*8q*
02-08-2009, 12:38 PM
ขั้นต้น
โดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
เราแต่ละคนคงจะมีความคิด และความเข้าใจ ในเรื่องของชีวิตไม่เหมือนกัน ชีวิตคืออะไร เรามาจากไหน ตัวเรามีจริงหรือ
คำตอบที่แท้จริง และถูกต้องที่สุด คงไม่มีใครตอบได้ นอกจากพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงค้นพบสัจจธรรมเหล่านั้น และทรงแสดงแก่พุทธบริษัท ทำให้สาวกทั้งหลายสามารถประจักษ์แจ้งสัจจธรรมตามที่ทรงตรัสรู้ได้ ชาวพุทธบางกลุ่ม ไม่สนใจศึกษาพระธรรมโดยละเอียด เพราะคิดว่ายากเกินไป บางกลุ่มก็เข้าใจผิดว่า พระธรรมเป็นเรื่องง่ายๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีการศึกษาสูง อาจจะเข้าใจว่าพระธรรมคำสอนมีเพียง เรื่องทำความดี ละความชั่วทำจิตใจให้ผ่องแผ้วบริสุทธิ์เท่านั้น
พระธรรมคำสอน เป็นความจริงที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ด้วยพระปัญญาระดับ "สัมมาสัมพุทธะ" เมื่อเราเป็นสาวกเป็นพุทธบริษัท ก็จะต้องศึกษาตามคำสอนที่พระพุทธองค์ทรงเทศนา โดยไม่นำพระธรรมไปเทียบเคียงกับวิชาการทางโลก และไม่คาดคะเนเรื่องของธรรมไปต่างๆนานา ตามความนึกคิดของแต่ละคน ซึ่งมักจะมีพื้นฐานมาจากการศึกษา การเรียนรู้ ที่เคยสะสมมา มิฉะนั้นเราจะไม่สามารถเข้าใจความละเอียด ลึกซึ้งของพระธรรมได้ และยังคงเป็นผู้ไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับตัวเรา และทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏในชีวิตประจำวันอยู่นั่นเอง
เราลองมาค้นหาคำตอบกันว่า ชีวิตคืออะไรกันแน่ และ "พุทธธรรม" จะเป็น ที่พึ่งของชีวิต ได้อย่างไร
ทุกวันนี้เราอยู่ในโลกของ ความคิด และ ความจำ ว่ามีตัวเรา มีแขน ขา ปอด หัวใจ ฯลฯ รวมทั้งมีคนอื่นรอบตัวเรา เช่น พ่อแม่ ญาติพี่น้อง สามี ภรรยา สัตว์ สิ่งของ น่าคิดว่าตัวเราจริงๆ ที่มีแขน ขา ปอด หัวใจรวมทั้งอวัยวะต่างๆทั่วร่างกายมีหรือไม่พ่อแม่ ญาติพี่น้อง สามี ภรรยา ของเรา มีจริงและเป็นของเราจริงหรือไม่
ลองจับที่ "แขน" ของคุณดูสิว่า กระทบอะไร จะบอกว่า กระทบ "แขน" หรือเปล่า ลองหลับตา แล้วจับที่ "แขน" อีกสักครั้งว่า จริงๆแล้ว กระทบอะไรบางคนอาจบอกว่า กระทบ ความอ่อนนุ่ม (ถ้าแขนของคุณ นุ่ม อย่างนั้น) บางคนอาจบอกว่า กระทบ ความแข็ง (ถ้าแขนของคุณไม่นุ่ม แต่ผิวแห้งแตก มีเนื้อน้อย) บางคนอาจบอกว่า กระทบ ความเย็น (ถ้าคุณอยู่ในห้องแอร์ เย็นเฉียบ) บางคนอาจบอกว่า กระทบ ความอุ่น (ถ้าตัวคุณอุ่นๆ เพราะเป็นไข้ ตัวร้อน)
เห็นไหมว่า คุณไม่ได้กระทบ "แขน" จริงๆ แต่เป็น ความอ่อน แข็ง เย็นหรือร้อนต่างหาก ที่เคยคิดว่า เป็น "แขน" เพราะเคยได้เห็น แล้วจำไว้ เคยได้จับต้อง แล้วจำไว้
