PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : การค้นพบที่ยิ่งใหญ่



*8q*
04-05-2009, 01:04 PM
การค้นคว้าวิจัยในปัจจุบันมีอยู่มาก และนับวันงานวิจัยก็ยิ่งสนุก ยิ่งท้าทาย ยิ่งยั่วให้อยากเห็นความสำเร็จ เพราะถ้างานวิจัยบางชิ้นเกิดผลสำเร็จจริง นอกจากประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับโลกแล้ว ก็อาจหมายถึงจุดสุดยอดของชีวิตนักวิจัย ที่ชื่อเสียงเงินทองจะไหลมาเทมา และจับพลัดจับผลูชื่ออาจถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ เป็นที่จดจำไปอีกหลายสิบ หรือหลายร้อยหลายพันปีทีเดียว<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:P></O:P>

ขอยกตัวอย่างความฝันเฟื่องที่คล้ายมีเค้าว่าจะเป็นไปได้จริง คือการ ‘กำจัดจุดอ่อนก่อนเกิด’ ลองคิดดูว่าถ้าวันหนึ่งมีอัจฉริยะสักคนสามารถเรียงลำดับดีเอ็นเอให้มนุษย์ทุกคนสวยหล่อ สุดฉลาดและแสนดีด้วยกรรมวิธีราคาถูก เอาไปใช้ในโรงพยาบาลทั่วไปได้ ทั้งโลกจะติดหนี้บุญคุณอัจฉริยะคนนั้นขนาดไหน?
<O:P></O:P>
หากฟังข่าววิทยาการเพียงเผินๆโดยไม่ลงรายละเอียด ก็เหมือนความคิดเกี่ยวกับการเรียงลำดับดีเอ็นเอเป็นไปได้จริง หรือความจริงอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่หากเป็นนักวิจัยโดยตรงจะทราบว่าเรื่องมันไม่หวานขนาดนั้น ยังมีหลายสิ่งที่ต้องเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และพัฒนาวิทยาการเพื่อเข้าถึงรายละเอียดดีเอ็นเออีกมาก<O:P></O:P>
ถ้ากฎแห่งกรรมวิบากมีจริง ก็ต้องฟันธงครับว่าวันแห่งการค้นพบวิธีดัดแปลงทารกตามใจชอบจะไม่มีวันมาถึง ต่อให้อัจฉริยะแค่ไหนก็จะพบข้อจำกัดที่ไม่มีทางเอาชนะได้ โดยข้อจำกัดนั้นอาจมาในรูปของผลกระทบข้างเคียงที่น่ากลัว หรืออาจมาในรูปของความล้มเหลวจากสาเหตุอันไม่เป็นที่รู้ ทั้งนี้เพราะมนุษย์ไม่ได้เกิดมาด้วยเหตุผลที่จับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรม รูปธรรมเป็นเพียงผลอันไหลมาแต่เหตุซึ่งดูจะเป็นนามธรรมที่ไม่อาจจับต้อง พวกเรากำลังอยู่ในโลกแห่งความจริงที่มีอะไรอย่างหนึ่ง ‘จะเอาอย่างนี้ให้ได้’ เช่นถ้าเด็กต้องเกิดมาลำบาก เป็นทุกข์ และเจอแต่เรื่องร้ายๆ จะไปเปลี่ยนยีนบางตัวเพื่อให้เขาอยู่สบาย เป็นสุข และเจอแต่เรื่องดีๆไม่ได้ วันไหนนักวิทยาศาสตร์ทำได้ ก็แปลว่ากฎแห่งกรรมวิบากไม่มีจริง ที่จริงแท้น่าบูชาอยู่อย่างเดียวคือกฎแห่งพันธุศาสตร์ซึ่งมนุษย์ควบคุมได้ดุจเป็นพระเจ้า<O:P></O:P>
อีกอย่าง ทั้งภาครัฐและเอกชนไม่ได้สนใจลงทุนค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับการดัดแปลงทารกแรกเกิดกันจริงจังนัก เพราะยังดูเป็นเรื่องเลื่อนลอยเมื่อเทียบกับ
ไอเดียอื่นๆ
ปัจจุบันผู้ให้ทุนวิจัยส่วนใหญ่มักมุ่งเน้นการแก้ปัญหาสำคัญเร่งด่วน โดยเฉพาะเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บอันก่อความทุกข์ทรมานกายและความตายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ น้อยครับที่ยอมลงเงินเป็นร้อยเป็นพันล้านเหรียญเพื่องานวิจัยที่ยิ่งใหญ่อันไม่เป็นที่รู้ว่าจะสำเร็จจริงหรือเปล่า<O:P></O:P>
โลกเรามีสถาบันศึกษาที่แต่ละปีผลิตอัจฉริยะนักวิจัยออกมาจำนวนมาก ฉะนั้นไม่น่าแปลกที่นักวิจัยจะคิดอะไรซ้ำๆกันโดยไม่เป็นที่รู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต่างฝ่ายต่างก็ได้ทุนจากเอกชน และฝังตัวอยู่ในห้อง
แล็บลับ
ไม่เปิดเผยให้สาธารณชนทราบ
สักแอะว่ากำลังคิดอะไร
ทำอะไร จน
ไมเคิล

