DAO
02-27-2009, 02:00 PM
... ธรรมะจากวัดอโศการาม ...
http://i229.photobucket.com/albums/ee170/ekui_ekui/DSC03690.jpg
ผู้จะต้องถึงมรรคผลนิพพานได้นั้น
. . . จะต้องทำทางใจ . . .
ถ้าไม่ทำทางนี้แล้ว จะทำกุศลสักเท่าไร ก็ถึงมรรคนิพพานไม่ได้
นิพพานนี้จะต้องถึงด้วยข้อปฎิบัติทางใจเท่านั้น
ที่เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
ศีลเป็นเหตุแห่งสมาธิ
สมาธิเป็นเหตุแห่งปัญญา
ปัญญาเป็นเหตุแห่งวิมุตติ
. . . สมาธิเป็นสิ่งสำคัญ . . .
เพราะเป็นที่ตั้งแห่งปัญญาและญาณ อันเป็นองค์สำคัญของมรรค
แต่จะขาดสมาธิไม่ได้ ถ้าขาดแล้วก็ได้แต่จะคิดๆ นึกๆ เอา
ฟุ้งซ่านไปต่างๆ ปราศจากหลักฐานสำคัญ
สมาธิเปรียบเสมือนตะปู
ปัญญาเปรียบเสมือนค้อนที่ตอกตะปู
ถ้าตะปูเอียงไปค้อนก็ตีผิดๆ ถูกๆ
ตะปูนั้นก็ไม่ทะลุกระดานนี้ ฉันใด
ใจเราจะบรรลุธรรมชั้นสูงทะลุโลกได้จะต้องมีสมาธิเป็นหลักก่อน
แล้วจึงเกิดญาณ ญาณนี้จะได้แต่คนทำสมาธิเท่านั้น
ส่วนปัญญาย่อมมีอยู่ทั่วไปแก่คนทั้งหลาย
แต่ไม่พ้นจากโลกได้เพราะขาดญาณ
ฉะนั้นท่านทั้งหลายควรสนใจ อันเป็นทางพ้นทุกข์ถึงสุขอันไพบูลย์
. . . ท่านพ่อลี ธัมมธโร . . .
วัดอโศการาม อำเภอเมือง สมุทรปราการ
~~~~~~~~~
สวัสดีค่ะ มีนิทานมาฝากด้วยนะคะ มีแต่ความสุขใจค่ะ
ณ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชาวนาคนหนึ่งเลี้ยงลาไว้ตัวหนึ่งซึ่งแก่มากแล้ว วันหนึ่งมันดันเดินซุ่มซ่ามไปตกบ่อแห่งหนึ่ง มันร้องครวญครางอยู่เป็นเวลานาน ชาวนาเองก็พยายามใคร่ครวญหาวิธีที่จะช่วยมันขึ้นมา
http://i455.photobucket.com/albums/qq273/sellersautos/donkey-1-1.gif
ในที่สุดชาวนาหวนคิดขึ้นมาได้ว่า เจ้าลาก็แก่เกินไปแล้วอีกอย่างบ่อนี้ก็ต้องกลบไม่คุ้มที่จะช่วยเจ้าลา ชาวนาจึงไปขอแรงชาวบ้าน เพื่อมาช่วยกลบบ่อ ทุกคนใช้พลั่วตักดินสาดลงไปในบ่อ ครั้งแรกเมื่อดินถูกหลังลา มันตกใจและรู้ชะตากรรมของตนเองทันที มันร้องโหยหวนสักพักหนึ่ง ทุกคนก็แปลกใจที่เจ้าลาเงียบไป
หลังจากชาวนาตักดินใส่บ่อได้สักสองสามพลั่ว เมื่อเหลือบมองลงไปในบ่อ ก็พบกับความประหลาดใจ ที่ลามันจะสะบัดดินออกจากหลังทุกครั้งที่มีผู้สาดดินลงไป แล้วก้าวขึ้นไปเหยียบบนดินเหล่านั้น ยิ่งทุกคนพยายามเร่งระดมสาดดินลงไปมากเท่าไร มันก็ก้าวขึ้นมาเร็วได้มากยิ่งขึ้น ในไม่ช้าทุกคนต่างประหลาดใจเพราะในที่สุด
เจ้าลาก็สามารถหลุดพ้นจากปากบ่อดังกล่าวได้
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ชีวิตนี้อุปสรรคต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามาหาเรา ก็เปรียบเหมือนดินที่สาดเข้ามาหาเรา จงอย่าท้อถอยและยอมแพ้ จงแก้ไขมันเพื่อที่จะก้าวสูงขึ้นเรื่อยๆ เปรียบเหมือนลาแก่ที่หลุดพ้นจากบ่อได้ ฉันใดฉันนั้น
