PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : ขอข้อคิดจากความขัดแย้งในสังคมวันนี้



naturex
04-12-2009, 09:04 PM
นมัสการพระคุณเจ้า ..
สวัสดีทุกท่านคะ ..

เป็นน้องใหม่เพิ่งลงทะเบียนเข้ามาคะ ต้องขอโทษถ้าหากคำถามจะเป็นเรื่องร้อนที่บอร์ดไม่อยากให้พูดถึง แต่คิดว่าอาจจะพอได้คำแนะนำดีดีจากพระคุณเจ้า หรือ ท่านทั้งหลายในบอร์ดนี้ได้..

จากสภาพบ้านเมืองในวันนี้ อยากรู้ว่าจะต้องทำความเห็นเป็นอย่างไร ความขัดแย้งในสังคมเดินมาสู่จุดที่คนไทยทำร้ายกันอย่างขาดสติ รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก แม้จะพยายามคิดว่าเรื่องที่เกิดน่าจะเป็นกรรมของผู้ถูกกระทำ และ เป็นกรรมของผู้กระทำสืบไป แต่ในใจก็ยังรู้สึกโกรธแค้น ที่คนเหล่านั้นกระทำต่อคนไทยด้วยกันเอง และต่อผู้ที่เรามีความเห็นว่ายืนอยู่บนฝั่งที่ถูกต้อง

เศร้าใจมากคะ ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำความเห็นของตนให้เป็นอย่างไร ควรวางเฉยกับหายนะที่กำลังเกิดขึ้นกับประเทศเราเพราะคนกลุ่มเดียว รู้สึกเศร้ามากว่าทำได้เพียงเท่านี้หรือ พยายามจะกำหนดตามรู้ดูใจ แต่น้ำตาก็ยังไหลอยู่ดี

ขอพระคุณเจ้าเมตตา แนะนำทางให้ด้วยเจ้าคะ

กราบขอบพระคุณพระคุณเจ้า และ ทุกท่านคะ

*8q*
04-13-2009, 08:05 AM
ต่างกัน

อาหาระนิททา ภะยะ เมถุนัญจะ สามัญญะ เม ตัปปสุภินะรานัง, ธัมโมหิ อธิโก วิเสโส ธัมเมนะ หี นา ปสุภิ นะรานัง. การกิน การหลับนอน การระแวงภัย การสืบพันธ์
4 อย่างนี้, คนกับสัตว์มีเหมือนกัน, ธรรมะเท่านั้น
ที่ทำให้คนแตกต่าง จากสัตว์, ถ้าเพิกถอนธรรมะ
ออกแล้ว คนกับสัตว์ก็เหมือนกัน.

<o:p>มีใจเป็นใหญ่<o:p></o:p>
มะโน ปุพพังคะมา ธัมมา มะโนเสฏฐา มะโนมะยา,
ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นใหญ่ มีใจประเสริฐ สำเร็จได้ที่ใจ,
มะนะสา เจ ปะทุฏเฐนะ ตาสะติ วา กะโรติ วา,
ถ้าคนมีใจชั่วแล้ว พูดอยู่ก็ตาม ทำอยู่ก็ตาม,
ตะโต นัง ทุกขะมะเวติ จักกังจะ วะหะโต ปะทัง,
ความทุกข์ย่อมติดตามคนเหล่านั้น เหมือนล้อเกวียน
หมุนตามรอยเท้าโคฉันนั้น

naturex
04-13-2009, 09:44 AM
กราบขอบพระคุณ สำหรับคำแนะนำให้ใจสว่าง

ตอนนี้จะพยายามตามรู้ดูความโกรธแค้นในใจ จนกว่ามันจะมอดไปคะ
และจะภาวนาขอแสงธรรมส่องนำทางให้คนไทยทุกคนพ้นจากความโกรธแค้นในใจเช่นกัน

ทั่นยาย
04-15-2009, 11:55 AM
สวัสดีค่ะญาติธรรมทุกท่าน

ขออนุญาติแสดงความคิดเห็นกับสภาวะการณ์ของบ้านเมืองในกระทู้นี้สักนิดนะคะ
อนึงต้องขอแจ้งให้ทราบไว้ก่อนนะคะว่าการมาแสดงความคิดเห็นในครั้งนี้มิได้มีเจตนาที่จะเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
หรือจะส่งเสริมฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือก่อให้เกิดความขัดแย้งใดๆ และยืนยันว่ามิได้รู้สึกโกรธแค้นฝ่ายใดด้วยค่ะ
เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นธรรมดาของปุถุชนคนหนึ่งที่เท่านั้นค่ะ หากเป็นการแสดงความคิดเห็นที่ไม่เหมาะสม
ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

