*8q*
02-09-2009, 03:00 PM
1. พระอภิธรรมปิฎก หมายถึงอะไร
http://www.agalico.com/board/images/statusicon/wol_error.gifกดที่เเถบนี้เพื่อดูรูปขนาดดั้งเดิมhttp://img293.imageshack.us/img293/5396/445pxsermoninthedeerparir5.jpg
พระอภิธรรมปิฎก หมายถึง หลักธรรมสำคัญอันยิ่งใหญ่ เป็นธรรมะเหนือโลก เป็นหลักธรรมหัวข้อธรรมะ หลักวิชาธรรมะล้วน ๆ เป็นอมตะธรรมไม่มีข้อกล่าวอ้างบุคคล พาดพิงเหตุการณ์เรื่องราวต่าง ๆ เป็นธรรมะที่จริงแท้ ที่ทำให้จิตฉลาดสว่างไสว เป็นจิตของพระอริยสาวก เข้าถึงจุดมุ่งหมายของชีวิต คือ พระนิพพานได้ง่ายรวดเร็ว
ชาวพุทธส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจผิดคิดว่า พระอภิธรรมปิฎก หมายถึง พระธรรมอันสำคัญยิ่งนั้นมีอยู่ในหมวดพระอธิธรรมปิฎกเท่านั้นและยากที่จะเข้าใจได้
ความจริงพระอภิธรรม คือ หลักธรรมอันสำคัญยิ่งนั้น มีอยู่ในตัวเรานี้เอง คือ กายกับจิต หรือขันธ์ 5 กับจิต และอภิธรรม คือ หลักธรรมล้วน ๆ ก็มีอยู่ทั้งในพระวินัยก็คือ ศีล ทั้งในพระสูตรและในธรรมชาติ ถ้าจิตเราฉลาดสะอาดเป็นกุศลจะเข้าใจมองโลกในทางเป็นจริง คือ มีแต่ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เปลี่ยนแปลงสึกหรอ มีเรื่องให้แก้ไขปัญหาตลอดเวลา แล้วผุพังสูญสลายไปในที่สุดนั้น ก็ คือ อภิธรรม
ผู้ที่ศึกษาอภิธรรมปิฎกหรือจบพระไตรปิฎก คือ พระอรหันต์ขีณาสพ หรือ พระอเสขะ ถึงแม้ท่านจะไม่เคยอ่านพระไตรปิฎกหรือไม่เคยอ่านพระอภิธรรมปิฎก แต่ท่านปฏิบัติสมถภาวนา แยกจิตออกจากกายได้ไม่มีกิเลสร้อยรัด คือ สังโยชน์ 10 อย่างไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป ถือว่าท่านจบหลักสูตรพระไตรปิฎกหรืออภิธรรมปิฎก
ในสมัยพุทธกาล มีพระที่ท่านบรรลุอรหัตตผลรวดเร็วที่สุด คือ ท่านพาหิยะเถระ ท่านเป็นพราหมณ์ผู้สูงอายุได้ข่าวว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรากฎขึ้นแล้วในโลกท่านเกรงว่าท่านมีอายุมากแล้วอาจจะตายเสียก่อนได้ฟังธรรมะจากพระพุทธเจ้า ท่านจึงเดินทางจากเมืองไกลไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าทั้งคืนไม่ยอมพัก รุ่งเช้าจะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ขอฟังขอรับพระธรรมคำสอนวิชาพ้นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ ท่านพาหิยะเดินทางไกลยังเหนื่อยอยู่และมีปิติมากเกินไปที่ได้เห็นพระพุทธเจ้า จึงตรัสให้ท่านรออยู่ก่อน พระพุทธองค์จะบิณฑบาตรให้เสร็จก่อน จากนั้นองค์พระบรมศาสดา จึงตรัสหัวข้อธรรมะอภิธรรมข้อเดียวคือ
"ดูก่อน พาหิยะ เธอจงอย่าสนใจในรูปร่างกาย"
เพียงเท่านี้ ท่านพาหิยะ เข้าใจธรรมะแจ่มแจ้ง จิตของท่านพาหิยะก็หลุดพ้นเป็นอิสระจากรูปร่างกาย กิเลส ตัณหา อุปาทาน มีวิชชา ทันใดนั้นจิตท่านบรรลุเป็นจิตพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณทันทีท่านจึงเป็นพระสาวกที่เลิศทางบรรลุอรหัตตผลเร็วที่สุด เพราะจิตท่านตั้งใจเต็มเปี่ยม มีศรัทธาเต็ม มีวิริยะเต็มอดทนเดินทางมีขันติบารมี มีอธิษฐานคือ ตั้งจิตมั่นในพระพุทธองค์เต็ม มีสัจจะคือความจริงใจที่จะฟังธรรม มีปัญญาเห็นว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมทางพ้นทุกข์จริง มีอุเบกขาวางเฉยในขันธ์ 5 ร่างกายท่านแม้จะเหน็ดเหนื่อยยากก็วางเฉย ไม่ร้อนใจ บารมี 10 ท่านเต็มก็เข้าใจในพระธรรมได้ง่ายรวดเร็วเป็นพระอรหันต์ขีณาสพได้ง่ายเร็วที่สุด