อุปสรรคมีไว้ให้ก้าวข้ามไป ชีวิตคนเราก็เช่นกัน เราก็ต้องประสบกับโลกธรรมแปดเป็นธรรมดา คือ ได้ลาภ ได้ยศ สรรเสริญ สุข ก็ต้องมีเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ แต่เมื่อเรามีทุกข์ มีปัญหา
หรือต้องประสบกับวิกฤติหนักหนาสาหัสแค่ไหน ก็ให้อาศัยขันติ มีความอดทน
เมื่อมีความทุกข์ หยุดทำ หยุดพูด หยุดคิด ตั้งสติใช้ปัญญา อาศัยอดทน อดกลั้น หยุดทุกสิ่งทุกอย่างไว้ก่อน ไม่ต้องคิดที่จะแก้ปัญหาภายนอก กำหนดรู้ลมหายใจออกยาวๆ ลมหายใจเข้าลึกๆ ให้มีสติ มีความรู้สึกตัวกับลมหายใจเข้า ลมหายใจออกติดต่อกัน ต่อเนื่องกัน มีสมาธิตั้งมั่นกับลมหายใจ ปล่อยวางความรู้สึกที่ไม่ดี ปล่อยวางจิตใจให้ว่างๆ ว่างจากอดีต ว่างจากอนาคต ว่างจากความไม่สบายใจ เหลือแต่จิตที่มีแต่ความรู้สึกตัว เบิกบานใจ โอปนยิโก น้อมเข้าไปหาธรรมชาติของจิตที่เป็นประภัสสร บริสุทธิ์ผ่องใส เมื่อจิตสงบสบายแล้ว จึงค่อยๆ คิดแก้ปัญหาด้วยสติปัญญา เมื่อจิตใจดี สบายใจทุกอย่างแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะค่อยๆ ดีขึ้น ให้มีความหวัง กำลังใจที่จะต่อสู้
... ทุกข์ที่สุดอยู่ที่ไหน ขุมทรัพย์ก็มีอยู่ที่นั่น ...
... ทุกข์ที่สุดอยู่ที่ไหน สุขที่สุดมันก็อยู่ที่นั่น นี่เป็นความจริง ...
... ไม่ว่าจะมีวิกฤติหรือเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นกับเรา สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตคือรักษาใจของเราให้ดี
ให้มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นคุณธรรมประจำใจของเรา ...
ขอขอบคุณที่มาคะ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sayings&month=09-2008&date=15&group=1&gblog=154
http://i229.photobucket.com/albums/ee170/ekui_ekui/DSC03690.jpg
ผู้จะต้องถึงมรรคผลนิพพานได้นั้น
. . . จะต้องทำทางใจ . . .
ถ้าไม่ทำทางนี้แล้ว จะทำกุศลสักเท่าไร ก็ถึงมรรคนิพพานไม่ได้
นิพพานนี้จะต้องถึงด้วยข้อปฎิบัติทางใจเท่านั้น
ที่เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
ศีลเป็นเหตุแห่งสมาธิ
สมาธิเป็นเหตุแห่งปัญญา
ปัญญาเป็นเหตุแห่งวิมุตติ
. . . สมาธิเป็นสิ่งสำคัญ . . .
เพราะเป็นที่ตั้งแห่งปัญญาและญาณ อันเป็นองค์สำคัญของมรรค
แต่จะขาดสมาธิไม่ได้ ถ้าขาดแล้วก็ได้แต่จะคิดๆ นึกๆ เอา
ฟุ้งซ่านไปต่างๆ ปราศจากหลักฐานสำคัญ
สมาธิเปรียบเสมือนตะปู
ปัญญาเปรียบเสมือนค้อนที่ตอกตะปู
ถ้าตะปูเอียงไปค้อนก็ตีผิดๆ ถูกๆ
ตะปูนั้นก็ไม่ทะลุกระดานนี้ ฉันใด
ใจเราจะบรรลุธรรมชั้นสูงทะลุโลกได้จะต้องมีสมาธิเป็นหลักก่อน
แล้วจึงเกิดญาณ ญาณนี้จะได้แต่คนทำสมาธิเท่านั้น
ส่วนปัญญาย่อมมีอยู่ทั่วไปแก่คนทั้งหลาย
แต่ไม่พ้นจากโลกได้เพราะขาดญาณ
ฉะนั้นท่านทั้งหลายควรสนใจ อันเป็นทางพ้นทุกข์ถึงสุขอันไพบูลย์
. . . ท่านพ่อลี ธัมมธโร . . .
