*8q*
08-02-2009, 07:03 PM
http://www.pantown.com/data/12241/board4/2.jpg
ดวงจิตและพระนิพพาน
จิตที่ผ่านการอบรมมาดีแล้ว ย่อมเป็นจิตที่มีคุณสมบัติทางจิตสูงขึ้นและมีพลังมากยิ่งขึ้น คือสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการพิจารณาภูมิจิต ภูมิธรรม เพื่อประโยชน์แห่งการรู้แจ้งได้ ซึ่งตรงจุดนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเป็นเป้าหมายของการปฏิบัติสมาธิภาวนา (หรือจิตภาวนา) เพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงและเพื่อความหลุดพ้น
มนุษย์ทุกคนต่างก็มีจิตวิญญาณ อันเป็นพลังงานในการขับเคลื่อนร่างกาย (กายสังขาร) นี้เหมือนกันหมดทุกคน ทั้งนี้ เพราะมนุษย์ต่างตกอยู่ในแดนเกิดเดียวกันคือ โลกธาตุ โดยอาศัยแม่ธาตุทั้งสี่ (ดิน น้ำ ลม ไฟ) มาประชุมรวมกันขึ้นเป็นร่างกาย (กายสังขาร) มนุษย์จึงประกอบไปด้วยรูปธรรม (อันเป็นของหยาบ) และนามธรรม (อันเป็นของละเอียด)
รูปธรรม ได้แก่ กายสังขาร ซึ่งเมื่อถึงเวลามันก็ต้องแตกสลายไปตามกาล แยกย้ายกันไปตามทางของแม่ธาตุ ธาตุดินก็กลับคืนสู่ธาตุดิน ธาตุน้ำก็กลับคืนสู่ธาตุน้ำ ธาตุลมก็กลับคืนสู่ธาตุลม ธาตุไฟก็กลับคืนสู่ธาตุไฟ ธาตุทั้งหลายบนโลกธาตุใบนี้ไม่เคยสูญหายไปไหน เพียงแต่มีการแปรสภาพกลับไปสู่ความเดิมแท้ของแม่ธาตุอีกครั้ง และพร้อมที่จะมาประชุมรวมกันขึ้นเป็นกายสังขารใหม่ มีดวงจิตวิญญาณใหม่เข้ามาครอบครองวนเวียนอยู่เช่นนี้
นามธรรม ได้แก่ พลังงาน (หรือจิตวิญญาณก็เช่นเดียวกัน) พลังงานหรือจิตวิญญาณนั้นไม่เคยสูญหายไปไหน จะยังคงกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในกายสังขาร (อันเป็นรูปธรรม) ต่อไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น (ดวงจิตวิญญาณทั้งหลายถูกจองจำอยู่ในมิติแห่งความคิด อันมีแม่ธาตุและจักรวาลธาตุเป็นแดนเกิด รองรับความคิดและความฝันนั้น) จวบจนกว่าดวงจิตวิญญาณดวงนั้นจะพบกับความรู้แจ้งเห็นจริง และสำเร็จมรรคผลนิพพาน จิตวิญญาณดวงนั้นจึงจะสามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดจากมิติแห่งความคิดความฝันนี้ออกไปได้
การที่จะสามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในมิติแห่งความคิดนี้ไปได้ มิใช่เรื่องง่ายที่ดวงจิตวิญญาณจะสามารถรับรู้ และเข้าใจกระบวนการแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนี้ได้ ท่านผู้รู้แจ้งทั้งหลายได้กล่าวถึงเรื่องนี้เอาไว้ตรงกันว่า "จิตยึดที่ไหน ปรุงที่ไหน คิดเป็นจริงเป็นจังที่ไหน ดวงจิตวิญญาณย่อมเกิดอวิชชา เป็นตัวเป็นตนขึ้นที่นั่น" อวิชชา คือ ความยึดมั่น ถือมั่น คิดเป็นจริงเป็นจัง