คราวนี้ ลองหลับตาอีกครั้ง คุณ "เห็น" อะไรบ้าง เห็นแต่ "ความมืด" ใช่หรือไม่พอลืมตามีความสว่าง และสีสันต่างๆ ปรากฏ เป็นรูปทรงหลากหลายคราวนี้หลับตาอีกครั้ง แล้วลองนึกดูสิว่า เมื่อสักครู่ (ตอนลืมตา) เห็นอะไรบ้างคุณอาจบอกไม่ได้ทั้งหมดที่คุณได้เห็นเพราะจำไม่ได้หมด
ความจริงก็คือตอนที่คุณ "เห็น" จริงๆ (ลืมตา) กับตอนที่คิดว่า "เห็นอะไร" (หลับตา แล้วคิด) ต่างกัน แต่ในชีวิตประจำวัน ขณะที่ไม่หลับ คุณลืมตาเกือบตลอดเวลาจึงดูเหมือนว่า คุณเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เห็นคน เห็นวัตถุความจริงก็คือ คุณเห็นเพียง"สีต่างๆ" แล้วคิดต่อว่าเป็น "คน" เป็น "วัตถุ" เป็นสิ่งต่างๆ เพราะว่า คุณเคยเห็น แล้วจดจำไว้ว่า สิ่งที่คุณเห็น เรียกว่า "คน" หรือวัตถุสิ่งของต่างๆมากมาย
คุณรู้ว่าเป็น สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเคยได้เห็น เคยได้รู้มาก่อน แล้วจดจำได้ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่เคยได้เห็น ไม่เคยได้รู้จักมาก่อน ก็จะไม่รู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไรนอกจากจะรู้ว่า มีสีอย่างนั้น และรูปร่างอย่างนั้น ตามที่ได้เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง และสภาพนั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้
แต่ความคิดที่ว่า สิ่งที่เราได้เห็นคืออะไร แตกต่างกันไปตามการปรุงแต่งความคิดของผู้ที่ได้เห็นเพราะบางครั้งคนสองคน ได้เห็นสิ่งเดียวกัน แต่เข้าใจไปคนละอย่าง หรือเรียกชื่อไปต่างๆกันเ ช่น คนสองคน เห็น "เชือก" เส้นเดียวกันคนหนึ่งเห็นเป็น "เชือก" แต่อีกคนอาจเห็นเป็น "งู" และไม่ว่าจะเป็น "เชือก" หรือ เป็น "งู" ก็เรียกชื่อแตกต่างกันไปตามภาษาที่ใช้
"เชือก" หรือ "งู" เป็น คำที่เราสมมติเรียกขึ้นมา เพื่อให้เข้าใจความหมายหลังจากการได้เห็นและจำสีสันต่างๆ หรือตรึกนึกถึงรูปร่างสัณฐานนั้นๆ"เชือก" หรือ "งู" จึงเป็น "สมมติสัจจะ" หมายถึง ความจริงที่มีอยู่โดย
สมมุติส่วน สิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา เป็นสิ่งที่มีจริงโดยมีลักษณะเฉพาะของเขาเองซึ่งลักษณะนั้นๆไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้
สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็น "ปรมัตถสัจจะ" หมายถึง ความจริงแท้ หรือความจริงอย่างยิ่ง ฉะนั้น เมื่อเราพิจารณาดูให้ดี แขน ขา ปอด หัวใจ และตัวคุณตั้งแต่ ศีรษะตลอดเท้าที่เราจำไว้นั้น ไม่มีจริง ที่เราเข้าใจว่ามี เพราะเราคิดถึงสิ่งเหล่านี้ ขณะที่นอนหลับสนิท (ไม่ฝัน ไม่ละเมอ) ไม่มีอะไรเลยแม้แต่ตัวเราเองก็หายไปด้วย ไ ม่ว่าจะเป็นเศรษฐีหลายล้าน หรือ(อดีต)เศรษฐีหนี้หลายล้านทรัพย์สินเงินทอง พ่อ แม่ ญาติ พี่ น้อง นั้น ก็ไม่มี เพราะขณะที่หลับสนิทไม่ได้คิดถึงเรื่องราวของตัวเอง