*8q*
12-06-2008, 01:48 PM
--------------------------------------------------------------------------------
มหาสติปัฏฐานสูตร
จากพระพระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒
ทีฆนิกาย มหาวรรค
(คัดลอกเพียง"พระสูตร"ธรรมที่กล่าวตรงจากพระสัมมาสัมพุทธองค์)
อุทเทสวาร
[ ๒๗๓ ] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ในหมู่ชนชาวกุรุ
นิคมของหมู่ชนชาวกุรุ ชื่อ กัมมาสทัมมะ
ในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ดังนี้
ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นทูลรับพระพุทธพจน์
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าพระเจ้าข้า ดังนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ทางนี้เป็นทางสายเดียว
เพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย
เพื่อความก้าวล่วงซึ่งความโศกและความร่ำไร
เพื่ออัสดงค์ดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส
เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง
ทางนี้คือสติปัฏฐาน ๔ อย่าง
สติปัฏฐาน ๔ อย่างเป็นไฉน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียให้พินาศ
เธอย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆ อยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียให้พินาศ
เธอย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌาและโทมนัส ในโลกเสียให้พินาศ
เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนืองๆ อยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียให้พินาศ
กายานุปัสสนา
อานาปานบรรพ
[ ๒๗๔ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่ อย่างไรเล่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปแล้วสู่ป่าก็ดี ไปแล้วสู่โคนไม้ก็ดี ไปแล้วสู่เรือนว่างก็ดี
นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรงดำรงสติเฉพาะหน้า
เธอย่อมมีสติ หายใจออก ย่อมมีสติ หายใจเข้า
เมื่อ หายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว
หรือเมื่อ หายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว
เมื่อ หายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น
หรือเมื่อ หายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
แม้ฉันใด นายช่างกลึง หรือลูกมือของนายช่างกลึงผู้ฉลาด
เมื่อชักเชือกกลึงยาว ก็รู้ชัดว่าเราชักเชือกกลึงยาว
หรือเมื่อชักเชือกกลึงสั้น ก็รู้ชัดว่า เราชักเชือกกลึงสั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้นนั่นแหละ
เมื่อหายใจออกยาวก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว
หรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น
หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
อิริยาบถบรรพ
[ ๒๗๕ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุ เมื่อเดินอยู่ ก็รู้ชัดว่า เราเดิน
หรือ เมื่อยืน ก็รู้ชัดว่า เรายืน
หรือ เมื่อนั่ง ก็รู้ชัดว่า เรานั่ง
หรือ เมื่อนอน ก็รู้ชัดว่า เรานอน
อนึ่งเมื่อเธอนั้น เป็นผู้ตั้งกายไว้ แล้วอย่างใดๆ
ก็ย่อมรู้ชัดอาการกายนั้น อย่างนั้นๆ ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
สัมปชัญญบรรพ
[ ๒๗๖ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุย่อม เป็นผู้ทำสัมปชัญญะ ( ความเป็นผู้รู้พร้อม )
ในการก้าวไปข้างหน้า และถอยกลับมาข้างหลัง
ย่อม เป็นผู้ทำสัมปชัญญะ
ในการแลไปข้างหน้า แลเหลียวไปข้างซ้ายข้างขวา
ย่อม เป็นผู้ทำสัมปชัญญะ
ในการคู้อวัยวะเข้า เหยียดอวัยวะออก
ย่อม เป็นผู้ทำสัมปชัญญะ
ในการทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และจีวร
ย่อม เป็นผู้ทำสัมปชัญญะ
ในการกิน ดื่ม เคี้ยว และลิ้ม
ย่อม เป็นผู้ทำสัมปชัญญะ
ในการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ
ย่อม เป็นผู้ทำสัมปชัญญะ
ในการเดิน ยืน นั่ง หลับ ตื่น พูด และความเป็นผู้นิ่งอยู่
ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
ปฏิกูลมนสิการบรรพ
[ ๒๗๗ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุย่อม พิจารณากายนี้นี่แล
เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงมา
มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาด
มีประการต่างๆ ว่ามีอยู่ในกายนี้ คือ
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก
ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า
มันสมอง น้ำดี น้ำเสลด น้ำเหลือง น้ำเลือด น้ำเหงื่อ
มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลายน้ำมูก ไขข้อ น้ำมูตร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ไถ้ ( ถุงยาวๆ สำหรับใส่เงินหรือสิ่งของ ) มีปาก ๒ ข้าง
