*8q*
03-29-2009, 08:25 PM
ส่วนเกินชีวิตที่ใจเราเกี่ยวข้องเข้าไปยึดมั่นถือมั่น นั่นล่ะคืออัตตาของเรา คือตัวตนของเรา ทั้งหมดที่เป็นอัตตามันก็ไม่ใช่เรา แต่จะทำยังไงให้เห็นว่ามันไม่ใช่เรา ทำให้เห็นว่ามันเป็นอนัตตา
จากที่เคยยึดถือว่านี่คือขวด กลับเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ว่าสิ่งนี้สักแต่เป็นเพียงว่าเกิดขึ้น ส่ิงนี้ตั้งอยู่ สิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้เป็นแต่เพียงสิ่งที่ถูกสมมติให้ว่าเป็นขวดโดยภาษาสมมติบัญญัติเรียกว่าขวด นี่คือภาษาสมมติ ไปถามฝรั่งเขาก็ไม่เรียกขวด เขาเรียกอย่างอื่น คนจีนก็เรียกไปอีกอย่าง ที่นี้มันก็วิปลาสไปหมด ต้นไม้ก็เป็นต้นไม้ ทุกต้นคือต้นไม้ แต่ทำไม่ต้องมาเป็นต้นนี้ต้นนั้นด้วย ทำไมต้องเป็นมะค่า ทำไมต้องเป็นตะโก ทำไมต้องเป็นจันผาด้วย นั่นคือสมมติบัญญัติ ภาษาสมมติ
ที่นี้คนเรามันไม่เข้าใจ มันก็ยึดถือตรงนี้ ยึดเป็นความรู้เลยที่นี้ แล้วก็มาศึกษาเรื่องจันผากันล่ะทีนี้ ก็เอาจันผามาศึกษา ค้นคว้าวิจัย เอามาขยายพันธ์ุทำดัดแปลง ตัดต่อพันธุกรรมออกมาให้มันวิปลาส ละเอียดลออประณีตเข้าไปอีก นี่คือรู้แบบความรู้ รู้แบบสมมติมายา คือรู้เป็นวิชาการ แต่ถามว่าทั้งหมดที่เข้าไปรู้ ต่อให้รู้ละเอียดลออแค่ไหนก็ช่าง นักวิทยาศาสตร์ทั้งโลกรวมหัวกันวิจัยเนี่ย มันพ้นทุกข์กันไม่ได้สักคนเดียว มันก็โง่อยู่กับเรื่องจันผานี่แหล่ะ แต่เรื่องอื่น เรื่องมดมันรู้มั้ยล่ะ มันก็ไม่รู้ เรื่องผัวมันเมียมันล่ะ ตบตีกันทะเลาะกัน กลับบ้านกินเหล้าเมา รู้มั้ยล่ะ มันก็ไม่รู้อีก
แล้วจะรู้ให้มันเป็นสัจจะยังไง ก็ต้องรู้ถึงภาวะของมัน ภาวะธาตุ ภาวะขอบเขตความเป็นจริงของต้นจันผามันคืออะไร ก็คือ ขอบเขตของมันก็อยู่ที่ไตรลักษณ์นั่นเอง ขอบเขตของมันอยู่ที่ความไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง ความเป็นทุกข์ ความไม่อาจสามารถทนอยู่ได้นาน มีอายุขัยร้อยปี ห้าสิบปี มันก็ต้องตาย ตายแล้วก็กลายเป็นซาก กลายเป็นดิน กลายเป็นหิน กลายเป็นฟอสซิลขึ้นมา นี่คือความเป็นจริง สัจจะของมัน ไม่มีอะไรสามารถจะยึดถือให้มันเป็นตัวเป็นตนได้ จึงเรียกว่าอนัตตา อย่างนี้เป็นต้น
การเข้าใจธรรมชาติคือเข้าใจอย่างนี้ ทุกอย่างมันเป็นอย่างนี้ แม้แต่ตัวเราเองอาศัยอยู่ พึ่งพาชั่วครั้งชั่วคราวเนี่ย อุปกรณ์อันนี้จะพูดออกมาให้มันเป็นกุศลขึ้นสวรรค์ก็ได้ จะพูดออกมาให้สงฆ์แตกกันเกิดอนันตริยกรรมก็ได้ ก็อาศัยความยึดมั่นถือมั่นในธาตุ ธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เปลี่ยนเป็นร่างกาย อัตตาตัวนี้ แล้วไหนจะข้างในอีกล่ะ อารมณ์ ความคิด ความรู้สึกที่เป็นนามธรรมอีกล่ะ ที่ล้วนแล้วแต่ปรุงแต่ง ปั้นออกมาเป็นรูปอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นความยินดี เป็นความยินร้าย เสียใจ ดีใจ อย่างนั้นอย่างนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนเกินชีวิตเราทั้งนั้นเลย ถ้ามันเป็นเรา ก็ต้องบังคับให้วันนี้มันดีใจทั้งวันได้สิ มันทำไม่ได้ วันนี้จะต้องร้องไห้ทั้งวัน เดี๋ยวจะร้องไห้สักชั่วโมงสิ ทำได้มั้ย มันก็ไม่ได้อีก นั่งร้องไห้อยู่น่ะ เออ เดี๋ยวอีกสองนาทีจะหยุดแล้ว มันก็ไม่หยุด มันบังคับไม่ได้ มันเป็นภาวะของธรรมชาติ
