PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : สีลวีมังสชาดกผู้ประพฤติธรรมย่อมเป็นผู้เสมอกัน



*8q*
05-12-2009, 05:56 PM
ผู้ประพฤติธรรมย่อมเป็นผู้เสมอกัน

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ พราหมณ์ผู้ทดลองศีลคนหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.

ได้ยินว่า พระราชาทรงเห็นพราหมณ์นั้นว่า พราหมณ์นี้ เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยศีล จึงทรงตั้งให้สูงยิ่งกว่าพราหมณ์อื่นทั้งหลาย พราหมณ์นั้นคิดว่า พระราชาทรงกระทำความเคารพนับถือเรา ทรงเห็นเราว่าเป็นผู้มีศีล หรือว่าทรงเห็นว่าเป็นผู้ประกอบด้วยการจำ ทรงสุตะไว้ได้ เราจักทดลองดูก่อนว่าศีลหรือสุตะสำคัญกว่ากัน
วันหนึ่งพราหมณ์นั้นจึงหยิบเอากหาปณะจากแผ่นกระดานนับเงินของเหรัญญิก (ผู้รักษาเงิน)ไป เหรัญญิกก็ไม่พูดอะไร เพราะความเคารพ แม้ในครั้งที่สอง ก็ไม่พูดอะไร แต่ในครั้งที่สาม เหรัญญิกกล่าวหาพราหมณ์นั้นว่า เป็นโจรปล้นเงิน แล้วให้จับพราหมณ์นั้นมาถวายพระราชา เมื่อพระราชาตรัสว่า พราหมณ์นี้ทำอะไร
เหรัญญิกจึงกราบทูลว่า ปล้นทรัพย์พระเจ้าข้า
พระราชาตรัสถามว่า เขาว่าเช่นนั้น จริงหรือพราหมณ์
พราหมณ์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระบาทมิได้ปล้นทรัพย์ แต่ข้าพระบาทมีความรังเกียจสงสัยว่า ศีลเป็นใหญ่หรือว่าสุตะเป็นใหญ่ ข้าพระบาทนั้น เมื่อจะทดลองว่า บรรดาศีลและสุตะนั้น อย่างไหนหนอเป็นใหญ่ จึงหยิบเอากหาปณะไป ๓ ครั้ง เหรัญญิกนี้ให้จองจำข้าพระบาทนั้น แล้วนำมาถวายพระองค์ บัดนี้ ข้าพระบาททราบแล้วว่า ศีลใหญ่กว่าสุตะ ข้าพระบาทไม่มีความต้องการอยู่ครองเรือน ข้าพระบาทจักบวช
ดังนี้แล้วขอให้ทรงอนุญาตการบวช แล้วไม่เหลียวดูประตูเรือนเลยไป ยังพระเชตวัน ทูลขอบรรพชากะพระศาสดา พระศาสดาทรงสั่งให้บรรพชาและอุปสมบทแก่พราหมณ์นั้น ท่านอุปสมบทแล้วไม่นาน เจริญวิปัสสนา ได้ดำรงอยู่ในอรหัตตผล.
ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย พราหมณ์ชื่อโน้นทดลองศีลของตนแล้ว ก็บวชเจริญวิปัสสนา ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เธอทั้งหลายนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ? เมื่อ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พราหมณ์นี้ทดลองศีลแล้วบรรพชาบรรลุพระอรหัต เฉพาะในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน บัณฑิตทั้งหลาย ทดลองศีลแล้วบรรพชา ได้กระทำที่พึ่งแก่ตนแล้วเหมือนกัน แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพระพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์ เจริญวัยแล้ว เรียนศิลปะทุกอย่างในเมืองตักกสิลาเสร็จแล้ว กลับไปเมืองพาราณสี แสดงให้พระราชา ทอดพระเนตร พระราชาได้ประทานตำแหน่งปุโรหิตแก่พระโพธิสัตว์นั้น พระโพธิสัตว์นั้นรักษาศีลห้า ฝ่ายพระ ราชาก็ทรงเคารพพระโพธิสัตว์นั้นทรงเห็นว่าเป็นผู้มีศีล พระโพธิสัตว์นั้นคิดว่า พระราชาทรงเคารพเพราะเห็นว่าเราเป็นผู้มีศีล หรือทรงเห็นว่าเป็นผู้ประกอบการทรงจำสุตะไว้ได้ เรื่องทั้งปวงเหมือนเรื่องปัจจุบันนั่นแล แต่ในที่นี้ พราหมณ์นั้นกล่าวว่า บัดนี้เรารู้แล้วว่า ศีลเป็นใหญ่สำคัญว่าสุตะ จึงได้กล่าวคาถา ๕ คาถานี้ว่า :
[๗๕๘] ข้าพระองค์มีความสงสัยว่า ศีลประเสริฐ หรือสุตะประเสริฐ ศีลนี่แหละ
ประเสริฐกว่าสุตะ ข้าพระองค์ไม่มีความสงสัยแล้ว.
[๗๕๙] ชาติและวรรณะเป็นของเปล่า ได้สดับมาว่า ศีลเท่านั้นประเสริฐที่สุด
บุคคลผู้ไม่ประกอบด้วยศีล ย่อมไม่ได้ประโยชน์เพราะสุตะ.
[๗๖๐] กษัตริย์และแพศย์ผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ไม่อาศัยธรรม ชนทั้งสองนั้นละ
โลกนี้ไปแล้ว ย่อมเข้าถึงทุคติ.
[๗๖๑] กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คนจัณฑาล และคนเทหยากเยื่อ
ประพฤติธรรมในธรรมวินัยนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้เสมอกันในไตรทิพย์.
[๗๖๒] เวท ชาติ แม้พวกพ้อง ก็ไม่สามารถจะให้อิสริยยศหรือความสุขใน
ภพหน้าได้ ส่วนศีลของตนเองที่บริสุทธิ์ดีแล้ว ย่อมนำความสุขใน
ภพหน้ามาให้ได้.
พระมหาสัตว์กล่าวคุณของศีลอย่างนี้แล้ว จึงขอให้พระราชา ทรงอนุญาตการบวช แล้วเข้าไปยังหิมพานต์ประเทศในวันนั้นเอง บวชเป็นฤๅษี ทำอภิญญาและสมาบัติให้บังเกิดแล้ว ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้วจึงทรงประชุมชาดกว่า พราหมณ์ผู้ทดลองศีลแล้วบวชเป็นฤๅษีในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ สีลวีมังสชาดก







http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=29814

<!-- / message -->