เต็มด้วยธัญญชาติ มีประการต่างๆ ด้วย
ข้าวสาลี ข้าวเปลือก ถั่วเขียว ถั่วเหลือง งา ข้าวสาร
บุรุษมีจักษุแก้ไถ้นั้นออกแล้วพึงเห็นได้ว่า
เหล่านี้ข้าวสาลี เหล่านี้ข้าวเปลือก เหล่านี้ถั่วเขียว
เหล่านี้ถั่วเหลือง เหล่านี้งา เหล่านี้ข้าวสาร ฉันใด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นนั่นแล
ภิกษุย่อมพิจารณากายนี้นี่แล
เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นไปเบื้องต่ำแต่ปลายผมลงมา
มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ
ว่ามีอยู่ในกายนี้ คือ
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก
ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อยอาหารใหม่ อาหารเก่า
มันสมอง น้ำดี น้ำเสลด น้ำเหลือง น้ำเลือด น้ำเหงื่อ
มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูกไขข้อ น้ำมูตร ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
ธาตุมนสิการบรรพ
[ ๒๗๘ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุย่อม พิจารณากายอันตั้งอยู่ตามที่ตั้งตามปกตินี้นี่แล
โดยความเป็นธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
คนฆ่าโค หรือลูกมือคนฆ่าโคผู้ฉลาด ฆ่าแม่โคแล้ว
พึงแบ่งออกเป็นส่วน แล้วนั่งอยู่หนทางใหญ่ ๔ แพร่ง แม้ฉันใด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ฉันนั้นนั่นแล
ย่อมพิจารณากายอันตั้งอยู่ตามที่ตั้งตามปกตินี้นี่แล
โดยความเป็นธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
นวสีวถิกาบรรพ
[ ๒๗๙ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุเหมือนกะว่า
จะพึงเห็นสรีระ ( ซากศพ ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า
ตายแล้ววันหนึ่ง หรือตายแล้ว ๒ วัน หรือตายแล้ว ๓ วัน
อันพองขึ้น สีเขียวน่าเกลียดเป็นสรีระมีน้ำเหลืองไหลน่าเกลียด
เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า
ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
[ ๒๘๐ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุเหมือนกะว่า
จะพึงเห็นสรีระ ( ซากศพ ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า
อันฝูงกาจิกกินอยู่บ้าง ฝูงแร้งจิกกินอยู่บ้าง ฝูงนกตระกรุมจิกกินอยู่บ้าง
หมู่สุนัขกัดกินอยู่บ้าง หมู่สุนัขจิ้งจอกกัดกินอยู่บ้าง
หมู่สัตว์ตัวเล็กๆ ต่างๆ กัดกินอยู่บ้าง
เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า
ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
[ ๒๘๑ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุเหมือนกะว่า
จะพึงเห็นสรีระ ( ซากศพ ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า
เป็นร่างกระดูก ยังมีเนื้อและเลือด อันเส้นเอ็นรัดรึงอยู่
เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า
ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
[ ๒๘๒ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษ ุ เหมือนกะว่า
จะพึงเห็นสรีระ ( ซากศพ ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า
เป็นร่างกระดูก เปื้อนด้วยเลือด แต่ปราศจากเนื้อแล้ว ยังมีเส้นเอ็นรัดรึงอยู่
เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า
ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
[ ๒๘๓ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุเหมือนกะว่า
จะพึงเห็นสรีระ ( ซากศพ ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า
เป็นร่างกระดูก ปราศจากเนื้อและเลือดแล้ว ยังมีเส้นเอ็นรัดรึงอยู่
เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า
ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
[ ๒๘๔ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุเหมือนกะว่า
จะพึงเห็นสรีระ ( ซากศพ ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า
คือ เป็น(ท่อน)กระดูก ปราศจากเส้นเอ็นเครื่องรัดรึงแล้ว
กระจายไปแล้วในทิศน้อยและทิศใหญ่
คือ
กระดูกมือ(ไปอยู่)ทางอื่น กระดูกเท้า(ไปอยู่)ทางอื่น
กระดูกแข้ง(ไปอยู่)ทางอื่น กระดูกขา(ไปอยู่)ทางอื่น
กระดูกสะเอว(ไปอยู่)ทางอื่น กระดูกหลัง(ไปอยู่)ทางอื่น
กระดูกสันหลัง(ไปอยู่)ทางอื่น กระดูกซี่โครง(ไปอยู่)ทางอื่น
กระดูกหน้าอก(ไปอยู่)ทางอื่น กระดูกไหล่(ไปอยู่)ทางอื่น
กระดูกแขน(ไปอยู่)ทางอื่น กระดูกคอ(ไปอยู่)ทางอื่น
กระดูกคาง(ไปอยู่)ทางอื่น กระดูกฟัน(ไปอยู่)ทางอื่น
กระโหลกศีรษะ(ไปอยู่)ทางอื่น
เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า
ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
[ ๒๘๕ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุเหมือนกะว่า
จะพึงเห็นสรีระ ( ซากศพ ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า