ความคิดที่มีความหลงผิดจะเกิดเป็นอวิชชา ให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในมิติแห่งความคิดนี้ต่อไปอย่างไม่มีวันจบวันสิ้น เมื่อความฝันเรื่องหนึ่งจบลงไป ความฝันเรื่องใหม่ก็จะเริ่มปรากฏตัวขึ้นมาแทนที่ เนื่องจากจิตยังคงมีอวิชชา ความหลงผิด และยังมีความยึดมั่นถือมั่นในมายาสมมติโลก จึงเป็นเหตุให้ดวงจิตวิญญาณไม่สามารถออกจากดงแห่งความคิดนี้ออกไปได้ หนทางเดียวที่จะสามารถไขความลับของระบบจิตวิญญาณ และกระบวนการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์ได้ คือ การอบรมจิตด้วยการปฏิบัติสมาธิภาวนา จนกระทั่งจิตเกิดภาวะสมาธิจิต
พระพุทธเจ้าทรงล่วงรู้ถึงความลับนี้มาตั้งแต่สองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว พระพุทธองค์ทรงทราบถึงวิธีการทำลายกิเลส ความหลงผิด ความยึดมั่นถือมั่น และอวิชชาในดวงจิตวิญญาณ ตลอดจนวิธีการที่จะค้นพบสัจธรรมความรู้แจ้งเห็นจริงนั้นต้องปฏิบัติอย่างไร จึงจะเป็นหนทางที่ทำให้ดวงจิตวิญญาณทั้งหลาย หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ออกไปได้
ในการเข้าถึงโลกแห่งจิตวิญญาณจะมีกระบวนการอบรมจิตโดยเฉพาะ นั่นคือ การปฏิบัติสมาธิภาวนาด้วยการให้อุบายแก่จิต หรือที่เรียกว่า "อุบายกรรมฐาน" ทั้งนี้เพื่อให้จิตนั้นมีเครื่องรู้ มีเครื่องนำทางให้จิตออกจากดงแห่งความคิดมาสู่ความเป็นอิสระแห่งจิต
ในเบื้องต้น เมื่อจิตมีความเป็นอิสระ (หรือที่เรียกภาวะนี้ว่า "ภาวะสมาธิ") จิตก็พร้อมที่จะพัฒนาไปสู่ปัญญาแห่งความรู้แจ้งเห็นจริงได้ การเข้าถึงภาวะสมาธิจิตนั้น ไม่อาจเข้าถึงได้ด้วยการอ่าน การฟัง การจินตนาการ หรือการคาดเดาตีความ แต่จะเกิดขึ้นได้จากการปฏิบัติตามกระบวนการและขั้นตอนทางจิตอันละเอียดอ่อนเท่านั้น
การที่มนุษย์ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ ก็เนื่องมาจากว่ามนุษย์เป็นสัตว์โลกเพียงชนิดเดียวที่มีความสามารถพิเศษทางจิต มนุษย์มีขีดความสามารถก้าวข้ามความหยาบสู่สิ่งที่เป็นความละเอียดได้ ซึ่งสัตว์ชนิดอื่นบนโลกธาตุใบนี้ไม่อาจมีพัฒนาการทางจิตได้ ด้วยเหตุนี้เอง มนุษย์จึงสามารถที่จะอบรมจิตให้พัฒนา จนกระทั่งเกิดความรู้แจ้งเห็นจริง สำเร็จมรรคผลพระนิพพาน และไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในมิติภพภูมิต่างๆ อีกต่อไป
นิพพาน จึงมิใช่เรื่องที่จะนำมากล่าวกันเล่นๆ การไม่เกิดนั้นใครๆ ก็พูดได้ แต่จะมีสักกี่คนกันที่เข้าใจในการดับสูญแห่งการเกิดได้อย่างแท้จริง ใครเล่าจะมีความเข้าใจในบรมสุขที่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด นอกจากมนุษย์ผู้ปฏิบัติ จนกระทั่งเกิดภูมิปัญญาแห่งความรู้แจ้งเห็นจริงแล้วเท่านั้น ที่จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ในภาวะแห่งพระนิพพาน.
