PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : นิทานล้านนา



ปีศาจ
08-15-2009, 02:19 PM
รวบรวมนิทานพื้นบ้าน วรรณกรรม วรรณคดีล้านนา

ปีศาจ
08-15-2009, 02:19 PM
ซอเจ้าสุวัตรกับนางบัวฅำ
(ทำนองพม่า)
พญาพรหมโวหาร
ค่อยฟังรา หมู่ชุมพี่น้อง จักไขทำนอง เรื่องนางบัวฅำ ไขตามระบำ ที่ออกในธัมม์พระเจ้า ติดต่อบทเค้า เจ้าสุวัตรทวยมา อู้กันศาลา ก็ยังเอาเทอะ เป็นหมั้นส่วนตัว บัวฅำนาฏน้อง ไขบอกบิดา ว่านางได้จาแล้วก็ได้อู้ กับทางเจ้ากลิ่นคู้ สุวัตรฅนดี

ส่วนพระฤาษี ท่านก็เล็งหัน จิ่งได้ยอยกหื้อเป็นตัวกัมม์ ของน้องบัวฅำ เมื่อปางก่อนอั้น ท่านบ่ขีดขั้น ยกหื้อเป็นเมียแพง
เพราะกัมม์เคยแฝง เทียมแยงก่อนกี้ เกิดมาชาตินี้ เขาก็เะซาะหากัน ท่านเลยปลงปัน ยกหื้อเป็นคู่ หื้อเจ้าได้อยู่ เป็นคู่เทียมเงา ส่วนม้าอัตตา กัณฐักคู่ท้าว เลยบ่มาไชเจ้า ไคว่หกเจ็ดวัน พวกยักษ์กุมกัณฑ์ มันจับไว้ได้ เอาไปขังฅอกไว้ เลยบ่ได้ฅืนมา

วันนึ่งหน่อไธ้ ทังสองคู่ข้าง เข้าป่าดงกว้าง เซาะหาเผือกมัน มีทังหมากทัน เฟืองไฟส้มสว้า ทังม่วงขี้ย้า อันสุกงามดี มีกล้วยเป็นหวี สุกดีหอมอ้วน มีบัวรมวล ลูกไม้ของฉัน มีทังเผือกมัน ข่าคุกกล้วยอ้อย ปลูกยายเป็นถ้อย ตามหมู่ริมทาง ท่านก็พาเอานาง ลวดเลยต้องเต้า ก็เสียไปเข้า ในเขตกุมภัณฑ์ ท่านก็พาเอานาง จอดยั้งจุกเหล้น รู้จักพักเอาเย็น พอหื้อชื่นเชยบาน

ซ้ำมีนายพราน ผู้นึ่งต่องเต้า มาพบใส่เข้า สองยอดขวัญตา พรานก็จับตา ยุพาเบิ่งเหง้อ ว่างามแท้เนอ ทังสองชายญิง ฤาเป็นคู่พิง ฤาเป็นพี่น้อง ปุนดีใคร่ถ้อง ปุนดีใคร่ถาม สังมาดูงาม ทังสองเผ่าผู้ คาว่าเป็นชู้ ลักหนีกันมา กูจักไปจา ลองถามฟู่อู้ คาว่าเป็นชู้ จะขางเมียมัน พรานซัดตาหัน นางเฅียวหยอกเจ้า ซ้ำปู่พรานเถ้า มันก็รู้ทันที ว่าจอมนารี เขาเป็นคู่อ้อน เขาเป็นคู่ซ้อน สองฅนผัวเมีย กูจักข้าเสีย เอาเมียคู่อ้อน ไปเป็นเพื่อนซ้อน เทียมฅิงของกู

พรานก็ขึ้นธนู ด้ามไม้เถี่ยนกล้า ที่พะกายา ปืนก็ลั่นออกไป ถูกทัดหัวใจ แห่งพระทัยจอมเหง้า บ่ทันสั่งเจ้า นาฏน้องบัวฅำ ทางหน้าก็วำ ท่าวล้มเกลือกกลิ้ง ลงเหนือแดนดิน บ่ปากสักคำ ส่วนนางบัวฅำ ก็เลยหุยไห้ เข้ากอดผัวไว้ ร้องไห้เวย ๆ แล้วว่าโวย ๆ โอยเจ้าพี่ไธ้ พี่เป็นสันใด มาท่าวทังยืน น้องหันเหล้มปืน เสียบหัวอกเจ้าไว้ บัวฅำน้องไธ้ อกสั่นขวัญวึน

แข็งใจองค์ญิง ฟู่จาปู่เถ้า ว่าลุงนี้เล้า เป็นผู้มายิง ผัวรักเทียมฅิง ของข้าเจ้าม้วยมิด ลุงหวังจักฅิด จะเอาอันใด ปู่พรานจาไข ว่าใคร่ได้น้องเหน้า ไปเป็นเพื่อนเฝ้า สืบหอแทนเรือน พี่บ่มีเพื่อน อยู่แฝงแปงห้อย ขอจีดอกสร้อย อย่าว่าใจดำ นางได้ยินคำ ปู่พรานใจไหม้ เหมือนกับเอาไฟ มาเผาลนฅิง ตัวเป็นแม่ญิงจักจาปากต้า ก็กลัวมันข้า หื้อตายวำวาย

ในกลางดงไพร ไกลบ้านบ่ใกล้ ปู่พรานใคร่ได้ เจ้ายอดญิงงาม ไปเป็นคู่ตาม คู่แพงแฝงเฝ้า ก็พาน้องเหน้า ลัดป่าดงดำ ส่วนนางบัวฅำ ไปตกสะหลำ อยู่กลางป่าห้วย จำเป็นลุยทวย ตามรีตแนวรอย มดดำมดแดง ตายเพื่อน้ำอ้อย ชาติเชื้อพริกน้อย กินก่อนร้อนลูน นึกหมายเอาบุญ สืบไปพายหน้า ที่ยิงผัวข้า น้องบ่เสียใจ หลอนว่าจักไป ขอปกซากเจ้า บ่หื้อสัตว์เข้า มากวนเทฅวี ปู่พรานใจดี นึกว่าญิงซอบสู้ มันยังบ่รู้ เป็นถ่านไฟแดง ฟั่งไปจัดแจง ตัดเอากิ่งไม้ มาปกซากไว้ บ่หื้อหันรอย

ซ้ำเป็นกลางดง ดอยสูงป่ากล้วย เป็นผาหลิ่งจ้วย บะหินดอยชัน ส่วนนางบัวฅำ หุยๆไห้ ว่าพรานพี่ไธ้ ปล่อยน้องไปดี
น้องบ่หลบหนี จักทวยถึงบ้าน อันผัวคู่ข้าง น้องก็ทอดอาลัย หลอนว่าจักไป บัวฅำหนุ่มเหน้า กับทังพรานเถ้า เข้าป่าดงดำ

เสียเวรและกัมม์ ทวยมาสะแหว้ว ข้าผัวเพิ่นแล้ว หมายเอาเมียมัน เสียบาปมาทัน ขบหัวปู่เถ้า ว่าพี่พรานเจ้า ตายนี่เน่อพี่พราน แม่ยิงใจหาญ ตัดฅอพรานปุดสะบั้น แล้วก็รีบยัน เข้าป่าดงไพร ค่าจอมนงไวย บ่มีคู่อ้อน เป็นกัมม์ล้อนๆ มันหากพาไป

ได้ฟังนิยาย ฅ่าวธัมม์พระเจ้า ติดต่อบทเค้า หากเป็นฅวามจริง ตัวข้าพรหมินทร์ยั้งไขเป็นห้อง จักลำบากพี่น้อง ฝูงหมู่มาฟังเพลง เลยวาง ฯ

ต้นฉบับ จาก"คำฅมแห่งล้านนา" โดย อำนวย กลำพัด

ปีศาจ
08-15-2009, 02:24 PM
ฅ่าว ๔ บท
(ฅ่าวร่ำนางชม)

...พี่น้องผิดกันเหมือนพร้าฟันน้ำ อย่ากำผูกหมั้นทือเวร เปอะเปิกนั้นน้ำหากพาเป็น เอาน้ำใสเย็นซ่วยเปอะจิ่งเสี้ยง พี่น้องผิดกันเหมือนเหล็กขี้เหมี้ยง เต็มฝนแล้วหากทึงมี เจ้าน้องรักจุ่งอดขันตี หื้อแปงใจดีเหมือนน้ำทังห้า ร้ายเสียออนช่างดีปางหล้า ก็หุมมีมาป่าล้า อย่าถือไผดีอย่าทือไผช้า ช่างเป็นเมฆฝ้าพามัว ค่อยอยู่ตามน้ำทำไปตามตัว น้ำเพียงใดดอกบัวเพียงอั้น จิ่งจักสมและชมคู่ฝั้น เชื้อนั้นหากสมควร...

