PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : ทัพพปุปผชาดกโทษของการโต้เถียงกัน



*8q*
04-11-2009, 03:46 PM
ทัพพปุปผชาดก

โทษของการโต้เถียงกัน


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ พระอุปนันทศากยบุตร แล้วจึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้

พระอุปนันทศากยบุตรนั้น เมื่อท่านบวชในพระศาสนาแล้ว แต่ก็ได้ละคุณธรรมที่มุ่งให้มีความปรารถนาน้อยเป็นต้น ได้เป็นผู้มีความทยานอยากมาก ในวันเข้าพรรษาท่านยึดครองวัดไว้ ๒,๓ วัด คือวางร่มหรือรองเท้าไว้วัดหนึ่ง ไม้เท้าคนแก่หรือหม้อน้ำไว้อีกวัดหนึ่ง ตนเองก็อยู่วัดหนึ่ง
ท่านจำพรรษาที่วัดในชนบทวัดหนึ่ง สอนปฏิปทาอันเป็นวงศ์ของพระอริยเจ้าที่แสดง ถึงความสันโดษในปัจจัย แก่ภิกษุทั้งหลาย โดยได้เทศนาได้อย่างแจ่มชัดเหมือนยกพระจันทร์ขึ้นในอากาศก็ปานกันว่า ธรรมดาภิกษุควรเป็นผู้มักน้อย ฯลฯ ภิกษุทั้งหลายเมื่อได้ฟังคำนั้นแล้ว ก็พากันทิ้งบาตรและจีวรที่น่าชอบใจ รับเอาบาตรดินเหนียวและผ้าบังสุกุลมาใช้แทน
ท่านก็ให้ภิกษุทั้งหลาย วางของเหล่านั้นไว้ ณ ที่อยู่ท่าน ออกพรรษาปวารณาแล้ว บรรทุกของเหล่านั้นเต็มเกวียนไปพระเชตวันมหาวิหาร ในระหว่างทางถูกเถาวัลย์เกี่ยวเท้า ที่ด้านหลังวัดป่าแห่งหนึ่ง ก็เข้าใจว่า จักต้องมีของอะไรที่เราควรได้ในวัดนี้แน่นอน แล้วจึงแวะวัดนั้น
ในวัดนั้นภิกษุแก่ คือหลวงตา จำพรรษาอยู่ ๒ รูป ท่านได้ผ้าสาฎกเนื้อหยาบ ๒ ผืนและผ้ากัมพลเนื้อละเอียดผืนหนึ่ง ไม่อาจจะแบ่งกันได้ เห็นท่านมาดีใจว่า พระเถระจักแบ่งให้พวกเราได้แน่ จึงพากันเรียนท่านว่า ใต้เท้าขอรับ พวกกระผมไม่สามารถแบ่งผ้าจำนำพรรษานี้ได้ พวกกระผมจะมีการวิวาทกัน เพราะผ้าจำนำพรรษานี้ ขอใต้เท้า จงแบ่งผ้านี้ให้แก่พวกกระผม
ท่านรับปากว่า ดีแล้ว ผมจักแบ่งให้ แล้วได้แบ่งผ้าสาฎกเนื้อหยาบให้ภิกษุ ๒ รูป บอกว่า ผ้ากัมพลผืนนี้ตกแก่ผมผู้เป็นพระวินัยธร แล้วก็หยิบเอาผ้ากัมพลไป พระเถระเหล่านั้น ยังมีความอาลัยในผ้ากัมพล จึงพากันไปเชตวันมหาวิหาร พร้อมกับท่านอุปนันทะนั้นนั่นแหละ ได้บอกเนื้อความนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพระวินัยธร แล้วกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญมีหรือไม่หนอ การที่พระวินัยธรทั้งหลาย กินของที่ริบมาได้อย่างนี้
ภิกษุทั้งหลายเห็นกองบาตรและจีวร ที่พระอุปนันทะนำมาแล้วพูดว่า ท่านผู้มีอายุ ท่านมีบุญมากหรือ ? ท่านจึงได้บาตรและจีวรมาก
ท่านบอกทุกอย่างว่า ท่านผู้มีอายุ ผมจักมีบุญแต่ที่ไหน ? บาตรและจีวรนี้ผมได้มาด้วยอุบายนี้