คือ เป็น(ท่อน)กระดูก มีสีขาวเปรียบด้วยสีสังข์
เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า
ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
[ ๒๘๖ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุเหมือนกะว่า
จะพึงเห็นสรีระ ( ซากศพ ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า
คือ เป็น(ท่อน)กระดูก เป็นกองเรี่ยรายแล้ว
มีในภายนอก(เกิน)ปีหนึ่งไปแล้ว
เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า
ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
[ ๒๘๗ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุเหมือนกะว่า
จะพึงเห็นสรีระ ( ซากศพ ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า
คือ เป็น(ท่อน)กระดูก ผุละเอียดแล้ว
เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า
ถึงร่างกายอันนี้เล่าก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
เวทนานุปัสสนา
[ ๒๘๘ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ก็อย่างไร ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนา(ความเสวยอารมณ์)ในเวทนาเนืองๆ อยู่
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เมื่อเสวย สุขเวทนา
ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยสุขเวทนา
เมื่อเสวย ทุกขเวทนา
ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยทุกขเวทนา
เมื่อเสวย อทุกขมสุขเวทนา (ไม่สุข ไม่ทุกข์ คือ อุเบกขาเวทนา)
ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยอทุกขมสุขเวทนา
หรือเมื่อเสวย สุขเวทนามีอามิส (คือเจือกามคุณ)
ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยสุขเวทนามีอามิส
หรือเมื่อเสวย สุขเวทนาไม่มีอามิส (คือไม่เจือกามคุณ)
ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส
หรือเมื่อเสวย ทุกขเวทนามีอามิส
ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยทุกขเวทนามีอามิส
หรือเมื่อเสวย ทุกขเวทนาไม่มีอามิส
ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส
หรือเมื่อเสวย อทุกขมสุขเวทนามีอามิส
ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยอทุกขมสุขเวทนามีอามิส
หรือเมื่อเสวย อทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส
ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส ดังนี้
มหาสติปัฏฐานสูตร
จากพระพระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒
ทีฆนิกาย มหาวรรค
(คัดลอกเพียง"พระสูตร"ธรรมที่กล่าวตรงจากพระสัมมาสัมพุทธองค์)
อุทเทสวาร
[ ๒๗๓ ] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ในหมู่ชนชาวกุรุ
นิคมของหมู่ชนชาวกุรุ ชื่อ กัมมาสทัมมะ
ในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ดังนี้
ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นทูลรับพระพุทธพจน์
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าพระเจ้าข้า ดังนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ทางนี้เป็นทางสายเดียว
เพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย
เพื่อความก้าวล่วงซึ่งความโศกและความร่ำไร
เพื่ออัสดงค์ดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส
เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง
ทางนี้คือสติปัฏฐาน ๔ อย่าง
สติปัฏฐาน ๔ อย่างเป็นไฉน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียให้พินาศ
เธอย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆ อยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียให้พินาศ
เธอย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌาและโทมนัส ในโลกเสียให้พินาศ
เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนืองๆ อยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียให้พินาศ
กายานุปัสสนา
อานาปานบรรพ
[ ๒๗๔ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่ อย่างไรเล่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปแล้วสู่ป่าก็ดี ไปแล้วสู่โคนไม้ก็ดี ไปแล้วสู่เรือนว่างก็ดี
นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรงดำรงสติเฉพาะหน้า
เธอย่อมมีสติ หายใจออก ย่อมมีสติ หายใจเข้า
เมื่อ หายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว
หรือเมื่อ หายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว
เมื่อ หายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น
หรือเมื่อ หายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
แม้ฉันใด นายช่างกลึง หรือลูกมือของนายช่างกลึงผู้ฉลาด
เมื่อชักเชือกกลึงยาว ก็รู้ชัดว่าเราชักเชือกกลึงยาว