ฅ่าว ๔ บท เป็นบทกวีที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายทั่วไปของชาวล้านนา แต่งโดย หนานพรหมินทร์ หรือ พญาพรหมโวหาร ( กวีล้านนา พ.ศ. ๒๓๔๕ - ๒๔๓๐) รูปแบบเนื้อหามีลักษณะเป็นฅ่าวใช้หรือจดหมายรัก แต่งที่แขวงลับแลง เมืองอุตรดิตถ์ เพื่อส่งเถิง นางศรีชม เมียรักที่ลักหนีพลิกไปอยู่เมืองแพร่ โดยไม่ได้ร่ำลาบอกกล่าว ขณะที่พญาพรหมกับเสี่ยวชื่อกาวิไชยเทียวทางไปทวงหนี้ที่แขวงท่าเสา เนื้อหารำพันถึงความรักที่มีต่อศรีชม และตัดพ้อต่อว่าที่ถูกทุมทอด

บทที่ ๑

รอมถนัด สะอัดโศกร้อน หนักหน่องข้อน สะท้อนอกอิด
ค่อยฟังเทอะน้อง ที่ข้องใจติด จักบิดเอาดวง คะพวงมาส้อม
หลอนวาตาเสย ลมเชยลวาดต้อม หอมดวงบานซว่านรส
บุปผาเผย บ่เหยเหือดงด หอมอ่อนอ้วน ควรดม

จาเปรียบเค้า สำเนากลอนกลม ผสมแทกเทียม เรียมริร่ำสร้าง
ค่อยฟังเทอะนาย แม่ลายปักกว้าง ชาติบางตะพาน แต่เชื้อ
บ่ถ้ามีเกลือ หินส้มย้อมเนื้อ สีหากเข้ม แดงงาม
บ่เปลืองมาดเช็ด ดินไฟหมากขาม สีหากทึงงาม แต่ยามอยู่เบ้า

หลอนนายบ่จา เชิญฟังเทอะเจ้า ยังกลอนส่ำเนา เรื่องทุกข์
ลุนหลังนาย พี่เมาหัวซุก ปานเพศบ้า เมาวิน
เข้าและน้ำ ลางฅาบลืมกิน ย่ำเทียวดิน หวิดหวาวลุ่มใต้
ทรงตนตัว อยู่พอบ่ได้ เหมือนหางทุงไชย ช่อช้าง

ปักแขวนสูง พยุงยกค้าง กลางเป่งกว้าง ทอลม
แสนเยื่องทุกข์ หนีบแหน้นแถมถม คันคึดไคว่ชม พรหมมีแต่ไห้
จับหล้างวัน เยียะเหมือนจักไข้ หนาวเย็นใน นอกร้อน
เคยได้อยู่กิน ยินดีเซื้อมซ้อน แฝงใฝ่อ้อมพิงพาว

เพื่อนเมารักชู้ เมาบ่าวเมาสาว ตามเนื่องแนวนาว เคยแฝงใฝ่เฝ้า
หล้างพร่องเขา เมายาฝิ่นเหล้า พี่นี้เท่า เมาลม
คันคึดรอดน้อง แม่ปล้องแขนกลม พี่เมาลม งุ่มงว้าดั่งบ้า
ฟู่จาสัง พอลืมหลังหน้า ครอบครัวลืม ละไว้

ลวดสูญหาย บ่คืนได้ใช้ ถ้านปุนอั้น เนอนาย
ใคร่ยกย่างย้าย ไต่ทวยตามสาย หื้อเถิงเทิงนาย ที่เมืองแพร่ห้อง
ก็ความกลัว เป็นมัวเมฆต้อง เหมือนสรีชมฟอง หากร
ู้ บ่ใช่ว่าตั๋ว พี่แกล้งขดฅู้ หากสุดส่วนเสี้ยง ปัญญา

จิ่งมีปิยะ วรกถา จ่ำเริญมา เถิงถองรอดเจ้า
ย้อนไขความจริง บอกญิงน้องเหน้า หื้อหันลายเงาถี่แส้ม
เป็นจดหมาย นิยายฅักแฅ้ม เถิงรอดห้อง เรือนนาย
คันหลอนว่าน้อง ที่ข้องใจหมาย หันเลขลาย อักษรม่อนแสร้ง

ขอเชิญนาย แม่เข้าสูนแป้ง สูนวันเดียว ผ่าน้ำ
อย่ามีโมโห โกธาขุ่นช้ำ จงเคียดกล้า นินทา
เหตุข้าพี่นี้ มีสิเนหา หลายนัยยา หลายเยื่องหลายข้อ
ขอเชิญนาย แม่ไหมแพรห้อ รับกลอนคำซอ ฅ่าวช้อย

หื้อฝูงขนาน ชาวบ้านทิดน้อย ไขอ่านถ้อย ซอยาว
เชิญนุชนาฏน้อง เพื่อนพ้องพิงหนาว ฟังกลอนแนวนาว คำทุกข์โศกเศร้า
ปุนงืดหัวใจ แม่บัวไหวเหง้า สังไปเมา พลาดพลั้ง
เอาสุขใส่ตัว หัวเข้าร่มยั้ง บ่คึดรอดบั้ง หัวที

ีมาละพี่ไว้ โศกเศร้าหมองขวี ยามหนีฅืนมาบ่จาสั่งถ้อย
ทอดทุมชาย พี่ไว้เสียจ้อย เหมือนเพิ่นทุมคาย หมากเคี้ยว
ผัวเมียกัน พ้อยดั้นคดเลี้ยว บ่เหลียวสั่งข้า สักคำ
ของน้องบ่มัก บ่ช่างขับจำ นายคึดว่าลำ จิ่งยำลาบส้า

พ้อยกลายเป็นผง ลำโพงเขือบ้า มาจกฅอฅาย รากท้น
นายบ่เต็มใจ ใผจักยู้ย้น มาตัดรากต้น รอนราน
ยามเมื่อน้องรัก น้ำส้มว่าหวาน ใจบ่เชยบาน น้ำตาลว่าส้ม
แรกเริ่มเดิมจา ตกลงเหลียกหล้ม จิ่งปลงอารมณ์เชื่อน้อง

ก็บ่สมเหมือน นางชมปากพ้อง จาฟู่ต้านเอางาม
ปากน้องว่าแท้ ใจนายบ่ตาม เอาน้ำใสงาม มาล้างซ่วยหน้า
พ้อยบ่มีเหมือน คำนายฟู่ข้า บ่สมวาทา แห่งน้อง
หัวใจญิง เหมือนพิณพาทย์ฆ้อง พิพาทย์แก้ว เภรี