ไม่ได้นึกถึงวงศาคณาญาติ หรือทรัพย์สมบัติต่างๆหรือแม้ขณะนี้ที่คุณกำลังให้ความสนใจกับเรื่องราวในไซต์ คุณก็ไม่ได้นึกถึงแขน ขา ปอด หัวใจหรือครอบครัว ญาติพี่น้องของคุณ สิ่งเหล่านี้ หายไปหมดขณะที่คิดถึง "แขน" ก็ไม่ได้คิดถึง ขา ปอด หัวใจ รวมทั้งอวัยวะอื่นๆ และถ้าขณะนี้ ที่คุณกำลังอ่านข้อความบนจอคอมพิวเตอร์ของคุณที่มีคำว่า "แขน" คุณอาจนึกถึง แขนของคุณ แต่คุณไม่ได้มองที่แขนหรือจับที่แขนของคุณจริงๆเพียงแต่คิดถึง "แขน" เท่านั้นหรือถ้าบางคนขณะนี้ (ที่เริ่มไม่แน่ใจว่าแขนยังอยู่หรือเปล่า) อาจมองดูแขนของตัวเอง (ยังอยู่ )
คุณเห็นอะไร "แขน" หรือเปล่า หรือเพียงสีสัน และรูปร่างสัณฐาน แล้วคิดว่า เป็น "แขน"เพราะจริงๆแล้ว คุณต้องได้เห็น นาฬิกา หรือ สร้อยข้อมือ บนแขน ด้วย (ถ้ามี)เห็นสิ่งอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้ ๆ แขนของคุณ แต่คุณไม่สนใจและไม่ได้คิดถึงสิ่งเหล่านั้นใช่ไหม สีต่างๆ เป็นสิ่งที่มีจริง เพราะเป็นสิ่งที่เราเห็นได้จริงๆ เป็น"ปรมัตถสัจจะ"อ่อน แข็ง เย็น ร้อน เป็นสิ่งที่มีจริง เพราะเป็นสิ่งที่เรากระทบสัมผัสได้จริงๆ เป็น "ปรมัตถสัจจะ"
แขน ไม่มีจริงๆ จะมีได้ ก็ต่อเมื่อเราคิดว่า ที่ได้เห็นเป็นอะไร กระทบ (จับ)เป็นอะไร เราไม่ได้เห็น "แขน" จริงๆ ไม่ได้กระทบ "แขน" จริงๆ แต่เห็น "สีต่างๆ" หรือ กระทบ "อ่อน แข็ง เย็น ร้อน" แล้วจำได้ว่าสีสันอย่างนี้ สัมผัสแบบนี้ เรียกว่า "แขน" และถ้าเป็นภาษาอื่น ก็ไม่ได้เรียกว่า "แขน" แต่เรียกชื่อตามภาษานั้น ๆ แขน จึงเป็น "สมมติสัจจะ"ซึ่งรวมทั้ง "ขา ปอด หัวใจ ตับม้าม ลำไส้ ฯลฯ" ก็เป็น "สมมติสัจจะ" ด้วยเหตุผลเดียวกัน
ปรมัตถสัจจะ จะเรียกชื่อหรือไม่ ก็เป็นจริงอย่างนั้น ไม่ว่าจะปรากฏกับผู้ใดแม้แต่สัตว์เดรัจฉานถ้ามนุษย์ และ สุนัข ได้เห็นสีสันที่เหมือนๆกัน แต่เมื่อคิดนึกถึงสิ่งที่เห็น มนุษย์เรียกชื่ออย่างหนึ่ง ส่วนสุนัขก็มีภาษาที่ใช้สื่อความหมายต่างกันกับมนุษย์ เด็กทารก ก็กระทบ เย็น ร้อน อ่อน แข็งได้ โดยที่ยังไม่รู้จักคำว่า "เย็น ร้อน อ่อน หรือแข็ง" เลยการเห็น การกระทบสัมผัส เป็นสิ่งที่มีจริงเช่นเดียวกัน เห็นจริงๆ กระทบสัมผัสจริงๆ) จึงเป็น "ปรมัตถสัจจะ" การคิดนึก สภาพที่กำลังนึกคิดนั้นเป็นสิ่งที่มีจริง แต่บางครั้งก็เป็นการคิดถึงสิ่งที่ไม่มีจริง เช่น คิดถึง "แขน" การคิดนึกจึงเป็น "ปรมัตถสัจจะ" รวมทั้ง สิ่งอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น
การได้ยินเสียง การได้กลิ่น การลิ้มรสต่าง ๆ ความโลภ ความโกรธความรัก ความชัง ความหลงลืม ความถือตัว (ว่าดี เก่ง ใหญ่ มีอำนาจรวย ฯลฯ) ความอิจฉา ความริษยา ความตระหนี่ ความเมตตา ความกรุณา ความสงบ ความฟุ้งซ่าน ความตั้งใจจงใจ ศรัทธา ความขยันความเข้าใจถูก ความสงสัย สุข ทุกข์ ดีใจ เสียใจ เฉยๆ พอใจเป็นต้น