พระอภิธรรมทั้ง 9 ปริเฉทนี้ถ้าอ่านเป็นตำราเป็นทฤษฎีจะไม่มีใครเข้าใจ ทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งอ่านยิ่งงง เพราะศัพท์บาลีแปลก็ไม่ออก ถึงแปลออกก็ไม่รู้เรื่อง ผู้ที่สอนอภิธรรมส่วนมากก็สอนตามตำรา ยังไม่เข้าใจจริง ดิฉันคือผู้เขียนก็คิดว่าตัวเองโง่มากในชาตินี้ ไม่มีวันเข้าใจอภิธรรมจึงเลิกสนใจก้มหน้าก้มตั้งจิตตั้งใจเพียรพยายามปฏิบัติทางจิตท่าเดียว จนกระทั่งก่อนเขียนหนังสือธรรมประทานพรเล่ม 4 เผอิญตาเหลือบไปเห็นหนังสือ พระอภิธัมมัตถสังคหะ 9 ปริเฉท ที่วางบนหัวเตียงนอนมานานหลายปี ไม่ได้สนใจเพราะอ่านแล้ว ไม่เข้าใจไม่มีปัญญา
กลับมาอ่านคราวนี้เกิดความมหัศจรรย์ทางจิตอย่างประหลาดเหลือเชื่อ มีความเข้าใจได้ง่าย ๆ ทันที ทั้งปิติดีใจที่ได้เข้าใจพระอภิธรรมซึ่งไม่เคยคิดว่าชาตินี้จะอ่านรู้เรื่อง ทำให้มีจิตคิดจะเขียนอภิธรรมย่อ ๆ ง่าย ๆ ให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจถึงคุณวิเศษของพระอภิธรรม ซึ่งเป็นพระธรรม จากพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอน แล้วมีพระอริยสงฆ์จำบันทึกให้ชนรุ่นหลังได้อ่านศึกษาประพฤติปฏิบัติต่อไป
ขอกราบอภัยท่านผู้อ่าน ถ้าการเขียนพระอภิธรรมครั้งนี้ขาดตกบกพร่อง ผิดพลาดประการใด การเขียนครั้งนี้ดิฉันได้กราบแทบพระบาทองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้โปรดเมตตาให้ลูกได้เขียนพระอภิธรรมได้ถูกต้องตรงตามพระธรรมคำสอนและตามพระพุทธประสงค์ขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่จะให้เหล่าพุทธบริษัทได้เข้าใจในพระอภิธรรมได้ง่าย ๆ ถูกต้องตามและรวดเร็ว
ขอสรุปพระอภิธรรมตามแบบพระคุณเจ้าหลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านได้สรุปสั้น ๆดังนี้
ในพระอภิธรรมทั้ง 9 ปริเฉท จุดสำคัญจริง ๆมี 3 อย่างคือ
1. กุสลาธัมมา ธรรมะที่ดีที่เป็นบุญกุศลมีผลเป็นสุข ตายแล้วไปเสวยสุขเป็น มนุษย์สมบัติ สวรรค์ พรหม
2. อกุสลาธัมมา ธรรมะที่เป็นโทษเป็นทุกข์เป็นบาป ทำแล้วมีผลเกิดความทุกข์กายทุกข์ใจ ตายแล้วไปอบายภูมิ
3. อัพยากตาธัมมา ธรรมะเป็นอัพยากฤต คือ เป็นธรรมะที่สูงเหนือบุญเหนือบาป เป็นอมตะธรรม เป็นอนุตตรธรรมที่เหนือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือพระนิพพาน
จุดมุ่งหมายของพระอภิธรรมก็เพื่อยกระดับจิตทุกท่านที่อ่านเป็นจิตอัพยากฤตเหนือบาปบุญ เหนือโลกเทวดา พรหม มีความสุขยั่งยืนนานไม่เสื่อมสูญสลายเหมือน นรก สวรรค์ พรหม ตายแล้วจิตสะอาดไปอยู่ในแดนบรมสุขตลอดกาลกับองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพาน
http://board.agalico.com/attachment.php?attachmentid=7755&stc=1&d=1201747153
พระอริยบุคคล
1. พระโสดาบันปฏิมรรค ตัดกิเลส 3 ตัวแรกในสังโยชน์ 3 ข้อแรกได้ คือ
(1) ตัดสักกายทิฏฐิได้เบา ๆ คือ ไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น ชอบในการทำบุญทำทาน ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง แต่ไม่ลืมนึกถึงความตาย ไม่ประมาทในชีวิต
(2) ตัดกิเลสวิจิกิจฉา ความสงสัยในพระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีจิตมั่นคงในพระนิพพาน ไม่ต้องการเกิดอีก
(3) ตัดกิเลสสีลัพพัตตปรามาส ไม่ลูบคลำศีล คือมีความจริงใจไม่ทำลายศีล ไม่นิยมหลงใหลไปกับพิธีรีตองตามชาวโลก เพราะท่านมีปัญญา
2. เป็นพระโสดาบันปฏิผล ได้เพราะมีคุณธรรมทั้ง 3 นี้มั่นคงถ้าจะเกิดเป็นคนอย่างมาก 7 ชาติ อย่างน้อย 1 ชาติไปนิพพาน
3. พระสกิทาคามีมรรค
4. พระสกิทาคามีผล ท่านมีคุณธรรม 3 ประการเหมือนพระโสดาบัน แต่มีจิตละเอียดขึ้น ความโลภ ความโกรธ ความหลง น้อยลง
