PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : ขอเกิดมาเป็นลูกพี่ชาย



*8q*
06-11-2009, 09:12 PM
ประเทศศรีลังกา ที่ตำบลอุคคัลโตตะ ชาวบ้านที่ตำบลนี้มีอาชีพทำนาเป็นหลัก มีความเป็นอยู่เรียบง่ายตามอัตภาพของชาวนาทั่วไป นายรัตรัน ฮามี เป็นชาวนาอยู่ที่ตำบลนี้ เขามีภรรยาแล้ว แต่ไม่มีลูกด้วยกัน ต่อมาภรรยาของรัตรันล้มป่วยลงและมีอาการทรุดหนักอย่างรวดเร็วจนเสียชีวิตในที่สุด ยังความเศร้าโศกเสียใจแก่รัตรันเป็นอย่างยิ่ง
นายรัตรันเป็นพ่อม่ายอยู่คนเดียวมาได้ระยะหนึ่งจึงจัดผู้ใหญ่ไปสู่ขอหญิงสาวผู้หนึ่งชื่อ โพธิมณิเก อยู่ตำบลนาวเนลิยะ ห่างจากตำบลอุคคัลโตตะประมาร 8 กิโลเมตร เมื่อพ่อแม่ฝ่ายหญิงยินยอมตกลงยกลูกสาวให้ พิธีแต่งงานจึงจัดขึ้นที่บ้านของเจ้าสาวโพธิมณิเก
หลังจากพิธีแต่งงานผ่านพ้นไปแล้วจะต้องส่งตัวเจ้าสาวไปอยู่บ้านเจ้าบ่าวตามประเพณี แต่สาวโพธิมณิเกผัดผ่อนยังไม่ยอมไป ขออยู่บ้านตัวเองต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งรัตรันไม่อาจขัดใจได้
เวลาผ่านไปหลายวัน สาวโพธิมณิเกก็ไม่ยอมไปร่วมห้องร่วมหอกับรัตรัน ทำให้อดีตพ่อม่ายขุ่นเคืองใจเป็นอย่างยิ่ง รัตรันเดินทางมาที่บ้านเจ้าสาวซึ่งเป็นภรรยาของเขาหลายครั้งหลายหนเพื่อจะรับไปอยู่ด้วยกัน แต่สาวโพธิมณิเกกลับบ่ายเบี่ยงไม่ยอมไปเป็นภรรยาโดยสมบูรณ์ของรัตรันเสียที ทำให้รัตรันเกิดความระแวงสงสัย พร้อมกันนั้นเขาได้สังเกตเห็นสาวโพธิมณิเกมีความสนิทสนมกับชายชื่อ โมหัตติฮามี ซึ่งอยู่รวมบ้านเดียวกันกับนางเป็นพิเศษ ทำให้รัตรันปักใจเชื่อ
มั่นว่าภรรยา (แต่ในนาม) ของเขาจะต้องมีความสัมพันธ์ฉันคู่รักกับโมหัตติมาก่อนแต่งงานกับเขาแน่ ๆ
การที่โพธิมณิเกยินยอมเข้าพิธีแต่งงานกับเขาก็คงเนื่องจากไม่อาจขัดขืนอำนาจบังคับจากพ่อแม่ของนาง รัตรันจึงเพิ่มความขุ่นแค้นมากขึ้นกว่าเดิม เขาคิดว่าการที่โพธิมณิเกไม่ยอมไปอยู่กินกับเขาเป็นเพราะนางยังใฝ่ใจรักตัวไอ้หนุ่มโมหัตติอยู่ และไอ้หนุ่มก็คงยุแหย่ไม่ให้นางตกลงปลงใจเป็นภรรยาของเขา จึงได้พยายามยืดเวลาไม่ยอมเดินทางไปอยู่ด้วยกันที่บ้านของเขา
วันนั้น……..รัตรันได้ไปบ้านของสาวโพธิมณิเกอีกแล้วอ้อนวอนให้สาวเจ้าไปอยู่กับเขาตามหน้าที่ภรรยา แต่โพธิมณิเกตอบปฏิเสธนางบอกกับรัตรันว่าจะขออยู่บ้านพ่อแม่ต่อไปอีกระยะหนึ่งก่อน ทำให้รัตรันโกรธแค้นจนขาดสติ เขาผลุนผลันออกจากบ้านภรรยาดิ่งตรงกลับบ้านตัวเอง