พอมาถึงตอนนี้ เราเข้าใจตามเหตุผลหรือยังว่า ตัวเราจริงๆนั้นไม่มี เพราะแขน ก็ไม่มีจริง ขา ก็ไม่มีจริงปอด หัวใจ ตับ ม้าม อวัยวะทุกส่วนตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ไม่มีจริง โดยปรมัตถสัจจะและ พ่อ แม่ ญาติ พี่ น้องเพื่อนฝูง วงศาคณาญาติของเรา ก็ไม่มีจริงด้วยตัวเรา พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง วงศาคณาญาติของเรา จะมีต่อเมื่อเราคิดแล้วตัวเราอ ยู่ ที่ ไ ห น ที่เป็นทั้งตัวทั้งก้อนทั้งแท่ง ที่กำลังนั่ง(นอน)อ่านข้อมูลบนจอคอมพิวเตอร์อยู่นี่ล่ะคืออะไร ใครกำลังเห็น ใครกำลังคิด ใครกำลังอ่าน ใครกำลังใช้คอมพิวเตอร์ และใครกำลังสงสัยอยู่ขณะนี้ โปรดค้นหาความจริงต่อไปแล้วคุณจะตอบได้ ด้วยตัวคุณเอง
ตั้งแต่เกิดจนขณะนี้ เราไม่เคยรู้ความจริงเหล่านี้เลย หรือรู้มาอย่างผิดๆ เข้าใจผิดมาตลอด ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมซึ่งเป็นคำสอนที่ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า(สัมมาสัมพุทธะ) ทรงตรัสรู้และประจักษ์แจ้งด้วยพระปัญญาของพระองค์เองที่ได้สะสมอบรมถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ (หมายความว่า นานมาก เกิดแล้วเกิดอีกนับชาติไม่ถ้วน) ก็ไม่สามารถจะเข้าใจความจริงเหล่านี้ได้
โดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
เราแต่ละคนคงจะมีความคิด และความเข้าใจ ในเรื่องของชีวิตไม่เหมือนกัน ชีวิตคืออะไร เรามาจากไหน ตัวเรามีจริงหรือ
คำตอบที่แท้จริง และถูกต้องที่สุด คงไม่มีใครตอบได้ นอกจากพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงค้นพบสัจจธรรมเหล่านั้น และทรงแสดงแก่พุทธบริษัท ทำให้สาวกทั้งหลายสามารถประจักษ์แจ้งสัจจธรรมตามที่ทรงตรัสรู้ได้ ชาวพุทธบางกลุ่ม ไม่สนใจศึกษาพระธรรมโดยละเอียด เพราะคิดว่ายากเกินไป บางกลุ่มก็เข้าใจผิดว่า พระธรรมเป็นเรื่องง่ายๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีการศึกษาสูง อาจจะเข้าใจว่าพระธรรมคำสอนมีเพียง เรื่องทำความดี ละความชั่วทำจิตใจให้ผ่องแผ้วบริสุทธิ์เท่านั้น
พระธรรมคำสอน เป็นความจริงที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ด้วยพระปัญญาระดับ "สัมมาสัมพุทธะ" เมื่อเราเป็นสาวกเป็นพุทธบริษัท ก็จะต้องศึกษาตามคำสอนที่พระพุทธองค์ทรงเทศนา โดยไม่นำพระธรรมไปเทียบเคียงกับวิชาการทางโลก และไม่คาดคะเนเรื่องของธรรมไปต่างๆนานา ตามความนึกคิดของแต่ละคน ซึ่งมักจะมีพื้นฐานมาจากการศึกษา การเรียนรู้ ที่เคยสะสมมา มิฉะนั้นเราจะไม่สามารถเข้าใจความละเอียด ลึกซึ้งของพระธรรมได้ และยังคงเป็นผู้ไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับตัวเรา และทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏในชีวิตประจำวันอยู่นั่นเอง