ก่อนอื่นคงต้องมาพิจารณากันดูนะคะว่าการขัดแย้งเกิดจากอะไร เกิดจากความคิดเห็น ความต้องการที่ไม่ตรงกัน
ของบุคคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปค่ะ แล้วพัฒนาเป็นความแตกแยก...แล้วทำไมความขัดแย้งจึงพัฒนาเป็นความแตกแยกได้ล่ะ
เป็นเพราะเกิดจากการไม่ยอมลดละปล่อยวางความเป็น "อัตตา"ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งสองฝ่าย ไงคะ
ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจึงพยายามทำทุกวิถีทางที่จะให้อีกฝ่ายยอมจำนนพ่ายแพ้แก่ "อัตตาแห่งตน ค่ะ
เพื่ออะไร??? เพื่อตนจะได้รู้สึกภาคภูมิใจใน "อัตตา" แห่งตนไงคะ
หลายท่านคงอยากให้ความขัดแย้งหมดไปจากโลกนี้เช่นเดียวกับทั่นยายใช่มั้ยคะ แต่ขอบอกว่าเป็นไปไม่ได้ค่ะ
เพราะตราบใดที่พระอาทิตย์ขึ้นกลางวันพระจันทร์ขึ้นกลางคืน ปุถุชนย่อมยังหนาแน่นด้วยความเป็น "อัตตา"แห่งตน
ตลอดไปค่ะ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

ตรงนี้คือประเด็นที่ต้องพิจารณาค่ะ ทำไมปุถุชนต้องมีความเป็น "อัตตา "ด้วยล่ะ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ส่งผลดีผลร้ายอย่างไรบ้าง หากพิจาณาในทางธรรม " อัตตา" ก่อให้เกิดความขัดแย้ง
ซึ่งความขัดแย้งนั้นเกิดจากการเคยเป็นคู่เวรกรรมกันมา จึงต้องมาจองเวรจองกรรมกัน
ทำให้คู่กรณีต้องเดือนร้อนกันไปไม่หยุดหย่อน ทำอย่างไรการขัดแย้งจึงจะจบลงได้เล่าหนอ
พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนว่า "เวรระงับได้ด้วยการไม่จองเวร " ฉะนี้แล

หากพิจารณาในทางโลก "อัตตา" มีความสำคัญต่อความอยู่รอดของชีวิตและความเป็นอยู่เช่นกัน
เพราะวิถีชีวิตของสัตว์โลกเป็นไปตามกฎธรรมชาติค่ะ ธรรมชาติสร้างสมดุลย์ของระบบนิเวศน์ขึ้นมาเช่นนี้
ระบบเวศน์กดดันให้เกิดการเบียดเบียนซึ่งกันและกันขึ้นเพื่อความอยู่รอดค่ะ หากเสือหรือ สิงห์โตไม่ล่าสัตว์
มันก็คงอดตาย เพราะมันกินผักหญ้าไม่เป็น จริงมั้ยคะ เมื่อธรรมชาติเป็นเช่นนี้การเบียดเบียนเพื่อความอยู่รอดจึงเกิดขึ้นค่ะ