พระสกิทาคามี มีกรรมบท 10 ครบถ้วน คือ ไม่ละเมิดกรรมบท 10 อย่าง รวมกับมีศีล 5 บริสุทธิ์ครบถ้วน กรรมบถ 10 เป็นทางป้องกันการเกิดในอบายภูมิ คือ
(1) ทางกาย คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ดื่มของมึนเมา
(2) ทางวาจา คือ ไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล
(3) ทางใจ คือ ไม่คิดอยากได้ทรัพย์สินสมบัติใด ๆของผู้อื่น ไม่จองล้างจองผลาญ ไม่เห็นผิดจากคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เห็นถูกตามความเป็นจริงว่า พระนิพพานมีจริง ไม่สูญ มีความสุขยอดเยี่ยมตลอดกาล 5. พระอนาคามีมรรค
6.พระอนาคามีผล ท่านมีปัญญาชาญฉลาดสามารถตัดกิเลส 5 ข้อแรกในสังโยชน์ 10 ได้ คือ มีคุณสมบัติ 3 ข้อเหมือนพระโสดาบัน พระสกิทาคามี เพิ่มอีก 2 ข้อ คือ
(1) สามารถละกามราคะ กิเลสกามในความรักหลงในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทางกาย สุขทางกายได้
(2) สามารถละความไม่พอใจ ปฏิฆะ ความโกรธ ได้ มีจิตเมตตาปราณี ชาวบ้านที่มีจิตเข้าถึงอนาคามีผล ยังอยู่ทำงาน ทำหน้าที่พ่อบ้าน แม่เรือนครบ แต่จิตไม่หมกมุ่นในกามราคะ มีสมาธิจิตทรงในฌาน 4 มีปัญญาเห็นโทษทุกข์ของร่างกาย ถ้าตาย ตอนจิตเป็นพระอนาคามีผลก็เข้าถึงพรหมโลกชั้นสุทธาวาส ไม่มาเกิดเป็นคน บำเพ็ญจิตในชั้นพรหมเข้าพระนิพพาน จิตเป็นสุขยอดเยี่ยมไม่ต้องกลับมาเกิดในโลกทั้ง 3 อีกต่อไป
7. พระอรหัตตมรรค
8.พระอรหันตผล ท่านมีจิตฉลาดสะอาดสามารถกำจัดอวิชชา ตัณหา กิเลสสังโยชน์ 10 ได้ทั้งหมด อุปาทานในขันธ์ 5 ไม่มี เพิ่มจากคุณลักษณะของพระอนาคามี พระอรหันต์สามรถกำจัดกิเลสละเอียดอีก 5 ตัวในสังโยชน์ 10 ข้อ สุดท้ายได้ดังนี้
(1) รูปฌาน ท่านเข้าฌาน 1 ถึงฌาน 4 ได้ แต่มีจิตฉลาดไม่ติดในฌาน ไม่คิดว่าฌาน1 ถึงฌาน 4 เป็นของเลิศประเสริฐเป็นแต่เพียงให้จิตสงบตั้งมั่นมีกำลังแก่กล้า
(2) อรูปฌาน จิตละเอียดฌานละเอียดตัดนามในขันธ์ 5 ได้ คือ กำจัด เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณประสาทตาหูจมูกสิ้น กาย อารมณ์ใจออกจากจิตทั้งหมด เห็นว่าอรูปฌานยังไม่ใช่ของเลิศเป็นเพียงบันไดไต่ขึ้นเข้าใจมีปัญญาเพื่อพระนิพพาน ถ้ายังติดในอรูปฌานก็ต้องไปเกิดในอรูปพรหม ยังไม่พ้นทุกข์จริง
(3) มานะ พระอรหันต์ตัดกิเลสที่เห็นว่าตัวเราดีกว่าเขา ด้อยกว่าเขา เสมอเขา ท่านมีความฉลาดรอบรู้ว่าตราบใดที่ยังมีขันธ์ 5 ร่างกาย รูป-นามอยู่นี้ไม่มีใครดีกว่าใคร ยังจมอยู่ในทะเลทุกข์ หรือวัฏฏสงสารกันทั้งนั้น ท่านเห็นว่าขันธ์ 5 เป็นของปลอม ของสมมุติ ของชั่วคราว ไม่ถือเขาถือเราเห็นคนสัตว์เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตายเท่านั้น
(4) อุทัจจะกุกุกจะ พระอรหันต์ท่านไม่มีอารมณ์คิดวุ่นวายฟุ้งซ่านไร้สาระ มีความคิดอย่างเดียว ต้องการให้คนพ้นทุกข์ ทำอย่างไรคนจะเข้าใจในธรรมะ ในทุกข์ของโลก ทำอย่างไรคนจะเข้าใจพระนิพพานถูกต้อง พระนิพพานเป็นของจริง ไม่ใช่ของสมมุติชั่วคราวเหมือนโลกมนุษย์ สวรรค์ พรหม
(5) อวิชชา พระอรหันต์ไม่มีความเข้าใจผิดในนรกโลก มนุษย์โลก เทวโลก เห็นว่า 3 โลกนี้ไม่มีทางไหนเป็นสุขจริง เป็นสุขชั่วคราว ท่านรู้เข้าใจพระนิพพานมีจริง ไม่สูญสลาย พระนิพพานไม่ใช่อนัตตา พระนิพพานเป็นแดนทิพย์วิเศษยอดเยี่ยม จิตของผู้พ้นจากกิเลสสังโยชน์ 10 อย่างเท่านั้น ถึงจะเข้าถึงพระนิพพาน ท่านสัมผัสพระนิพพานได้ทางจิตถึงแม้จะไม่เห็น แต่จิตมีปัญญาทราบแน่ชัดว่าพระนิพพานมีแดนทิพย์จริง เพราะจิตท่านเข้าถึงวิมุติสุข
ทำอย่างไรถึงจะเข้าใจพระอภิธรรมได้ง่าย
พระอภิธรรมเป็นของง่ายจริง ๆ เพราะในร่างกายเราก็มีพระอภิธรรมปิฎก คือมี
