PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : โพธิสัตว์กับความรักหญิงชาย



*8q*
06-06-2009, 06:57 PM
http://images.google.co.th/url?q=http://www.dhammajak.net/board/files/268_1202517920.jpg_978.jpg&usg=AFQjCNFnUYIbDC64N0fq2Nt4cSsB-UzwwA

โพธิสัตว์เป็นชื่อเรียกบุคคลหรือกลุ่มคนที่ปรารถนาความรู้ แจ้งสูงสุดเพื่อปลดปล่อยตนเองและผู้อื่นให้พ้นจากทุกข์ ความรู้เหล่านั้นเรียกว่า โพธิญาณ การจะได้มาซึ่งโพธิญาณจำเป็นอย่างยิ่งที่โพธิสัตว์นั้น ๆ จะต้องฝึกฝนบ่มเพาะตนเองในสังสารวัฏอย่างเข้มงวด มีสติรอบด้าน มีปัญญาในทุกแง่มุม ซึ่งหนึ่งในแง่มุมที่โพธิสัตว์จะต้องเรียนรู้และจัดการคือความรัก ความรักของโพธิสัตว์เป็นอย่างไร จะแตกต่างจากความรักของชาวบ้านทั่วไปหรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าสนใจศึกษาเป็นอย่างยิ่ง

หากย้อนกลับไปมองเส้นทางชีวิตของพระศากยมุนีพุทธเจ้า ในสมัยที่ท่านยังเป็นโพธิสัตว์เสวยพระชาติต่าง ๆ ความรักของท่านในบางชาติไม่ได้ผูกพันอยู่กับเรื่องเพศหรือการแต่งงาน แต่บางชาติที่ชาวพุทธเห็นว่ามีนัยยะสำคัญเช่นพระเวสสันดร รวมถึงชาติสุดท้ายที่ทรงอุบัติเป็นเจ้าชายแห่งศากยวงศ์ ท่านทรงมีพระมเหสี มีพระโอรส (และธิดา) เฉกเช่นสามัญชน ชีวิตแห่งการเป็นผู้ครองเรือนเยี่ยงนั้น ความรักจะเป็นบ่วงพันธนาการหรือว่าวิถีไปสู่ความหลุดพ้น ความรักจะเป็นอุปสรรคหรือโอกาสให้โพธิสัตว์ได้พัฒนาปัญญาของตน ความรักและการมีครอบครัวเป็นเรื่องยอมรับได้หรือไม่สำหรับคนที่ปรารถนาจะ เดินอยู่ในเส้นทางสายนี้ ดูเหมือนว่าคำตอบของปัญหาเหล่านี้จะเลือนลางเต็มที






แนวคิดว่าด้วยโพธิสัตว์



“โพธิสัตว์” มาจากคำว่า “โพธิ” ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า “พุธ” แปลว่า รู้ ตรัสรู้ หรือปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ บางทีก็ใช้สื่อถึงญาณหยั่งรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บวกเข้ากับคำว่า “สัตว์ / สัตต์ / สัตตว์” ที่หมายถึงภาวะชีวิตหรือสัตว์ที่ยังเกี่ยว ข้อง ผูก ติด รวมความจึงหมายถึงสัตว์ผู้ฉลาด ข้องติดอยู่กับความรู้ มุ่งสู่การตรัสรู้ พูดง่าย ๆ คือมีเป้าหมายชีวิตที่การเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคต


ในทางพุทธศาสนา พระพุทธเจ้ามีอยู่สองจำพวกใหญ่ ๆ ทั้งคู่สะท้อนความมีปัญญามากเหมือนกัน แต่พวกหนึ่งจะไม่ผูกพันตนด้วยปณิธานว่าจะช่วยสัตว์อื่นโดยไม่จำกัดให้หลุด พ้นไปพร้อมกับตน เรียกพระพุทธเจ้าพวกแรกนี้ว่า พระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านจะบำเพ็ญบารมี สั่งสมกำลังปัญญาจนถึงขีดสุด เกิดชาติภพใดก็แล้วแต่ สามารถที่จะแสวงหาเส้นทางหลุดพ้นจากกองทุกข์ได้เอง ไม่ต้องรอรับคำสอนจากพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก่อนเป็นพิเศษ ครั้นหลุดพ้นแล้วก็รอนแรมเพียงลำพังไปตามที่ต่าง ๆ อบรมสั่งสอนชาวบ้านบ้างเมื่อเหตุปัจจัยเอื้ออำนวย เที่ยวไปผู้เดียวอย่างไม่มีห่วงกังวล ดังคำอุปมาที่ว่า “เที่ยวไปผู้เดียวดุจนอแรด” แรดมีนอเดียวฉันใด พระปัจเจกพุทธเจ้าก็นิยมจาริกเพียงลำพังผู้เดียวฉันนั้น


พระพุทธเจ้าพวกที่สองไม่เพียงมีกำลังปัญญามาก สามารถแสวงหาหนทางหลุดพ้นโดยลำพังได้ก็จริง แต่ท่านจะผูกพันตนด้วยปณิธานแห่งกรุณาเท่า ๆ กับปณิธานแห่งปัญญา พวกแรกเน้นปัญญาเป็นหลัก ไม่ใช่ไม่กรุณา แต่ไม่มีจริตผูกพันตนกับคนอื่นมากกว่า ปณิธานแห่งกรุณาจึงดูเหมือนอ่อนกำลังกว่าพระพุทธเจ้ากลุ่มนี้ กรุณาคือปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ พระพุทธเจ้าพวกนี้จะบำเพ็ญบารมีเพื่อช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นให้หลุดพ้นไป พร้อม ๆ กัน เรียกพระพุทธเจ้าพวกหลังนี้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า


เหตุเพราะต้องการช่วยเหลือสัตว์ให้หลุดพ้นไปพร้อมกับตนโดย ไม่จำกัด ทำให้พระพุทธเจ้าพวกหลังนี้ ก่อนจะตรัสรู้จำเป็นต้องหล่อหลอมปัญญาของตนให้ถึงขีดสุด ถ้ามีกำลังปัญญาสูงสุดก็จะสามารถเข้าใจและเกื้อกูลสัตว์น้อยใหญ่ได้ ทำให้ดวงจิตของพวกท่านต้องเวียนว่ายตายเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรียนรู้ทุกข์และทางออกจากทุกข์ในทุกรูปแบบ เพื่อที่ว่าจะได้ไม่มีสัตว์ใดถูกละทิ้งหรือเพิกเฉยในสังสารวัฏ


การเวียนว่ายตายเกิดนับชาติไม่ได้ของบุคคลที่ตั้งปณิธาน เหล่านี้ ทำให้ท่านเข้าใจความเป็นไปของสัตว์ในทุกแง่มุม รู้จักทุกข์ในทุกรูปแบบ ที่ว่ารู้จักทุกข์นั้นเพราะท่านต้องสละชีวิตของตนให้สัมผัสทุกข์เหล่านั้นจน ถึงที่สุด เมื่อสัมผัสถึงที่สุดแล้วจึงหาหนทางที่ถูกต้องในการช่วยเหลือสัตว์ต่อไปได้ เรียกง่าย ๆ ว่า ต้องอุทิศตนลองผิดลองถูกอยู่ในวัฏสงสาร การลองผิดลองถูกของพวกท่านก็คือเรียนรู้ทุกข์ให้เต็มที่ เสวยอารมณ์ของสัตว์โลกให้สุดขีด ถ้าไม่รู้จักความสุดขีดก็จะมองไม่เห็นทางสายกลาง