หรือเมื่อชักเชือกกลึงสั้น ก็รู้ชัดว่า เราชักเชือกกลึงสั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้นนั่นแหละ
เมื่อหายใจออกยาวก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว
หรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น
หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
อิริยาบถบรรพ
[ ๒๗๕ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุ เมื่อเดินอยู่ ก็รู้ชัดว่า เราเดิน
หรือ เมื่อยืน ก็รู้ชัดว่า เรายืน
หรือ เมื่อนั่ง ก็รู้ชัดว่า เรานั่ง
หรือ เมื่อนอน ก็รู้ชัดว่า เรานอน
อนึ่งเมื่อเธอนั้น เป็นผู้ตั้งกายไว้ แล้วอย่างใดๆ
ก็ย่อมรู้ชัดอาการกายนั้น อย่างนั้นๆ ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
สัมปชัญญบรรพ
[ ๒๗๖ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุย่อม เป็นผู้ทำสัมปชัญญะ ( ความเป็นผู้รู้พร้อม )
ในการก้าวไปข้างหน้า และถอยกลับมาข้างหลัง
ย่อม เป็นผู้ทำสัมปชัญญะ
ในการแลไปข้างหน้า แลเหลียวไปข้างซ้ายข้างขวา
ย่อม เป็นผู้ทำสัมปชัญญะ
ในการคู้อวัยวะเข้า เหยียดอวัยวะออก
ย่อม เป็นผู้ทำสัมปชัญญะ
ในการทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และจีวร
ย่อม เป็นผู้ทำสัมปชัญญะ
ในการกิน ดื่ม เคี้ยว และลิ้ม
ย่อม เป็นผู้ทำสัมปชัญญะ
ในการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ
ย่อม เป็นผู้ทำสัมปชัญญะ
ในการเดิน ยืน นั่ง หลับ ตื่น พูด และความเป็นผู้นิ่งอยู่
ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
ปฏิกูลมนสิการบรรพ
[ ๒๗๗ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุย่อม พิจารณากายนี้นี่แล
เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงมา
มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาด
มีประการต่างๆ ว่ามีอยู่ในกายนี้ คือ
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก
ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า
มันสมอง น้ำดี น้ำเสลด น้ำเหลือง น้ำเลือด น้ำเหงื่อ
มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลายน้ำมูก ไขข้อ น้ำมูตร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ไถ้ ( ถุงยาวๆ สำหรับใส่เงินหรือสิ่งของ ) มีปาก ๒ ข้าง
เต็มด้วยธัญญชาติ มีประการต่างๆ ด้วย
ข้าวสาลี ข้าวเปลือก ถั่วเขียว ถั่วเหลือง งา ข้าวสาร
บุรุษมีจักษุแก้ไถ้นั้นออกแล้วพึงเห็นได้ว่า
เหล่านี้ข้าวสาลี เหล่านี้ข้าวเปลือก เหล่านี้ถั่วเขียว
เหล่านี้ถั่วเหลือง เหล่านี้งา เหล่านี้ข้าวสาร ฉันใด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นนั่นแล
ภิกษุย่อมพิจารณากายนี้นี่แล
เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นไปเบื้องต่ำแต่ปลายผมลงมา
มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ
ว่ามีอยู่ในกายนี้ คือ
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก
ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อยอาหารใหม่ อาหารเก่า
มันสมอง น้ำดี น้ำเสลด น้ำเหลือง น้ำเลือด น้ำเหงื่อ
มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูกไขข้อ น้ำมูตร ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
ธาตุมนสิการบรรพ
[ ๒๗๘ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุย่อม พิจารณากายอันตั้งอยู่ตามที่ตั้งตามปกตินี้นี่แล
โดยความเป็นธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
คนฆ่าโค หรือลูกมือคนฆ่าโคผู้ฉลาด ฆ่าแม่โคแล้ว
พึงแบ่งออกเป็นส่วน แล้วนั่งอยู่หนทางใหญ่ ๔ แพร่ง แม้ฉันใด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ฉันนั้นนั่นแล
ย่อมพิจารณากายอันตั้งอยู่ตามที่ตั้งตามปกตินี้นี่แล
โดยความเป็นธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
นวสีวถิกาบรรพ
[ ๒๗๙ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุเหมือนกะว่า
จะพึงเห็นสรีระ ( ซากศพ ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า
ตายแล้ววันหนึ่ง หรือตายแล้ว ๒ วัน หรือตายแล้ว ๓ วัน
อันพองขึ้น สีเขียวน่าเกลียดเป็นสรีระมีน้ำเหลืองไหลน่าเกลียด
เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า
ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
[ ๒๘๐ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุเหมือนกะว่า
จะพึงเห็นสรีระ ( ซากศพ ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า
อันฝูงกาจิกกินอยู่บ้าง ฝูงแร้งจิกกินอยู่บ้าง ฝูงนกตระกรุมจิกกินอยู่บ้าง
หมู่สุนัขกัดกินอยู่บ้าง หมู่สุนัขจิ้งจอกกัดกินอยู่บ้าง
หมู่สัตว์ตัวเล็กๆ ต่างๆ กัดกินอยู่บ้าง
เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า
ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
[ ๒๘๑ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุเหมือนกะว่า
จะพึงเห็นสรีระ ( ซากศพ ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า
เป็นร่างกระดูก ยังมีเนื้อและเลือด อันเส้นเอ็นรัดรึงอยู่
เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า
ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
[ ๒๘๒ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษ ุ เหมือนกะว่า
จะพึงเห็นสรีระ ( ซากศพ ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า
เป็นร่างกระดูก เปื้อนด้วยเลือด แต่ปราศจากเนื้อแล้ว ยังมีเส้นเอ็นรัดรึงอยู่
เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า
ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
[ ๒๘๓ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุเหมือนกะว่า
จะพึงเห็นสรีระ ( ซากศพ ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า
เป็นร่างกระดูก ปราศจากเนื้อและเลือดแล้ว ยังมีเส้นเอ็นรัดรึงอยู่
เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า
ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
[ ๒๘๔ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุเหมือนกะว่า
จะพึงเห็นสรีระ ( ซากศพ ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า
คือ เป็น(ท่อน)กระดูก ปราศจากเส้นเอ็นเครื่องรัดรึงแล้ว
กระจายไปแล้วในทิศน้อยและทิศใหญ่
คือ
กระดูกมือ(ไปอยู่)ทางอื่น กระดูกเท้า(ไปอยู่)ทางอื่น
กระดูกแข้ง(ไปอยู่)ทางอื่น กระดูกขา(ไปอยู่)ทางอื่น
กระดูกสะเอว(ไปอยู่)ทางอื่น กระดูกหลัง(ไปอยู่)ทางอื่น
กระดูกสันหลัง(ไปอยู่)ทางอื่น กระดูกซี่โครง(ไปอยู่)ทางอื่น
กระดูกหน้าอก(ไปอยู่)ทางอื่น กระดูกไหล่(ไปอยู่)ทางอื่น
กระดูกแขน(ไปอยู่)ทางอื่น กระดูกคอ(ไปอยู่)ทางอื่น
กระดูกคาง(ไปอยู่)ทางอื่น กระดูกฟัน(ไปอยู่)ทางอื่น
กระโหลกศีรษะ(ไปอยู่)ทางอื่น
เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า
ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
[ ๒๘๕ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุเหมือนกะว่า
จะพึงเห็นสรีระ ( ซากศพ ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า
คือ เป็น(ท่อน)กระดูก มีสีขาวเปรียบด้วยสีสังข์
เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า
ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
[ ๒๘๖ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุเหมือนกะว่า
จะพึงเห็นสรีระ ( ซากศพ ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า
คือ เป็น(ท่อน)กระดูก เป็นกองเรี่ยรายแล้ว
มีในภายนอก(เกิน)ปีหนึ่งไปแล้ว
เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า
ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
[ ๒๘๗ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุเหมือนกะว่า
จะพึงเห็นสรีระ ( ซากศพ ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า
คือ เป็น(ท่อน)กระดูก ผุละเอียดแล้ว
เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า
ถึงร่างกายอันนี้เล่าก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
เวทนานุปัสสนา
[ ๒๘๘ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ก็อย่างไร ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนา(ความเสวยอารมณ์)ในเวทนาเนืองๆ อยู่
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เมื่อเสวย สุขเวทนา
ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยสุขเวทนา
เมื่อเสวย ทุกขเวทนา
ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยทุกขเวทนา
เมื่อเสวย อทุกขมสุขเวทนา (ไม่สุข ไม่ทุกข์ คือ อุเบกขาเวทนา)
ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยอทุกขมสุขเวทนา
หรือเมื่อเสวย สุขเวทนามีอามิส (คือเจือกามคุณ)
ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยสุขเวทนามีอามิส
หรือเมื่อเสวย สุขเวทนาไม่มีอามิส (คือไม่เจือกามคุณ)
ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส
หรือเมื่อเสวย ทุกขเวทนามีอามิส
ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยทุกขเวทนามีอามิส
หรือเมื่อเสวย ทุกขเวทนาไม่มีอามิส
ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส
หรือเมื่อเสวย อทุกขมสุขเวทนามีอามิส
ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยอทุกขมสุขเวทนามีอามิส
หรือเมื่อเสวย อทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส
ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส ดังนี้