ภิกษุทั้งหลายพากันตั้งเรื่องขึ้นในธรรมสภาว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท่านอุปนันทะศากยบุตรมีตัณหามาก มีความโลภมาก พระศาสดาเสด็จมาถึง แล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลายนั่งสนทนากัน ด้วยเรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องที่สนทนากัน จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย พระอุปนันทะ ไม่ทำสิ่งที่เหมาะสมแก่ปฏิปทา ธรรมดาว่าภิกษุ เมื่อจะบอกปฏิปทาแก่ผู้อื่น ควรจะทำให้เหมาะสมแก่ตนก่อน แล้วจึงให้โอวาทผู้อื่นในภายหลัง ครั้นทรงแสดงธรรมด้วยคาถาใน ธรรมบทนี้ว่า:
คนควรตั้งตนเองไว้ในที่เหมาะสมก่อน
ภายหลังจึงพร่ำสอนผู้อื่น ผู้ฉลาดไม่ควรจะ
มัวหมอง
แล้วตรัสว่า พระอุปนันทะ ไม่ใช่มีความโลภมากแต่ในบัดนี้ เท่านั้น แม้เมื่อแต่ก่อนเธอก็มีความโลภมากเหมือนกัน และก็ไม่ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อน เธอก็ริบสิ่งของของภิกษุเหล่านี้เหมือนกัน แล้วได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นรุกขเทวดาที่ฝั่งแม่น้ำ ครั้งนั้นสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง ชื่อมายาวี (คือเจ้าเล่ห์) พาเมียไปอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งใกล้ฝั่งแม่น้ำ อยู่มาวันหนึ่ง สุนัขจิ้งจอกตัวเมียพูดกับตัวผู้ว่า พี่ฉัน เกิดแพ้ท้องแล้วฉันอยากกินเนื้อที่ยังมีเลือดสดๆ อยู่ สุนัขจิ้งจอกตัวผู้ บอกว่า น้องอย่าท้อใจ พี่จักนำมาให้น้องให้ได้ จึงเดินไปริมฝั่งน้ำ ถูกเถาวัลย์คล้องขา จึงได้เดินไปตามฝั่งนั้นเอง ขณะนั้น นาก ๒ ตัว คือตัวหนึ่งปกติจะเที่ยวหากินน้ำลึก ส่วนตัวหนึ่งปกติจะเที่ยวหากินตามริมฝั่ง กำลังเสาะแสวงหาปลา ได้หยุดยืนอยู่ที่ตลิ่ง บรรดานาก ๒ ตัวนั้น ตัวที่ปกติเที่ยวหากินในน้ำลึก เห็นปลาตะเพียนแดงตัวใหญ่ จึงดำน้ำไปโดยเร็วคาบหางปลาไว้ได้ แต่ปลาแรงมากฉุดนากไป นากตัวที่เที่ยวหากินน้ำลึกจึงเจรจาตกลงกับนากอีกตัวหนึ่งว่า ปลาตัวใหญ่จักพอกินสำหรับเราทั้ง ๒ มาเถอะ จงเป็นสหายผู้ร่วมงานของเรา แล้วกล่าว คาถาที่ ๑ ว่า:
[๙๙๗] ดูกรสหาย นากผู้เที่ยวไปตามฝั่ง ขอความเจริญจงมีแก่ท่าน ท่านจงตาม
ฉันมา จับปลาใหญ่ได้ตัวหนึ่ง มันพาฉันไปด้วยกำลังแรง
นากอีกตัวหนึ่ง ได้ยินคำนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า:
[๙๙๘] ดูกรนากผู้เที่ยวไปในน้ำลึก ขอความเจริญจงมีแก่ท่าน ท่านจงจับปลาให้
มั่นด้วยกำลัง ฉันจักยกปลานั้นขึ้น เหมือนครุฑคาบพระยานาค ฉะนั้น
ลำดับนั้น นากทั้ง ๒ ตัวนั้น ร่วมกันนำปลาตะเพียนแดงออกมาได้ วางให้ตายอยู่บนบก แล้วเกิดการทะเลาะกันว่า แบ่งสิแก แบ่งสิ แล้วไม่อาจแบ่งกันได้ จึงหยุดนั่งกันอยู่ ขณะนั้น สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งเข้า มาถึงที่นั้น นากทั้ง ๒ ตัวนั้นเห็นแล้ว จึงพากันต้อนรับแล้วพูดว่า สหายทรรพบุบผา ปลาตัวนี้ พวกเราจับได้ร่วมกัน เมื่อพวก เราไม่สามารถจะแบ่งกันได้ จึงเกิดขัดแย้งกันขึ้น ขอเชิญท่านแบ่งปลาให้พวกเราเท่าๆ กันเถิด แล้วได้กล่าวคาถาที่ ๓ ว่า:
[๙๙๙] เราทั้งสองมัวโต้เถียงกันอยู่ ดูกรสหายทัพพปุปผกะ* ขอท่านจงฟัง
ข้าพเจ้า จงระงับความโต้เถียงกัน ขอการโต้เถียงกันจงระงับเสีย