วิบากดีชั่ว เป็นผลแห่งการกระทำ นิสัยอัธยาศัยที่ถูกฝึกมา เป็นคนที่มีอัธยาศัยยึดมั่นถือมั่น ก็เป็นไปเพื่อความวิบัติมาก เป็นไปเพื่อความทุกข์อันกว้างขวาง เราก็ต้องมาฝึกที่จะรู้แจ้งในภาวะและขอบเขตของตน ทั้งอารมณ์และตัวตน เพื่อให้แจ้งในวิบากนั้น ภาวะนั้น พอแจ้งแล้ว มันแจ้งอะไร มันแจ้งที่ไตรลักษณ์ของภาวะนั้น อ๋อ มันไม่เที่ยง มันก็เกิดดับให้เห็น เกิดดับให้เห็น ก็ปล่อยมันสิ มันเป็นธรรมชาติ มันอยากเกิดก็ดูมันสิ ไม่ใช่ไปปรุงแต่งมัน พอสุข*ทุกข์มันเกิด ก็ไปโอ้โห ยินดีกับมัน ยินร้ายกับมัน ไปปฏิฆะทุกข์ ขยะแขยงทุกข์ ทั้งๆที่มันเป็นธรรมชาติ สอนให้คนรู้จักตัวมันเพื่อหลุดพ้นจากตัวมันเอง เราเป็นหมอ ไม่ใช่ว่า โอ้โหเราเรียนหมอจบแล้ว เราจะหลุดพ้นจากความเป็นหมอ ไม่ใช่ มันก็เป็นหมอไปเลย ก็พร่องอยู่ในสิ่งนั้น มันไม่เหมือนพุทธศาสนา พอเรียนรู้เรื่องนี้จบ ก็จบเรื่องนี้ มันก็ไม่ต้องมาเรียนอีก แล้วทีนี้มันเชื่อมถึงกันหมด ธรรมชาติอันเดียวกันนี้ เรารู้จักเส้นผมของเราคนเดียว เราก็รู้จักเส้นผมคนอื่น มันธรรมชาติิอันเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นขนหมาขนแมวขนอะไรก็ช่าง มันก็อันเดียวกัน.
http://board.agalico.com/showthread.php?t=28633
จากที่เคยยึดถือว่านี่คือขวด กลับเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ว่าสิ่งนี้สักแต่เป็นเพียงว่าเกิดขึ้น ส่ิงนี้ตั้งอยู่ สิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้เป็นแต่เพียงสิ่งที่ถูกสมมติให้ว่าเป็นขวดโดยภาษาสมมติบัญญัติเรียกว่าขวด นี่คือภาษาสมมติ ไปถามฝรั่งเขาก็ไม่เรียกขวด เขาเรียกอย่างอื่น คนจีนก็เรียกไปอีกอย่าง ที่นี้มันก็วิปลาสไปหมด ต้นไม้ก็เป็นต้นไม้ ทุกต้นคือต้นไม้ แต่ทำไม่ต้องมาเป็นต้นนี้ต้นนั้นด้วย ทำไมต้องเป็นมะค่า ทำไมต้องเป็นตะโก ทำไมต้องเป็นจันผาด้วย นั่นคือสมมติบัญญัติ ภาษาสมมติ
ที่นี้คนเรามันไม่เข้าใจ มันก็ยึดถือตรงนี้ ยึดเป็นความรู้เลยที่นี้ แล้วก็มาศึกษาเรื่องจันผากันล่ะทีนี้ ก็เอาจันผามาศึกษา ค้นคว้าวิจัย เอามาขยายพันธ์ุทำดัดแปลง ตัดต่อพันธุกรรมออกมาให้มันวิปลาส ละเอียดลออประณีตเข้าไปอีก นี่คือรู้แบบความรู้ รู้แบบสมมติมายา คือรู้เป็นวิชาการ แต่ถามว่าทั้งหมดที่เข้าไปรู้ ต่อให้รู้ละเอียดลออแค่ไหนก็ช่าง นักวิทยาศาสตร์ทั้งโลกรวมหัวกันวิจัยเนี่ย มันพ้นทุกข์กันไม่ได้สักคนเดียว มันก็โง่อยู่กับเรื่องจันผานี่แหล่ะ แต่เรื่องอื่น เรื่องมดมันรู้มั้ยล่ะ มันก็ไม่รู้ เรื่องผัวมันเมียมันล่ะ ตบตีกันทะเลาะกัน กลับบ้านกินเหล้าเมา รู้มั้ยล่ะ มันก็ไม่รู้อีก