ฅนนอกเนื้อ เขาเชื่อลองตี เสียงวอนดี บ่จนเรื่องได้
มางืดหัวใจ แม่แพรจีนใต้ เป็นสันใดไป อย่างนี้
อยู่ดี ๆหนีหน้าหลีกลี้ เป็นดั่งอี้ ยังมี
สมสู่รัก บ่ทันเถิงปี มากวนเทควี ละพี่เสียได้

ส่วนเป็นไผ บ่รนร่ำไห้ เป็นสันใดนาย บ่ฅิด
มาเอาตัวตน พี่เป็นง้วนพิษ คิดเยื่องอั้น สันใด
สองโล่งทัด ยามปราไสร บ่ขินดวงทัย จาแข็งแดกหย้อ
คำผิดเถียงกัน บ่มีสักข้อ มาจางจืดฅาย ง่ายนัก

อยู่กับกัน กำลังพองรัก บ่มีหว่างอั้น ทางชัง
บัดเดียวเดี่ยวนี้ โทษพี่มีสัง น้องจงชิงชัง บ่หวังผ่อหน้า
มาขัดแคนใจ สิ่งใดหื้อข้า มาสวะทุมลา ฅว่างละ
ของน้องเคยกิน พ้อยขี้เหลียดชะ ไผว่าอั้น สันใด

ฤาฝูงพี่น้อง บ่ชอบพอใจ จาร่ำไร ติเตียนว่าห้าม
ริษยา นินทาจ่มส้าม กลัวโทษมาพา พะน้อง
ลวดตกใจกลัว สะดุ้งสะท้อน ใจหย่อนหย้าน เพิงมี
ไผจุสุ่ยยู้ หลอกหื้อนายหนี แต่เดิมที ไผสังบ่ห้าม

เมื่อสองจากัน บ่ทันล่วงข้าม ไผหยิบริม ปากไว้
คำจาหอม เพียงรสดอกไม้ ยามบิดจากขวั้น มาดม
คำฟู่เค้า เงื่อนเหง้าปฐม บ่สมสักราย สูญหายกว่าจ้อย
คึดหาไหน บ่มีสักหน้อย ของบ่มี พ้อยรู้

มาละทางผัว ไปหนัวทางชู้ ใจหลิ่งหลู้ ทวยไป
เหมือนหมู่ไม้ เมื่อลมตีไกว มาไหวหวั่นเฟือน กระเทือนชุด้าน
หลอนไหวแต่ใบ บ่ไหวกิ่งก้าน ก็พอยังแควน บ่ร้าย
บ่พอเสียใจ สะดุ้งฟุ้งหย้าน นี้ไหวรากขึ้น เถิงใบ

คันว่าเป็นชู้ นอกเนื้อปลายใจ เต็มหนีจากไป บ่น้อยบ่ไห ้
เมียฅิ่นเทียมใจ จักหาไหนได้ พ้อยไกลมือไป ขอกฟ้า
สังบ่คึดใจ เมื่อเค้าซ้อนง้า นอนร่วมผ้า ผืนเดียว
เมาะม่อยเนื้อ เชยชมกลมเกลียว จาหยอกเฅียว ซาบซุบจูบแก้ม

พี่ขดตัว เข้าพิงเอื้อมแอ้ม ถานามือ นวดนิ้ว
พี่จูบตีนผม นายดมหว่างคิ้ว บ่จาโกรธกริ้ว ยินดี
เดิ๋กเที่ยงฟ้า ข้อนรุ่งรวายตรี หมอกเหมยธานี ตกลงย้อยกล้วย
เดือนยี่สี่สาม ทะลามหนาวด้วย พี่แปงฅิงทวย เบียดยัด

เอาแขนซ้อนแขน สะแคงรวบรัด สองอีดอ้อน นอนพิง
หนาวสะท้าน เมื่อยามระติง เมาะม่อยฅิง เอาแก้มก่ายแก้ม
มือเบื้องขวา น้าวฅิงมาแอ้ม แขนซ้ายสอด ฅอนอน
รักตอบรัก บ่มายถ่ายถอน สองวิงวอน เซื้อมซ้อนจูบแก้ม

ซูบซาบกัน ว่าขดมาแอ้ม หนาวเย็นฅิง สั่นเนื้อ
สองรักกัน ใฝ่ฝั้นฟักเฟื้อ ทัดที่ห้องหอใน
สองพี่น้อง ไถ่ถ้องปราไสร จาเยาะใย ลูบคลำเนื้อเหล้น
ฟู่กันหนัว หัวใจตื่นเต้น เจ้าสีบานเย็น น้องสังบ่คึด

บ่ใช่ว่าตั๋ว พี่แข้ง(แกล้ง)เลิกพึด ค้นเล่าต้าน คำเดิม
บ่จาเสียดท้อ แดกหย้อทวยเติม คันจาคำเดิม ช่างผิดช่างข้อง
ทรงวัตรา ผืนลายก่านปล้อง ฝูงสุโน เห่าทัก
เหตุว่านาย ควี่มายคำรัก บ่ฅิดรอดด้วย คำแพง

รอยว่าน้อง มีคำกินแหนง จักอยู่ลับแลง กลัวได้ร่วมข้า
จิงหลบตั๋วหน ีหลีกทรงลี้หน้า หนีฅืนเมือ รีบร้อน
หลอนน้องบ่กลัว ที่พิงที่ซ้อน หล้างอยู่ได้ไปเมิน
หันพี่ทุกข์ไร้ ใจนางบ่เสริญ ลวดพาเผอิญ จิตใจบ่เอื้อ

ทรัพย์สิ่งของ เงินทองเสื้อผ้า ก็จนคุอัน คุเชื้อ
มีแต่ติดตัว ห่มอิงพิงเนื้อ ก็เหลือแต่เสื้อ ผืนเดียว
ตัวก็ทุกข์ คำคึดก็เถียว นายเหลียวสอดแยง แคลงใจสะหลั้ง
บ่หันจักเป็น ที่พิงอิงจั้ง บ่หันช่องทาง ผิ่วท้ง

เม้าจุหื้อหลง เมาลมคดโค้ง จักเป็นเหยื่อหญ้า ยาใด
คำดั่งนี้ เจ้าแผ่นเมืองไหว ระนึกในทัย สงสัยใช่ข้า
พี่หากเข้าใจ บ่ถ้าขายหน้า บ่แปงวาทา ใส่น้อง
เหมือนอยู่ในใจ คำใบเมืองว้อง ลวดใจบ่ข้อง อาลัย

คำรักน้อง หลูด ๆไหล ๆ ไหวทวยลม บ่สมว่าอ้าง
บ่ร่ำเพิงเถิง เมื่อนอนร่วมข้าง ปางยามเดิน ก่อนเนิ้น
คำรักเรา บ่แห้งขาดเฅิ้น บ่หายเหือดแห้ง วันฅืน
สองหากรัก เพศเพียงจักกลืน เหมือนจักลืน คาบเคี้ยวลงได้

ยามจักหนีเสีย ลับแลงแฅว่นใต้ เป็นใดนาย บ่ฅิด
เคยอยู่เฝือแฝง เพาแพงเซื่อมซิด บ่ฅิดห่วงห้อย อาลัย
มาละพี่ไว้ อยู่นอนกับไผ ครอบครัวอันใด ริบล้อนมาเสี้ยง
ตั้งแต่ชาย พรากนายแก้มเกลี้ยง หัวอกพี่เพียง จะม้าง

ผัดผันหัว เมามัวปั่นคว้าง ตามท่งกว้าง รอมนา
คึดรอดน้อง เคยฟู่เคยจา น้ำตาพี่พัง บ่มีหว่างเอื้อน
คันคึดใจเถิง แม่แพรสีเหลื้อน กวังเมาเฟือน เพื่อนทุกข์
เข้าป่าเข้าสวน ป่ากล้วยป่าคุก จุกนั่งไห ้เหงางู

