PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : วิธีรักษาระดับจิตให้มีความสม่ำเสมอ



Butsaya
01-13-2009, 09:43 AM
มีวิธีการรักษาระดับจิตให้มีความสม่ำเสมอได้อย่างไรอะค่ะ หรือว่าต้องอาศัยปัจจัยอะไรที่จะต้องปฏิบัติควบคู่กันหรือเอื้อกันไปเพื่อให้รักษาระดับจิตได้อะค่ะ http://www.watkoh.com/board/richedit/smileys/YahooIM/8.gif

D E V
01-13-2009, 10:09 AM
รักษาระดับจิตให้สม่ำเสมอ?

ช่วยขยายความอีกนิดได้มั้ยคับ
ยกตัวอย่างประกอบด้วยก็ดีอ่ะคับ
เพื่อจะได้เข้าใจความหมายได้ตรงกันอ่ะคับ



http://www.watkoh.com/board/richedit/smileys/YahooIM/100.gif เดฟ

Butsaya
01-13-2009, 10:45 AM
http://www.watkoh.com/board/richedit/smileys/YahooIM/100.gif เช่น 1. บางทีเรามีความรู้สึกว่าเรา กลัวหวาดระแวงเพราะเราไปเห็นคนตายมาจะ ๆ คาตา แบบนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ถ้าเราไม่เห็นเราก็จะไม่กลัว ไม่มีความรู้สึกแบบนี้อะค่ะ
2. บางทีเราทำงานนิ่ง ๆ อยู่ มีคนมาทำให้เราตกใจแบบนี้อะค่ะ ฯลฯ http://www.watkoh.com/board/richedit/smileys/YahooIM/12.gif

D E V
01-13-2009, 01:50 PM
เช่น 1. บางทีเรามีความรู้สึกว่าเรา กลัวหวาดระแวงเพราะเราไปเห็นคนตายมาจะ ๆ คาตา แบบนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ถ้าเราไม่เห็นเราก็จะไม่กลัว ไม่มีความรู้สึกแบบนี้อะค่ะ


ที่กลัว เพราะเป็นภาพที่เราไม่คุ้นเคย ไม่ได้เห็นกันบ่อย
ทั้งๆ ที่นั่นแหละคือสภาพความเป็นจิงที่ถูกเปิดเผยน่ะคับ

ทุกวันนี้เราคุ้นเคยอยู่กับภาพที่ตกแต่งประดับประดาไว้ให้สวยสดงดงาม
จนทำให้เกิดวิปลาส คือ อาการที่คลาดเคลื่อนเข้าใจผิดไปจากความเป็นจริง...ได้แก่
1. จิตตวิปลาส ความคิดที่คลาดเคลื่อนผิดไปจากความเป็นจริง
2. สัญญาวิปลาส ความจำได้หมายรู้คลาดเคลื่อนผิดไปจากความเป็นจริง
3. ทิฏฐิวิปลาส ความเห็นผิดคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง

ผิดไปจากความเป็นจริงอย่างไร?....ก็คือ
1. วิปลาสในสิ่งที่ไม่เที่ยง...ว่าเที่ยง
2. วิปลาสในสิ่งที่เป็นทุกข์...ว่าเป็นสุข
3. วิปลาสในสิ่งที่ไม่ใช่ตน...ว่าเป็นตน
4. วิปลาสในสิ่งที่ไม่งาม...ว่างาม

ถ้าเราเข้าใจชีวิตตามความเป็นจริง
ว่าเราทุกคนรวมทั้งตัวเราก็อาจตกอยู่ในสภาพดังที่เห็น ในวันใดวันหนึ่ง
ก็จะเข้าใจว่านั่นเป็นสิ่งธรรมดาที่ย่อมต้องเป็นไป
แทนที่จะมองดูด้วยความหวาดกลัว
ก็กลับมองเห็นว่าเป็นเครื่องเตือนตนไม่ให้ประมาท
เกิดสติระลึกได้ตามสภาพความเป็นจริงว่าไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้ คงทน
จึงควรหมั่นเจริญกุศล...ลด ละ คลาย อกุศล...ในเมื่อยังมีโอกาส
ไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยสูญเปล่าน่ะคับ