(1) จิต
(2) มีรูป 1 คือ ร่างกาย
(3) และมีเจตสิก คือ นามในขันธ์ 5 นั่นเองได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้ง 4 อย่างนี้รวมกันเข้าอยู่ในเจตสิก 52 ชนิด
(4) พระนิพพาน ก็อยู่ในจิตใจเรา ถ้าจิตใจที่ปราศจากกิเลสสังโยชน์ทั้ง 10 ข้อของคน เทวดา พรหม เราไม่หลงทึกทักเอาขันธ์ 5 ที่เป็นโรงงานที่จิตมาอาศัยชั่วคราว กิน ๆนอน ๆ ถ่ายเทอากาศ น้ำ อาหาร เข้า ๆ ออก ๆ ไม่ได้หยุดทุกวี่ทุกวันอยู่นี้ จิตเป็นอิสระไม่เป็นทาสของร่างกาย ตาหู จมูกลิ้น กาย ใจ จิตเราไม่สนใจร่างกายแล้ว จิตเราก็มีความสุขสงบไม่มีกิเลสเข้ารบกวนจิตเราท่านก็เป็นจิตพระนิพพานทันที เป็นพระนิพพานดิบ ๆ ไม่ต้องตาย เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน ที่ว่าง่ายมากก็คือเราไม่ต้องไปแบกไปหาม ไม่ต้องไปหาเงินมาซื้อเป็นของมีอยู่แล้วเราไม่เข้าใจว่าของจริงคือจิต ของปลอมสูญสลายคือร่างกาย การหาอาหารมาใส่ท้อง ยังยากยิ่งกว่าหาพระนิพพานมาเก็บเอาไว้ในจิตในใจเราเสียอีก
พระอภิธรรมปิฎกในพระอภิธัมมัตถสังคหะ 9 ปริเฉทอย่างย่อมีว่าอย่างไร
พระอภิธรรมอย่างย่อทั้ง 9 บท มี 9 อย่างคือ
1) ว่าด้วยเรื่องจิต
2) ว่าด้วยเรื่องเจตสิก
3) ว่าด้วยจิตมีฌาน1-ฌาน4
4) ว่าด้วยการแบ่งจิตสูงต่ำไปเกิดภพสูงต่ำตามระดับความสะอาดของจิตนั้น ๆ
5) ทางเดินของจิตไปเกิดตามภพภูมิต่าง ๆ
6) เป็นหมวดที่อธิบายถึงรูปร่างกายคน สัตว์ เทพพรหม
7) หมวดที่ว่าด้วยโพธิปักขิยะสังคหะ คือ หนทางแห่งโลกกุตตระธรรมที่พัฒนาจิตยกระดับจิตให้พ้นจากวงกลมแห่งการเวียนว่ายตายเกิดเป็นอริยธรรมให้จิตเข้าถึงอริยสาวกเข้ากระแสพระนิพพานดับความทุกข์ทั้งหมด
8) ว่าด้วยปฏิจสมุทปบาทสาเหตุแห่งการเกิดแก่เจ็บตาย
9) ว่าด้วยกรรมฐาน 40 วิปัสสนา 10 อย่าง
1) ว่าด้วยเรื่องจิต จิตดี-จิตชั่ว จิตเป็นสมาธิจิต อรูปฌาน จิตพระอริยะ
2) ว่าด้วยเรื่องเจตสิก คือ อารมณ์ต่าง ๆที่เข้ามาเยี่ยมจิตเกิด ๆดับ ๆ 52 ชนิด มีทั้งอารมณ์ดี อารมณ์ชั่ว อารมณ์เฉย ขึ้นอยู่กับร่างกายและสิ่งแวดล้อม ถ้าเป็นพระอรหันต์ท่านจะมีอารมณ์เดียวคือ อารมณ์ นิ่งเฉยเป็นปกติ
3) ว่าด้วยจิตที่มีฌาน 1-ฌาน 4 จิตที่ไปเกิด จิตที่เข้าฌานเป็นภวังค์จิตชั่วขณะ จุติจิต คือ เคลื่อนไปสู่ที่เกิดใหม่
4) ว่าด้วยการแบ่งจิต วิถีทางเดินของจิตไปเกิดตามภพภูมิต่าง ๆ ตามอารมณ์ดีชั่วของจิตก่อนตาย โลกียจิต และโลกุตตรจิต
จิตมีฌาน1-ฌาน4 เรียกว่า รูปาวจรจิต ส่วนอรูปาวจรจิต คือ จิตที่มีอรูปฌาน คือ ฌาน5-ฌาน8
5) ทางเดินของจิตที่ไปเกิดตามภพภูมิต่าง ๆ ตามความดีความชั่วและตามที่จิตมีฌานสมาบัติเป็นจิตสะอาดฉลาดฌานตั้งแต่ฌาน1-ฌาน8
ภูมิที่จิตจะไปเกิดได้ตั้งแต่ต่ำสุดถึงสูงสุดมีดังนี้คือ
(1) อบายภูมิ มี 4 อย่าง มีแต่ความทุกข์ยากลำบากใจกายอย่างเดียว ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน
(2) กามสุคติภูมิ มี 7 ระดับตั้งแต่
- คน คือมนุษย์โลก อายุไม่ถึง 100 ปี และสวรรค์อีก 6 ชั้น ซึ่งมีชื่อดังนี้
- ชั้นจาตุมหาราชิกา มีอายุ 500 ปีทิพย์ เท่ากับ 9 ล้านปีมนุษย์
- สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีอายุ 1000 ปีทิพย์
- สวรรค์ชั้นยามา มีอายุ 2000 ปีทิพย์
- สวรรค์ชั้นดุสิต มีอายุ 4000 ปีทิพย์
- สวรรค์ชั้นนิมมานรดี มีอายุ 8000 ปีทิพย์
- สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวดี มีอายุ 16000 ปีทิพย์
(3)รูปาวจรพรหม มี 16 ชั้น สำหรับท่านที่ได้ฌานตั้งแต่ฌาน 1 ถึง ฌาน 4 ก่อนท่านตายเข้าฌาน จิตได้ไปเกิดตามขั้นของฌานที่จิตเคลื่อนออกจากกาย รูปพรหมทั้ง 16 ชั้น มีชื่อดังนี้