เมื่อถึงบ้านก็คว้ากริชคู่มือนำไปลับจนคมกริบแล้วไปหาพี่ชายชื่อ ติเลรัตนี ซึ่งเขารักมากที่สุด ขอยืมเงิน 50 รูปี เพื่อนำไปใช้หนี้ค่าปลูกบ้านใหม่ซึ่งเตรียมไว้เป็นเรือนหอ หากตอนนี้ยังเป็นเรือนร้าง เพราะเจ้าสาวไม่ยอมมาเป็นภรรยาเสียที พี่ชายก็ให้เงิน 50 รูปีแก่รัตรันไปตามที่เขาขอยืม
รัตรันจึงนำเงินไปชำระหนี้สินจนหมดสิ้นไม่มีพันธะผูกพันกับใครอีก แล้วอดีตพ่อม่ายซึ่งถูกโมหะและโทสะครอบงำก็มุ่งหน้าไปยังตำบลนาวเนสิยะ อันเป็นที่อยู่ของภรรยาคนใหม่ผู้ไม่ยอมมาครองเรือนด้วยอีกครั้ง
เมื่อมาถึงบ้านของสาวโพธิมณิเก รัตรันก็เห็นภรรยาของเขากำลังสนทนาอยู่กับไอ้หนุ่มโมหัตติด้วยกิริยาแช่มชื่นระรื่นบาดตาบาดใจนัก ครั้นทั้งสองมองเห็นเขา อากัปกิริยาพลันเปลี่ยนไป ไอ้หนุ่มโมหัตติเลี่ยงหนีผละไปอีกทาง ส่วนโพธิมณิเกชักสีหน้าปั้นปึ่งแสดงอารมณ์ไม่พอใจที่เห็นเขามาทำให้รัตรันเกิดโทสะอย่างแรงกล้า
รัตรันเข้าไปหาโพธิมณิเก ถามนางซ้ำอีกว่าวันนี้จะไปอยู่กับเขาหรือไม่ นางก็ตอบปฏิเสธเหมือนเช่นทุกครั้ง
ในพลันนั้น อารมณ์ร้ายของรัตรันที่อัดอั้นเอาไว้จึงถึงจุดระเบิด เขากระชากกริชที่เหน็บเอวออกมา แล้วโถมแทงตรงหน้าอกด้านขวาของโพธิมณิเกเต็มเหนี่ยวจนกริชปักคาอยู่ สาวเจ้ากรีดร้องสุดเสียงก่อนจะซวนเซถลาล้มลงไป
ไอ้หนุ่มโมหัตติซึ่งอยู่ไม่ไกลนักเห็นเหตุการณ์สยองเกิดขึ้นจึงวิ่งเข้ามาช่วยโพธิมณิเก เข้ากอดปล้ำชกต่อยรัตรันพลางตะโกนให้คนในบ้านมาช่วยเสียงขรม
ในที่สุดรัตรันก็ถูกจับตัวเอาไว้ได้ ส่วนสาวโพธิมณิเกถึงแก่ความตายด้วยบาดแผลฉกรรจ์ที่ถูกแทงด้วยกริชตรงหน้าอกเบื้องขวา
รัตรันจึงถูกดำเนินคดีตามกฎหมายบ้านเมือง รัตรันให้การแก้ตัวต่อศาลว่าฝ่ายหญิงเป็นผู้ก่อเหตุก่อนจึงเกิดการทะเลาะวิวาทกันขึ้น พวกของฝ่ายหญิงกลุ้มรุมจับตัวเขาไว้ไม่ให้หนี เขาบันดาลโทสะระงับไม่อยู่ได้ใช้กริชแทงออกไปถูกนางโพธิมณิเกโดยมิได้ตั้งใจและไม่ได้มีเจตนาจะฆ่านาง
ทางฝ่ายหนุ่มโมหัตติและญาติผู้ตายคือสาวโพธิมณิเกให้การต่อศาลว่า รัตรันเป็นคนแทงโพธิมณิเกก่อนพวกเขาจึงเข้ามาจับกุมตัวเอาไว้ และได้ทุบตีรัตรันจริงเพราะเขาต่อสู้และพยายามจะหลบหนี
ศาลพิจารณาความแล้ว เชื่อว่ารัตรันกระทำความผิดจริง จึงพิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิตให้ตายตกไปตามกัน
หลังจากศาลพิพากษาแล้ว และรัตรันถูกคุมขังรอเวลากำหนดประหาร นายติเลรัตน์ได้ไปเยี่ยมน้องชายที่คุกด้วยความโศกเศร้าเสียใจและรักอาลัย รัตรันบอกกับพี่ชายว่าเขาไม่กลัวตาย เขารู้อยู่แล้วว่าจะต้องตาย เป็นห่วงแต่พี่ชายเท่านั้นจะต้องทำนาคนเดียวไม่มีเขาช่วยอีก