อสุภกรรมฐาน
http://www.watkoh.com/asupha/is.htm




http://www.watkoh.com/board/Smileys/default/shocked.gif เดฟ

D E V
01-13-2009, 01:51 PM
2. บางทีเราทำงานนิ่ง ๆ อยู่ มีคนมาทำให้เราตกใจแบบนี้อะค่ะ ฯลฯ



ขณะที่เราทำงานอยู่นั้น
ย่อมมีสมาธิจดจ่อตั้งใจอยู่กับการงานที่ทำ
บางครั้งเราก็แทบไม่สนใจ ไม่รับรู้ถึงความเป็นไปรอบข้าง
หรือบางครั้งก็อาจไม่ได้ยินเสียงคนเรียก...ใช่มั้ยคับ
ก็เพราะจิตกำลังตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์นั้น (งานที่ทำ) สืบต่อกันไปอย่างเต็มที่

แต่แล้ว จู่ๆ ก็มีการกระทบของอารมณ์ใหม่อย่างหนักแน่นรุนแรง
จิตเปลี่ยนมารับอารมณ์ใหม่ที่เกิดแทรกคั่นเข้ามาอย่างเด่นชัดกะทันหัน
ซึ่งแว๊บแรกที่รับรู้...ยังไม่รู้ความหมาย...ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ปฏิกิริยาเหล่านี้ยิ่งรุนแรง เด่นชัด เฉียบพลัน เท่าใด
ก็อาจมีอาการที่เราเรียกว่า สะดุ้ง หรือ ตกใจ

เวลาที่สะดุ้ง ตกใจ
ให้ทราบว่าชั่วขณะที่...แว้บว้ายตาเถรหล่น...นั้นเป็นอกุศลจิต (โทสมูลจิต)
ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอๆ ในชีวิตประจำวัน
เพราะกำลังจดจ้องอยู่กับงานที่ทำโดยปราศจากความรู้ตัวทั่วพร้อม
ซึ่งไม่มีใครที่จะรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่ทุกขณะตลอดเวลา
อยู่ที่ว่าจะมีมาก มีบ่อย หรือ มีน้อย นานๆ มีที
ก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นผู้ที่เจริญสติบ่อยๆ เนืองๆ
หรือเป็นผู้ที่ปล่อยใจเผลอไผลเป็นเนืองนิจ

กระนั้น ก็ไม่ได้แปลว่าผู้ที่เจริญสติจะไม่ตกใจอ่ะนะคับ
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนัก
ที่จะต้องไปวิตกกังวล...ว่าจะไม่ให้ตกใจ
ตราบใดที่ยังไม่ถึงขั้น...ตกใจแล้วกระโดดฆ่าคนอ่ะคับ



http://www.watkoh.com/board/richedit/smileys/YahooIM/10.gif เดฟ

D E V
01-13-2009, 01:53 PM
จิตใจที่สม่ำเสมอ
ควรเป็นจิตที่มั่นคงเป็นไปในกุศล
ไม่หวั่นไหวไปกับอกุศล
มีความเป็นกลาง ไม่เอนเอียงไปในความชอบ หรือ ความชัง
ความชอบเกิด ก็รู้ว่าชอบ...แล้ววางลงได้
ความชังเกิด ก็รู้ว่าชัง...แล้ววางลงได้
เป็นผู้เจริญสติ...ระลึกรู้ในสภาวะที่กำลังปรากฏในปัจจุบันขณะ
เป็นผู้เจริญปัญญา...รู้ว่าอกุศลธรรมที่เกิด...เป็นโทษ
รู้ว่ากุศลธรรมที่เกิด...เป็นคุณ
รู้ว่าความติดข้องยึดมั่นทั้งหลายไม่ว่าในสุขที่เกิด...ในทุกข์ที่เกิด...ในสภาวธรรมใดๆ ที่เกิด
เป็นความเห็นผิดที่ผูกติดความยึดถือว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล ไว้ในสังสารวัฏน่ะคับ