แต่ก็เพราะมีเป้าหมายอุดมคติเพียงนั้น ทำให้บุคคลเยี่ยงนี้ต้องมีปัญญาเป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิตทุกภพทุกชาติไป คำเรียก “โพธิสัตว์” จึงหมายถึงคนที่กำลังบำเพ็ญตนเพื่อมุ่งการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระหว่างที่ยังไม่ตรัสรู้ก็จะเรียกว่าโพธิสัตว์ โพธิสัตว์อาจเสวยชาติเป็นมนุษย์ เทวดา เดรัจฉาน หรืออะไรก็ได้ตามแต่กำลังจิตจะนำไป แม้ชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์บางทีก็อยู่ในเพศนักบวช บางทีก็เป็นผู้ครองเรือน รูปแบบภายนอกไม่สำคัญเท่ากับปณิธานภายใน อย่างไรเสีย คนที่เกิดอยู่ในทางสายนี้จะต้องดำเนินชีวิตเพื่อบ่มเพาะเชื้อหลัก ๆ สองอย่างอยู่ตลอดเวลา นั่นคือเชื้อปัญญา (wisdom) กับเชื้อกรุณา (compassion) สองเชื้อนี้จะผสานกันสร้างกลยุทธ์ในการช่วยสัตว์ที่เรียกว่า มหาอุบาย ถ้าไม่มีปัญญาก็ย่อมไม่สามารถหาอุบายโน้มน้าวใจสัตว์ที่มีอุปนิสัยหลากหลาย และถ้าไม่มีกรุณาก็ย่อมไม่มีแรงบันดาลใจจะคิดอุบายไปช่วยใคร


หากศึกษาชีวิตของโพธิสัตว์จะพบว่า ไม่ว่าจะเกิดกี่ชาติ แต่ละชาติจะมีบางอย่างเหมือนกัน นั่นคือความเสียสละ ยิ่งใกล้ชาติที่จะหลุดพ้นมาก การเสียสละก็จะดำเนินไปอย่างเข้มข้นมาก ไม่เพียงแค่วัตถุสิ่งของ โพธิสัตว์ในหลายครั้งหลายคราต้องเสียสละอวัยวะและชีวิตของตนเพื่อการได้มา ซึ่งปัญญาอันยิ่งใหญ่


ทีนี้เราขีดวงมองเพียงแค่สมบัติเฉพาะตนของโพธิสัตว์อัน ได้แก่ทรัพย์สิน อวัยวะ เลือดเนื้อ ตลอดจนชีวิต เรายังไม่ได้มองความสัมพันธ์ระหว่างโพธิสัตว์กับคนอื่น ถ้าโพธิสัตว์มีความรักความผูกพันต่อใคร ซึ่งแน่นอนว่าในสังสารวัฏอันกว้างใหญ่นี้ ความรักความผูกพันระหว่างดวงจิตต่อดวงจิตย่อมมีมาแล้วต่อเนื่องและยาวนาน โพธิสัตว์เสียสละอวัยวะกับชีวิตเราก็มองว่าทำยากมากเต็มที แต่ท่านยังต้องเสียสละความรักความผูกพันที่มีต่อดวงจิตอื่นด้วย การเสียสละความรักความผูกพันอันทำให้คนที่เรารักเป็นทุกข์กับการเสียสละร่าง กายของเราเท่านั้น อย่างไหนสร้างความเจ็บปวดมากกว่า ระหว่างการสละสมบัติส่วนตนกับการยอมเสียความรักความอบอุ่นที่คนรักของเรา ครอบครองอยู่ด้วย อันไหนจะนำมาซึ่งความทุกข์มากกว่ากัน







ปณิธานของโพธิสัตว์



จะเป็นโพธิสัตว์ได้ไม่ใช่แค่อธิษฐานขอเป็นพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าพระองค์หนึ่งแล้วก็จบ ถ้าคิดว่าได้อุบัติเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ถือว่าถึงจุดหมายปลายทาง นั่นเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ และบุคคลนั้นจะไม่มีทางบรรลุปัญญาญาณหรือแม้แต่คุณธรรมขั้นสูงสุด โพธิสัตว์ที่แท้จะไม่สนใจว่าตนจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ แต่จะสนใจว่าทำอย่างไรจึงจะช่วยเหลือตนกับคนอื่นให้เกิดปัญญาได้โดยไม่จำกัด


ถ้าตั้งเป้าหมายไว้ที่ภาวะใดภาวะหนึ่ง ในกรณีนี้คือขอเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง การคิดอย่างนั้น เอ่ยวาจาอย่างนั้น อาจเป็นการสร้างเงื่อนไขบางอย่างขึ้นมาว่าฉันจะต้องได้หรือฉันจะต้องเป็น เช่นนี้เช่นนั้นในอนาคต เป็นการผูกพันจิตไว้ด้วยภาวะบางอย่างที่ตนคาดหวัง การช่วยเหลือสัตว์อย่างบริสุทธิ์ใจจึงเป็นไปได้ยาก ถ้ามุ่งที่การเป็นพระพุทธเจ้าก่อนสิ่งอื่นใด บุคคลนั้นย่อมช่วยเหลือสัตว์เพียงเพื่อให้ตนบรรลุภาวะอันพึงปรารถนา คิดแบบนี้มุ่งทำเพื่อตนเองก่อนผู้อื่น จึงไม่ใช่ปณิธานของคนมีปัญญาและกรุณาจริง ๆ ที่ว่าไม่มีปัญญาจริงเพราะยังหล่อเลี้ยงอัตตา (ความยึดถือตนของตน) ในระดับละเอียด ที่ว่าไม่มีกรุณาจริงเพราะคิด พูด และทำเพื่อตนเป็นหลัก


ในทางตรงข้าม ใครก็ตามที่สมควรถูกเรียกว่าเป็นโพธิสัตว์ ย่อมคำนึงถึงสัตว์ใหญ่น้อยก่อนตนเอง เพราะปรารถนาจะให้สัตว์ทั้งหลายพ้นทุกข์ไปด้วยกันพร้อมกัน การได้มาซึ่งปัญญาเพื่อความพ้นทุกข์ของสัตว์โลกจึงเป็นเป้าหมายอันดับแรก หาใช่ทำให้ตนบรรลุภาวะประเสริฐ ดีงาม หรือสูงสุดไม่ การขอให้ตนอุบัติเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเพียงวิถีทางที่ทำให้บรรลุเป้า หมาย เพราะมองไม่เห็นว่าจะมีภาวะชีวิตอื่นใดที่สามารถช่วยสัตว์ได้มากเท่ากับการ เป็นพระพุทธเจ้า จำเป็นต้องเกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อทำให้ปณิธานของตนสำเร็จ ถ้ามีภาวะชีวิตอื่นที่ช่วยสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้ดีกว่าหรือมากกว่าการเกิดเป็น พระพุทธเจ้า โพธิสัตว์จะไม่รีรอลังเลที่จะเลือกเส้นทางชีวิตนั้น สำหรับพวกท่าน สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเพียงชื่อเรียกภาวะที่ช่วยสัตว์ได้ไม่จำกัดแค่นั้น


เพราะฉะนั้น สำหรับคนที่คิดว่าอยากเป็นพระพุทธเจ้าเพราะจะได้ความงามอย่างนั้น ความดีอย่างนี้ หรือความจริงสูงสุด คนเหล่านี้อยู่ห่างไกลจากภาวะของโพธิสัตว์ อาจหยั่งไม่ถึงปัญญาแบบนั้นจึงบิดเบือนภาวะแห่งโพธิสัตว์ให้กลายเป็นเรื่อง สนองตัณหา (ความอยาก) ของตนเอง โพธิสัตว์เป็นแนวคิดที่เปี่ยมด้วยอุดมคติ ประกอบด้วยคุณธรรมชั้นเลิศนานาประการ ไม่ใช่ภาวะที่ปุถุชนคนมีกิเลสจะเข้าใจและเป็นได้ง่าย ๆ ปณิธานของโพธิสัตว์มีหลากหลาย แต่ในความหลากหลายนั้นสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือการให้โดยไม่หวังผล (อาจเรียกว่าเป็นการเสียสละแบบที่ระบุไว้ข้างต้นก็ได้) แค่นี้สำหรับชาวบ้านอย่างพวกเราก็ยากที่ทำได้แล้ว


โดยทั่วไป บุคคลที่ได้ชื่อว่าโพธิสัตว์จะผูกพันตนไว้ด้วยมหาปณิธานสี่ประการคือ

๑) จะละกิเลสทั้งหลายให้หมดสิ้น


๒) จะศึกษาธรรม (นัยยะคือธรรมชาติ) ทั้งหลายให้แตกฉาน แจ่มแจ้ง รู้จริง


๓) จะโปรดสัตว์ไม่จำกัด และ


๔) จะบรรลุพุทธภูมิ (คือตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ)