วัดอโศการาม อำเภอเมือง สมุทรปราการ
~~~~~~~~~
สวัสดีค่ะ มีนิทานมาฝากด้วยนะคะ มีแต่ความสุขใจค่ะ
ณ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชาวนาคนหนึ่งเลี้ยงลาไว้ตัวหนึ่งซึ่งแก่มากแล้ว วันหนึ่งมันดันเดินซุ่มซ่ามไปตกบ่อแห่งหนึ่ง มันร้องครวญครางอยู่เป็นเวลานาน ชาวนาเองก็พยายามใคร่ครวญหาวิธีที่จะช่วยมันขึ้นมา
http://i455.photobucket.com/albums/qq273/sellersautos/donkey-1-1.gif
ในที่สุดชาวนาหวนคิดขึ้นมาได้ว่า เจ้าลาก็แก่เกินไปแล้วอีกอย่างบ่อนี้ก็ต้องกลบไม่คุ้มที่จะช่วยเจ้าลา ชาวนาจึงไปขอแรงชาวบ้าน เพื่อมาช่วยกลบบ่อ ทุกคนใช้พลั่วตักดินสาดลงไปในบ่อ ครั้งแรกเมื่อดินถูกหลังลา มันตกใจและรู้ชะตากรรมของตนเองทันที มันร้องโหยหวนสักพักหนึ่ง ทุกคนก็แปลกใจที่เจ้าลาเงียบไป
หลังจากชาวนาตักดินใส่บ่อได้สักสองสามพลั่ว เมื่อเหลือบมองลงไปในบ่อ ก็พบกับความประหลาดใจ ที่ลามันจะสะบัดดินออกจากหลังทุกครั้งที่มีผู้สาดดินลงไป แล้วก้าวขึ้นไปเหยียบบนดินเหล่านั้น ยิ่งทุกคนพยายามเร่งระดมสาดดินลงไปมากเท่าไร มันก็ก้าวขึ้นมาเร็วได้มากยิ่งขึ้น ในไม่ช้าทุกคนต่างประหลาดใจเพราะในที่สุด
เจ้าลาก็สามารถหลุดพ้นจากปากบ่อดังกล่าวได้
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ชีวิตนี้อุปสรรคต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามาหาเรา ก็เปรียบเหมือนดินที่สาดเข้ามาหาเรา จงอย่าท้อถอยและยอมแพ้ จงแก้ไขมันเพื่อที่จะก้าวสูงขึ้นเรื่อยๆ เปรียบเหมือนลาแก่ที่หลุดพ้นจากบ่อได้ ฉันใดฉันนั้น
อุปสรรคมีไว้ให้ก้าวข้ามไป ชีวิตคนเราก็เช่นกัน เราก็ต้องประสบกับโลกธรรมแปดเป็นธรรมดา คือ ได้ลาภ ได้ยศ สรรเสริญ สุข ก็ต้องมีเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ แต่เมื่อเรามีทุกข์ มีปัญหา
หรือต้องประสบกับวิกฤติหนักหนาสาหัสแค่ไหน ก็ให้อาศัยขันติ มีความอดทน
เมื่อมีความทุกข์ หยุดทำ หยุดพูด หยุดคิด ตั้งสติใช้ปัญญา อาศัยอดทน อดกลั้น หยุดทุกสิ่งทุกอย่างไว้ก่อน ไม่ต้องคิดที่จะแก้ปัญหาภายนอก กำหนดรู้ลมหายใจออกยาวๆ ลมหายใจเข้าลึกๆ ให้มีสติ มีความรู้สึกตัวกับลมหายใจเข้า ลมหายใจออกติดต่อกัน ต่อเนื่องกัน มีสมาธิตั้งมั่นกับลมหายใจ ปล่อยวางความรู้สึกที่ไม่ดี ปล่อยวางจิตใจให้ว่างๆ ว่างจากอดีต ว่างจากอนาคต ว่างจากความไม่สบายใจ เหลือแต่จิตที่มีแต่ความรู้สึกตัว เบิกบานใจ โอปนยิโก น้อมเข้าไปหาธรรมชาติของจิตที่เป็นประภัสสร บริสุทธิ์ผ่องใส เมื่อจิตสงบสบายแล้ว จึงค่อยๆ คิดแก้ปัญหาด้วยสติปัญญา เมื่อจิตใจดี สบายใจทุกอย่างแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะค่อยๆ ดีขึ้น ให้มีความหวัง กำลังใจที่จะต่อสู้
... ทุกข์ที่สุดอยู่ที่ไหน ขุมทรัพย์ก็มีอยู่ที่นั่น ...
... ทุกข์ที่สุดอยู่ที่ไหน สุขที่สุดมันก็อยู่ที่นั่น นี่เป็นความจริง ...
... ไม่ว่าจะมีวิกฤติหรือเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นกับเรา สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตคือรักษาใจของเราให้ดี
ให้มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นคุณธรรมประจำใจของเรา ...
ขอขอบคุณที่มาคะ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sayings&month=09-2008&date=15&group=1&gblog=154