แล้วจะรู้ให้มันเป็นสัจจะยังไง ก็ต้องรู้ถึงภาวะของมัน ภาวะธาตุ ภาวะขอบเขตความเป็นจริงของต้นจันผามันคืออะไร ก็คือ ขอบเขตของมันก็อยู่ที่ไตรลักษณ์นั่นเอง ขอบเขตของมันอยู่ที่ความไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง ความเป็นทุกข์ ความไม่อาจสามารถทนอยู่ได้นาน มีอายุขัยร้อยปี ห้าสิบปี มันก็ต้องตาย ตายแล้วก็กลายเป็นซาก กลายเป็นดิน กลายเป็นหิน กลายเป็นฟอสซิลขึ้นมา นี่คือความเป็นจริง สัจจะของมัน ไม่มีอะไรสามารถจะยึดถือให้มันเป็นตัวเป็นตนได้ จึงเรียกว่าอนัตตา อย่างนี้เป็นต้น
การเข้าใจธรรมชาติคือเข้าใจอย่างนี้ ทุกอย่างมันเป็นอย่างนี้ แม้แต่ตัวเราเองอาศัยอยู่ พึ่งพาชั่วครั้งชั่วคราวเนี่ย อุปกรณ์อันนี้จะพูดออกมาให้มันเป็นกุศลขึ้นสวรรค์ก็ได้ จะพูดออกมาให้สงฆ์แตกกันเกิดอนันตริยกรรมก็ได้ ก็อาศัยความยึดมั่นถือมั่นในธาตุ ธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เปลี่ยนเป็นร่างกาย อัตตาตัวนี้ แล้วไหนจะข้างในอีกล่ะ อารมณ์ ความคิด ความรู้สึกที่เป็นนามธรรมอีกล่ะ ที่ล้วนแล้วแต่ปรุงแต่ง ปั้นออกมาเป็นรูปอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นความยินดี เป็นความยินร้าย เสียใจ ดีใจ อย่างนั้นอย่างนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนเกินชีวิตเราทั้งนั้นเลย ถ้ามันเป็นเรา ก็ต้องบังคับให้วันนี้มันดีใจทั้งวันได้สิ มันทำไม่ได้ วันนี้จะต้องร้องไห้ทั้งวัน เดี๋ยวจะร้องไห้สักชั่วโมงสิ ทำได้มั้ย มันก็ไม่ได้อีก นั่งร้องไห้อยู่น่ะ เออ เดี๋ยวอีกสองนาทีจะหยุดแล้ว มันก็ไม่หยุด มันบังคับไม่ได้ มันเป็นภาวะของธรรมชาติ
วิบากดีชั่ว เป็นผลแห่งการกระทำ นิสัยอัธยาศัยที่ถูกฝึกมา เป็นคนที่มีอัธยาศัยยึดมั่นถือมั่น ก็เป็นไปเพื่อความวิบัติมาก เป็นไปเพื่อความทุกข์อันกว้างขวาง เราก็ต้องมาฝึกที่จะรู้แจ้งในภาวะและขอบเขตของตน ทั้งอารมณ์และตัวตน เพื่อให้แจ้งในวิบากนั้น ภาวะนั้น พอแจ้งแล้ว มันแจ้งอะไร มันแจ้งที่ไตรลักษณ์ของภาวะนั้น อ๋อ มันไม่เที่ยง มันก็เกิดดับให้เห็น เกิดดับให้เห็น ก็ปล่อยมันสิ มันเป็นธรรมชาติ มันอยากเกิดก็ดูมันสิ ไม่ใช่ไปปรุงแต่งมัน พอสุข*ทุกข์มันเกิด ก็ไปโอ้โห ยินดีกับมัน ยินร้ายกับมัน ไปปฏิฆะทุกข์ ขยะแขยงทุกข์ ทั้งๆที่มันเป็นธรรมชาติ สอนให้คนรู้จักตัวมันเพื่อหลุดพ้นจากตัวมันเอง เราเป็นหมอ ไม่ใช่ว่า โอ้โหเราเรียนหมอจบแล้ว เราจะหลุดพ้นจากความเป็นหมอ ไม่ใช่ มันก็เป็นหมอไปเลย ก็พร่องอยู่ในสิ่งนั้น มันไม่เหมือนพุทธศาสนา พอเรียนรู้เรื่องนี้จบ ก็จบเรื่องนี้ มันก็ไม่ต้องมาเรียนอีก แล้วทีนี้มันเชื่อมถึงกันหมด ธรรมชาติอันเดียวกันนี้ เรารู้จักเส้นผมของเราคนเดียว เราก็รู้จักเส้นผมคนอื่น มันธรรมชาติิอันเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นขนหมาขนแมวขนอะไรก็ช่าง มันก็อันเดียวกัน.
http://board.agalico.com/showthread.php?t=28633