ปณิธานเหล่านี้ไม่ได้ถูกผลักดันจากปัจจัยภายนอก ไม่ได้มาจากการท่องตามตำรา หรือเดินตามรอยโพธิสัตว์คนก่อน ๆ แต่เกิดจากใจของบุคคลนั้นที่ต้องการทำสี่ข้อนี้ให้สำเร็จ จะกี่ชาติกี่ภพก็ตามแต่ จะลำบากยากเข็ญอย่างไรก็ช่าง จะได้รับคำสรรเสริญชื่นชมมากหรือน้อยก็เป็นเรื่องของเขา เหล่านี้ไม่กระทบใจที่เข้มแข็งของเหล่าโพธิสัตว์เลย แต่กว่าจะได้ใจที่เข้มแข็งก็ต้องล้มลุกคลุกคลานมาอย่างยาวนานในสังสารวัฏ

*8q*
06-06-2009, 06:58 PM
กว่าที่บุคคลหนึ่งจะมั่นใจในความเป็นผู้เสียสละของตน หรือมีปัญญามากพอจะละตัวตนหยาบ ๆ ได้ ท่านต้องผ่านบททดสอบชีวิตมากมาย แม้เพียงขั้นตอนของการเตรียมใจก็ยากเกินกว่าหลายคนจะทนได้ เพราะปุถุชนมีจิตที่เปราะบางและแปรปรวนโดยธรรมชาติ ความหวาดหวั่นไม่แน่ใจในอะไรเลยทำให้แต่ละคนปรารถนาจะยึดเหนี่ยวครอบครอง อะไรบางอย่าง เพราะชีวิตไม่เที่ยงจึงขวนขวายหาภาวะที่เที่ยงและสมบูรณ์พร้อมสำหรับตน ยิ่งแสวงหาก็ยิ่งพบแต่ความไม่แน่นอนของชีวิต ทำให้ชาวโลกดำเนินวิถีของตนบนความกลัวอยู่เป็นนิจ


ครั้นเมื่อตั้งสัจจะสละตนเองเพื่อผู้อื่น สิ่งหนึ่งที่โพธิสัตว์จะต้องผ่านให้ได้คือเอาชนะความกลัวในจิตของตน ความกลัวในทีนี้ไม่ได้มีความหมายแค่ฉาบฉวย เช่นกลัวผีหรือกลัวงู แต่ความกลัวที่ซ่อนลึกอยู่ในจิตมนุษย์อาจสะท้อนออกมาเป็นความกล้าบ้าบิ่นใน บางครั้งก็ได้ เราอาจยอมทำตัวกล้าบ้าบิ่นเพราะเบื้องลึกปรารถนาการยอมรับนับถือจากผู้อื่น ถ้าไม่ทำก็กลัวไม่มีเอกลักษณ์เฉพาะตน กลัวคนอื่นไม่สนใจ หรือกลัวถูกนินทา อย่างนี้เป็นต้น ความกล้าหรือบ้าบิ่นจึงเป็นแค่รูปแบบภายนอกอันหนึ่งของความกลัวสูญเสียตัวตน


ความกลัวสูญเสียตัวตนเป็นความกลัวภายใน และนั่นเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขวางไม่ให้โพธิสัตว์ก้าวไปข้างหน้า ทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือสัตว์ได้อย่างเต็มที่และจริงจัง เพราะจะต้องคอยปกป้องตัวตนของตนก่อน เมื่อตั้งใจสละตนเพื่อคนอื่นแล้ว โพธิสัตว์จะต้องเผชิญกับบททดสอบให้ปลดปล่อยตนจากความกลัวภายใน โดยขั้นตอนของการเตรียมตัวเตรียมใจเพื่อเป็นโพธิสัตว์ บุคคลจะต้องพยายามบำเพ็ญภาวนาจนเอาชนะความกลัวหยาบ ๆ ได้อย่างน้อยห้าประการคือ (หนึ่ง) กลัวการดำเนินชีวิต (สอง) กลัวคำนินทาว่าร้าย (สาม) กลัวความตาย (สี่) กลัวทุคติ คือกลัวที่จะตกไปสู่ทางเสื่อมหรือทางแห่งทุกข์ และ (ห้า) กลัวสังคมตำหนิ


แม้จะเอาชนะความกลัวเหล่านี้ แต่บางครั้งจิตใจก็ยังอ่อนแอและพร้อมจะตกไปสู่ภาวะจิตแบบปุถุชนได้ตลอดเวลา ทำให้จุดเริ่มต้นของความเป็นโพธิสัตว์ไม่แน่นอน สามารถเลื่อนขึ้นหรือตกลงเมื่อใดอย่างใดก็ได้ ยิ่งคำนึงถึงตัวตนมากเท่าใด กังวลถึงความเป็นอยู่หรือภาพลักษณ์ของตนในสายตาผู้อื่นมากเท่าใด ความเป็นโพธิสัตว์ก็ลดน้อยลงไปเท่านั้น


พร้อม ๆ กับมหาปณิธานสี่ประการและการฝึกฝนขัดเกลาจิตให้เอาชนะความกลัวหยาบ ๆ ห้าอย่าง บุคคลจะต้องบำเพ็ญบารมีควบคู่ไปด้วย บารมีคือคุณความดีหรือคุณสมบัติที่ทำให้ยิ่งใหญ่ ในทางมหายานหมายถึงคุณธรรมที่ทำให้สำเร็จโพธิญาณ อุปมากับปัญญาที่ช่วยให้ข้ามจากฝั่งสังสารวัฏไปสู่ฝั่งนิพพาน บารมีหลัก ๆ ที่ทั้งสองฝ่าย (คือเถรวาทกับมหายาน) ยอมรับร่วมกันก็ได้แก่ ทานบารมี ศีลบารมี ขันติบารมี วิริยะบารมี อธิษฐานบารมี (หรือปณิธานบารมี) และปัญญาบารมี


ทานคือการให้ แต่ให้แบบโพธิสัตว์คือหวังผลใด ๆ กลับคืนมาสู่ตนเองไม่ได้ ตรงนี้ต้องอธิบายเพิ่ม ไม่ใช่แปลว่าโพธิสัตว์เป็นผู้ให้แบบมืดบอดไร้ปัญญา หลับหูหลับตาให้เพียงเพราะตนเป็นคนพิเศษ แต่ให้แบบไม่หวังผลหมายความว่า ให้ด้วยใจไม่มีอคติ ไม่ลำเอียงเพราะรักใครหรือเกลียดใครมากกว่ากัน ที่ว่าไม่รักหรือเกลียดใครหมายรวมตนเองด้วย คนธรรมดาแม้จะให้อะไรบางอย่างกับคนอื่นด้วยใจบริสุทธิ์ ก็ยังหวังให้ผู้รับพอใจในสิ่งที่เราให้ หรือหวังให้ตนเองมีความสุขจากการให้ จึงยังมีการเลือกปฏิบัติ แบ่งเขาแยกเราออกจากการให้แต่ละครั้ง


แต่โพธิสัตว์จะต้องบำเพ็ญทานบารมี (รวมทั้งบารมีอื่นทั้งหมด) ด้วยใจที่เป็นกลาง เจริญอุเบกขาคือวางเฉย ทำหน้าที่ของตนไปตามเหตุตามปัจจัยอันสมควร วางเฉยไม่ใช่เฉยเมยเย็นชา แต่วางเฉยคือให้โดยไม่คิดว่ามีเขาหรือใครเป็นผู้รับความดีของเรา ไม่มีเราหรือโพธิสัตว์ผู้ให้ความดีแก่คนอื่น รวมทั้งไม่มีความดีอะไรนอกจากหน้าที่ที่พึงกระทำ ถ้ายังมีเขาที่ถูกเราช่วย ก็แสดงว่าเราตีค่าเขาว่าไร้ความสามารถ ถ้ายังมีเราที่ช่วยเขา ก็แสดงว่ากำลังเชิดชูตนอยู่โดยไม่ตั้งใจ ถ้ายังเห็นหน้าที่เป็นความดี ก็จะสรรเสริญตนเองไม่สิ้นสุด กลายเป็นว่าทำให้ความปกติกลายเป็นความพิเศษ หรือทำให้โพธิสัตว์แตกต่างสูงส่งกว่าชาวโลก ชาวโลกอาจคิดแบบนี้ได้ แต่คนที่จะมีปัญญาเพื่อช่วยเหลือชาวโลกจะคิดแบบนี้ไม่ได้ เพราะการคิดแบบนี้จะบั่นทอนทำลายปณิธานของตนเอง