ที่ใดลี้ลับ สงัดใจหู สวนหมากสวนพลู ป่าพร้าวราวบ้าน
ที่บ่มีไผ เดือดนันจาต้าน พี่หนีไปทรง บ่มซุก
หวังว่าจักหาย สว่างมายคำทุกข์ บ่บกขาดแห้ง เบาบาง
นุชชานาฏน้อง แม่แก้มผิวปราง มาจุล่ายพราง หื้อว้างจะกว้าย

เดิมทีว่าไหม เมินไปว่าฝ้าย น้องสังบ่อาย คำคึด
พี่ขนคำแพง เตื่อมแถ้งละลึก พ้อยทุมทอดได้ หนีมา
บ่คึดรอดเค้า เงื่อนเหง้าวาจา ลักรีบบันลา เหมือนปลาบวกแห้ง
พี่บ่มีปืน ใส่ชืนลูกแหล้ง แสวงแอ่วเดิน ป่าเนื้อ

พุ่นพายนาย แม่แก้วแก่นเชื้อ มาเหยืองเบื่อข้า คานาย
ลางมามาดมื้อ แม่แก้วสีผาย จาฟู่ชาย ร้อยเยื่องพันข้อ
สองจากัน เมื่อคำรักป้อ ที่หอนอนใน กางมุ้ง
สองรักกัน บ่ได้แตกฟุ้ง ยามเมื่ออั้น ดูนาย

พี่จำจื่อไว ้บ่ลืมบ่หาย หลายนัยยา เรื่องคำฟู่เจ้า
ว่าจักเกาะผัน หน่องพันกุ้มเถ้า จนอินทรีย์ ม้วยม้าง
หลับบ่ฝันหัน ที่อั้นจักร้าง จักผันร่วมสร้าง ทวยไป
ขอพี่เชื้อ ลองเชื่อดูใจ เต็มเป็นสันใด ตกดินฝุ่นหญ้า

บ่น้อยบ่แหนง สะแคงหน่ายหน้า จักฝากชีวา แห่งน้อง
เต็มว่าเข้าขุม เข้ารูกีดช้อม จักตามถ่อมเข้า รูดิน
เต็มปลูกยก หอเรือนตั้งกิน อยู่แขวงแดนดิน ลับแลงแคว่นใต้
แม่นจักวักวาน ลูกหลานก็ได้ ทังกุญชรไชย ลากชัก

ปีศาจ
08-15-2009, 02:25 PM
ต่อบทที่ ๑
น้องจักไปหา พี่แก้วน้องรัก บ่เสียค่าจ้าง วานดาย
เที่ยงจักสมฅิด ฅะนิงใจหมาย คำฟู่นาย พอมีว่าอี้
มารำฅาญห ูขี้คร้านจู้จี้ แผวค่าเซิงเดิน ฅ่าน้ำ
ทรัพย์สิ่งของ อากรมีซ้ำ ที่กรุงเทพห้อง เมืองไทย

จักอยู่จิ่มน้อง บ่ขัดขินใจ จักลงวันใด บ่ปรามบ่ห้าม
บ่ขัดขิน ปลิ้นลายล่วงข้าม จักตามดวงทัย พี่ไธ้
หลอนบ่มีเหมือน ดั่งข้าฟู่ไว้ หื้อตัดปากข้า ทุมดิน
เต็มไปเทศท้อง นครสายสินธุ์ เถิงแดนดิน เชียงใหม่แก้วกว้าง



น้องจักติดตาม ที่แพงแฝงข้าง ตางไปไช เผ่าเชื้อ
แม่แพรสีจันทร์ รำพันเงือดเงื้อ ฝูงหมู่ป้า ลุงอา
เมินแท้เล้า เขาบ่มาหา กิตตนา แต่เค้าต้านถ้อย
ก่อนออนหลัง เมื่อข้ายังหน้อย เขาเทียวไปมา บ่ละ

เนตรนามา พญาเตชะ จักตายกว่าจ้อย ฤายัง
ก็บ่รู้ แน่นอนสัจจํ ฝูงชนํ เขาจาเล่าต้าน
ว่าไปปกแปง หอเรือนบ้านตั้ง อยู่แขวงแดนใด บ่ฅัก
ฤาอยู่แฅว่นแขวง เขตแดนส่ำนัก เชียงใหม่แก้ว ริมพิง

คันจักไปแท้ เป็นแน่เป็นจริง พอพาเอาญิง น้องเทียวไต่เต้า
ไปเซาะหา ชาติเชื้อเครือเหง้า อันเป็นพงศ์พันธุ์ แห่งน้อง
คำฟู่นาย แม่เก้าวิดว้อง พี่จำจื่อได้ นายลืม
มาทุมทอดซัด คำรักเสียหลืม เหมือนเขาพันฟืม อันปุดเก่าเกื้อ

รักใจบ่ติด แปงใจบ่เอื้อ เหมือนสะทวงวาง รบช้าง
พี่รักจาแฝง นายแพงจงม้าง พี่สานก่อสร้าง นายเท
คันว่าน้อง ใจยังบ่เหว ยังสมฅะเน คำนายฟู่ข้า
บ่อายฅน สกลโลกหล้า ฝูงเทียวดิน ลุ่มฟ้า

หล้างพออายผี ที่ในป่าช้า บ่เหมือนฟู่ข้า สักราย
หล้างเทื่อน้อง กาบซ้อนฅิงผาย จาฟู่ชาย ว่านายโศกเศร้า
คัดอกใจ เหมือนไฟลุกเอ้า เพราะเขาทวงเรื่อง เงินนั้น
บ่ใช่อื่นไกล พี่ใกล้น้องชั้น จาแดกหย้อ ทึงวัน

ในวันนี้ ก็ผิดเถียงกัน เสียงเนืองนัน เหมือนเรือนจักปลิ้น
เพราะว่าเขาหัน ปีกบางหางหิ้น เหินเดินดิน บ่พ้น
คำเก่าหลัง เก็บมาฅว้าฅ้น จาว่าหื้อ หลายแซง
ว่าน้องนี้ ขี้คร้านหุงแกง บ่แปงแลงงาย ทั้งน้ำและเข้า

บ่ใคร่ตักตำ ทำตัวดั่งเจ้า เขานินทา ว่าพร้อม
บ่เย็นหู จู้จี้จ่มฟ้อง บ่มีหว่างอั้น ใจดี
คำดั่งนี้ เจ้าแว่นทรงสรี ไขวาที พี่จำจื่อได้
ว่าปุนขัดใจ ขัดฅอกว่าใบ้ หัวอกทรวงใน ย่อยยับ

เต็มว่าที่กิน ที่นอนกีดคับ ก็ยังอยู่ได้ ยืนไป
คัดกีดช้อม หัวอกหัวใจ จักอดอยู่ไป หัวใจบิ่นบ้าง
คึดการสัง บ่หันเป่งกว้าง นึ่งเมินไป นึ่งช้อม
ว่าต่อตำ เสียดหย้อพร่ำพร้อม เถิงหลอดฝ้าย ไหมไน

พี่ร่วมท้องน้อง ร่วมอกใจ จาสังอันใด เหมือนไผต่างด้าว
จาหยาบแข็ง คำแรงเร่งห้าว ว่าใจชมญิง กีดช้อม
การทำทอ สิ้วส้อชุบย้อม เหลืองมุ่ยอิ้น ดำแดง
บ่เตื่อมค้ำ ทำทอปั่นแปง รักบ่ารักแรง บ่แยงบ่ใกล้