http://www.watkoh.com/board/richedit/smileys/YahooIM/22.gif เดฟ

Butsaya
01-13-2009, 02:44 PM
พี่เดฟค่ะ คนที่รู้บางอย่างก็ยังวางม่ะได้เหมือนกันนะค่ะ รู้แล้วก็อยากรู้ต่อไปอีกจน คลายสังสัยนั่นล่ะ แต่พอเข้าใจแล้วก็ถึงจะวางได้อะค่ะ รู้ปุ๋บให้วางเลยยังม่ะได้ แต่ถ้าเรื่องนั้น ๆ เราไม่ค่อยมีความสนใจ ก็จะปล่อยวางได้ ส่วนใหญ่เป็นแบบนี้อะค่ะ (เพราะส่วนหนึ่งอาจจะติดนิสัยนักวิทยาศาสตร์มาอะค่ะ ต้องทดสอบพิสูจน์ วิจารย์ วิจัย จนกว่าจะกระจ่างอะค่ะ อิอิ) บอกตามความรู้สึกที่ผ่านมาอะค่ะ http://www.watkoh.com/board/richedit/smileys/YahooIM/3.gif ท่าทางบุษยานี่ยังคงต้องฝึกอีกแยะนะคะ อิอิ
http://www.watkoh.com/board/richedit/smileys/YahooIM/40.gif พี่แบบนี้มันทำให้เสียเวลา และยิ่งเพิ่มภพชาติ ด้วยใช่ปะค่ะ

Butsaya
01-13-2009, 03:14 PM
http://www.watkoh.com/board/richedit/smileys/YahooIM/30.gif พี่เดฟค่ะ เวลาที่เรารู้ว่าคนที่เราสนิทหรือคนที่ไม่สนิทเราคิดอะไร แล้วจะทำอะไร นี่มันเป็นเรื่องบังเอิญมัยอะค่ะ เพราะจะเป็น ๆ หาย ๆ ในเรื่องแบบนี้ เหมือนมองหน้าแล้วรู้ใจอะค่ะ (อิอิ) เหมือนเว่อร์นะคะ แต่อาการแบบนี้จะเป็นตอนช่วงที่เรานิ่ง ๆ อะค่ะ มีเหตุมีปัจจัยอะไรหรือเปล่าค่ะ http://www.watkoh.com/board/richedit/smileys/YahooIM/13.gif

D E V
01-13-2009, 04:05 PM
ใช่แล้วคับ
การที่จะละคลายวางสิ่งต่างๆ ที่ยึดมั่นไว้นั้น...ไม่ง่าย
ส่วนใหญ่เราอยากจะละคลายวางความทุกข์ ความโกรธ ความเสียใจ ฯลฯ
แต่บางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะหวลคิดย้ำซ้ำเติมให้ติดแน่นเข้าไปอีก
ยิ่งเป็นความสุขด้วยแล้ว ยิ่งลืมวางเลยทีเดียว
แต่กลับกอดความสุขนั้นไว้แน่นหวังจะให้อยู่กับเรานานๆ
ทั้งๆ ที่ธรรมชาติของสรรพสิ่งทั้งหลายย่อมแปรเปลี่ยนไป
ไม่เที่ยง ไม่คงทน ไม่มีใครไปสั่งหรือบังคับบัญชาได้
ซึ่งถ้าละคลายวางกันได้ง่ายๆ เราก็คงจะบรรลุธรรมกันหมดทั้งโลกใช่มั้ยคับ

แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้
เพราะผู้ที่สามารถจะละคลายวางได้อย่างสิ้นซากก็ยังมีปรากฏมาแล้ว
แม้ความยึดมั่นไว้ว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล ก็ไม่มีเหลือไว้ให้ยึดมั่น
แม้กิเลสทั้งหลายก็ดับได้สิ้นซากเหมือนไฟที่สิ้นเชื้อ

หากแต่สำหรับเราๆ
ก็ยังไม่ต้องถึงขนาดนั้นอ่ะนะคับ
เอาแค่ละคลายวางลงได้บ้างชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังดี
ค่อยๆ ละไปทีละเล็กละน้อย ทีละเรื่องทีละอย่าง เป็นไปตามกำลัง
ไม่ต้องถึงกับคาดหวังว่าจะต้องละได้ทุกอย่างที่ขวางหน้า
หากแต่การที่ค่อยๆ ละคลายวางลงได้ทีละนิดละหน่อยนี้เอง
ที่จะค่อยๆ สั่งสมเพิ่มขึ้นๆๆๆๆ เหมือนน้ำทีละหยดก็ยังเต็มตุ่มได้อ่ะคับ