ไครชตันเคยเขียนนิยายออกมาเรื่องหนึ่ง
เป็นการเตือนว่าโครงการวิจัยลับๆพวกนี้อาจทำเรื่องแสบๆ เช่นผลิตสัตว์ประหลาดขนาดเล็กที่ร้ายกาจและไม่มีทางกำจัดออกมาให้ชมเป็นขวัญตา<O:P></O:P>
แม้บางงานจะเป็นที่เปิดเผย แต่ก็เป็นงานวิจัยที่ทั่วโลกแข่งกันเอาความสำเร็จกันอยู่ โดยไม่เต็มใจแบ่งปันข้อมูลความรู้แก่กันและกัน เนื่องจากใครคิดได้ก่อนก็รวยก่อน และไม่ใช่รวยระดับสิบล้านร้อยล้าน แต่รวยขนาดเรียกพี่ได้คนเดียวคือ
บิล

เกตส์
<O:P></O:P>
ยกตัวอย่างเช่นยารักษาโรค ทุกวันนี้เป็นที่รู้ว่าถ้า
สามารถเช็กดีเอ็นเอก่อน
เพื่อดูว่ายีนที่ผิดปกติแบบนั้นแบบนี้ต้องใช้ยาอะไร การรักษาโรคนั้นๆจะประสบความสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ ต่างจากยาปัจจุบันที่คลุมๆไป ไม่มีวิธีใดจะช่วยให้วินิจฉัยได้ละเอียดว่าคนไข้เป็นอะไรกันแน่ ควรใช้ยาขนานใดรักษาดี<O:P></O:P>
ยกตัวอย่างเช่นการรักษาผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านม ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันทำให้บางคนหาย แต่วิธี
เดียวกันเป๊ะก็ไม่ทำให้อีกคนหายได้
ซึ่งก็เริ่มๆพบแล้วว่าขึ้นอยู่กับยีนของแต่ละคน บางคนมียีนที่รักษาไม่ได้ รักษาจนตายก็ไม่หายอยู่ดี (และนักวิทยาศาสตร์ก็จนใจ ไม่อาจอธิบายว่าทำไมยีนรักษาไม่หายจึงมาปรากฏในบางคน ไม่ใช่กับทุกคน)<O:P></O:P>
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดแล้วการค้นพบที่แสนยากอาจไม่ยิ่งใหญ่เท่าที่ควร เนื่องจากโรคใหม่ๆดาหน้าเรียงคิวมาท้าทายสมองประลองปัญญามนุษย์ทุกวัน วันหนึ่งคุณอาจไม่ประหลาดใจ ไม่ตื่นตระหนกอกสั่นอีกแล้ว ถ้าได้ยินว่ามีโรคประหลาด คนเดินอยู่ดีๆชักกระตุกทีเดียวตาย ไม่เปิดโอกาสให้ร้องเรียกใครมาช่วยสักคำ และคุณอาจเฉยๆ ไม่เตรียมทำพินัยกรรมให้ใครเพียงเพราะได้ยินว่านักวิทยาศาสตร์ยอมแพ้กับโรคใหม่นั้น หรือโรคนั้นกลายพันธุ์รวดเร็วเป็นจรวด บริษัทยาจนด้วยเกล้าที่จะคิดหายาใหม่ๆมาปราบทัน สายพันธุ์หนึ่งยังแก้ไม่ได้ ดันมีสายพันธุ์ใหม่มาจ่อรออีกเป็นสิบ<O:P></O:P>