เราลองมาค้นหาคำตอบกันว่า ชีวิตคืออะไรกันแน่ และ "พุทธธรรม" จะเป็น ที่พึ่งของชีวิต ได้อย่างไร
ทุกวันนี้เราอยู่ในโลกของ ความคิด และ ความจำ ว่ามีตัวเรา มีแขน ขา ปอด หัวใจ ฯลฯ รวมทั้งมีคนอื่นรอบตัวเรา เช่น พ่อแม่ ญาติพี่น้อง สามี ภรรยา สัตว์ สิ่งของ น่าคิดว่าตัวเราจริงๆ ที่มีแขน ขา ปอด หัวใจรวมทั้งอวัยวะต่างๆทั่วร่างกายมีหรือไม่พ่อแม่ ญาติพี่น้อง สามี ภรรยา ของเรา มีจริงและเป็นของเราจริงหรือไม่
ลองจับที่ "แขน" ของคุณดูสิว่า กระทบอะไร จะบอกว่า กระทบ "แขน" หรือเปล่า ลองหลับตา แล้วจับที่ "แขน" อีกสักครั้งว่า จริงๆแล้ว กระทบอะไรบางคนอาจบอกว่า กระทบ ความอ่อนนุ่ม (ถ้าแขนของคุณ นุ่ม อย่างนั้น) บางคนอาจบอกว่า กระทบ ความแข็ง (ถ้าแขนของคุณไม่นุ่ม แต่ผิวแห้งแตก มีเนื้อน้อย) บางคนอาจบอกว่า กระทบ ความเย็น (ถ้าคุณอยู่ในห้องแอร์ เย็นเฉียบ) บางคนอาจบอกว่า กระทบ ความอุ่น (ถ้าตัวคุณอุ่นๆ เพราะเป็นไข้ ตัวร้อน)
เห็นไหมว่า คุณไม่ได้กระทบ "แขน" จริงๆ แต่เป็น ความอ่อน แข็ง เย็นหรือร้อนต่างหาก ที่เคยคิดว่า เป็น "แขน" เพราะเคยได้เห็น แล้วจำไว้ เคยได้จับต้อง แล้วจำไว้
คราวนี้ ลองหลับตาอีกครั้ง คุณ "เห็น" อะไรบ้าง เห็นแต่ "ความมืด" ใช่หรือไม่พอลืมตามีความสว่าง และสีสันต่างๆ ปรากฏ เป็นรูปทรงหลากหลายคราวนี้หลับตาอีกครั้ง แล้วลองนึกดูสิว่า เมื่อสักครู่ (ตอนลืมตา) เห็นอะไรบ้างคุณอาจบอกไม่ได้ทั้งหมดที่คุณได้เห็นเพราะจำไม่ได้หมด
ความจริงก็คือตอนที่คุณ "เห็น" จริงๆ (ลืมตา) กับตอนที่คิดว่า "เห็นอะไร" (หลับตา แล้วคิด) ต่างกัน แต่ในชีวิตประจำวัน ขณะที่ไม่หลับ คุณลืมตาเกือบตลอดเวลาจึงดูเหมือนว่า คุณเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เห็นคน เห็นวัตถุความจริงก็คือ คุณเห็นเพียง"สีต่างๆ" แล้วคิดต่อว่าเป็น "คน" เป็น "วัตถุ" เป็นสิ่งต่างๆ เพราะว่า คุณเคยเห็น แล้วจดจำไว้ว่า สิ่งที่คุณเห็น เรียกว่า "คน" หรือวัตถุสิ่งของต่างๆมากมาย
คุณรู้ว่าเป็น สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเคยได้เห็น เคยได้รู้มาก่อน แล้วจดจำได้ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่เคยได้เห็น ไม่เคยได้รู้จักมาก่อน ก็จะไม่รู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไรนอกจากจะรู้ว่า มีสีอย่างนั้น และรูปร่างอย่างนั้น ตามที่ได้เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง และสภาพนั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้