กฎเกฑณ์ของความอยู่รอดนี้ก่อให้เกิดสงครามความไม่สงบขึ้นมากมาย ดังจะเห็นว่าในยุคสมัยบรรพบุรุษของเรา
ได้เกิดการรุกรานแย่งชิงอาณาจักรกันมาโดยตลอด เพื่ออะไร??? ทุกท่านต้องเคยเรียนประวัติศาสตร์ดังนั้นคงจะรู้ว่า
การแย่งชิงอาณาจักรนั้นเพื่ออะไร ใช่มั้ยค่ะ สรุปว่า "อัตตา"ก่อให้เกิดการเบียดเบียน และการเบียนเบียดก่อให้เกิด
ความเดือดร้อนขึ้นมากมาย เช่นเมื่อเราถูเบียดเบียนจากความเป็น "อัตตา"ของปุถุชนด้วยกันเราย่อมเดือดร้อนใจ
เมื่อเราถูกเบียดเบียนจากโรคภัยต่างๆเราย่อมเดือนร้อนกายจริงมั้ยค่ะ สรุปว่าตราบใดที่เรายังมีการเกิดอยู่เราก็ต้องมีอัตตาอยู่
เมื่อมีอัตตาอยู่ ก็หนีความทุกข์จาก"อัตตา"ไม่พ้นหรอกค่ะ และนี่แหล่ะค่ะ พระพุทธเจ้าท่านจึงพยายามค้นหาทางพ้นทุกข์
และนำมาสอนให้ทุกคนเดินทางไปสู่การหลุดพ้น เพื่อจะได้หยุดการเกิด เพื่อจะได้หลุดพ้นจากอัตตา และหยุดการเบียดเบียนไงคะ

ในกรณีปัญหาขัดแย้งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ กลุ่มคนบางกลุ่มที่ออกมาทำอะไรก็ตามแล้วก่อให้เกิดความเดือดร้อนความไม่สงบสุข
ของประเทศชาติและประชาชนนั้นอันนี้ทั่นยายก็ไม่ทราบว่าเกิดจาก การจองเวร หรือเกิดการกดดัน ของระบบนิเวศน์ กันแน่
แต่ที่แน่ๆ ทั่นยายเชื่อมั่นว่าการมี "อัตตาแห่งตน "ของกลุ่มคนเหล่านี้ สูงเกินมาตรฐาน จึงทำให้ขาดสติ และปัญญาในการแก้ไข้ปัญหา
จึงได้ทำความเดือดร้อนวุ่ยวาย และความเสียหายแก่ตนเองประเทศชาติ และผู้อื่นซะมากมาย ก็ไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร???
เพื่อสนองความเป็นอัตตาแห่งตนแค่นี้เองหรือ ...น่าสมเพชซะจริงเชียว หากกลุ่มคนกลุ่มนั้นๆจะรู้จักละเลิก ปล่อยวาง"อัตตาแห่งตน "ลงได้บ้าง
ความเดือดร้อนของประเทศและประชาชนตาดำๆ ก็คงหมดไปจริงมั้ยคะ จากเหตุการณ์นี้ทำให้นึกถึง เหตุการณ์ที่เหล่าพระประยูรญาติ
ของพระพุทธเจ้าทะเลาะกันเพื่อแย่งชิงน้ำ ( มิใช่แย่งชิงอำนาจกัน ) เพื่อความอยู่รอด จนเกิดเหตุการณ์บานปลายใหญ่โต
จนพระพุทธเจ้าต้องทรงมาห้ามพระญาติ และใช้ปัญญาแก้ปัญหาต่างๆให้ลุล่วงลงไปด้วยดี
อันนี้จะเห็นว่าผู้มีปัญญาทั้งหลายจะรู้ว่า ปัญหาทุกอย่างหากใช้กำลังและความรุนแรงแก้ไขเมื่อใดความเสียหายจะเกิดขึ้นเมื่อนั้น
หากใช้ปัญญาเป็นตัวแก้ปัญหาจึงจะแก้ไขได้โดยละม่อม ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายใดๆค่ะ

นี้แสดงให้เห็นว่าหากท่านเป็นผู้มีปัญญาท่านจะใช้ปัญญาแก้ไขปัญหา
แต่หากท่านเป็นผู้มีเงินแต่ไร้ สติ ไร้ปัญญาท่านจะใช้กำลังและความรุนแรงในการแก้ปัญหา
ก็เป็นการแสดงนัยยะว่า เงินอาจซื้อความรู้ได้ แต่เงินไม่สามารถซื้อ สติ ปัญญา ได้จริงมั้ยค่ะ

อันนี้เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นส่วนตัวทั่นยายนะคะ อาจมีความไม่ถูกต้องไม่เหมาะสมบ้างก็ขอท่านผู้รู้ได้โปรดชี้แนะด้วยค่ะ
แต่ไม่ต้องใส่เสื้อสีมาประท้วงนะคะ เพราะทั่นยายใส่เสื้อสีรุ้งค่ะ กลมกลืนได้กับทุกสีค่ะ อิ อิ