อย่างวันนี้นะครับ ถ้ามีคนลุกขึ้นมาประกาศตูมว่าคิดวิธีรักษาไข้หวัดนกได้ คนในวงการอาจเท้าคางฟังด้วยแววตาเฉย
เมย
และถามเบาๆว่าที่รักษาได้นั้นเป็นสายพันธุ์ไหน?
เพราะไข้หวัดนกไม่ได้มีแค่สายพันธุ์เดียว และบางสายพันธุ์ก็ไม่ดุร้ายประมาณเพชฌฆาต ยังมีอีกหลายสายพันธุ์นักที่คร่าชีวิตคนและสัตว์ได้เร็วราวกับวายร้ายในนิยายสยองขวัญ<O:P></O:P>
พูดมาทั้งหมดนี่ ผมอยากบอกว่าทุกวันนี้ ‘การค้นพบที่ยิ่งใหญ่’ นั้นเกิดขึ้นได้ยากมาก ปัญหาระดับโลกสำคัญๆนั้น ใครๆก็อยากเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วย ฉะนั้นถ้ามีอัจฉริยะนักวิจัยสัก ๓-๔ คนลุกขึ้นมาประกาศในเวลา
ไล่เลี่ยกันถึงความสำเร็จซ้ำซ้อน
ก็คงไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัย บางคนเพิ่งได้ทุนสำหรับงานวิจัยที่ ‘ดูเหมือน’ ยิ่งใหญ่ ก็อาจปรากฏว่าอีกมุมโลกหนึ่ง มีใครอีกคนประกาศโครมว่างานวิจัยเดียวกันประสบความสำเร็จแล้ว


<O:P></O:P>

*8q*
04-05-2009, 01:10 PM
ถ้าเรามองกันตามจริงนะครับ การค้นพบที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงน่าจะเป็นอะไรที่แก้โรค แก้ทุกข์ภัยของทุกคนได้แบบม้วนเดียวจบ สำเร็จแล้วสำเร็จเลย ไม่ต้องวิเคราะห์วิจัยซ้ำซาก อะไรที่ว่านั้นน่าจะต้องอาศัยกำลังของอัจฉริยะบุรุษเพียงหนึ่งเดียวในโลกที่ทำได้ ไม่ใช่ว่าใครๆก็อาจค้นพบที่โน่นที่นี่ แล้วเผลอๆนำมาประกาศทับซ้อนกัน<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:P></O:P>
หากพิจารณาโดยแยบคายตามหลักการคิดของชาวพุทธ ก็ต้องบอกว่าโรคที่ร้ายแรงที่สุดในพิภพนี้ ไม่ใช่ไข้หวัดนก ไม่ใช่เอดส์ ไม่ใช่มะเร็ง แต่เป็น ‘โรคทางใจ’ คือใจมีเชื้อหลายๆประเภทที่ก่อให้เกิดทุกข์ เกิดความดิ้นรนทรมาน และเกิดอาการเป็นๆหายๆอยู่ตลอดวันตลอดคืน ถ้าคุณเคยเห็นคนเพ้อพร่ำร่ำไห้แทบขาดใจเพราะถวิลหารักหรือรสกาม คุณกำลังเห็นฤทธิ์ของเชื้อราคะ ถ้าคุณเคยเห็นคนทุ่มเถียงกราดเกรี้ยวไม่อับอายประชาชี คุณกำลังเห็นฤทธิ์ของเชื้อโทสะ และถ้าคุณเคยเห็นคนยึดมั่นถือมั่นในเรื่องไม่เป็นเรื่อง นั่นแหละคุณกำลังเห็นฤทธิ์ของเชื้อโมหะ<O:P></O:P>
เมื่อใดโรคทางใจหายขาด แม้ยังมีโรคทางกายรุมเร้านับสิบชนิด ก็กลายเป็นแค่เรื่องขี้ผง คือทุกข์ทางกายทำได้มากที่สุดแค่ยังกายให้กระสับกระส่าย ทว่าใจย่อมสงบสุขอยู่ตลอดเวลา ดุจเดียวกับอากาศธาตุที่ไม่มีทางพินาศด้วยแรงสะเทือนของแผ่นดินไหว<O:P></O:P>
ชาวพุทธที่มีส่วนสืบทอดศาสนา ในช่วงที่ศาสนาใกล้อยู่ใกล้ไปอย่างพวกเรานี้ จำเป็นต้องตระหนัก และช่วยทำให้คนอื่นตระหนักตามครับ ว่าพระพุทธเจ้าค้นพบวิธีรักษาโรคทางใจให้หายขาด ทำให้ความทุกข์ทรมานทางใจไม่กลับกำเริบอีก และยารักษาโรคของท่านนั้น ไม่มีผลข้างเคียงในทางร้าย ใครใช้ยาเป็นก็สบายกันทุกคน และแม้มีใครคิดวิธีแข่งกับท่าน หรือมีใครพูดว่ารักษาโรคทางใจได้หายขาดคล้ายๆท่าน ก็หาที่จริง หาที่สืบทอดประจักษ์พยานเป็นพันๆปีไม่ได้เลย<



หน้าที่ของผู้ค้นพบยังไม่จบ

หากสิ่งที่ค้นพบเปลี่ยนแปลงได้


ดุจการหายไปของเงาลวง

http://dungtrin.com/empty2/07.htm