แต่ความคิดที่ว่า สิ่งที่เราได้เห็นคืออะไร แตกต่างกันไปตามการปรุงแต่งความคิดของผู้ที่ได้เห็นเพราะบางครั้งคนสองคน ได้เห็นสิ่งเดียวกัน แต่เข้าใจไปคนละอย่าง หรือเรียกชื่อไปต่างๆกันเ ช่น คนสองคน เห็น "เชือก" เส้นเดียวกันคนหนึ่งเห็นเป็น "เชือก" แต่อีกคนอาจเห็นเป็น "งู" และไม่ว่าจะเป็น "เชือก" หรือ เป็น "งู" ก็เรียกชื่อแตกต่างกันไปตามภาษาที่ใช้
"เชือก" หรือ "งู" เป็น คำที่เราสมมติเรียกขึ้นมา เพื่อให้เข้าใจความหมายหลังจากการได้เห็นและจำสีสันต่างๆ หรือตรึกนึกถึงรูปร่างสัณฐานนั้นๆ"เชือก" หรือ "งู" จึงเป็น "สมมติสัจจะ" หมายถึง ความจริงที่มีอยู่โดย
สมมุติส่วน สิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา เป็นสิ่งที่มีจริงโดยมีลักษณะเฉพาะของเขาเองซึ่งลักษณะนั้นๆไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้
สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็น "ปรมัตถสัจจะ" หมายถึง ความจริงแท้ หรือความจริงอย่างยิ่ง ฉะนั้น เมื่อเราพิจารณาดูให้ดี แขน ขา ปอด หัวใจ และตัวคุณตั้งแต่ ศีรษะตลอดเท้าที่เราจำไว้นั้น ไม่มีจริง ที่เราเข้าใจว่ามี เพราะเราคิดถึงสิ่งเหล่านี้ ขณะที่นอนหลับสนิท (ไม่ฝัน ไม่ละเมอ) ไม่มีอะไรเลยแม้แต่ตัวเราเองก็หายไปด้วย ไ ม่ว่าจะเป็นเศรษฐีหลายล้าน หรือ(อดีต)เศรษฐีหนี้หลายล้านทรัพย์สินเงินทอง พ่อ แม่ ญาติ พี่ น้อง นั้น ก็ไม่มี เพราะขณะที่หลับสนิทไม่ได้คิดถึงเรื่องราวของตัวเอง ไม่ได้นึกถึงวงศาคณาญาติ หรือทรัพย์สมบัติต่างๆหรือแม้ขณะนี้ที่คุณกำลังให้ความสนใจกับเรื่องราวในไซต์ คุณก็ไม่ได้นึกถึงแขน ขา ปอด หัวใจหรือครอบครัว ญาติพี่น้องของคุณ สิ่งเหล่านี้ หายไปหมดขณะที่คิดถึง "แขน" ก็ไม่ได้คิดถึง ขา ปอด หัวใจ รวมทั้งอวัยวะอื่นๆ และถ้าขณะนี้ ที่คุณกำลังอ่านข้อความบนจอคอมพิวเตอร์ของคุณที่มีคำว่า "แขน" คุณอาจนึกถึง แขนของคุณ แต่คุณไม่ได้มองที่แขนหรือจับที่แขนของคุณจริงๆเพียงแต่คิดถึง "แขน" เท่านั้นหรือถ้าบางคนขณะนี้ (ที่เริ่มไม่แน่ใจว่าแขนยังอยู่หรือเปล่า) อาจมองดูแขนของตัวเอง (ยังอยู่ )
คุณเห็นอะไร "แขน" หรือเปล่า หรือเพียงสีสัน และรูปร่างสัณฐาน แล้วคิดว่า เป็น "แขน"เพราะจริงๆแล้ว คุณต้องได้เห็น นาฬิกา หรือ สร้อยข้อมือ บนแขน ด้วย (ถ้ามี)เห็นสิ่งอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้ ๆ แขนของคุณ แต่คุณไม่สนใจและไม่ได้คิดถึงสิ่งเหล่านั้นใช่ไหม สีต่างๆ เป็นสิ่งที่มีจริง เพราะเป็นสิ่งที่เราเห็นได้จริงๆ เป็น"ปรมัตถสัจจะ"อ่อน แข็ง เย็น ร้อน เป็นสิ่งที่มีจริง เพราะเป็นสิ่งที่เรากระทบสัมผัสได้จริงๆ เป็น "ปรมัตถสัจจะ"