http://board.agalico.com/showthread.php?t=31886
ดวงจิตและพระนิพพาน
จิตที่ผ่านการอบรมมาดีแล้ว ย่อมเป็นจิตที่มีคุณสมบัติทางจิตสูงขึ้นและมีพลังมากยิ่งขึ้น คือสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการพิจารณาภูมิจิต ภูมิธรรม เพื่อประโยชน์แห่งการรู้แจ้งได้ ซึ่งตรงจุดนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเป็นเป้าหมายของการปฏิบัติสมาธิภาวนา (หรือจิตภาวนา) เพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงและเพื่อความหลุดพ้น
มนุษย์ทุกคนต่างก็มีจิตวิญญาณ อันเป็นพลังงานในการขับเคลื่อนร่างกาย (กายสังขาร) นี้เหมือนกันหมดทุกคน ทั้งนี้ เพราะมนุษย์ต่างตกอยู่ในแดนเกิดเดียวกันคือ โลกธาตุ โดยอาศัยแม่ธาตุทั้งสี่ (ดิน น้ำ ลม ไฟ) มาประชุมรวมกันขึ้นเป็นร่างกาย (กายสังขาร) มนุษย์จึงประกอบไปด้วยรูปธรรม (อันเป็นของหยาบ) และนามธรรม (อันเป็นของละเอียด)
รูปธรรม ได้แก่ กายสังขาร ซึ่งเมื่อถึงเวลามันก็ต้องแตกสลายไปตามกาล แยกย้ายกันไปตามทางของแม่ธาตุ ธาตุดินก็กลับคืนสู่ธาตุดิน ธาตุน้ำก็กลับคืนสู่ธาตุน้ำ ธาตุลมก็กลับคืนสู่ธาตุลม ธาตุไฟก็กลับคืนสู่ธาตุไฟ ธาตุทั้งหลายบนโลกธาตุใบนี้ไม่เคยสูญหายไปไหน เพียงแต่มีการแปรสภาพกลับไปสู่ความเดิมแท้ของแม่ธาตุอีกครั้ง และพร้อมที่จะมาประชุมรวมกันขึ้นเป็นกายสังขารใหม่ มีดวงจิตวิญญาณใหม่เข้ามาครอบครองวนเวียนอยู่เช่นนี้
นามธรรม ได้แก่ พลังงาน (หรือจิตวิญญาณก็เช่นเดียวกัน) พลังงานหรือจิตวิญญาณนั้นไม่เคยสูญหายไปไหน จะยังคงกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในกายสังขาร (อันเป็นรูปธรรม) ต่อไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น (ดวงจิตวิญญาณทั้งหลายถูกจองจำอยู่ในมิติแห่งความคิด อันมีแม่ธาตุและจักรวาลธาตุเป็นแดนเกิด รองรับความคิดและความฝันนั้น) จวบจนกว่าดวงจิตวิญญาณดวงนั้นจะพบกับความรู้แจ้งเห็นจริง และสำเร็จมรรคผลนิพพาน จิตวิญญาณดวงนั้นจึงจะสามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดจากมิติแห่งความคิดความฝันนี้ออกไปได้
การที่จะสามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในมิติแห่งความคิดนี้ไปได้ มิใช่เรื่องง่ายที่ดวงจิตวิญญาณจะสามารถรับรู้ และเข้าใจกระบวนการแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนี้ได้ ท่านผู้รู้แจ้งทั้งหลายได้กล่าวถึงเรื่องนี้เอาไว้ตรงกันว่า "จิตยึดที่ไหน ปรุงที่ไหน คิดเป็นจริงเป็นจังที่ไหน ดวงจิตวิญญาณย่อมเกิดอวิชชา เป็นตัวเป็นตนขึ้นที่นั่น" อวิชชา คือ ความยึดมั่น ถือมั่น คิดเป็นจริงเป็นจัง