เพราะฉะนั้น การบำเพ็ญบารมีของบุคคลระดับนั้นจึงเข้าใจไม่ง่าย ทั้งยิ่งทำยากขึ้นและยากขึ้นเมื่อแวดล้อมด้วยคำสรรเสริญและเกียรติยศ คนที่ไม่เข้าใจแนวคิดนี้มักจะมองปณิธานของโพธิสัตว์เพียงฉาบฉวย สนใจแค่แง่มุมใดแง่มุมหนึ่งที่ตนเชื่อ คนที่ศรัทธาแนวคิดแบบนี้เหลือเกินก็จะยกโพธิสัตว์ให้เป็นมหาบุรุษ ตนเองทำไม่ได้ก็แสวงหาคนที่ใช่เพื่อจะได้ยกเขาให้สูงเทียมเมฆ หารู้ไม่ว่าการทำอย่างนั้นกลับทำให้ดวงจิตจำนวนมากที่เข้าสู่เส้นทางนี้ อ่อนแอ ถูกวางยาโดยกิเลสคือความโลภและความหลงที่คนอื่นมีส่วนยัดเยียดให้อยู่ตลอด เวลา ถ้าจิตไม่เข้มแข็งพอ โอกาสที่จะเกิดมานะคือความถือตนยกตนก็จะเกิดขึ้นและผลักให้บุคคลนั้นตกลงสู่ ภาวะแบบปุถุชน สุดท้ายก็จะเป็นได้แค่ปุถุชนที่แสวงหาภาวะอุดมคติต่อไป


ส่วนคนที่มองแนวคิดแบบนี้ว่าอุดมคติ เลื่อนลอย และเพ้อฝัน เพราะไม่เชื่อว่าจะมีใครที่สามารถทำเพื่อคนอื่นได้มากกว่าตนเอง จะมีใครที่สามารถเจริญอุเบกขาได้ถึงเพียงนั้น พวกนี้ก็จะตั้งแง่สงสัยคนที่ได้ชื่อว่าเป็นโพธิสัตว์อยู่ตลอดเวลา คอยคิดหาจุดอ่อนในการบำเพ็ญบารมีของโพธิสัตว์เหล่านั้น ยกตัวอย่างง่ายที่สุดก็คือ กรณีของพระเวสสันดร พระเวสสันดรคือพระศากยมุนีพุทธเจ้าในอดีตชาติสุดท้ายก่อนประสูติเป็นเจ้าชาย สิทธัตถะ ท่านได้ชื่อว่าเป็นโพธิสัตว์องค์หนึ่ง แต่ถูกโจมตีว่าเห็นแก่ตัวเพราะเสียสละคนรักเพื่ออุดมการณ์ของตนเอง ทำให้ลูกเมียลำบาก ทำให้พวกเขาต้องเสียใจ บังคับให้พวกเขาเสียสละเพื่อตนเองจะได้ชื่อว่าบำเพ็ญมหาทานบารมี ประเด็นนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องราวความรักของโพธิสัตว์ ซึ่งเราจะกล่าวถึงในส่วนต่อไป


แน่นอนว่าตราบใดที่เกิดเป็นคน มีชีวิต จิตใจ และเลือดเนื้อ จะหาคนที่ไม่เคยมีความรักย่อมไม่มีในโลกใบนี้ ความรักในทีนี้ไม่ได้หมายเฉพาะคู่รักหรือสามีภรรยา แต่หมายถึงความรู้สึกผูกพันหรือปรารถนาในทางดีที่เรามีต่อใครบางคน อาจเป็นแม่พ่อ ญาติสนิทมิตรสหาย บริวารแลสัตว์เลี้ยง คู่ครอง ลูกหลาน เรื่อยไปถึงมนุษย์และสัตว์ผู้ร่วมทุกข์คือเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนเรา ในชีวิตหนึ่ง ๆ ที่เกิดมา เรารักและผูกพันกับคนจำนวนมาก ยิ่งรักมากผูกพันมากก็ยิ่งเจ็บปวดเมื่อต้องพลัดพราก อีกทั้งยิ่งรักมากผูกพันมาก ชีวิตก็จะยิ่งวุ่นวาย เพราะดูเหมือนมีกิจต้องทำเพื่อคนเหล่านั้นมากมาย


เพราะโพธิสัตว์ (เน้นภพชาติมนุษย์) มีร่างกายและจิตใจแบบชาวบ้าน ความรักจึงเป็นเรื่องปกติที่เกิดกับพวกท่านด้วย โพธิสัตว์เกิดมามีพ่อแม่ บางชาติอาจกำพร้า บางชาติก็อุบัติอยู่ในภาวะของสัตว์เดรัจฉานหรืออมนุษย์ กระนั้นโดยคำสอนว่าด้วยเหตุปัจจัยของพุทธศาสนา การเกิดเองลอย ๆ โดยไม่มีมูลเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้นอกจากคิดฝันเอาเอง อย่างไรโพธิสัตว์ทั้งหลายก็จะต้องอุบัติขึ้นจากเหตุบางอย่าง เพราะเป็นผลของเหตุปัจจัย ทำให้สายสัมพันธ์หรือความผูกพันระหว่างโพธิสัตว์กับเหตุเหล่านั้นมีอยู่ ไม่อาจตัดหรือแยกขาด โพธิสัตว์จึงเกิดมาโดยมีความผูกพันบางอย่างเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวอยู่เสมอ และความรักแบบปุถุชนก็เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวที่ทรงพลังและสลัดออกยากที่สุด อันหนึ่ง


เพราะมีความผูกพันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ทำให้โพธิสัตว์ในแต่ละภพชาติของท่านถูกดึงรั้งไว้ด้วยหน้าที่ที่จะต้องกระทำ ต่อความผูกพันนั้นเป็นอันดับแรก ๆ ถ้าใช้ทศชาติเป็นเกณฑ์พิจารณา จะเห็นว่า พระศากยมุนีในอดีตชาติที่ยิ่งใหญ่ทั้งสิบนั้น ท่านล้วนทำหน้าที่ต่อความผูกพันอย่างแข็งแกร่งและจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าชายเตมีย์ที่ยอมแสร้งทำเป็นใบ้อยู่หลายปีเพื่อจะได้ไม่ต้อง ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ผู้มีอำนาจตัดสินชี้เป็นชี้ตายผู้คน แม้การทำตนให้ดูไร้สมรรถภาพและเป็นใบ้จะทำให้พระราชบิดากับพระราชมารดาระทม ทุกข์อย่างหนัก แต่การมุ่งปฏิเสธบัลลังก์โดยตรงอาจทำให้สองท่านนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่า เจ้าชายน้อยจะบอกผู้อื่นได้อย่างไรว่า ส่วนหนึ่งที่ไม่อยากครองบัลลังก์เนื่องจากเห็นพระราชบิดาตัดสินประหารชีวิต คน (แม้จะเป็นคนผิดก็ตาม)


การไม่ยอมพูดจารวมทั้งทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าเป็นคนโง่ เป็นวิธีที่โพธิสัตว์ยอมลำบากเอง ซึ่งจะต้องมีความอดทนข่มใจอย่างแรงกล้า ปุถุชนทั่วไปทำไม่ได้ ยิ่งเหตุผลของการไม่ยอมพูดคือไม่อยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ ยิ่งเป็นสิ่งที่ห่างไกลเกินกว่าชาวบ้านจะเข้าใจ มันดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะยอมโง่ทำตัวโง่เพราะไม่อยากได้สมบัติ ความผูกพันของเจ้าชายเตมีย์จึงไม่เพียงเป็นความรักที่มีต่อพระราชบิดากับพระ ราชมารดา แต่ยังเป็นความปรารถนาดีที่โพธิสัตว์ยินยอมผูกพันตนไว้กับสัตว์ทั้งหลายด้วย