จักอดทน จนพอบ่ได้ เขาร่ำไร ว่าพร้อม
จักไปไหน ๆ บ่ยำบ่น้อม บ่ถามบ่ต้าน ชิงไป
ทำตามชอบเนื้อ อำเภอน้ำใจ เสมอทาสไทย น้ำเงินหากข้าม
จาข่มเหง ฅะเนงจ่มส้าม มีแต่ฅวาม เดือดร้อน

นั่งนอนไหน ใจไหวสะท้อน บ่มีหว่างอั้น ใจดี
ข้าน้องนี้ ค่อยอดขันตี จะหลอนบ่มี ที่พิงที่ป้อง
ใคร่หนีจากเรือน ใคร่เบือนจากห้อง เชื่อคอยลอง น้องชั้น
ทะเลิงสะหาว กลั่นกล้าขะยั้น จักเหลือพี่เอ้ย เพียงใด

เจ้าน้องรัก ฟู่ต้านขานไถ จายาวใย ฟู่ไปถี่ถ้วน
คำรักเรา บ่ปุดขาดด้วน บัวละมวล ดั่งฅิด
ได้อยู่ได้กิน ยินดีเซื้อมซิด เขาบ่สู้ จงชัง
จุหลอกน้อง หย่องว่าลุนหลัง เมื่อพี่บ่ยัง ไปแอ่วเหนือใต้

ว่าอย่าอุ่นใจ อุ่นฅอหวังได้ มอกเป็นเมียพราง สอดซ้อน
ผ่อบ่หัน หวังได้สุขย้อน เม้าเมียห่อเข้ากินทาง
จุสุ่ยเพี๊ยก หื้อน้องใจจาง ล่อลวงพราง หื้อว้างฅว่างถิ้ม
คำรักเรา เป็นเกลียวแท่งหลิ้ม จงตัดฟัน ปั่นม้าง

เขาปรารถนา หื้อได้เป็นร้าง เจียนจากำข้าง สามี
กลัวเราพี่น้อง หย่องพากันหนี เขากลัวเสียที่ เข้าของพร่อยบ้าง
ฅนอัปรีย์ บ่ดีจาอ้าง ก็เก็บเอามา ว่าพร้อม
ใจถะหมิน กิดสั้นหมิ่นช้อม บ่คึดอ่วงอ้อม ปลงปัน

พี่กับน้อง ร่วมท้องเดียวกัน บ่รักปลงปัน เขาหันแต่ได้
บ่รู้จัก พี่ไกลน้องใกล้ ใจอาธรรม์ เปรตยักษ์
น้องญิงชัง น้องชายหล้างรัก พ้อยตัดล่วงดั้น ใจใน
คำจ่มฟ้อง ปุนดีเจ็บใจ เพศเพียงดั่งไม แม่แตนต่อเผิ้ง

บ่มีสัง จักบังกั้งเกิ้ง เหินบินบน เดียดเนื้อ
คำโสกา หมื่นอันพันเชื้อ เหมือนขอนโข่ขว้าง ไหลนอง
บัดเดี่ยวนี้ ซ้ำเร่งเอาของ อันเขาทดรอง หื้อน้องยามอั้น
แต่ก่อนออนหลัง ผ่อนยาวผ่อนสั้น บ่เหมือนดังวัน นี้ร้าย

เหมือนฅนต่างแขวง ต่างแดนต่างฅ้าย บ่เหมือนร่วมท้อง มารดา
เขาว่าหันน้อง ตกลงลุ่มตา บ่หวังเพิ่งพา ใช้สอยสืบส้อน
หันตกจน ทารนทุกข์ข้อน จมดินดอน ลุ่มพื้น
จาคำใด อ้างถกลากทึ้น ขายเลี้ยงหน้า ลงเรือน

ปุนเจ็บแสบร้อน สะท้อนใจเสือน ใคร่หนีจากเรือน ลงดินลุ่มใต้
มายินขัดใจ ขัดฅอกว่าใบ้ วันนี้วันฅ่ำ ญิงนอน
ขดฅุดฅู้ มูบมู้กับหมอน ฅาบงายทอน บ่ลงรอดไส้
คึดจักกิน จักลืนบ่ได้ ใจนายอวน ป่วนพุ

หัวอกหัวใจ เพศเพียงทะลุ เป็นสองเสี่ยงอั้น ภินท์นา
คำดั่งนี้ แก้วชอบชาตา กิตตนา แต่เค้าเบื้องเบ้า
พี่บ่ลืมหลง ยังคำฟู่เจ้า อันตัวนายเลา ฟู่ไว้
พี่จำใส่ใจ ใส่ฅอข้าไว้ บ่หลงล่าถ้อย ลืมคำ

มีแต่น้อง ฟู่แล้วบ่จำ กำยียำ ฟู่ไหนลืมหั้น
ฟันไหนบ่หัก มัดไหนบ่หมั้น พ้อยตัดบั่นฟัน คำรัก
งืดหัวใจนาย มาเบาแท้ทัก เหมือนฟองนุ่นแห้ง ลมพือ
สิบเบี้ยฝากน้ำ น้องใฝ่จงถือ ห้าเบี้ยมามือ ฅว่างซัดรีบห้าว

พ้อยเกาะสองมือ มาทือสองส้าว ขาวดำเอา คุเชื้อ
ชาติเหล็กพิวดำ บ่ชัดเลือดเนื้อ ปืนเก่าเกื้อ โบราณ
บ่แกล้งว่าน้อง เพื่อนพ้องสงสาร เจ้าแสงเดือนบาน ดั่งรือเยียะได้
นายได้เถิงสุข ละทุกข์ไว้ให้ จนพาไป บ่แพ้

ใคร่ค้ำแขนถาม สักคำดูแท้ หื้อจริงแน่แจ้ง ใจพรหม
สารเรื่องทุกข์ ส่ำเนากลอนกลม จักไขบอกชม ทึงอายเผิดหน้า
กลัวนายติเตียน นินทาขวัญข้า ย้อนตัวนายมา ทิ้งละ
ยังกุมแปง แต่งถ้อยวาทะ เหน็บฝากหื้อ ทวยมา

เถิงรอดน้อง ที่ห้องเคหา ย้อนพรหมจินดา หวังชมน้องเหน้า
บ่อุ่นใจแฝง พิงแพงตัวเจ้า เหมือนยามเดิม ก่อนเนิ้น
เหตุสีเนหา พี่ได้ขำเคิ้น จิ่งแปงแต่งสร้าง สารเทิง
ทะเลเรือง จักไขหื้อกว้าง ข่างท้างเมื่อ พายลูน
ก่อนแหล่นายเหย ฯ

ปีศาจ
08-15-2009, 02:25 PM
บทที่ ๒


เจตนา คำจาบ่แล้ว ค่อยฟังเทอะแก้ว วิฑูรไอยศวรย์
จักบอกน้อง ที่ข้องใจผวน ตามฅะบวน อวลน้องหากแสร้ง
บ่ใช่ว่าตั๋ว ชายจักฟู่แกล้ง ขอสายรอมแพง ร่ำพิด
อย่าหื้อสูญหาย เปล่าดายวอดมิด ขอนิตนั่งตั้ง ใจฟัง
หื้อตัวน้องคึด แต่หนี้ฅืนหลัง รักแกมชัง มีไหนจิ่มข้า
พี่หวังรักตัว สืบยาวไปหน้า จนชีวามิ่งม้วย
คันใจชมญิง บ่หลงหลิ่งจ้วย เพื่อนฉวยด่วนได้ พายัน
บ่คึดรอดเค้า คำเราจากัน นับปาวเปิบยัน บ่จงเจตน์ข้อง