http://www.agalico.com/board/images/statusicon/wol_error.gifกดที่เเถบนี้เพื่อดูรูปขนาดดั้งเดิมhttp://img293.imageshack.us/img293/5396/445pxsermoninthedeerparir5.jpg
พระอภิธรรมปิฎก หมายถึง หลักธรรมสำคัญอันยิ่งใหญ่ เป็นธรรมะเหนือโลก เป็นหลักธรรมหัวข้อธรรมะ หลักวิชาธรรมะล้วน ๆ เป็นอมตะธรรมไม่มีข้อกล่าวอ้างบุคคล พาดพิงเหตุการณ์เรื่องราวต่าง ๆ เป็นธรรมะที่จริงแท้ ที่ทำให้จิตฉลาดสว่างไสว เป็นจิตของพระอริยสาวก เข้าถึงจุดมุ่งหมายของชีวิต คือ พระนิพพานได้ง่ายรวดเร็ว
ชาวพุทธส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจผิดคิดว่า พระอภิธรรมปิฎก หมายถึง พระธรรมอันสำคัญยิ่งนั้นมีอยู่ในหมวดพระอธิธรรมปิฎกเท่านั้นและยากที่จะเข้าใจได้
ความจริงพระอภิธรรม คือ หลักธรรมอันสำคัญยิ่งนั้น มีอยู่ในตัวเรานี้เอง คือ กายกับจิต หรือขันธ์ 5 กับจิต และอภิธรรม คือ หลักธรรมล้วน ๆ ก็มีอยู่ทั้งในพระวินัยก็คือ ศีล ทั้งในพระสูตรและในธรรมชาติ ถ้าจิตเราฉลาดสะอาดเป็นกุศลจะเข้าใจมองโลกในทางเป็นจริง คือ มีแต่ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เปลี่ยนแปลงสึกหรอ มีเรื่องให้แก้ไขปัญหาตลอดเวลา แล้วผุพังสูญสลายไปในที่สุดนั้น ก็ คือ อภิธรรม
ผู้ที่ศึกษาอภิธรรมปิฎกหรือจบพระไตรปิฎก คือ พระอรหันต์ขีณาสพ หรือ พระอเสขะ ถึงแม้ท่านจะไม่เคยอ่านพระไตรปิฎกหรือไม่เคยอ่านพระอภิธรรมปิฎก แต่ท่านปฏิบัติสมถภาวนา แยกจิตออกจากกายได้ไม่มีกิเลสร้อยรัด คือ สังโยชน์ 10 อย่างไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป ถือว่าท่านจบหลักสูตรพระไตรปิฎกหรืออภิธรรมปิฎก
ในสมัยพุทธกาล มีพระที่ท่านบรรลุอรหัตตผลรวดเร็วที่สุด คือ ท่านพาหิยะเถระ ท่านเป็นพราหมณ์ผู้สูงอายุได้ข่าวว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรากฎขึ้นแล้วในโลกท่านเกรงว่าท่านมีอายุมากแล้วอาจจะตายเสียก่อนได้ฟังธรรมะจากพระพุทธเจ้า ท่านจึงเดินทางจากเมืองไกลไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าทั้งคืนไม่ยอมพัก รุ่งเช้าจะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ขอฟังขอรับพระธรรมคำสอนวิชาพ้นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ ท่านพาหิยะเดินทางไกลยังเหนื่อยอยู่และมีปิติมากเกินไปที่ได้เห็นพระพุทธเจ้า จึงตรัสให้ท่านรออยู่ก่อน พระพุทธองค์จะบิณฑบาตรให้เสร็จก่อน จากนั้นองค์พระบรมศาสดา จึงตรัสหัวข้อธรรมะอภิธรรมข้อเดียวคือ
"ดูก่อน พาหิยะ เธอจงอย่าสนใจในรูปร่างกาย"
เพียงเท่านี้ ท่านพาหิยะ เข้าใจธรรมะแจ่มแจ้ง จิตของท่านพาหิยะก็หลุดพ้นเป็นอิสระจากรูปร่างกาย กิเลส ตัณหา อุปาทาน มีวิชชา ทันใดนั้นจิตท่านบรรลุเป็นจิตพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณทันทีท่านจึงเป็นพระสาวกที่เลิศทางบรรลุอรหัตตผลเร็วที่สุด เพราะจิตท่านตั้งใจเต็มเปี่ยม มีศรัทธาเต็ม มีวิริยะเต็มอดทนเดินทางมีขันติบารมี มีอธิษฐานคือ ตั้งจิตมั่นในพระพุทธองค์เต็ม มีสัจจะคือความจริงใจที่จะฟังธรรม มีปัญญาเห็นว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมทางพ้นทุกข์จริง มีอุเบกขาวางเฉยในขันธ์ 5 ร่างกายท่านแม้จะเหน็ดเหนื่อยยากก็วางเฉย ไม่ร้อนใจ บารมี 10 ท่านเต็มก็เข้าใจในพระธรรมได้ง่ายรวดเร็วเป็นพระอรหันต์ขีณาสพได้ง่ายเร็วที่สุด