ในทุกชาติที่เกิดมา โพธิสัตว์จะผูกพันตนไว้ด้วยหน้าที่สำคัญบางประการต่อครอบครัวและสัตว์น้อย ใหญ่ ซึ่งเราจะเห็นภาพของการแสดงความกตัญญูหรือทดแทนคุณบุพการีค่อนข้างชัดเจนใน กรณีของท่านมหาชนก สุวรรณสาม และจันทกุมาร ประเด็นน่าสนใจคือ สิบมหาชาติ (เรียกว่าทศชาติ) รวมชาติสุดท้ายที่ประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะแห่งศากยวงศ์ โพธิสัตว์มีพระชาติกำเนิดเป็นมนุษย์เสียส่วนใหญ่ และอย่างน้อยสี่ชาติได้แต่งงานมีครอบครัวเป็นของตนเอง แม้จะไม่มีคำอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตผู้ครองเรือน เพราะชาดกมุ่งนำเสนอการบำเพ็ญบารมีของโพธิสัตว์เป็นสำคัญ แต่อย่างน้อยจุดหนึ่งที่พอสรุปได้จากการอ่านก็คือ ทุกชาติที่แต่งงานมีครอบครัวนั้น โพธิสัตว์กับคู่ครองของท่านรักกันด้วยความจริงใจ ไม่มีการใช้กำลังบังคับหรือคลุมถุงชนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง


ชาติที่โพธิสัตว์ถือกำเนิดมาในตระกูลสามัญชน ความรักและการครองคู่ของท่านมักราบรื่น สามีภรรยาได้อยู่เคียงกัน เกื้อกูลกันในทางสติปัญญา แม้แยกจากกันบ้างในบางครั้ง นั่นก็เป็นเพียงเหตุการณ์ที่ถูกปัจจัยเบี่ยงเบนไปชั่วครู่ชั่วคราว ไม่ก่อให้เกิดความเสียใจในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ชาติที่โพธิสัตว์อุบัติอยู่ในวรรณะกษัตริย์จะเป็นอีกแบบและน่าสนใจศึกษา อย่างยิ่ง เพราะในชาติเหล่านั้น โพธิสัตว์จะยินยอมพลัดพรากจากคู่ครอง (รวมลูกหลานและเครือญาติ) เมื่อถึงเวลาอันควร ไม่ว่าจะเป็นพระมหาชนก พระเวสสันดร หรือเจ้าชายสิทธัตถะ การละจากคู่ครองโดยที่ฝ่ายหญิงไม่รู้ตัวล่วงหน้า ทำให้เกิดความโศกเศร้าอาลัยอาวรณ์อย่างหนัก เป็นเหตุให้นักคิดยุคหลังมองว่าโพธิสัตว์ไม่ได้รักคู่ครองของตน แต่ใช้คู่ครองเป็นเครื่องมือเพื่อให้ตนบรรลุปณิธานเท่านั้น
เบื้องต้น ในพระชาติที่อุบัติเป็นพระมหาชนก พระเวสสันดร และเจ้าชายสิทธัตถะ มีจุดร่วมที่น่าสนใจหลายประการ หนึ่งคือโพธิสัตว์อุบัติอยู่ในวรรณะกษัตริย์ สองคือโพธิสัตว์พบรักและได้อภิเษกกับสตรีผู้อยู่ในวรรณะและมีอุปนิสัยเหมาะ สมกับตน สามคือโพธิสัตว์ได้ใช้ชีวิตผู้ครองเรือนอย่างมีความสุขกับพระมเหสีจนมีพระ ราชโอรสผู้สามารถสืบต่อราชสมบัติแทนพระองค์ในกาลภายหน้า สี่คือโพธิสัตว์เห็นเหตุที่ทำให้ตนเองจำต้องสละชีวิตผู้ครองเรือน จาริกออกบวชหรือไม่ก็ต้องใช้ชีวิตเพียงลำพังในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ห้าคือโพธิสัตว์ละจากพระมเหสีไปโดยไม่บอกกล่าว ในชาติที่เป็นพระเวสสันดรนั้นต่างออกไปเล็กน้อย คือโพธิสัตว์ไม่ได้ละจากพระมเหสี แต่ยกพระราชโอรสกับพระราชธิดาให้กับชูชกโดยไม่บอกล่วงหน้า ทั้งยังยกพระนางมัทรีให้กับเทวดาผู้แปลงกายมาขอด้วย หกคือการตัดสินใจเช่นนั้นของโพธิสัตว์นำมาซึ่งความขมขื่นพระทัยของพระมเหสี เป็นอย่างยิ่ง และเจ็ดคือพระมเหสีเลือกวิถีชีวิตในแบบที่คล้อยตามการตัดสินใจของพระสวามี

*8q*
06-06-2009, 06:59 PM
พระมหาชนกทรงเห็นความไม่เที่ยงของต้นมะม่วงที่ถูกโค่นทำลาย เพียงเพราะมีผลอร่อย เป็นที่ถูกใจคนกิน ทรงเชื่อมโยงความไม่เที่ยงของต้นมะม่วงกับความไม่มีแก่นสารของชีวิตกษัตริย์ จึงทรงตัดสินพระทัยสละราชบัลลังก์ ครองเพศบรรพชิต จาริกแสวงบุญอย่างคนเร่ร่อน พระนางสีวลีผู้มเหสีทรงใช้อุบายอย่างไรก็ไม่สามารถโน้มน้าวพระสวามีให้กลับ คืนสู่พระราชวัง จึงตัดสินใจในท้ายที่สุดที่จะติดตามพระสวามีไปทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าพระสวามีอยู่ในสภาพเช่นไร พระองค์ก็เลือกที่จะครองตนอยู่ในสภาพเช่นนั้น พูดง่าย ๆ ก็คือ ภายหลังที่สถาปนาพระโอรสให้ขึ้นครองราชย์แล้ว พระนางสีวลีก็ครองตนอยู่ในเพศนักบวช รักษาพรหมจรรย์ ประพฤติปฏิบัติเยี่ยงนักบวชที่ดีไปตลอดชีวิต


พระเวสสันดรมีปณิธานแรงกล้าที่จะให้ทุกสิ่งที่ตนสามารถแก่ ผู้ใดก็ตามที่เอ่ยปากขอ พระองค์ทรงคิดบริจาคทั้งวัตถุ อวัยวะ เลือดเนื้อ และร่างกาย เป็นมหาทานตั้งแต่วัยเยาว์ ปัญหาเกิดเมื่อพระองค์ทรงยกพญาช้างเผือกคู่บ้านคู่เมืองให้แก่พราหมณ์ต่าง ถิ่น ทำให้ชาวเมืองพากันโกรธเคืองและเสนอให้ขับไล่เจ้าชายไปสู่ป่าลึก พระเวสสันดรยินดีออกเดินทางไปเพียงลำพัง แต่พระชายาคือพระนางมัทรีทรงยืนกรานจะเสด็จตามพร้อมพระโอรสกับพระธิดา ทั้งสี่พระองค์จึงทรงใช้ชีวิตอยู่ป่าในช่วงเวลาหนึ่ง


ความรักของพระเวสสันดรกับพระนางมัทรีในช่วงเวลาร่วมทุกข์ สามารถเห็นได้ชัดจากข้อความที่ระบุไว้ในชาดก เมื่อฝ่ายชายไม่ประสงค์ให้ฝ่ายหญิงต้องลำบากลำบนเร่ร่อนไปกับตน จึงสั่งสอนเป็นเชิงสั่งเสียไว้ว่า


มัทรี เธอพึงให้ทานในท่านผู้มีศีลทั้งหลายตามสมควรเถิด เพราะที่พึ่งอย่างอื่นของสัตว์ทั้งปวงยิ่งไปกว่าทานไม่มี


มัทรี เธอพึงเอาใจใส่ในลูกทั้งหลาย พึงเอาใจใส่ในแม่ผัวและพ่อผัว อนึ่ง ผู้ใดพึงตกลงปลงใจว่าจะเป็นพระสวามีของเธอ ก็พึงบำรุงผู้นั้นโดยความเคารพ