ก่อนถึงวันประหารชีวิต 5 วัน นายติเลรัตนีได้ทำบุญเลี้ยงพระให้แก่รัตรันโดยนิมนต์พระ 10 องค์ไปที่คุก ระหว่างการทำบุญเลี้ยงพระ รัตรันได้บอกกับพี่ชายว่าเขาจะมาเกิดเป็นลูกของพี่ชายอีก
ในที่สุดก็ถึงวาระสุดท้ายของชีวิตรัตรัน เขาถูกประหารชีวิตด้วยการถูกแขวนคอ ตายตกไปตามกรรมที่ได้ก่อขึ้น
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2471 หลังจากรัตรันตายไปจากโลกนี้ 6 ปีนายติเลรัตนีพี่ชายก็ได้แต่งงานกับสาวรัตรัน (ชื่อเหมือนกัน) เมื่อปีพ.ศ.2477 ทั้งสองอยู่กินกันมนานถึง 13 ปี มีบุตรชายหญิงหลายคนจึงได้ตั้งครรภ์ลูกอีกคนและคลอดออกมาเป็นชายเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2490 ได้รับการตั้งชื่อว่า วิชรัตนี
ทารกน้อยวิชรัตนีเป็นเด็กไม่สมประกอบมาตั้งแต่กำเนิด แขนข้างขวาสั้นกว่าแขนข้างซ้ายและลีบกว่าปกติธรรมดาครึ่งหนึ่ง นิ้วมือขวาพิการคือทุกนิ้วกุดด้วนเหลืออยู่เพียงข้อเดียว นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนางติดกันหมดโดยมีหนังยึดติดกันเป็นพืด มีแค่นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วก้อยสองนิ้วเท่านั้นที่เป็นอิสระเคลื่อนไหวได้ตามปกติ
อีกจุดหนึ่งที่ปรากฎร่องรอยประหลาด คือมีรอยแผลเป็นตรงหน้าอกส่วนด้านขวา ลึกบุ๋มลงไปมีความยาวประมาณ 2 นิ้วเป็นรอยคล้ายถูกของมีคมแทง
เมื่อเด็กชายวิชรัตนีเติบโตขึ้นมาจนมีอายุได้ 3 ขวบกว่า เดินได้และพูดได้แล้ว มัดจะพูดลอย ๆ กับตัวเองบ่อย ๆ ว่าการที่มีแขนข้างขวาพิการก็เพราะเมื่อชาติก่อนได้ฆ่าเมีย นางรัตรันผู้เป็นมารดาได้ฟังจึงเกิดความสงสัยจึงสอบถามลูกชายตัวน้อยว่าไปจำเรื่องนี้มาจากไหน เจ้าหนูวิรัชรัตนีก็บอกว่าเป็นเรื่องของตัวเองเมื่อชาติที่แล้ว ตนได้ฆ่าเมียตัวเองตายคามือและถูกศาลตัดสินประหารชีวิต และตนคือน้องชายของนายติเลรัตนี

*8q*
06-11-2009, 09:13 PM
นางรัตรันได้ถามนายติเลรัตนีผู้สามีถึงเรื่องราวความเป็นมาเป็นไปที่ลูกชายพูด สามีก็บอกว่าที่ลูกพูดต้องเป็นเรื่องจริงแน่ ๆ เพราะตั้งแต่แรกเกิดเขาเคยบอกนางรัตรันว่า ลูกคนนี้คงเป็นน้องชายของเขามาเกิด เพราะมีเค้าหน้าประพิมประพายเหมือนน้องชายทุกอย่างผิวก็คล้ำผิดกับพี่ ๆ ที่มีผิวค่อนข้างขาว หากนางไม่สนใจเอง
นางรัตรันไม่เคยรู้เรื่องของนายรัตรันน้องชายสามีที่ฆ่าภรรยาตายจนได้รับโทษประหารชีวิต เนื่องจากสามีไม่เคยเล่าให้ฟัง ประกอบกับเหตุการณ์ผ่านไปหลายปีและสถานที่เกิดเหตุก็เกิดอยู่ต่างตำบล จึงไม่มีใครจดจำใส่ใจนำมาเล่ารื้อฟื้นอีก เมื่อลูกชายตัวน้อยระลึกชาติได้เช่นนี้ นายติเลรัตนีจึงเปิดเผยเรื่องราวของน้องชายให้ฟังโดยละเอียด