เมื่อสองจากัน ที่ในหอห้อง พี่จำคำนาย บ่ทิ้ง
บ่ใช่เสียขวย ลงทวยหลิ่งชิ้ง บ่ติงว่าหื้อ ซายา
ยามเมื่อน้อง แก้วชอบชาตา กิตตนา เล่าคำทุกข์เจ้า
พี่ยังเหลียวจา ตอบคำน้องเหน้า ว่าอดทนเอา เทอะน้อง
เต็มว่าเขาจา หยาบกล้าจ่มฟ้อง อย่าปังตอบถ้อย เนอนาย
จักเกิดโกธะ ด่าทอกันหลาย เป็นที่อับอาย พี่น้องชาวบ้าน
ท่านจักจาขวัญ นินทาเล่าต้าน อย่าจาคำไปล่วงล้ำ
พี่น้องผิดกัน เหมือนพร้าฟันน้ำ อย่ากำผูกหมั้น ทือเวร
เปอะเปิกนั้น น้ำหากพาเป็น เอาน้ำใสเย็น ซ่วยเปอะจิ่งเสี้ยง

พี่น้องผิดกัน เหมือนเหล็กขี้เหมี้ยง เต็มฝนแล้วหาก ทึงมี
เจ้าน้องรัก จุ่งอดขันตี หื้อแปงใจดี เหมือนน้ำทังห้า
ร้ายเสียออนช่างดีปางหล้า ก็หุมมีมา ป่าล้า
อย่าถือไผดี อย่าทือไผช้า ช่างเป็นเมฆฝ้า พามัว
ค่อยอยู่ตามน้ำ ทำไปตามตัว น้ำเพียงใด ดอกบัวเพียงอั้น
จิ่งจักสม และชมคู่ฝั้น เชื้อนั้นหาก สมควร
หื้อนายร่ำพิด ร่ำเพิงหันหวน ตามฅะบวน พี่ไขถี่ถ้อย
หื้อแปงใจหวาน เพศตาลคนอ้อย สูนใส่ทวย มธุ

อโกธา อย่าหื้อเกิดพุ หลอนเกิดหื้อ บรรเทา
พี่ฟู่น้อง แม่ปล้องแขนเหลา เมื่อตักซ้อนเพา นั่งนิดแทบใกล้
รำพันสอน เมื่อนอนป้างใต้ แม่ตามันใน เติกเมอะ
เจ้าจีบัวทอง เชื่อลองคึดเทอะ ยามก่อนกี้ เหมือนมี
พี่ฟู่น้อง แก้วชอบนามปี หลายวาที ตักเตือนว่าห้าม
คำติเตียน ส่ำเนียงจ่มส้าม ย่อมเคยมี ทั่วทิศ
คำผิดหู บ่สู้วอนมิด ย่อมมีทั่วห้อง สันดาน
ถ้วยและช้อน เครื่องครัวสงสาร บ่มีวิญญาณ ยังรู้ถูกต้อง

ฟัดฟอกกัน เสียงดังขิ้งข้อง แหงแตกใน ลั่นชัด
ปุถุชน ฅนเราเคร่งครัดจักกว่าอั้น เพียงใด
ค่อยอดเทอะน้อง เจ้าเพื่อนวอนใจ นึ่งคึดไป คำทุกข์นึ่งป้อ
ใช่มีแต่ตัว แม่ฅำพับห้อ หากยังมี บ่ไร้
ตกตาจน เป็นฅนท่านใช้ ย่อมมีทั่วห้อง แดนเดน
คันผัวเก่าน้อง บ่มาทำเข็ญ บ่เป็นฅนเดน ดั่งอี้เนอเจ้า
เพราะผัวญิง เมามัวมืดเส้า มาแปดตานาย ไล้ลุบ
มาละทางชม หื้อจมยอบยุบ สูนฝุ่นหญ้า เปอะพง

หลอนผัวเก่าน้อง บ่พาหื้อหลง บ่ได้ทรง คำทุกข์ดั่งอี้
บ่ริบ่หา พามาแต่หนี้ ถมถอกเท ใส่น้อง
บ่ใช่หนี้กิน อิ่มไส้เลี้ยงท้อง ใช่หนี้หย่านหย้อง ทำทาน
บ่ใช่หนี้ซื้อ หมากพลูอาหาร การบุญคุณ บ่มีสักข้อ
เป็นหนี้สิน เพราะยาฝิ่นห้อ ของฅิ่นเดิม บ่ฅ้าง
ปิ่นลานแหวน แก้วแขนรีดม้าง ซ้ำเสียเครื่องหย้อง ชอมทวย
หื้อเจ้าน้องรัก ฅิงบางร่างสวย จุ่งกินทานทวย หยาดน้ำส่งให้
ผัวฅิ่นเทียมใจ จักหาไหนได้ พี่ไขฟู่นาย ดั่งนี้

ปุ้นพายตัวน้อง แม่ฟันดำมี้ ตริเคียดหย้อ แกมอาย
ใคร่หัวแกมชด ขดฅิงขยาย มาจาฟู่ชาย ซะม้ายทางข้าง
คำบ่ควรจา พ้อยมากล่าวอ้าง ปุนเหยืองเบื่อคำ ฟู่แท้
อดคำโสกา จนพอบ่แพ้ ซ้ำเก็บกล่าวหย้อ แถมมา
บ่ขี้ไร้ คำฟู่คำจา ค้นเอามา เจียรจาถี่ถ้าน
คำบ่ควรจา ก็มาฟู่ต้าน ปุนดีรำฅาญ แท้ทัก
ขอวานดักเสีย หื้อเย็นเงียบพัก พอมีหว่างอั้น ใจดี
ตัวมันม้วยมิด ดับจิตเป็นผี ก็พอดี สมหุ่นน้ำหน้า

หลอนมันบ่ตาย ปุ้นพายตัวข้า จักเป็นไรไป ใคร่รู้
พี่จำทำบุญ กุศลส่งยู้ ผลเผื่อกว้าง ทวยมัน
เท่าเว้นไว้ แต่หลับฝันหัน ชุฅืนวัน ทอดทานน้ำเข้า
หวังเป็นปัจจัย ไปนิพพานเจ้า ผันบันเอา หลั่งน้ำ
ว่าผัวจังไร อย่าได้จวบซ้ำ หื้อปุดขาดด้วน สูญไป
ตกยากทุกข์ เป็นข้าน้ำใส เพราะตัวมันไป เซาะหาใส่ข้า
ดาบและปืน ทังผืนแผ่นผ้า ก็ขนออกมา จ่ายใช้
ปิ่นปักผม ของชมน้องไธ้ เป็นเครื่องหย้อง เดิมมา

จนพอเสี้ยงซ้ำ หลอแต่อัตตา เพราะผัวพาลา ฅ่ำครัวพร่อยบ้าง
ตายเป็นผี หนีไปจากข้าง จิตวิญญาณ ร่ำงับ
ตัวมันบ่ตาย วอดวายสิ่งทรัพย์ ดับวอดเสี้ยง เงินฅำ
บัดเดี่ยวนี้ พี่มาขับจำ ตกแต่งทำ กุศลส่งให้
ปุนดีขัดใจ ขัดฅอกว่าใบ้ มาเจ็บดวงทัย แห่งน้อง
แหนมจักกินเสีย ถ้านแฅวนอิ่มท้อง บ่จงเจตข้อง อาลัย
พายปั่นน้อง บ่ข้องติดใจ จาเทียมไป เหมือนของเก่าหมั้ง
น้องหวังเอา ตัวพี่เป็นที่จั้ง เป็นฉัตรเงา ร่มลับ