ถ้าไม่มีผู้ใดตกลงปลงใจเป็นพระสวามีของเธอ เพราะเธอกับพี่จะต้องพลัดพรากจากกัน เธอก็จงแสวงหาผู้อื่นมาเป็นพระสวามีเถิด อย่าลำบากเพราะขาดเราเลย


เพราะเราจะไปสู่ป่าที่น่าสะพรึงกลัวอันประกอบไปด้วยสัตว์ ร้าย เมื่อเราคนเดียวอยู่ในป่าใหญ่ ชีวิตก็น่าสงสัย (ผู้เขียนเข้าใจว่าหมายถึงแม้อยู่ป่าเพียงลำพังก็ยังน่าสงสัยว่าจะอยู่ได้ หรือไม่)


พระนางมัทรีทรงตัดพ้อพระเวสสันดรที่ชี้แนะอย่างนี้ ทั้งกล่าวว่า

ความตายร่วมกับพระองค์ หรือการมีชีวิตอยู่เว้นจากพระองค์ ความตายร่วมกับพระองค์นั้นเท่านั้นประเสริฐกว่า การมีชีวิตอยู่เว้นจากพระองค์จะประเสริฐอะไร


การก่อไฟให้ลุกโพลงมีเปลวเป็นอันเดียวกัน แล้วจึงตายในไฟที่ลุกโพลงนั้นประเสริฐกว่า การมีชีวิตอยู่เว้นจากพระองค์จะประเสริฐอะไร


ช้างพังติดตามพญาช้างผู้ได้รับการฝึกอยู่ในป่า เที่ยวไปตามซอกเขาเสมอบ้าง ไม่เสมอบ้างฉันใด


หม่อมฉันจะพาลูกทั้งหลายติดตามพระองค์ไปข้างหลังฉันนั้น หม่อมฉันจักเป็นผู้เลี้ยงง่ายสำหรับพระองค์ จักไม่เป็นผู้เลี้ยงยากสำหรับพระองค์


หากวิเคราะห์ความรักของพระเวสสันดร จะพบว่าความรักของโพธิสัตว์จะเป็นแบบเสียสละตลอดเวลา โพธิสัตว์จะเลือกดำเนินชีวิตแบบจาคะ คือไม่เพียงให้ความปรารถนาดีกับผู้อื่น แต่ยังต้องสละกิเลสของตนออกไปในการให้แต่ละครั้งด้วย ซึ่งจะทำได้ก็เมื่อเห็นแก่ประโยชน์ของบุคคลอื่นก่อนความสุขของตนเสมอ แต่เนื่องจากในกรณีนี้พระนางมัทรีเป็นคู่ที่เคยสร้างบุญบารมีร่วมกับ โพธิสัตว์มาอย่างยาวนานในสังสารวัฏ ทำให้ฝ่ายหญิงไม่ตัดสินใจโดยใช้ความสบายส่วนตนเป็นที่ตั้ง ความรักของพระนางมัทรีจึงเป็นแบบจาคะ คือให้พร้อมกับสละกิเลสของตนออกไปเช่นกัน ทั้งคู่จึงได้ชื่อว่ามีศีล ศรัทธา จาคะ (การสละ) และปัญญาเสมอกัน ข้อกล่าวหาที่ว่าพระเวสสันดรมุ่งแต่จะบำเพ็ญมหาทาน จนทำให้พระนางมัทรีกับพระโอรสธิดาลำบากไปด้วย จึงไม่ถูกต้องนัก


ทีนี้ประโยชน์ของบุคคลอื่นมันกว้างมาก โพธิสัตว์ไม่เพียงต้องทำประโยชน์ให้แก่ครอบครัวและบุคคลที่ตนรัก ทว่ายังต้องทำประโยชน์ให้กับคนหมู่มากด้วย บ่อยครั้งที่ดูเหมือนการให้คน ๆ หนึ่งกลับเป็นการทำร้ายอีกคนหนึ่ง หรือการเอื้อประโยชน์ให้กับคนหมู่มากกลับหักหาญน้ำใจของคนหมู่น้อย เพราะตั้งใจบำเพ็ญมหาทานบารมี ทำให้บริจาคพญาช้างจนชาวเมืองโกรธ หรือสละลูกชายลูกสาวให้คนอื่นนำไปเป็นทาสเฆี่ยนตีตามอำเภอใจ ทำให้คู่ครองของตนเป็นทุกข์ กระนั้น ถามว่าตรงนี้มีปุถุชนคนใดสามารถทำแบบนี้ได้บ้าง


การสละบุตรธิดาในกรณีของพระเวสสันดรไม่ได้เกิดจากความชัง รำคาญ หรือเกลียดลูกของตน เบื้องลึกของการให้นั้นเพราะรู้อยู่เต็มอกว่ามันทำยาก สละคนรักให้คนที่ไม่สมควรได้ ซ้ำยังรู้ว่าคนรักของตนจะต้องถูกทารุณทำร้าย มันอาจเจ็บปวดยิ่งกว่าแค่ให้ร่างกายของตนได้รับความทุกข์ทรมานช่วงสั้น ๆ กิเลสของคนไม่ได้มีแค่ด้านลบด้านร้าย แม้ความอาลัยรักที่ชาวโลกหวงแหน นั่นก็เป็นกิเลสที่ทำให้จิตยึดติดง่ายมาก และอาจจะยึดติดยาวนานกว่าความเกลียดความชังด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นในกรณีนี้ การสละบุตรธิดารวมทั้งภรรยาของโพธิสัตว์จึงเท่ากับเป็นการจาคะกิเลสเบื้อง ลึกของตน อันเป็นกิเลสในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความรักความผูกพัน จริงอยู่ว่าในแง่หนึ่งเป็นการทำเพื่อประโยชน์ของตน แต่ประโยชน์ที่โพธิสัตว์ได้รับเป็นเพียงวิถีทางที่ทำให้ชาวโลกได้ประโยชน์ ยิ่งกว่าในเบื้องปลาย


เมื่อตถาคตเป็นพระเวสสันดร บริจาคพ่อชาลีและแม่กัณหาชินาซึ่งเป็นธิดา และพระมัทรีเทวีผู้มีวัตรอันดี ผู้ยำเกรงในพระสวามี มิได้คิดเสียดายเลย เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น บุตรทั้งสองเป็นที่เกลียดชังของเราก็หามิได้ พระนางมัทรีเทวีจะไม่เป็นที่รักของเราก็หามิได้ แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา ฉะนั้น เราจึงได้ให้ของซึ่งเป็นที่รัก


เพราะการให้แบบนี้เท่านั้นจึงจะทำให้เกิดปัญญาช่วยเหลือคน อื่นได้จริง ต่างจากการให้แบบปุถุชนที่ยิ่งให้ก็อาจยิ่งบ่มเพาะตัณหา ส่งเสริมความอยากมีอยากเป็นเพิ่มขึ้น หรือสนับสนุนตัวกูของกูให้หนักแน่นกว่าเดิม ถามว่าโพธิสัตว์ไม่มีจิตใจ ไม่มีความรู้สึกอาลัยหรือเยื่อใยแบบสามัญชนหรือ ตรงนี้เราน่าจะได้คำตอบจากอาการคร่ำครวญของพระเวสสันดร ภายหลังที่ลูกน้อยถูกพราหมณ์ใจร้ายมัดมือด้วยเถาวัลย์และฉุดกระชากจากไป


วันนี้ ลูกน้อยทั้งสองจะหิวข้าว กระหายน้ำอย่างไรหนอ จักเดินทางไกล ร้องไห้สะอึกสะอื้น ครั้นในตอนเย็นเวลาบริโภคอาหาร ใครจะให้อาหารแก่ลูกทั้งสองนั้น…


ลูกทั้งสองไม่ได้สวมรองเท้า จะเดินทางด้วยเท้าเปล่าได้อย่างไร ลูกทั้งสองจะเมื่อยล้ามีบาทาทั้งสองข้างฟกช้ำ ใครจะจูงมือลูกทั้งสองนั้นเดินทาง