เด็กน้อยวิชรัตนียิ่งเติบโต พูดจาได้คล่องแคล่วก็ชอบพูดถึงเรื่องชาติก่อนมาก หากใครมาทักถามเรื่องแขนขวาที่พิการเขาจะเล่าให้ฟังถึงสาเหตุของความพิการ โดยกล่าวอ้างชาติที่แล้วว่าเป็นเพราะฆ่าภรรยาตาย พ่อแม่ห้ามปรามไม่ให้พูดแต่เด็กไม่ค่อยเชื่อฟังชอบพูดเรื่องอดีตชาติของตัวเองบ่อย ๆ เมื่อไม่มีใครพูดด้วยก็มักจะพูดกับตัวเองคนเดียว
และยิ่งกับมารดา เด็กนิ้ยวิชรัตนีจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียดทีเดียววันนี้พูดถึงตอนนี้ วันต่อมาจะพูดถึงอีกตอนเล่าเป็นฉาก ๆ สามารถต่อเนื่องเรื่องกันได้หมด นางรัตรันผู้เป็นแม่ไม่อยากให้ลูกพูดถึงอดีตชาติเพราะนางต้องการให้เขาเป็นลูกของนางเพียงอย่างเดียวในชาตินี้ แต่เด็กก็ยังพูดเรื่อย ๆ
เมื่อเด็กชายวิรัชรัตนีอายุได้ 5 ขวบ เรื่องราวที่เขาระลึกชาติได้แพร่ออกไปจนรู้ถึงพระภิกษุอนันท์ เมตไตรยะ ศาสตราจารย์ฝ่ายพุทธปรัชญาแห่งวิทยาลัยลังกาปริเวณะเมืองโคลัมโบ พระภิกษุอนันท์ เมตไตรยะ จึงได้เดินทางมาสอบถามพูดคุยถึงเรื่องในอดีตชาติซึ่งเด็กชายวิชรัตนีก็ได้เล่าให้ฟังโดยตลอด
น่าสังเกตอยู่ประการหนึ่งก็คือ เมื่อเด็กชายวิชรัตนีมีอายุได้ 5 ขวบ เขาจะไม่พูดเรื่องอดีตชาติอย่างพร่ำเพรื่อเหมือนตอนเป็นเด็ก ๆ เว้นแต่ใครมาสอบถามจึงจะพูดจะเล่าให้ฟัง
ในปี พ.ศ.2404 ดร.เอียน สตีเวนสัน ผู้ค้นคว้าเรื่องตายแล้วเกิด ชาตินี้ชาติหน้ามีจริง ระลึกชาติได้ ได้เดินทางมาสัมภาษณ์และบันทึกเรื่องราวทั้งหมดเอาไว้เป็นหลักฐาน
เด็กชายวิชรัตนีขณะนั้นอายุได้ 14 ขวบแล้ว ได้เล่าให้ ดร.สตีเวนสันฟังเรื่องราวในอดีตของตนอย่างถูกต้องโดยกล่าวย้ำว่าที่ตนมีมือและแขนขวาพิการก็เนื่องมาจากใช้กริชแทงภรรยาตาย มือข้างขวาใช้ประโยชน์ได้เพียงแค่จับปากกา ดินสอ เขียนหนังสือเท่านั้น จะใช้ทำงานหนักอย่างอื่นไม่ได้เลย
ดร.สตีเวนสัน ทำการตรวจสอบหลักฐานคดีความที่นายรัตรันฆ่านางโพธิมณิเกตาย คำพิพากษาประหารชีวิต ตลอดจนบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องกับนายรัตรันขณะมีชีวิตในอดีตชาติ ปรากฎว่าถูกต้องทุกประการ ไม่มีข้อลังเลสงสัยอื่นใดในกรณีที่เด็กชายวิชรันีระลึกชาติได้
เด็กชายวิชรัตนียังได้ชี้ให้มารดาดูสถานที่ซึ่งตนนำกริชมาลับตรงใต้ต้นส้มหลังบ้านจนคมกริบ
มีเพียงอย่างเดียวที่เด็กชายวิชรัตนีจำไม่ได้ คือชื่อภรรยาคนแรกที่เสียชีวิตตายจากไป