พระอภิธรรมทั้ง 9 ปริเฉทนี้ถ้าอ่านเป็นตำราเป็นทฤษฎีจะไม่มีใครเข้าใจ ทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งอ่านยิ่งงง เพราะศัพท์บาลีแปลก็ไม่ออก ถึงแปลออกก็ไม่รู้เรื่อง ผู้ที่สอนอภิธรรมส่วนมากก็สอนตามตำรา ยังไม่เข้าใจจริง ดิฉันคือผู้เขียนก็คิดว่าตัวเองโง่มากในชาตินี้ ไม่มีวันเข้าใจอภิธรรมจึงเลิกสนใจก้มหน้าก้มตั้งจิตตั้งใจเพียรพยายามปฏิบัติทางจิตท่าเดียว จนกระทั่งก่อนเขียนหนังสือธรรมประทานพรเล่ม 4 เผอิญตาเหลือบไปเห็นหนังสือ พระอภิธัมมัตถสังคหะ 9 ปริเฉท ที่วางบนหัวเตียงนอนมานานหลายปี ไม่ได้สนใจเพราะอ่านแล้ว ไม่เข้าใจไม่มีปัญญา
กลับมาอ่านคราวนี้เกิดความมหัศจรรย์ทางจิตอย่างประหลาดเหลือเชื่อ มีความเข้าใจได้ง่าย ๆ ทันที ทั้งปิติดีใจที่ได้เข้าใจพระอภิธรรมซึ่งไม่เคยคิดว่าชาตินี้จะอ่านรู้เรื่อง ทำให้มีจิตคิดจะเขียนอภิธรรมย่อ ๆ ง่าย ๆ ให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจถึงคุณวิเศษของพระอภิธรรม ซึ่งเป็นพระธรรม จากพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอน แล้วมีพระอริยสงฆ์จำบันทึกให้ชนรุ่นหลังได้อ่านศึกษาประพฤติปฏิบัติต่อไป
ขอกราบอภัยท่านผู้อ่าน ถ้าการเขียนพระอภิธรรมครั้งนี้ขาดตกบกพร่อง ผิดพลาดประการใด การเขียนครั้งนี้ดิฉันได้กราบแทบพระบาทองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้โปรดเมตตาให้ลูกได้เขียนพระอภิธรรมได้ถูกต้องตรงตามพระธรรมคำสอนและตามพระพุทธประสงค์ขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่จะให้เหล่าพุทธบริษัทได้เข้าใจในพระอภิธรรมได้ง่าย ๆ ถูกต้องตามและรวดเร็ว
ขอสรุปพระอภิธรรมตามแบบพระคุณเจ้าหลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านได้สรุปสั้น ๆดังนี้
ในพระอภิธรรมทั้ง 9 ปริเฉท จุดสำคัญจริง ๆมี 3 อย่างคือ
1. กุสลาธัมมา ธรรมะที่ดีที่เป็นบุญกุศลมีผลเป็นสุข ตายแล้วไปเสวยสุขเป็น มนุษย์สมบัติ สวรรค์ พรหม
2. อกุสลาธัมมา ธรรมะที่เป็นโทษเป็นทุกข์เป็นบาป ทำแล้วมีผลเกิดความทุกข์กายทุกข์ใจ ตายแล้วไปอบายภูมิ
3. อัพยากตาธัมมา ธรรมะเป็นอัพยากฤต คือ เป็นธรรมะที่สูงเหนือบุญเหนือบาป เป็นอมตะธรรม เป็นอนุตตรธรรมที่เหนือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือพระนิพพาน
จุดมุ่งหมายของพระอภิธรรมก็เพื่อยกระดับจิตทุกท่านที่อ่านเป็นจิตอัพยากฤตเหนือบาปบุญ เหนือโลกเทวดา พรหม มีความสุขยั่งยืนนานไม่เสื่อมสูญสลายเหมือน นรก สวรรค์ พรหม ตายแล้วจิตสะอาดไปอยู่ในแดนบรมสุขตลอดกาลกับองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพาน
http://board.agalico.com/attachment.php?attachmentid=7755&stc=1&d=1201747153
พระอริยบุคคล
1. พระโสดาบันปฏิมรรค ตัดกิเลส 3 ตัวแรกในสังโยชน์ 3 ข้อแรกได้ คือ
(1) ตัดสักกายทิฏฐิได้เบา ๆ คือ ไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น ชอบในการทำบุญทำทาน ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง แต่ไม่ลืมนึกถึงความตาย ไม่ประมาทในชีวิต
(2) ตัดกิเลสวิจิกิจฉา ความสงสัยในพระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีจิตมั่นคงในพระนิพพาน ไม่ต้องการเกิดอีก
(3) ตัดกิเลสสีลัพพัตตปรามาส ไม่ลูบคลำศีล คือมีความจริงใจไม่ทำลายศีล ไม่นิยมหลงใหลไปกับพิธีรีตองตามชาวโลก เพราะท่านมีปัญญา
2. เป็นพระโสดาบันปฏิผล ได้เพราะมีคุณธรรมทั้ง 3 นี้มั่นคงถ้าจะเกิดเป็นคนอย่างมาก 7 ชาติ อย่างน้อย 1 ชาติไปนิพพาน
3. พระสกิทาคามีมรรค
4. พระสกิทาคามีผล ท่านมีคุณธรรม 3 ประการเหมือนพระโสดาบัน แต่มีจิตละเอียดขึ้น ความโลภ ความโกรธ ความหลง น้อยลง
พระสกิทาคามี มีกรรมบท 10 ครบถ้วน คือ ไม่ละเมิดกรรมบท 10 อย่าง รวมกับมีศีล 5 บริสุทธิ์ครบถ้วน กรรมบถ 10 เป็นทางป้องกันการเกิดในอบายภูมิ คือ
