความดีขนาดนี้ถือว่าเป็นสะเก็ดความดี ที่ท่านสอน

ส่วนเปลือก ท่านตรัสไว้ในยาม 4 ท่านเทียบกับ ศีล 5 คือ

* เราจะไม่ทำลายศีล ด้วยตนเอง ไม่ยุยงบุคคลอื่นให้ทำลายศีล ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว
* เราจะต้องเป็นผู้ไม่ตกเป็นทาสของนิวรณ์ 5 คือ
ไม่หลงรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ
* ไม่มีอารมณ์ความโกรธ ความพยาบาท ในขณะปฏิบัติ
* ไม่ยอมให้จิตฟุ้งซ่าน และรำคาญเสียงภายนอก
* ไม่ง่วงเหงาหาวนอนในขณะปฏิบัติ
* จะไม่สงสัยในผลการปฏิบัติ
* จิตจะต้องแผ่เมตตา คือ มีความรักไปในจักรวาล ทั้งปวง ถือว่าคนก็ดี สัตว์ก็ดี ทั้งโลก ไม่มีใครเป็นศัตรูกับเรา
* เราจะไม่อิจฉาริษยาใคร เห็นคนอื่นได้ดี พลอยยินดีกับเขาด้วย ทำดีตามเขา
* ถ้าเหตุใดมันเกิดขึ้นกับเรา ถ้าเหตุเกินวิสัยที่เราจะช่วยได้ กับเราก็ดี กับบุคคลอื่นก็ดี เราจะวางเฉย ไม่ทำให้จิตขึ้นลง

ถ้าทำได้ครบถ้วนแบบนี้ แสดงว่าเราเข้าถึง เปลือกความดี ที่ท่านสอน แต่นี้ก็เป็นการ ทรงฌาน อย่างเต็มที่แล้ว คือว่า ละนิวรณ์ 5 นิวรณ์ 5 นี่เป็นศัตรูกับ ปฐมฌาน

แล้วก็ตัวท้าย คือ พรหมวิหาร 4 ตัวนี้เป็นตัวเลี้ยงทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา เลยนะ มีความสำคัญมากอารมณ์ตอนนี้ก็เป็นอารมณ์ทรงฌานปกติ ถ้าทำได้แบบนี้นะ ต่อไปถ้าทำอย่างนี้แล้ว สามารถทำ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ให้เกิดขึ้น คือระลึกชาติได้ ตอนนี้ละเข้าถึงกระพี้ความดี ที่ท่านสอนและหลังจากนั้น สามารถทำ ทิพจักขุญาณ คือ จุตูปปาตญาณ ให้เกิดขึ้น พอเห็นหน้าคนปั๊บ เรารู้ได้ทันทีว่าตายแล้วไปไหน อันนี้เข้าถึงแก่นความดี ที่พระพุทธเจ้าต้องการ

ถ้าทำได้ถึงขนาดนี้จนจิตคล่องดีแล้ว ถ้าฝึก วิปัสสนาญาณ ถ้ามีบารมีแก่กล้า คือมีกำลังเข้มข้น ก็จะเป็นอรหันต์ ภายใน 7 วัน ถ้ามี กำลังจิตปานกลาง จะเป็นอรหันต์ภายใน 7 เดือน ถ้าขี้เกียจที่สุด เป็นอรหันต์ภายใน 7 ปี”

ผู้ถาม “ที่เขาว่า สวรรค์ในอก นรกในใจ เล่าครับ?

“อันนี้เป็นคำพังเพย นรกจริงๆ มี สวรรค์ในอกนรกในใจใช้ได้ แต่ว่ามันยังไกลเกินไปนะ พูดแบบนั้นก็พูดแบบคนไม่เคยเห็นสวรรค์ ไม่เห็นนรก ก็ว่ากันไป แต่ว่าหลักสูตรในพระพุทธศาสนาเขามีนี่คุณ พระพุทธเจ้าทรงวางหลักสูตรไว้ให้หมดนะ เราจะไปสวรรค์ไปนรกได้ เราจะต้องปฏิบัติตัวแบบไหน เราจะไปนิพพาน เราจะปฏิบัติตัวแบบไหน อันนี้ในพระพุทธศาสนามีหลักสูตรสอนไว้โดยเฉพาะเลยคุณ ฉะนั้นจึงถือว่าเป็นหลักสูตรพิเศษ”

ผู้ถาม “หลักสูตรที่หลวงพ่อว่ามีอะไรบ้างครับ ?”