แขน ไม่มีจริงๆ จะมีได้ ก็ต่อเมื่อเราคิดว่า ที่ได้เห็นเป็นอะไร กระทบ (จับ)เป็นอะไร เราไม่ได้เห็น "แขน" จริงๆ ไม่ได้กระทบ "แขน" จริงๆ แต่เห็น "สีต่างๆ" หรือ กระทบ "อ่อน แข็ง เย็น ร้อน" แล้วจำได้ว่าสีสันอย่างนี้ สัมผัสแบบนี้ เรียกว่า "แขน" และถ้าเป็นภาษาอื่น ก็ไม่ได้เรียกว่า "แขน" แต่เรียกชื่อตามภาษานั้น ๆ แขน จึงเป็น "สมมติสัจจะ"ซึ่งรวมทั้ง "ขา ปอด หัวใจ ตับม้าม ลำไส้ ฯลฯ" ก็เป็น "สมมติสัจจะ" ด้วยเหตุผลเดียวกัน
ปรมัตถสัจจะ จะเรียกชื่อหรือไม่ ก็เป็นจริงอย่างนั้น ไม่ว่าจะปรากฏกับผู้ใดแม้แต่สัตว์เดรัจฉานถ้ามนุษย์ และ สุนัข ได้เห็นสีสันที่เหมือนๆกัน แต่เมื่อคิดนึกถึงสิ่งที่เห็น มนุษย์เรียกชื่ออย่างหนึ่ง ส่วนสุนัขก็มีภาษาที่ใช้สื่อความหมายต่างกันกับมนุษย์ เด็กทารก ก็กระทบ เย็น ร้อน อ่อน แข็งได้ โดยที่ยังไม่รู้จักคำว่า "เย็น ร้อน อ่อน หรือแข็ง" เลยการเห็น การกระทบสัมผัส เป็นสิ่งที่มีจริงเช่นเดียวกัน เห็นจริงๆ กระทบสัมผัสจริงๆ) จึงเป็น "ปรมัตถสัจจะ" การคิดนึก สภาพที่กำลังนึกคิดนั้นเป็นสิ่งที่มีจริง แต่บางครั้งก็เป็นการคิดถึงสิ่งที่ไม่มีจริง เช่น คิดถึง "แขน" การคิดนึกจึงเป็น "ปรมัตถสัจจะ" รวมทั้ง สิ่งอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น
การได้ยินเสียง การได้กลิ่น การลิ้มรสต่าง ๆ ความโลภ ความโกรธความรัก ความชัง ความหลงลืม ความถือตัว (ว่าดี เก่ง ใหญ่ มีอำนาจรวย ฯลฯ) ความอิจฉา ความริษยา ความตระหนี่ ความเมตตา ความกรุณา ความสงบ ความฟุ้งซ่าน ความตั้งใจจงใจ ศรัทธา ความขยันความเข้าใจถูก ความสงสัย สุข ทุกข์ ดีใจ เสียใจ เฉยๆ พอใจเป็นต้น
พอมาถึงตอนนี้ เราเข้าใจตามเหตุผลหรือยังว่า ตัวเราจริงๆนั้นไม่มี เพราะแขน ก็ไม่มีจริง ขา ก็ไม่มีจริงปอด หัวใจ ตับ ม้าม อวัยวะทุกส่วนตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ไม่มีจริง โดยปรมัตถสัจจะและ พ่อ แม่ ญาติ พี่ น้องเพื่อนฝูง วงศาคณาญาติของเรา ก็ไม่มีจริงด้วยตัวเรา พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง วงศาคณาญาติของเรา จะมีต่อเมื่อเราคิดแล้วตัวเราอ ยู่ ที่ ไ ห น ที่เป็นทั้งตัวทั้งก้อนทั้งแท่ง ที่กำลังนั่ง(นอน)อ่านข้อมูลบนจอคอมพิวเตอร์อยู่นี่ล่ะคืออะไร ใครกำลังเห็น ใครกำลังคิด ใครกำลังอ่าน ใครกำลังใช้คอมพิวเตอร์ และใครกำลังสงสัยอยู่ขณะนี้ โปรดค้นหาความจริงต่อไปแล้วคุณจะตอบได้ ด้วยตัวคุณเอง
ตั้งแต่เกิดจนขณะนี้ เราไม่เคยรู้ความจริงเหล่านี้เลย หรือรู้มาอย่างผิดๆ เข้าใจผิดมาตลอด ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมซึ่งเป็นคำสอนที่ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า(สัมมาสัมพุทธะ) ทรงตรัสรู้และประจักษ์แจ้งด้วยพระปัญญาของพระองค์เองที่ได้สะสมอบรมถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ (หมายความว่า นานมาก เกิดแล้วเกิดอีกนับชาติไม่ถ้วน) ก็ไม่สามารถจะเข้าใจความจริงเหล่านี้ได้