PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : จากพระไตรปิฎก: เหมือนไฟสิ้นเชื้อแล้วดับไป



*8q*
12-23-2008, 06:14 PM
ที่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ปริพาชกวัจฉโคตรเข้าไปเฝ้าพระศาสดาทูลถามเรื่องความเห็นเกี่ยวกับเรื่องโลกและชีวิต รวมทั้งเรื่องหลังจากตายแล้วว่าเป็นอย่างไร 10 ข้อด้วยกัน รวมเรียกว่า อันตคาหิกทิฐิ แปลว่า ความเห็นหรือทฤษฎีอันถือเอาที่สุด หรือความเห็นสุดโต่ง (the ten erroneous extremist views) 10 ประการ คือ
โลกเที่ยง
โลกไม่เที่ยง
โลกมีที่สุด
โลกไม่มีที่สุด
ชีวะ (จิต) กับสรีระ (ร่างกาย) เป็นอย่างเดียวกัน (แยกกันไม่ได้)
ชีวะกับสรีระเป็นคนละอย่าง (แยกกันได้)
สัตว์ตายแล้วย่อมมีอีกเป็นอีก
สัตว์ตายแล้วย่อมไม่มีอีกไม่เป็นอีก
สัตว์ตายแล้วย่อมเป็นอีกด้วย ไม่เป็นอีกด้วย คือ เป็นอีกก็ใช่ ไม่เป็นอีกก็ใช่
สัตว์ตายแล้วย่อมเป็นอีกก็ไม่ใช่ ไม่เป็นอีกก็ไม่ใช่ พระพุทธองค์ตรัสว่า พระองค์ไม่ทรงเห็นอย่างนั้นเลยแม้สักอย่างเดียว ปริพาชกทูลถามว่า ทรงเห็นโทษอย่างไร จึงทรงปฏิเสธความเห็นอย่างนั้น ตรัสตอบว่า ความเห็นอย่างนั้นเป็นสิ่งรกชัฏ กันดาร เป็นเสี้ยนหนามกวัดแกว่ง เป็นเครื่องผูกสัตว์ไว้ เป็นไปเพื่อทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อหน่าย เพื่อนิพพาน
ปริพาชกทูลถามว่า ทรงเห็นอย่างไร หรือทรงมีความเห็นอะไรบ้างหรือ ตรัสตอบว่า “ความเห็น – (ทิฏฐิคตํ)” พระองค์นำออกเสียแล้ว กำจัดเสียแล้ว พระองค์ทรงเห็นแล้วว่า “รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอย่างนี้ มีเหตุเกิดอย่างนี้ ดับไปอย่างนี้ เราจึงพ้นแล้วโดยสิ้นเชิง ปล่อยวาง ไม่ถือมั่น ไม่สำคัญมั่นหมายว่าเรา ว่าของเรา”
ปริพาชกทูลถามว่า ผู้พ้นแล้วเช่นนี้จะไปเกิดที่ไหน ตรัสตอบว่า ไม่ควรใช้คำว่าเกิด หรือไม่เกิด เกิดด้วยไม่เกิดด้วย เกิดก็ไม่ใช่ ไม่เกิดก็ไม่ใช่ ไม่ควรใช้คำเหล่านี้ทั้งสิ้น
ปริพาชกทูลว่า พูดอย่างนี้ฟังไม่รู้เรื่อง เคยเลื่อมใสอยู่ก่อน ตอนนี้หมดความเลื่อมใสในพระโคดมเสียแล้ว
พระศาสดาตรัสว่า ก็ควรที่ปริพาชกจะไม่รู้ ควรที่จะหลง (ประเด็น) หรือเข้าใจผิด เพราะธรรมนี้ (เรื่องนี้) สุขุมลุ่มลึกยากที่จะรู้เห็น เป็นธรรมที่สงบประณีต ไม่เป็นวิสัยของตรรกะ (คือ หยั่งรู้ได้ด้วยการคิดหาเหตุผล) แต่บัณฑิตพอรู้ได้ ธรรมนี้รู้ได้ยากสำหรับผู้ที่มีความเห็นเป็นอื่น พอใจอย่างอื่น อยู่ในสำนักของอาจารย์อื่น (ไม่ใช่พุทธศาสนิกชน)
พระศาสดาทรงอุปมาให้ปริพาชกฟังว่า “ไฟที่ลุกอยู่ต่อหน้าท่าน อาศัยอะไรจึงลุกอยู่ ถ้ามีคนถามอย่างนี้ ท่านจะตอบอย่างไร”
ปริพาชก ตอบว่าอาศัยเชื้อ คือหญ้าหรือไม้จึงลุกอยู่
พระศาสดา ถ้าไฟดับไป ท่านก็รู้ว่าไฟดับไป มีผู้ถามว่าไฟดับไปเพราะอะไร และไฟที่ดับแล้วไปทางทิศไหน
ปริพาชก ตอบว่าไฟอาศัยเชื้อเกิดขึ้น เมื่อสิ้นเชื้อก็ดับไป (รู้ไม่ได้ว่าไปทางทิศใด)
พระศาสดา บุคคลได้รับสมมติบัญญัติว่าเป็นสัตว์ เพราะรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณอันใด สิ่งนั้นตถาคตละได้แล้ว ตัดให้ขาดแล้ว พ้นแล้วจากสมมติบัญญัติใดๆ จึงไม่ควรกล่าวว่าเกิด หรือไม่เกิด
ปริพาชกทูลสรรเสริญพระดำรัสของพระศาสดาว่า เป็นแก่น
สารดีแท้ แสดงตนเป็นอุบาสก นับถือพระรัตนตรัยตลอดชีวิต
หมายเหตุ: คำถามของปริพาชกเป็นเรื่องเดียวกับที่คนสมัยนี้ชอบถามว่า พระอรหันต์สิ้นชีวิตแล้วไปไหน คำตอบที่ถูกต้องก็ควรอาศัยแนวพระพุทธพจน์นี้ คือ กล่าวไม่ได้ว่าไปไหนเพราะพ้นจากสมมติบัญญัติ รู้ได้ด้วยอุปมา คือ เหมือนไฟที่สิ้นเชื้อดับไปแล้ว
http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=25566