ความคิดที่มีความหลงผิดจะเกิดเป็นอวิชชา ให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในมิติแห่งความคิดนี้ต่อไปอย่างไม่มีวันจบวันสิ้น เมื่อความฝันเรื่องหนึ่งจบลงไป ความฝันเรื่องใหม่ก็จะเริ่มปรากฏตัวขึ้นมาแทนที่ เนื่องจากจิตยังคงมีอวิชชา ความหลงผิด และยังมีความยึดมั่นถือมั่นในมายาสมมติโลก จึงเป็นเหตุให้ดวงจิตวิญญาณไม่สามารถออกจากดงแห่งความคิดนี้ออกไปได้ หนทางเดียวที่จะสามารถไขความลับของระบบจิตวิญญาณ และกระบวนการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์ได้ คือ การอบรมจิตด้วยการปฏิบัติสมาธิภาวนา จนกระทั่งจิตเกิดภาวะสมาธิจิต
พระพุทธเจ้าทรงล่วงรู้ถึงความลับนี้มาตั้งแต่สองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว พระพุทธองค์ทรงทราบถึงวิธีการทำลายกิเลส ความหลงผิด ความยึดมั่นถือมั่น และอวิชชาในดวงจิตวิญญาณ ตลอดจนวิธีการที่จะค้นพบสัจธรรมความรู้แจ้งเห็นจริงนั้นต้องปฏิบัติอย่างไร จึงจะเป็นหนทางที่ทำให้ดวงจิตวิญญาณทั้งหลาย หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ออกไปได้
ในการเข้าถึงโลกแห่งจิตวิญญาณจะมีกระบวนการอบรมจิตโดยเฉพาะ นั่นคือ การปฏิบัติสมาธิภาวนาด้วยการให้อุบายแก่จิต หรือที่เรียกว่า "อุบายกรรมฐาน" ทั้งนี้เพื่อให้จิตนั้นมีเครื่องรู้ มีเครื่องนำทางให้จิตออกจากดงแห่งความคิดมาสู่ความเป็นอิสระแห่งจิต
ในเบื้องต้น เมื่อจิตมีความเป็นอิสระ (หรือที่เรียกภาวะนี้ว่า "ภาวะสมาธิ") จิตก็พร้อมที่จะพัฒนาไปสู่ปัญญาแห่งความรู้แจ้งเห็นจริงได้ การเข้าถึงภาวะสมาธิจิตนั้น ไม่อาจเข้าถึงได้ด้วยการอ่าน การฟัง การจินตนาการ หรือการคาดเดาตีความ แต่จะเกิดขึ้นได้จากการปฏิบัติตามกระบวนการและขั้นตอนทางจิตอันละเอียดอ่อนเท่านั้น
การที่มนุษย์ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ ก็เนื่องมาจากว่ามนุษย์เป็นสัตว์โลกเพียงชนิดเดียวที่มีความสามารถพิเศษทางจิต มนุษย์มีขีดความสามารถก้าวข้ามความหยาบสู่สิ่งที่เป็นความละเอียดได้ ซึ่งสัตว์ชนิดอื่นบนโลกธาตุใบนี้ไม่อาจมีพัฒนาการทางจิตได้ ด้วยเหตุนี้เอง มนุษย์จึงสามารถที่จะอบรมจิตให้พัฒนา จนกระทั่งเกิดความรู้แจ้งเห็นจริง สำเร็จมรรคผลพระนิพพาน และไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในมิติภพภูมิต่างๆ อีกต่อไป
นิพพาน จึงมิใช่เรื่องที่จะนำมากล่าวกันเล่นๆ การไม่เกิดนั้นใครๆ ก็พูดได้ แต่จะมีสักกี่คนกันที่เข้าใจในการดับสูญแห่งการเกิดได้อย่างแท้จริง ใครเล่าจะมีความเข้าใจในบรมสุขที่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด นอกจากมนุษย์ผู้ปฏิบัติ จนกระทั่งเกิดภูมิปัญญาแห่งความรู้แจ้งเห็นจริงแล้วเท่านั้น ที่จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ในภาวะแห่งพระนิพพาน.
http://board.agalico.com/showthread.php?t=31886