“หลักสูตรในพระพุทธศาสนามี 4 อย่าง คือ

* สุกขวิปัสสโก
* เตวิชโช
* ฉฬภิญโญ
* ปฏิสัมภิทัปปัตโต

ทีนี้โดยมากที่พวกคุณฟังกันมานี้ พวกนี้เขาไม่ได้ปฏิบัติ แม้ถึงขั้นสุกขวิปัสสโก คนที่เขียนตำราก็เขียนส่งเดช สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ อันนี้ตีความหมายว่า ถ้าใจเป็นสุขก็เป็นสวรรค์ ถ้าใจเป็นทุกข์ก็เป็นนรก อันนี้มันก็ได้หรอก แต่มันไม่ถูกกับความเป็นจริงนะ”

ผู้ถาม “สำหรับประเภท สุกขวิปัสสโก กับ เตวิชโช แตกต่างกันอย่างไรครับ?

“ประเภทสุกขวิปัสสโกนี่ ไม่รู้อะไรหรอกคุณได้แต่สมาธิเฉยๆ มีจิตเป็นสุข จิตมีกำลังตัดสินกิเลสได้

สำหรับ วิชชาสาม หรือเตวิชโช สามารถรู้ได้ เพราะว่าการปฏิบัติขั้นวิชชาสาม มีญาณ 8 อย่าง คือ

* ทิพจักขุญาณ สามารถเห็นผี เห็นนรก เห็นสวรรค์ได้
* จุตุปปาตญาณ เราจะรู้ว่า คนที่เกิดมานี่ ก่อนจะเกิดนั้นมาจากไหน และเวลาตายแล้วไปไหน
* เจโตจปริยญาณ สามารถจะเห็นจิตของคนได้ คนไหนจิตดี คนไหนจิตเลว
* ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เราสามารถระลึกชาติได้โดยไม่จำกัด
* อตีตังสญาณ เราจะรู้เรื่องราวในอดีตได้
* อนาคตังสญาณ รู้เรื่องราวในอนาคตได้
* ปัจจุปันนังสญาณ ปัจจุบันนี้ใครทำอะไรที่ไหน เรารู้ได้
* ยถากรรมมุตาญาณ คนที่เขามีความสุขความทุกข์ เขาอาศัยกรรมอะไรเป็นปัจจัย

นี่ในด้านวิชชาสาม รู้ได้ 8 อย่างเท่านี้

สำหรับ ฉฬภิญโญ (อภิญญาหก) แสดงฤทธิ์ได้ มีหูเป็นทิพย์ มีตาเป็นทิพย์ ฯลฯ
ปฏิสัมภิทัปปัตโต มีความสามารถคลุม วิชชาสาม และ อภิญญาหก มีความฉลาดกว่า

หมวดที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ไม่เหมือนกัน แต่วิธีปฏิบัติคล้ายคลึงกัน เอาใน กรรมฐานทั้ง 40 มาแยกปฏิบัติเป็นหมวดหมู่

ทีนี้สำหรับการปฏิบัติ ถ้าจะถามว่าอย่างไหนเข้าถึงมรรคผล ง่ายกว่ากัน ก็ต้องเป็นไปตามอัธยาศัยของคน

* สำหรับสุกขวิปัสสโก พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับผู้ที่ต้องการเรียบๆ ไม่ต้องการฤทธิ์เดช ทำแบบสบายๆ จิตใจไม่ชอบจุกจิก

* สำหรับ เตวิชโช นั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับคนที่อยากรู้อยากเห็นถ้ามีสิ่งปิดบังลี้ลับอยู่ ทนไม่ไหว ต้องหาให้พบ ค้นให้เป็น

* สำหรับ ฉฬภิญโญ นั้น สำหรับคนที่ต้องการมีฤทธิ์เดช พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนไว้