ทำไมหนอ พราหมณ์นั้นช่างร้ายกาจนักไม่ละอาย เฆี่ยนตีลูก ๆ ผู้ไม่ประทุษร้ายต่อหน้าเรา


แม้แต่คนที่ตกเป็นทาสีเป็นทาสของเรา หรือคนรับใช้อื่น ใครเล่าที่มีความละอาย จักเฆี่ยนตีคนที่แสนต่ำต้อยแม้นั้นได้


ในช่วงเวลาที่ยังไม่บรรลุปัญญาญาณขั้นสูงสุด แน่นอนว่าโพธิสัตว์ย่อมเกิดความลังเลสงสัยและสับสนใจในความดีที่ตนกระทำ แม้พระเวสสันดรเองก็ยังเกิดความรู้สึกว่าเหตุใดให้ทานแล้วจึงทำให้ตนและคน รักเดือดร้อน ความรู้สึกฝ่ายลบเข้าครอบงำจิตใจในบางครั้ง ถ้าไม่เข้มแข็งพอ การปกป้องตัวตนและของตนจะเกิดขึ้น ซึ่งนั่นจะปิดกั้นโอกาสหล่อหลอมปัญญาเพื่อสัตว์โลกในวงกว้าง


เมื่อเรายังอยู่ พราหมณ์ช่างด่า ช่างเฆี่ยนลูกรักทั้งสองของเราผู้มองดูอยู่ เหมือนปลาที่ติดอยู่ที่หน้าไซ


หรือเราจักถือเอาธนู จักเหน็บพระขรรค์ไว้ข้างซ้าย นำเอาลูกทั้งสองของเรามา เพราะว่าลูกทั้งสองถูกเฆี่ยนตีเป็นทุกข์ทรมาน


การที่กุมารทั้งหลายเดือดร้อน เป็นทุกข์แสนสาหัสนี้ไม่ควรเลย ก็ใครเล่ารู้ธรรมของสัตบุรุษทั้งหลาย ให้ทานแล้วย่อมเดือดร้อนใจในภายหลัง


แต่เพราะพระเวสสันดรได้บำเพ็ญบารมีมาจนเกือบถึงปลายทางแล้ว พระองค์จึงทรงระงับจิตใจไม่ให้เป็นทุกข์ และเลือกที่จะเชื่อมั่นในความดีของตนมากกว่า ทรงเสียสละคนรักผู้ใกล้ชิดที่ดีที่สุด ผู้คอยติดตามดูแลกันตั้งแต่อยู่ในพระราชวัง ยิ่งพวกเขารักและดีต่อโพธิสัตว์เท่าใด การให้ก็ยิ่งทำได้ยากเท่านั้น เพราะฉะนั้น การสละของพระเวสสันดรจึงไม่ใช่แค่เป็นทาน แต่เป็นทานบารมีจริง ๆ เพราะนอกจากปัญญาเพื่อสัตว์โลกแล้ว โพธิสัตว์ไม่ได้คาดหวังบุญกุศล หรือเรียกร้องผลประโยชน์ใด ๆ เพื่อตนเองเลย พูดง่าย ๆ ก็คือ เป้าหมายสุดท้ายของการกระทำไม่ได้จบที่ผลประโยชน์ส่วนตน


กรณีของพระมหาชนกกับเจ้าชายสิทธัตถะอาจมีคำอธิบายน้อย กระนั้นก็สามารถอนุมานได้ว่า เหตุที่พระมหาชนกกับเจ้าชายสิทธัตถะเลือกที่จะละทิ้งชีวิตผู้ครองเรือนไปใน เวลาที่พระมเหสีไม่อยู่หรือไม่รู้ตัว อาจเป็นจังหวะที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายตัดใจได้ง่ายกว่า ถ้าแยกตัวออกไปต่อหน้าคู่ครองที่รักและดียิ่งของตน ทั้งคู่อาจไม่สามารถสลัดความอาลัยอาวรณ์ต่อกันได้ ฝ่ายหญิงคงจะติดตามฝ่ายชายไปทุกหนแห่ง ดังที่พระนางสีวลีทรงกระทำต่อพระมหาชนกในช่วงแรกของการจากกัน ความรักจะกลายเป็นห่วงที่ทำให้บรรลุธรรมเนิ่นช้า แต่หากปราศจากความรักของคู่ครองเหล่านี้ โพธิสัตว์ก็ย่อมไม่สามารถฝึกจิตให้แข็งแกร่งเพื่อรักชาวโลกคนอื่น


ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่า โพธิสัตว์รักสัตว์น้อยใหญ่ได้เพราะมีความรักของคู่ครองเป็นเครื่องหล่อ เลี้ยงใจ ทั้งหล่อเลี้ยงและยกระดับจิตใจ ปราศจากความรักของคู่ครองและคนใกล้ชิด ปราศจากความเสียสละของบุคคลเหล่านี้ การช่วยเหลือสัตว์อื่นของโพธิสัตว์จะด้อยความหมายไปในทันที ดังนั้น คุณสมบัติของคนใกล้ชิดจึงมีความสำคัญต่อการบำเพ็ญบารมีของโพธิสัตว์มาก ถ้าได้คู่ครองที่ไม่เหมาะสม ทั้งคู่จะไม่สามารถเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน จะไม่เข้าใจและบั่นทอนทำลายกัน ซึ่งนั่นจะเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงต่อปณิธานแห่งการได้มาซึ่งปัญญาเพื่อสัตว์โลก


แต่หากพบคู่ครองที่เหมาะสมและเกื้อกูลซึ่งกัน เป็นผู้ที่เข้าใจคุณค่าแห่งการเสียสละ รู้จักรักแบบถอดถอนกิเลสหรือทำลายอัตตา คู่ครองนั้นจะส่งเสริมโพธิสัตว์ให้บรรลุโพธิญาณได้ การบรรลุโพธิญาณของโพธิสัตว์จึงอาศัยกำลังของความรักเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ไม่ใช่ทำลายความรักทิ้งไปอย่างที่เราเคยเชื่อ ในทำนองกลับกัน การเสียสละความรักที่หล่อเลี้ยงจิตใจของตนในสังสารวัฏเป็นเรื่องที่ให้ ยากกว่าแค่เสียสละวัตถุ เลือดเนื้อ อวัยวะ หรือร่างกายของตน การเสียสละความรักความผูกพันทำให้โพธิสัตว์เจ็บปวดไม่ใช่แค่เฉพาะทางกาย แต่เป็นความเจ็บปวดทางด้านจิตใจ บททดสอบที่โพธิสัตว์ต้องเผชิญคือความทุกข์ทางใจ ซึ่งมีผลรุนแรงและยาวนานยิ่งกว่าความทุกข์ทางกาย


ถ้าเราเชื่อว่าใจเป็นนายกายเป็นบ่าว การเสียสละความรักเป็นมหาทานย่อมทำยากกว่าแค่ให้ร่างกาย เหตุเพราะเป็นเรื่องกระทบจิตใจโดยตรง ส่งผลต่อความรู้สึกอย่างแรง อีกทั้งโพธิสัตว์ไม่ได้รับผิดชอบเฉพาะความทุกข์ใจของตน หากยังต้องแบกรับความรู้สึกทุกข์ของคนที่เรารักอีกด้วย จึงเท่ากับว่าการตัดสินใจให้คนที่ตนรักเป็นทาน ทำให้ต้องพิจารณาละเอียดรอบคอบมากกว่าแค่บริจาคร่างกายของตนเป็นทาน เวลาให้ต้องรับผิดชอบทั้งความรู้สึกของเราและทุกคนที่เรารักด้วย


ทีนี้ถ้าโพธิสัตว์ต้องรักทุกคนอย่างเสมอภาค การเลือกทำร้ายคนที่รักตนเพื่อผู้คนที่ตนเมตตา ทำให้คุณค่าความรักของโพธิสัตว์อยู่ที่การเสียสละทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายโพธิสัตว์และบุคคลที่โพธิสัตว์รัก เข้าทำนองว่าเพราะคู่ครองและเครือญาติเสียสละให้เรา เราจึงเสียสละให้แก่โลกได้ คนใกล้ชิดโพธิสัตว์จึงมีส่วนอย่างมากที่ทำให้โพธิสัตว์รักชาวโลกได้อย่างแท้ จริง