(1) ทางกาย คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ดื่มของมึนเมา
(2) ทางวาจา คือ ไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล
(3) ทางใจ คือ ไม่คิดอยากได้ทรัพย์สินสมบัติใด ๆของผู้อื่น ไม่จองล้างจองผลาญ ไม่เห็นผิดจากคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เห็นถูกตามความเป็นจริงว่า พระนิพพานมีจริง ไม่สูญ มีความสุขยอดเยี่ยมตลอดกาล 5. พระอนาคามีมรรค
6.พระอนาคามีผล ท่านมีปัญญาชาญฉลาดสามารถตัดกิเลส 5 ข้อแรกในสังโยชน์ 10 ได้ คือ มีคุณสมบัติ 3 ข้อเหมือนพระโสดาบัน พระสกิทาคามี เพิ่มอีก 2 ข้อ คือ
(1) สามารถละกามราคะ กิเลสกามในความรักหลงในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทางกาย สุขทางกายได้
(2) สามารถละความไม่พอใจ ปฏิฆะ ความโกรธ ได้ มีจิตเมตตาปราณี ชาวบ้านที่มีจิตเข้าถึงอนาคามีผล ยังอยู่ทำงาน ทำหน้าที่พ่อบ้าน แม่เรือนครบ แต่จิตไม่หมกมุ่นในกามราคะ มีสมาธิจิตทรงในฌาน 4 มีปัญญาเห็นโทษทุกข์ของร่างกาย ถ้าตาย ตอนจิตเป็นพระอนาคามีผลก็เข้าถึงพรหมโลกชั้นสุทธาวาส ไม่มาเกิดเป็นคน บำเพ็ญจิตในชั้นพรหมเข้าพระนิพพาน จิตเป็นสุขยอดเยี่ยมไม่ต้องกลับมาเกิดในโลกทั้ง 3 อีกต่อไป
7. พระอรหัตตมรรค
8.พระอรหันตผล ท่านมีจิตฉลาดสะอาดสามารถกำจัดอวิชชา ตัณหา กิเลสสังโยชน์ 10 ได้ทั้งหมด อุปาทานในขันธ์ 5 ไม่มี เพิ่มจากคุณลักษณะของพระอนาคามี พระอรหันต์สามรถกำจัดกิเลสละเอียดอีก 5 ตัวในสังโยชน์ 10 ข้อ สุดท้ายได้ดังนี้
(1) รูปฌาน ท่านเข้าฌาน 1 ถึงฌาน 4 ได้ แต่มีจิตฉลาดไม่ติดในฌาน ไม่คิดว่าฌาน1 ถึงฌาน 4 เป็นของเลิศประเสริฐเป็นแต่เพียงให้จิตสงบตั้งมั่นมีกำลังแก่กล้า
(2) อรูปฌาน จิตละเอียดฌานละเอียดตัดนามในขันธ์ 5 ได้ คือ กำจัด เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณประสาทตาหูจมูกสิ้น กาย อารมณ์ใจออกจากจิตทั้งหมด เห็นว่าอรูปฌานยังไม่ใช่ของเลิศเป็นเพียงบันไดไต่ขึ้นเข้าใจมีปัญญาเพื่อพระนิพพาน ถ้ายังติดในอรูปฌานก็ต้องไปเกิดในอรูปพรหม ยังไม่พ้นทุกข์จริง
(3) มานะ พระอรหันต์ตัดกิเลสที่เห็นว่าตัวเราดีกว่าเขา ด้อยกว่าเขา เสมอเขา ท่านมีความฉลาดรอบรู้ว่าตราบใดที่ยังมีขันธ์ 5 ร่างกาย รูป-นามอยู่นี้ไม่มีใครดีกว่าใคร ยังจมอยู่ในทะเลทุกข์ หรือวัฏฏสงสารกันทั้งนั้น ท่านเห็นว่าขันธ์ 5 เป็นของปลอม ของสมมุติ ของชั่วคราว ไม่ถือเขาถือเราเห็นคนสัตว์เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตายเท่านั้น
(4) อุทัจจะกุกุกจะ พระอรหันต์ท่านไม่มีอารมณ์คิดวุ่นวายฟุ้งซ่านไร้สาระ มีความคิดอย่างเดียว ต้องการให้คนพ้นทุกข์ ทำอย่างไรคนจะเข้าใจในธรรมะ ในทุกข์ของโลก ทำอย่างไรคนจะเข้าใจพระนิพพานถูกต้อง พระนิพพานเป็นของจริง ไม่ใช่ของสมมุติชั่วคราวเหมือนโลกมนุษย์ สวรรค์ พรหม
(5) อวิชชา พระอรหันต์ไม่มีความเข้าใจผิดในนรกโลก มนุษย์โลก เทวโลก เห็นว่า 3 โลกนี้ไม่มีทางไหนเป็นสุขจริง เป็นสุขชั่วคราว ท่านรู้เข้าใจพระนิพพานมีจริง ไม่สูญสลาย พระนิพพานไม่ใช่อนัตตา พระนิพพานเป็นแดนทิพย์วิเศษยอดเยี่ยม จิตของผู้พ้นจากกิเลสสังโยชน์ 10 อย่างเท่านั้น ถึงจะเข้าถึงพระนิพพาน ท่านสัมผัสพระนิพพานได้ทางจิตถึงแม้จะไม่เห็น แต่จิตมีปัญญาทราบแน่ชัดว่าพระนิพพานมีแดนทิพย์จริง เพราะจิตท่านเข้าถึงวิมุติสุข
ทำอย่างไรถึงจะเข้าใจพระอภิธรรมได้ง่าย
พระอภิธรรมเป็นของง่ายจริง ๆ เพราะในร่างกายเราก็มีพระอภิธรรมปิฎก คือมี
(1) จิต
(2) มีรูป 1 คือ ร่างกาย