พอฅิดอินดู น้องผู้อาภัพ ยามหอดแห้ง หิวลม
เพราะตัวน้องนี้ เพศงัวตกตม นึ่งปรารมณ์ นึ่งจมลงใต้
มีแต่ดิน กัดกินบ่ได้ ตาเล็งดาย ละไว้
ลวดหิวหน อยากหญ้าใบไม้ ผอมเปิดแห้ง ในพง
มนุษย์ลุ่มฟ้า โลกหล้าทังโขง ไผบ่ทรง คำทุกข์เท่าข้า
ยามเมื่อเป็นดี หากมีเก้าป้า แฝงทวยมา บ่ช้า
ชาตาลง พันธุ์พงศ์พี่น้า บ่เหลียวผ่อหน้า มาไช
เพิ่งพี่เจ็บท้อง เพิ่งน้องเจ็บใจ คึดสังอันใด ใจตันตีบเสี้ยง

นึ่งคึดนึ่งหมอง นึ่งคองนึ่งเหมี้ยง มาหันแต่เรียม พี่ไธ้
เสมอเหมือน โพธิ์ไทรกิ่งไม้ อั้นมีร่มกว้าง หนาใบ
ขอเพิ่งอยู่พื้น หื้อชื่นบานใจ ไม้โพธิ์ซะไล(ไทร) หล้างไกวกิ่งเกิ้ง
คันลมมาตี บ่หล้างหนีเหวิ้ง เที่ยงสมคำเฅิง แห่งน้อง
นายช่างจา ช่างต้านปากพ้อง เหมือนนกต่อตั้ง ขันฅู
คำฟู่น้อง ปุนม่วนวอนหู ปุนอินดู บ่เจ็บแสบไหม้
พี่ขดตัวไหล มาอิงแอบใกล้ ใจในดี ชุ่มยว้าย
พี่พิงป้างขวา นายพิงป้างซ้าย เมาะม่อยหน้า เชยชม

หอมกลิ่นเกล้า ระเมากวนกลม พี่เกลียวกอดชม ดมสองฝ่ายแก้ม
น้องยังยื่นปัน หมากสุบพลูแหล้ม สองยินดี โล่งทัด
สองกลมเกลียว บ่ทุมทอดซัด สองโล่งด้วย ปิยา
พี่จิงสั่งน้อง ที่ข้องสายตา เมียมิ่งซายา หัวใจพี่ข้อง
นายจงสถิต นั่งนิตอยู่ห้อง พี่ขอลานาย ที่รัก
จักไปทวงถาม ลูกหนี้ยังนัก หลายแห่งบ้าน หลายเรือน
เจ็ดแปดมื้อ ก่อนนั้นไปเตือน เขาบ่บิดเบือน ข่ามรับจักให้
คันกลับมา จัดหาหื้อได้ เขาเป็นมอญไทย ลูกค้า

คุ้นเคยกัน เมินนานพร่ำช้า สวนเรือกบ้าน เรือนมี
คันพี่ธุระ กิจจะเฅิงขี ของใดม ีเอาสังก็ได้
ไว้ใจกัน เหมือนหันในไส้ ฝูงมอญไทย หมู่นี้
บ่ฟู่ตอแหล เซือนแซหลีกลี้ บ่โกงซ่อ(ฉ้อ)ปลิ้น หนีคำ
พี่จาสั่งน้อง แม่มอนตาขำ หลายเยื่องหลายค ำสั่งแหน้นทึกแหน้น
จนเหลียกแหลว ซ้ำฅืนเขี้ยวแข้น สองเออนอ ต่อท้า
พี่ไปบ่เหิง เมินนานพร่ำช้า พออดอยู่ถ้า รอฟัง
แม่นเขากล่าวเยาะ ว่าหื้อลูนหลัง เมื่อพี่บ่ยัง อย่ารนร้อนไหม้

เต็มเขาจักขาย สืบไปเหนือใต้ ก็ตามดวงทัย อย่าฅ้าน
น้องอย่าเสียใจ หมองไหม้เหี่ยวม้าน ก็สุดแต่อั้น นายเงิน
หื้อผัดผ่อนไว้ บ่ใช่นานเหิง เต็มทีเมิน ทางเดินต่องเต้า
สักเกิ่งเดือนปลาย บ่ดายเน่อเจ้า หล้างสมคำเรา ใฝ่ฅิด
ตามพี่ฅาดหมาย ใจชายร่ำพิด จักกินกว่าอั้น สักวัน
จักไปเร่งรัด สะหัสสกรรจ์ ถามทวงมัน ถ่านี้หื้อได้
ยังมีอยู่หลาย หยาดยายเหนือใต้ ได้กำลายมือ ชื่อไว้
คันถามบ้านเหนือ บ่ได้มาใช้ ยังเขาฝ่ายใต้ ฅงมี

พายปั้นน้อง อย่าได้หมองศรี ของพี่หล้างมี เหมือนของเก่าเจ้า
ท็อกซิสัง จานายน้องเหน้า ของชายมี ป่าเล้อ
พี่จักเอามา ถ้านพอเติกเท้อ จนเพื่อนเล่าต้าน ลือเมือง
เต็มสามเท่านี้ ฅิดแทนบ่เปลือง เจ้าสรีแพงเมือง อย่าเหยืองพี่ต้าน
เต็มตัวอยู่ไกล ใจยังอยู่บ้าน พี่ไปบ่นาน เนิ่นช้า
เกิ่งเดือนเดียว จักเหลียววาดว้า หื้อน้องอยู่ถ้า รอเล็ง
พี่ฟู่น้อง บ่อายขามเกรง ชาติฅนนักเลง ขนหูพอหิ้น
หลอนว่าบ่สม พรหมขอนุ่งสิ้น บ่หนาเทียวดิน ยกย้าย

หลอนเขาข่มเหง เต็กเต็งว่าร้าย ก็ตามแต่อั้น เป็นไป
ฅงจักพ้นทุกข์ สุขสบายใจ พี่ขอลาไป ทังใจหมิ่นเหมี้ยง
ไปทวงถาม เขาเต็มบ่ได้เสี้ยง ก็ตามทีมัน ฅ้างไว้
พอได้กับเขา เม้ากุ้มพอใช้ ก็จักรีบผ้าย มาเร็ว
คันสั่งแล้ว ลงจากเคหา ตามมัคคา ผ่าสวนลัดบ้าน
ลงไปหา หมู่ชุมคู่ต้าน อันเป็นเพื่อนทาง พี่ไธ้
ที่วัดดอกสัก ต้านนามชื่อไว้ อยู่หนฝ่ายใต้ ลวงเมือง
ตกวันพรูกเช้า แม่แพรสีเหลือง ลัดท่งนาเฟือง ทวยไปฟู่ข้า

ที่หัวขัวสุด ปากคองทางหน้า กลางทางเทียว เที่ยวลัด
ไร่นาเดียว ขั้นกันกับวัด น้องไปบอกต้าน วาทา
ว่าบัดเดี่ยวนี้ น้องทวยมาหา จักเปิกษาดู ด้วยรายอี่เบ้า
มันเทียวมาหา ฟู่จาน้องเหน้า ว่าขอไถ่เอา แท้ทัก
ลูกมันงาม ถะลามดีรัก ขาวต่ำตุ้ย ฅนญิง
จักมาอยู่แท้ เป็นแน่เป็นจริง บ่ประวิง ท้วงติงไต่เต้า
บ่ป่ายบ่หนี ต่อเท้าคุมเถ้า ขอเอาไป ไถ่ไว้
ลูกมันงาม กำลังดีใช้ กลัวอื่นผู้ เอาไป

คันพี่ไธ้ หากยังเพิงใจ จักขอเงินไป ไถ่มาไว้ถ้า
พี่ยังเหลียวถาม สืบฅวามไปหน้า อี่จันทาดู น้องรัก
เจ้าเพื่อนจา ฟู่ข้าแฅ้มฅัก จาสืบอั้น หลายแซง
ว่าเต็มอี่นั้น มันเทียวมาแฝง ค่าตัวบ่แพง พอฅดไถ่ได้
สามตำลึง เป็นเงินบาทใต้ ตามมันไป บอกซั้น
จักเอาวันใด ก็ได้วันนั้น ติเสียอั้นแต่ โรคา
เป็นเพียธิร้าย เกิดในอัตตา คันได้กินยา ฅงหายห่อมแห้ง
ฟู่จาสัง บ่สู้ดังแจ้ง เสียงบ่แรง ฝืดคัด