และก็เพราะคนใกล้ชิดโพธิสัตว์ได้ให้ความรักแท้แก่โพธิสัตว์ เพื่อที่ว่าโพธิสัตว์จะได้แปรความรักแท้นั้นเป็นเมตตาธรรมต่อสัตว์โลก ทำให้เมื่อหลุดพ้นแล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังระลึกนึกถึงสายสัมพันธ์และพระ ญาติอยู่ ทรงหาโอกาสที่จะประทานสิ่งมีค่าให้แก่บุคคลเหล่านี้อยู่เนือง ๆ เพราะพวกเขามีส่วนในการทำเหตุปัจจัยให้ปัญญาโพธิสัตว์เกิดเต็มรอบอย่าง สมบูรณ์ ความเสียสละอดทนของบุคคลเหล่านี้จึงอยู่ในสายพระเนตรของพระพุทธเจ้า เมื่อหยั่งสู่ปัญญาญาณแบบใด คู่ครองและสายสัมพันธ์ใกล้ชิดผู้เคยร่วมความดีกันมาจึงอยู่ในข่ายได้รับกุศล ในแบบนั้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นพระนางสีวลี พระนางมัทรี พระโอรสชาลี หรือพระนางยโสธรา ตลอดจนพระประยูรญาติทั้งหลาย


ผู้อนุโมทนาความดีของโพธิสัตว์ตั้งแต่ชาติปางก่อน เท่ากับตนได้สร้างเหตุปัจจัยของกุศลเตรียมไว้ เมื่อถึงเวลาพระพุทธเจ้าก็จะเสด็จมาเพื่อปลดปล่อยจิตของพวกท่านให้เป็นอิสระ หยั่งสู่ความหลุดพ้นจากสังสารวัฏ หากแม้ยังไม่ถึงเวลาหลุดพ้น ท่านก็จะได้รับกุศลวิบากตามกำลังปัญญาที่ตนเคยบ่มเพาะไว้ ในชาติที่เป็นพระมหาชนก ดวงจิตของพระนางสีวลีภายหลังสิ้นพระชนม์ได้เสด็จสู่สุคติภูมิเช่นเดียวกับ พระมหาชนก ในชาติที่เป็นพระเวสสันดร พระนางมัทรีได้รับความสุขในบั้นปลายและมีสุคติภูมิ (นัยยะคือสวรรค์) เป็นที่หมาย ส่วนพระนางยโสธราภายหลังได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์ ทรงออกบวชเป็นภิกษุณีและปฏิบัติขัดเกลาจิตจนหลุดพ้นจากกองทุกข์ไปในที่สุด


แม้ดูเหมือนโพธิสัตว์จะทำให้พระนางเหล่านี้ต้องทนทุกข์มากใน ช่วงหนึ่ง แต่ผลลัพธ์ของความรักและเสียสละของพระนาง ทำให้โพธิสัตว์สามารถเอาชนะกิเลสเบื้องลึกของตน พร้อม ๆ กับเรียนรู้ที่จะรับความรักเพื่อกระจายต่อในวงกว้างขึ้นจนไม่จำกัด โพธิสัตว์เป็นผู้มีส่วนในความดีที่พระนางทรงกระทำ พระนางก็มีส่วนในทุกความดีที่โพธิสัตว์ตัดสินใจกระทำเช่นเดียวกัน สองดวงจิตจึงผูกพันแนบแน่น เมื่อทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกัน เมื่อสุขก็สุขด้วยกัน และเมื่อฝ่ายหนึ่งหลุดพ้น อีกฝ่ายก็จะได้รับการช่วยเหลือให้หลุดพ้นไปด้วย โพธิสัตว์กับคู่ครองของท่านจึงเป็นกำลังสนับสนุนกันและกัน ต่างฝ่ายต่างอาศัยกันเป็นเครื่องมือเพื่อปลดปล่อยดวงจิตของทั้งคู่ หาใช่ว่าโพธิสัตว์ใช้คู่ครองของท่านเป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุเป้าหมายตนเอง ฝ่ายเดียวไม่


กล่าวโดยสรุปก็คือ โพธิสัตว์คือผู้ที่ปรารถนาปัญญาเพื่อปลดปล่อยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ แต่การได้มาซึ่งปัญญาแบบนั้น วิถีของท่านจะแตกต่างจากทางของพระสาวก โพธิสัตว์ไม่พึ่งครูหรือคำสอนล่วงหน้าใด ๆ ก่อนตนจะหลุดพ้น ท่านจะบ่มเพาะกำลังของตนเพื่อคลำหาทางออกจากสังสารวัฏเอง เพราะไม่พึ่งครูคนใด คู่ครอง ความรัก และการเสียสละ จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะส่งเสริมจิตของท่านให้ก้าวหน้า (แต่ถ้าเข้าใจผิดก็อาจบั่นทอนจิตให้ถดถอยก็ได้)


โพธิสัตว์จำเป็นต้องเรียนรู้ความรัก เพราะความรักคือสายใยที่จะยึดเหนี่ยวจิตของท่านให้อยู่ในสังสารวัฏ ความรักเป็นห่วงผูกพันให้โพธิสัตว์เห็นคุณค่าและความดีของสัตว์โลก (โดยเริ่มต้นจากคู่ครองและคนใกล้ชิดของตน) ความรักทำให้โพธิสัตว์มีจิตใจอ่อนโยนและอ่อนไหว ถ้าใจของตนแข็งกระด้างแล้วจะเข้าใจและช่วยเหลือจิตใจของผู้อื่นได้อย่างไร คนที่มองว่าโพธิสัตว์ไร้หัวใจย่อมไม่เข้าใจแนวคิดนี้อย่างแท้จริง


เพราะฉะนั้น ความรักแบบคู่ครองจึงไม่ใช่อุปสรรคของผู้ที่เดินอยู่ในเส้นทางสายนี้ แต่เป็นโอกาสลองผิดลองถูกสำหรับคนที่ไม่หวาดหวั่นวงล้อแห่งการเวียนว่ายตาย เกิด ลองผิดจนกว่าจะเจอคู่ที่เหมาะสมและเกื้อกูลซึ่งกัน หากปราศจากรักแท้คือการเสียสละ โพธิสัตว์ย่อมพัฒนาปัญญาและกรุณาของตนบนพื้นฐานของอัตตา คือยึดถือตัวตนและของตนเป็นหลัก และปณิธานอุดมคติย่อมถึงซึ่งกาลอวสาน


เมื่อดวงใจได้สัมผัสรักแท้ โพธิสัตว์กับคู่ครองของท่านจะอาศัยกันและกันเป็นวิถีทางมุ่งสู่จุดหมายเดียว กันในท้ายที่สุด จุดหมายซึ่งดวงจิตของสัตว์ทั้งหมดจะมีส่วนในความรักตรงนี้ด้วย เพียงแต่เราจะไม่เรียกความผูกพันที่โพธิสัตว์มีต่อสัตว์ทั้งหลายว่าความรัก แต่จะเรียกว่าเป็นความกรุณา เมื่อความรักกลายเป็นความกรุณาอย่างสมบูรณ์แล้ว ความรักของคนคู่ก็ย่อมสลายไปเป็นธรรมดา ด้วยเหตุนี้ ความรักจึงเป็นบทเรียนโดยตรงของโพธิสัตว์ มันดำรงอยู่ตั้งแต่จุดเริ่มต้น ระหว่างทาง ตลอดจนอยู่ในจุดหมายปลายทาง ความรักก่อให้เกิดหน้าที่และพันธกิจมากมายแก่โพธิสัตว์ มันเป็นทั้งภาระอันหนักอึ้งและสายน้ำอันอบอุ่น เป็นห่วงร้อยรัดแต่ก็หล่อเลี้ยงดวงจิตของคนที่ไม่ยอมหลุดพ้นไปเพียงลำพัง



http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=30474

plyfha
06-08-2009, 09:18 AM
http://www.mechtechgmm.com/images/thank20you2086.gif
ขอบคุณค่ะสำหรับเรื่องดีดี ที่หามาให้อ่าน เคยอ่านมานานจนเกือบลืม