PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : มหิสชาดกว่าด้วยลิงกับควาย



*8q*
02-26-2009, 06:48 PM
ว่าด้วยลิงกับควาย
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงปรารภ ลิงโลเลตัวหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ดังนี้

ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี มีลิงโลเลที่เขาเลี้ยงไว้ตัวหนึ่งในตระกูลหนึ่ง ลิงนั้นได้ไปยังโรงช้าง นั่งบนหลังช้างผู้มีศีลตัวหนึ่งถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ และเดินไปเดินมาบนหลัง ช้างก็ไม่ทำอะไรเพราะตนมีศีล ถึงพร้อมด้วยความอดทน ครั้นวันหนึ่งลูกช้างดุตัวหนึ่ง ได้ยืนอยู่ในที่ของช้างเชือกนั้น ลิงได้ขึ้นหลังช้างดุด้วยสำคัญว่า ช้างนี้ก็คือ ช้างนั้นนั่นแหละ ลำดับนั้น ลูกช้างดุนั้นเอางวงจับลิงนั้นไว้ด้วยความรวดเร็วแล้วฟาดลงที่พื้นดิน เอาเท้าเหยียบขยี้ให้แหลกลาญไป ประพฤติเหตุนั้นได้ปรากฏแก่หมู่ภิกษุสงฆ์
ครั้นวันหนึ่งภิกษุทั้งหลาย นั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ได้ยินว่า ลิงโลเลขึ้นหลังช้างดุ ด้วยสำคัญว่าเป็นช้างผู้มีศีล เมื่อเป็นเช่นนั้น ช้างดุเชือกนั้นก็ทำให้ลิงโลเลตัวนั้นถึงแก่สิ้นชีวิต พระศาสดา เสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมกัน ด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบว่า ด้วยเรื่องอย่างนี้พระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้เท่านั้นที่ลิงโลเล ตัวนั้นเป็นผู้มีปกติเป็นอย่างนั้น ตั้งแต่โบราณกาลมาแล้วก็มีปกติ เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติในกรุง พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดกระบืออยู่ในหิมวันตประเทศ พอเจริญวัยก็สมบูรณ์ด้วยกำลังแรง มีร่างกายใหญ่ ท่องเที่ยวไปตามเชิงเขา เงื้อมเขา ซอกเขาและป่าทึบ เห็นโคนไม้อันผาสุกสำราญแห่งหนึ่ง เมื่อเที่ยวหากินอิ่มแล้ว ในตอนกลางวันได้มายืนพักอยู่ที่โคนไม้นั้น ครั้งนั้นมีลิงโลนตัวหนึ่งลงจากต้นไม้ แล้วขึ้นบนหลังของกระบือนั้น ถ่ายอุจจาระปัสสาวะรด จับเขาทั้งสองโหน จับหาง แกว่งไปแกว่งมาเล่น พระโพธิสัตว์มิได้ใส่ใจการกระทำของลิงโลนตัวนั้น เพราะประกอบด้วยขันติ เมตตาและความเอ็นดู ลิงกระทำอย่างนั้นนั่นอยู่บ่อยๆ
ครั้นวันหนึ่ง เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นไม้นั้น ยืนอยู่ที่ลำต้นของต้นไม้นั้น กล่าวกะกระบือโพธิสัตว์นั้นว่า ดูก่อน พระยากระบือ เพราะเหตุไร ท่านจึงอดกลั้นการดูหมิ่นของลิงชั่ว ตัวนี้ ท่านจงไล่มันไปเสีย เมื่อจะประกาศเนื้อความนั้นจึงได้กล่าว ๒ คาถาแรกว่า :
[๔๓๓] ท่านอาศัยเหตุอะไรจึงอดกลั้นทุกข์นี้ ต่อลิงผู้มีจิตกลับกลอก มักประทุษร้ายมิตร ดุจเป็นเจ้าของผู้ให้ความใคร่ทั้งปวง
[๔๓๔] ท่านจงขวิดมันเสีย (ด้วยเขา) จงเหยียบเสีย (ด้วยเท้า) ถ้าไม่ห้ามปรามมันเสีย สัตว์ทั้งหลายที่โง่เขลา ก็จะพึงเบียดเบียนร่ำไป
พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่า ท่านรุกขเทวดา ถ้าเรา เป็นผู้ยิ่งกว่าลิงตัวนี้ โดยชาติ โคตร และวัสสายุกาลเป็นต้น จักไม่อดกลั้นโทษของลิงตัวนี้ไซร้ มโนรถความปรารถนาของเรา จักถึงความสำเร็จได้อย่างไร ก็ลิงตัวนี้ เมื่อเห็นผู้อื่นว่าเป็นเหมือนดังเรา แล้วกระทำอนาจารอย่างนี้กับผู้นั้น กระบือดุร้ายเหล่านั้นแหละจักฆ่ามันเสีย การที่กระบือตัวอื่นฆ่าลิงตัวนี้นั้น เราก็จักพ้นจากทุกข์และปาณาติบาต แล้วจึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :
[๔๓๕] เมื่อลิงตัวนี้ ดูหมิ่นควายตัวอื่น ดุจดูหมิ่นข้าพเจ้า จักกระทำอนาจารอย่างนี้แก่ควายตัวอื่น ควายเหล่านั้น ก็จะฆ่ามันเสียในที่นั้น ความพ้นอันนั้นจักมีแก่ข้าพเจ้า
ก็ต่อเมื่อล่วงไป ๒ - ๓ วัน พระโพธิสัตว์ได้ไปอยู่ในที่อื่น กระบือดุตัวหนึ่งได้มายืนอยู่ที่โคนไม้ต้นนั้น ลิงชั่วจึงขึ้นหลังกระบือดุตัวนั้นด้วยสำคัญว่า กระบือตัวนี้ ก็คือกระบือตัวนั้นแหละ แล้วกระทำหยาบช้าอย่างนั้นนั่นแหละ ลำดับนั้น กระบือดุตัวนั้นสลัดลิงนั้นให้ตกลงบนพื้นดิน เอาเขาขวิดที่หัวใจเอาเท้าทั้ง ๔ เหยียบร่างจนแหลกละเอียด
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย แล้วทรงประชุมชาดกว่า กระบือดุร้ายในครั้งนั้น ได้เป็นช้างดุร้ายตัวนี้ในบัดนี้ ลิงชั่วช้าในครั้งนั้น ได้เป็นลิงตัวนี้ ในบัดนี้ ส่วนพระยากระบือในครั้งนั้นคือเราตถาคต ฉะนี้แล
จบ มหิสชาดก



http://board.agalico.com/showthread.php?t=27502

<!-- / message -->