*นากเรียกสุนัขจิ้งจอกว่า ทรรพบุบผา เพราะมันมีสีเหมือนดอกหญ้าคา
สุนัขจิ้งจอกได้ยินถ้อยคำของนากเหล่านั้นแล้ว เมื่อจะแสดงถึงปรีชาสามารถของตน จึงกล่าวคาถานี้ว่า:
[๑๐๐๐] เราเคยเป็นผู้พิพากษาในกาลก่อน พิจารณาอรรถคดีมามากนักแล้ว แน่ะ
สหาย เราจะช่วยระงับความโต้เถียง ความโต้เถียงของท่านทั้งสองจะ
ระงับ
สุนัขจิ้งจอกครั้นกล่าวคาถานี้แล้ว เมื่อจะแบ่งปลา จึงกล่าวคาถา นี้ว่า:
[๑๐๐๑] ดูกรนากผู้เที่ยวไปตามฝั่ง ท่านจงคาบเอาท่อนหางไป ท่อนหัวเป็นของ
นากผู้เที่ยวไปในน้ำลึก ส่วนท่อนกลางนี้จักเป็นของเราผู้ตัดสิน
สุนัขจิ้งจอกครั้นแบ่งปลาอย่างนี้แล้ว ก็บอกว่า เจ้าทั้งหลายอย่า ทะเลาะกันแล้วพากันกินท่อนหางและท่อนหัวเถิด แล้วก็เอาปากคาบเอา ท่อนกลางหนีไปทั้งๆ ที่นาก ๒ ตัวนั้นมองอยู่นั่นแหละ นาก ๒ ตัวนั้น นั่งหน้าเสียเหมือนแพ้ตั้งพันครั้ง แล้วได้กล่าวคาถาที่ ๖ ว่า:
[๑๐๐๒] ท่อนกลางที่สุนัขจิ้งจอกนำเอาไปนั้น จักเป็นอาหารได้หลายวัน ถ้าเรา
ไม่โต้แย้งกัน สุนัขจิ้งจอกก็จะนำเอาปลาตะเพียนท่อนกลางไปไม่ได้
ฝ่ายสุนัขจิ้งจอกดีใจว่า วันนี้เราจักให้เมียกินปลาตะเพียนแดง แล้วได้มาที่สำนักของเมียนั้น นางเมียเห็นผัวกำลังมาดีใจเป็นอย่างยิ่ง จึงได้กล่าวคาถานี้ว่า:
[๑๐๐๓] พระมหากษัตริย์ได้ครอบครองราชสมบัติแล้ว จะพึงทรงยินดีแม้ฉันใด
ดิฉันได้เห็นสามี มีหน้าอันเบิกบานในวันนี้ก็ย่อมยินดี ฉันนั้น
ครั้นกล่าวคาถานี้แล้ว เมื่อถามถึงอุบายที่ได้อาหารมา จึงกล่าว คาถานี้ว่า:
[๑๐๐๔] ท่านเป็นสัตว์เกิดบนบก ไฉนจึงจับเอาปลาในน้ำมาได้ ดูกรท่านผู้ร่วม
ใจ ดิฉันถามท่าน จงบอกดิฉันว่า ท่านจับปลานั้นมาได้อย่างไร?
สุนัขจิ้งจอกตัวเป็นผัว เมื่อจะบอกอุบายที่ได้ปลานั้นมา จึงกล่าว คาถาติดต่อกันไปว่า:
[๑๐๐๕] สัตว์ทั้งหลายย่อมซูบผอมเพราะวิวาทกัน เป็นผู้หมดทรัพย์ก็เพราะวิวาท
กัน นากสองตัว เสื่อมจากปลานี้เพราะวิวาทกัน ดูกรนางมายาวี
จงกินปลาตะเพียนแดงนี้เสียเถิด
คาถานอกนี้ เป็นคาถาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ตรัสรู้ยิ่งแล้ว ว่า ดังนี้:
[๑๐๐๖] ในหมู่มนุษย์มีการวิวาทกันขึ้น ณ ที่ใด หมู่มนุษย์ก็พากันไปหาผู้พิพากษา
ณ ที่นั้น เพราะว่าผู้พิพากษาเป็นผู้แนะนำพวกเขา ใช่แต่เท่านั้น เขา
ยังจะเสื่อมจากทรัพย์อีก เหมือนนากทั้งสองเสื่อมจากปลาตะเพียน ฉะนั้น
พระคลังหลวงย่อมเจริญขึ้น *
*หมายความว่า พวกเขาที่วิวาทกันจะเสื่อมจากทรัพย์ แต่คลังหลวงจะเจริญขึ้น เพราะสินไหม และเพราะรับส่วนแบ่งจากคำตัดสิน
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว แล้วทรงประชุมชาดกว่าว่า สุนัขจิ้งจอกในครั้งนั้น ได้แก่พระอุปนันทะในบัดนี้ นาก ๒ ตัว ได้แก่ภิกษุแก่ ๒ รูป ส่วนรุกขเทวา ผู้ทำเหตุนั้นให้เห็นประจักษ์ ได้แก่เราตถาคต ฉะนี้แล
จบ ทัพพปุปผชาดก

http://board.agalico.com/showthread.php?t=29004
<!-- / message -->