การละคลายวางที่กล่าวมานี้
เป็นเพียงการวางใจให้ปล่อยวางในเรื่องราวหรือสิ่งที่เคยยึดมั่นถือไว้
หากแต่การที่จะวางคลายจากสภาพธรรมทั้งหลายได้อย่างสิ้นซากแท้จริง
ไม่ใช่ด้วยการตรึกนึกคิดเอาจากเหตุการณ์เรื่องราว
แต่ด้วยวิปัสสนาญาณที่ประจักษ์แจ้งในสภาพธรรมทั้งหลาย
ว่าเป็นเพียง รูปธาตุ-นามธาตุ ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย
จึงหมดความยึดถือในรูปธาตุ-นามธาตุทั้งหลาย
คลายวางได้แม้ความยึดมั่นว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล
ตลอดไปเป็นลำดับจนถึงขั้นคลายวางได้ในกิเลสทั้งหลายจนดับสิ้นซากไม่มีเหลือ

ส่วนความสงสัยใคร่รู้ในธรรมะ
ก็ให้ทำความเข้าใจในพระธรรมคำสอนที่ทรงแสดงไว้
และน้อมนำมาประพฤติปฏิบัติด้วยตนเอง
ก็จะช่วยบรรเทาความสงสัยนั้นลงได้...เกิดความกระจ่างชัดขึ้น
ซึ่งใครก็ปฏิบัติแทนเราไม่ได้...หากเราไม่ปฏิบัติด้วยตนเอง...จริงมั้ยคับ

พุทธะ สอนให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
มิใช่ให้เป็นผู้ไม่รู้ ผู้ลุ่มหลง ผู้เมามัว น่ะคับ

ส่วนเรื่องที่ว่า มองหน้าแล้วรู้ใจคนอื่น
ยิ่งเป็นๆ หายๆ คือ รู้มั่งไม่รู้มั่ง...รู้ผิดมั่งถูกมั่ง
ก็ไม่สำคัญเท่ากับรู้ใจตนเอง
ว่าขณะนั้นเป็นกุศลจิต หรือ อกุศลจิต
เพราะรู้ใจคนอื่น...ก็ใจเค้า
แต่รู้ใจเราเอง...จึงจะลดละคลายอกุศล
และเจริญกุศลยิ่งๆ ขึ้นได้อ่ะคับ

(ยังไม่ขอกล่าวถึงการสั่งสมที่เป็น เจโตปริยญาณ)
(เพราะเดี๋ยวจะไปไกลเกินกว่าที่จะหันมามองในใจตนน่ะคับ)


http://www.watkoh.com/board/Smileys/default/grin.gif เดฟ

Butsaya
01-13-2009, 04:15 PM
ส่วนเรื่องที่ว่า มองหน้าแล้วรู้ใจคนอื่น
ยิ่งเป็นๆ หายๆ คือ รู้มั่งไม่รู้มั่ง...รู้ผิดมั่งถูกมั่ง
ก็ไม่สำคัญเท่ากับรู้ใจตนเอง
ว่าขณะนั้นเป็นกุศลจิต หรือ อกุศลจิต
เพราะรู้ใจคนอื่น...ก็ใจเค้า
แต่รู้ใจเราเอง...จึงจะลดละคลายอกุศล
และเจริญกุศลยิ่งๆ ขึ้นได้อ่ะคับ

อิอิ... บุษยาโดนเต็ม ๆ เลยอะค่ะ ข้อนี้ใช่ค่ะ มันก็จิงอะค่ะ ขอบคุณค่ะพี่
ที่เตือนสติให้กลับมาดูตัวเอง ชอบหลงลืม เผลออยู่เรื่อย อิอิ..
จะพยายามอะค่ะ http://www.watkoh.com/board/richedit/smileys/YahooIM/24.gif