ดร.สตีเวนสันสอบถามเด็กชายวิชรัตนีว่าตอนที่เขาแทงภรรยาในอดีตชาตินั้นมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร เด็กบอกว่าตอนนั้นโกรธมากจนยั้งสติยั้งใจไม่ไหว ลืมคิดถึงความผิดทางอาญาบ้านเมือง ตลอดจนโทษทัณฑ์ที่จะได้รับ จึงได้ชักกริชออกมาแทงนางโพธิมณิเกเต็มเหนี่ยว
เด็กกล่าวอีกว่าการที่ศาลพิพากษาลงโทษประหารชีวิตด้วยการให้แขวนคอเขาเป็นการถูกต้องแล้ว
เมื่อ ดร.สตีเวนสัน ถามว่าเหตุผลที่เขาฆ่าภรรยาเป็นการถูกต้องสมควรแล้วหรือ เด็กชายวิชรัตนียืนยันว่าแม้เขาจะเกิดใหม่ในชาตินี้ เขาก็ยังคิดว่าการฆ่าผู้หญิงที่ไม่ยอมติดตามสามีไปอยู่ด้วยกันเป็นการถูกต้องสมควรแล้ว
ตอนถูกประหารชีวิตซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่พี่ชายไม่รู้เห็นนั้น เด็กชายวิชรัตนีได้เล่าให้ ดร. สตีเวนสัน ฟังว่าก่อนมีการแขวนคอ 1 วัน เจ้าหน้าที่ผู้ทำหน้าที่เพชฌฆาตได้นำกระสอบทรายมีน้ำหนักเท่ากับตัวเขาเอาไปทดสอบความเหนียวของเชื่อก และความแข็งแรงของขื่อคานโดยผูกกระสอบทรายติดกับเชื่อกแล้วทิ้งกระสอบทรายตกลงไป (ซึ่งเป็นความจริง)
ก่อนที่เขาจะถูกแขวนคอ มีพระภิกษุรูปหนึ่งมาสวดมนต์ภาวนาให้เขา จากนั้นเพชฌฆาตได้นำเชือกบ่วงมาคล้องคอเขาแล้วใช้ถุงสีดำครอบศีรษะอีกชั้น
ตอนที่เชือกกระตุกรัดคอ เขาคิดถึงแต่นายติเลรัตนีพี่ชายคนเดียว รู้สึกว่าเชือกรัดคอแน่นเหลือเกินแล้วรู้สึกว่าตัวเองหล่นลงไปกลางหลุมเพลิงที่มีเปลวไฟเจิดจ้า จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย
มารู้สึกตัว และจำอดีตชาติได้ชัดเจนอีกครั้งเมื่อมีอายุ 2 ขวบ และรู้ว่าพ่อของเขาในชาตินี้ก็คือพี่ชายของเขาในชาติก่อน
เด็กชายวิชรัตนียังบอกอีกว่าเขาจำได้ตอนถูกประหารชีวิตมีอายุระหว่าง 23 ย่างเข้า 24 ปี
(ถูกต้องอีก) และความทรงจำที่น่าสนใจอีกข้อหนึ่งก็คือ ก่อนที่นายรัตรันจะเดินทางไปฆ่าภรรยา เขาได้เอาเข็ดขัดหนังไปฝากกับน้าสาวเอาไว้ เมื่อเขาตายไปแล้วน้าสาวได้ให้เข็มขัดเส้นนี้แก่ลูกชายของตนคาดเอวเมื่อเขาเกิดใหม่อายุได้ 6 – 7 ขวบ เห็นลูกพี่ลูกน้องคาดเข็มขัดเส้นเดิมก็จำได้ว่าเป็นเข็มขัดของเขาเอง
บันทึกของ ดร.สตีเวนสัน ระบุว่าเด็กชายวิชรัตนีขณะนี้อายุ 14 ปี ความทรงจำเรื่องอดีตชาติเริ่มเลือนรางไปบ้างแล้ว แต่เหตุการณ์ในปีสุดท้ายก่อนสิ้นชีวิตเขายังจดจำได้แม่นยำและจดจำได้ชัดเจนยิ่งกว่าชีวิตใหม่ในปัจจุบันเมื่อ 10 ปีก่อนเสียอีก
นี่คือผู้ระลึกชาติได้อีกรายหนึ่งในจำนวนนับพันๆรายในโลกนี้ เป็นการยืนยันและพิสูจน์ว่าสรรพสัตว์ย่อมเวียนว่ายตายเกิดตามกรรมของตนจะหลุดพ้นวัฏฏะนี้ได้ก็ด้วยการเข้าถึงพระนิพพานเท่านั้น


ขอบคุนๆแคทครับ <!-- / message --><!-- sig -->