(3) และมีเจตสิก คือ นามในขันธ์ 5 นั่นเองได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้ง 4 อย่างนี้รวมกันเข้าอยู่ในเจตสิก 52 ชนิด
(4) พระนิพพาน ก็อยู่ในจิตใจเรา ถ้าจิตใจที่ปราศจากกิเลสสังโยชน์ทั้ง 10 ข้อของคน เทวดา พรหม เราไม่หลงทึกทักเอาขันธ์ 5 ที่เป็นโรงงานที่จิตมาอาศัยชั่วคราว กิน ๆนอน ๆ ถ่ายเทอากาศ น้ำ อาหาร เข้า ๆ ออก ๆ ไม่ได้หยุดทุกวี่ทุกวันอยู่นี้ จิตเป็นอิสระไม่เป็นทาสของร่างกาย ตาหู จมูกลิ้น กาย ใจ จิตเราไม่สนใจร่างกายแล้ว จิตเราก็มีความสุขสงบไม่มีกิเลสเข้ารบกวนจิตเราท่านก็เป็นจิตพระนิพพานทันที เป็นพระนิพพานดิบ ๆ ไม่ต้องตาย เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน ที่ว่าง่ายมากก็คือเราไม่ต้องไปแบกไปหาม ไม่ต้องไปหาเงินมาซื้อเป็นของมีอยู่แล้วเราไม่เข้าใจว่าของจริงคือจิต ของปลอมสูญสลายคือร่างกาย การหาอาหารมาใส่ท้อง ยังยากยิ่งกว่าหาพระนิพพานมาเก็บเอาไว้ในจิตในใจเราเสียอีก
พระอภิธรรมปิฎกในพระอภิธัมมัตถสังคหะ 9 ปริเฉทอย่างย่อมีว่าอย่างไร
พระอภิธรรมอย่างย่อทั้ง 9 บท มี 9 อย่างคือ
1) ว่าด้วยเรื่องจิต
2) ว่าด้วยเรื่องเจตสิก
3) ว่าด้วยจิตมีฌาน1-ฌาน4
4) ว่าด้วยการแบ่งจิตสูงต่ำไปเกิดภพสูงต่ำตามระดับความสะอาดของจิตนั้น ๆ
5) ทางเดินของจิตไปเกิดตามภพภูมิต่าง ๆ
6) เป็นหมวดที่อธิบายถึงรูปร่างกายคน สัตว์ เทพพรหม
7) หมวดที่ว่าด้วยโพธิปักขิยะสังคหะ คือ หนทางแห่งโลกกุตตระธรรมที่พัฒนาจิตยกระดับจิตให้พ้นจากวงกลมแห่งการเวียนว่ายตายเกิดเป็นอริยธรรมให้จิตเข้าถึงอริยสาวกเข้ากระแสพระนิพพานดับความทุกข์ทั้งหมด
8) ว่าด้วยปฏิจสมุทปบาทสาเหตุแห่งการเกิดแก่เจ็บตาย
9) ว่าด้วยกรรมฐาน 40 วิปัสสนา 10 อย่าง
1) ว่าด้วยเรื่องจิต จิตดี-จิตชั่ว จิตเป็นสมาธิจิต อรูปฌาน จิตพระอริยะ
2) ว่าด้วยเรื่องเจตสิก คือ อารมณ์ต่าง ๆที่เข้ามาเยี่ยมจิตเกิด ๆดับ ๆ 52 ชนิด มีทั้งอารมณ์ดี อารมณ์ชั่ว อารมณ์เฉย ขึ้นอยู่กับร่างกายและสิ่งแวดล้อม ถ้าเป็นพระอรหันต์ท่านจะมีอารมณ์เดียวคือ อารมณ์ นิ่งเฉยเป็นปกติ
3) ว่าด้วยจิตที่มีฌาน 1-ฌาน 4 จิตที่ไปเกิด จิตที่เข้าฌานเป็นภวังค์จิตชั่วขณะ จุติจิต คือ เคลื่อนไปสู่ที่เกิดใหม่
4) ว่าด้วยการแบ่งจิต วิถีทางเดินของจิตไปเกิดตามภพภูมิต่าง ๆ ตามอารมณ์ดีชั่วของจิตก่อนตาย โลกียจิต และโลกุตตรจิต
จิตมีฌาน1-ฌาน4 เรียกว่า รูปาวจรจิต ส่วนอรูปาวจรจิต คือ จิตที่มีอรูปฌาน คือ ฌาน5-ฌาน8
5) ทางเดินของจิตที่ไปเกิดตามภพภูมิต่าง ๆ ตามความดีความชั่วและตามที่จิตมีฌานสมาบัติเป็นจิตสะอาดฉลาดฌานตั้งแต่ฌาน1-ฌาน8
ภูมิที่จิตจะไปเกิดได้ตั้งแต่ต่ำสุดถึงสูงสุดมีดังนี้คือ
(1) อบายภูมิ มี 4 อย่าง มีแต่ความทุกข์ยากลำบากใจกายอย่างเดียว ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน
(2) กามสุคติภูมิ มี 7 ระดับตั้งแต่
- คน คือมนุษย์โลก อายุไม่ถึง 100 ปี และสวรรค์อีก 6 ชั้น ซึ่งมีชื่อดังนี้
- ชั้นจาตุมหาราชิกา มีอายุ 500 ปีทิพย์ เท่ากับ 9 ล้านปีมนุษย์
- สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีอายุ 1000 ปีทิพย์
- สวรรค์ชั้นยามา มีอายุ 2000 ปีทิพย์
- สวรรค์ชั้นดุสิต มีอายุ 4000 ปีทิพย์
- สวรรค์ชั้นนิมมานรดี มีอายุ 8000 ปีทิพย์
- สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวดี มีอายุ 16000 ปีทิพย์
(3)รูปาวจรพรหม มี 16 ชั้น สำหรับท่านที่ได้ฌานตั้งแต่ฌาน 1 ถึง ฌาน 4 ก่อนท่านตายเข้าฌาน จิตได้ไปเกิดตามขั้นของฌานที่จิตเคลื่อนออกจากกาย รูปพรหมทั้ง 16 ชั้น มีชื่อดังนี้