* สำหรับ ปฏิสัมภิทาญาณ หรือ ปฏิสัมภิทัปปัตโต ท่านมีทั้งฤทธิ์ด้วย มีทั้งความเป็นทิพย์ของจิตด้วย มีความฉลาดด้วย สอนไว้เพื่อคนที่ต้องการรอบรู้ทุกอย่าง

ฉะนั้นการที่พระพุทธเจ้าทรงสอน จึงเป็นไปตามอัธยาศัยของคน”

ผู้ถาม “กระผมอยากทราบว่า พระโสดาบัน กับ พระอรหันต์ นั้น เขาใช้ เครื่องวัดอย่างไรครับ?”
“เขาใช้ หลักกิโลเมตร เป็นเครื่องวัด”

ผู้ถาม “อ้าว …“

จริงๆ คือว่า การปฏิบัติให้เป็นพระอริยะ คือ ตั้งแต่พระโสดาบันถึงพระอรหันต์นี่นะ ถ้าเข้าถึงพระโสดาบัน มันยาว 3 กิโลเมตร ถ้าถึงพระอรหันต์ก็ ยาว 10 กิโลเมตร เอ๊ะ..แย่ไหม คุณถามเครื่องวัดนี่ แต่ว่าเครื่องวัดในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าจะเอาอะไรเข้าไปวัด ต้องวัดด้วย คุณธรรมนี่ละ

เครื่องวัดมีอย่างนี้ คือว่า

พระโสดาบัน กับพระ สกิทาคามีจะต้องละความชั่ว 3 อย่าง คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส

* สำหรับสักกายทิฏฐิ พระโสดาบันกับพระสกิทาคามีจะมีความรู้สึกตัวอยู่เสมอว่า เราเกิดมาเพื่อตาย จะไม่มีความประมาทในชีวิต จะคิดทำความดีเอยู่เสมอ

* วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า โดยใช้ปัญญาพิจารณา
* และประการที่ 3 มี ศีล 5 บริสุทธิ์ นี่เขาเรียกว่า พระโสดาบัน และ พระสกิทาคามี

สำหรับพระอรหันต์ ต้องละกิเลส 10 ข้อ คือต่อไปอีก 7 ข้อ ได้แก่

* ละ กามราคะ คือไม่ยินดีใน รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ
* ละ ปฏิฆะ คือไม่มีความโกรธ ไม่มีความพยาบาท
* ละ รูปราคะ ไม่ติดอยู่ในรูปฌาน
* ละ อรูปราคะ ไม่ติดอยู่ในอรูปฌาน
* ละ มานะ ไม่ถือตัวถือตน
* ละ อุทธัจจะ ไม่มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน
* ละ อวิชชา ตัดความโง่ทิ้งไปให้หมด

รวมเป็น 10 อย่าง ถ้าตัดได้ทั้ง 10 อย่างนี้เป็นพระอรหันต์ นี่เป็นเครื่องวัด”

ผู้ถาม “อาจารย์บางคนเขาว่า นิพพานสูญ หมายถึงไม่มีแม้แต่สวรรค์ก็ไม่มี นรกก็ไม่มี”

“ไอ้นั่นของเขาว่า เราไปตามทางของพระพุทธเจ้าดีกว่า เขาจะเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า เขาจะเป็นจานเป็นกาละมังก็ช่างเขาเถอะ ใช่เป็น ในพระไตรปิฎก ก็ไม่มีคำว่านิพพานสูญ บทพิสูจน์มีก็ไม่เรียนกันนี่ นิพพานนี่ไม่สูญ แต่คนที่จะไปนิพพานได้ กิเลสต้องสูญ เขาไม่ได้บอกนิพพานสูญ เขาแปลมาไม่หมดทุกตัว

คำว่าสูญเขาแปลว่า ว่าง นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง หมายความว่า คนที่จิตว่างจากความชั่วทั้งหมดจึงจะเห็นนิพพานได้ ในเวลานั้นนะ แต่คนที่จะไปอยู่นิพพานได้ต้องไม่มีความชั่วอยู่ในจิตเลย ที่เขาเรียกว่ากิเลสนั่นแหละ กิเลสคือความชั่ว มันตัวเดียวกัน”


ที่มา : หนังสืออานิสงส์การเจริญพระกรรมฐาน ของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี


http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=22641