ปากเสียงอัด เหมือนมีเยื่องยัด บังเกิดขึ้น ในทรวง
รูดังก็ยุบ เพดานก็กลวง เป็นริดสะดวง ดังยุบบู้บี้
ฟู่จาสัง เสียงดังอู้อี้ การงานดี คุเชื้อ
เยียะการสัง บ่แรมรั้งเรื้อ การหูกฝ้าย ทำทอ
พี่เหลียวฟู่น้อง แม่ฅำสมอ หื้อหยุดรั้งรอ ที่นั้นคอยถ้า
จักไปเปิกษา น้อยกาเพื่อนข้า พี่จาฟู่นาย ที่นั้น
เปิกษากัน หื้อหันถี่ซั้น ตามแบบเบ้า บัวราณ
จาโล่งทัด จักหันเป็นการ หวังสืบยาวนาน ต่อเท้ากุ้มเถ้า

พี่ได้ปลงใจ วางฅอเชื่อเจ้า หวังใจนายเรา บ่คด
ฟู่จากัน ด้วยรายไถ่ฅด กับหมู่บ้าน นาพง
คันพี่ฟู่แล้ว จิ่งฅว้าเอาถง จกล้วงลง ในถงหมากเจ้า
เอาถงขาว ถงเงินน้องเหน้า มาไขเทดู อ่านนับ
ซ้ำเอาเงินกลม บาทใต้ใส่ทับ ของฅิ่นข้า รอมลง
เอาเงินใส่ซุก จกในหลืบถง ปลงใส่มือลง มอบอั๊บหื้อเจ้า
ไปไถ่ถอน เอาตัวอี่เบ้า คำหนักคำเบา ฟู่ซั้น
ตัวพี่ติเตือน หื้อเจ้าวันนั้น ขอน้องขวาดแจ้ง ในทัย

นายฅิดแล้ว พี่บ่ขืนใจ เหตุว่าดวงทัย หัวใจร่วมขวั้น
น้องคึดว่าฤา พี่ก็อืออั้น บ่ขัดดวงใจ น้องชั้น
เราฟู่กัน ที่หั้นวันนั้น หลายเยื่องอั้น วาทา
เจ้าน้องชั้น ยังเงือดเหลียวจา กับกาวิทา ยามนั้นต่อหน้า
ว่าหลอนประสงค์ ยังถงกับข้า ขอกิตตนา สั่งไว้
ตัวน้องจักทอ พอหื้อใช้ได้ บ่หื้ออื่นผู้ ฅนใด
ขอพี่น้อย อย่ารีบเร็วใจ ไหมฅำแดง ก็กวักปั่นเสี้ยง
แลบเลิงดี สีใสเลี่ยนเกลี้ยง น้องตกแต่งดา ไว้พร้อม

ฝ้ายระหัน บ่ถ้าได้ย้อม ยังแต่อั้น จักทอ
จักรีบปั่นเว้น เกี่ยวเส้นเฝือขอ สามวันทอ อย่างช้าไปหน้า
น้องจักตั้งใจ แต่งหยิบไว้ถ้า คันพลิกคืนมา เที่ยงแล้ว
ฅงได้ใส่กิน เป็นหมั้นบ่แคล้ว ถ้านปุนอั้น คำนาย
คำฟู่เค้า บ่สมคำปลาย พายปั่นตัวนาย บ่อายเผิดหน้า
คำปฏิญาณ นายขานต่อข้า ยังจาต่อไฟ รอดน้ำ
หายไปไหน จนหมดเสี้ยงซ้ำ บ่เหมือนดั่งอ้าง สักแซง
จักเก็บเขี่ยใช้ มาไว้สมแสง เท่าขาแมงแคง ก็หาบ่ได้

ยามเมื่อตัว แม่บัวจีนใต้ ตามทวยไป ฟู่ซั้น
ยังวัดดอกสัก ที่หั้นวันนั้น พี่ปันยื่นหื้อ เงินทอง
บ่ได้ปากพ้อง จิ่มนายแถมสอง ยามสีนวลฟอง พลิกคืนสู่ห้อง
พี่ผ่อทวยนาย เจ้าสายที่ข้อง จนพอสุดคอง เลี้ยวลับ
คันพี่บ่หัน แม่สร้อยฅำพับ จิ่งกลับพอกเข้า อาราม
เนื่องแนวฅวาม มีหลายบาทข้อ จักเล่าน้องสู่ ตามราย
ก่อนแหล่นายเหย ฯ

ปีศาจ
08-15-2009, 02:28 PM
บทที่ ๓

ดวงสลิด จักติดต่อร้อย ซอนดอกสร้อย มะลิจีขาว
คันว่าน้อง แม่แพรจีนจาว ตามทางยาว พลิกคืนสู่ห้อง
ส่วนตัวชาย พี่ไปถามถ้อง ที่เขายืมเงิน ฅ้างไว้
บ่เหมือนไปหา ผาลาลูกไม้ บ่ใช่กอบก้อน หินซาย
บ่สมดั่งฅิด มโนใจหมาย หลายฅืนวัน เผื่อมันจักได้
เดือนหกเหนือ เป็นเดือนสี่ใต้ พี่กลับมาไช บ่ช้า
พระจันทร์จร เทียวซอนเมฆฝ้า สิบสองฅ่ำหั้น เดือนลง
พลิกฅืนสู่ท้อง ลับแลงแขวงโขง มาตามทางทรง ลัดท่งผ้ายดั้น

บ้านสันฅอกฅวาย พี่กรายมาหั้น เมื่อตาวันลง เบี่ยงช้าย
อุ่นอกใจ ดีในชุ่มยว้าย เที่ยงหันที่อ้อน ดวงทัย
นึกว่าน้อง เจ้าแผ่นเมืองไหว น้องฅงอยู่ใน เคหาแห่งเจ้า
ถ่านี้นาย ฅงหายโศกเศร้า บ่มัวเมา ส่วงร้อน
เป็นสันใด เจ้าไหมเพื่อนม้อน บ่จริงเจตน์แจ้ง ในทัย
ฤาว่าน้อง จากห้องไปไกล เขาวักวานไป ช่วยค้ำทำสร้าง
ยังการกุศล ทำบุญอันกว้าง ไปนอนแรม รั้งเรื้อ
คาบ่ไปไหน แม่ไฮไต่เนื้อ ยังอยู่ห้อง คามา

ฤา ว่าน้อง แม่ไปหาปลา ฅ่ำแล้วฅงมา พลิกฅืนสู่ห้อง
ฤาว่าตัว แม่บัวไกวก้าน ยังหลับนอน อยู่นั้น
ฤาอยู่ทำการ ทำงานเฟื้อฟั้น เหมือนก่อนอั้น ทึงวัน
ในวันนี้ เที่ยงจักได้หัน นึกรำพัน ดั่งนี้ไฅว่เจ้า
ไชยลังกา อันเป็นเพื่อนเต้า ตามทวยพรหม พี่เชื้อ
จักเล่าไข หื้อไฮไต่เนื้อ ตามเรื่องถ้อย คำมี
เทียวเทศท้อง มัคคาวิถี เลียบนที แม่น้ำขอบห้วย
พี่มาเถิงสวน ฅะบวนป่ากล้วย ที่หัวมองทาง ผ่าลัด

จักขุตา พี่เล็งทอดซัด ผัดผ่อนหยื้อ หานาย
บ่หันหน้าน้อง ที่ข้องใจหมาย หัวอกชาย วาบร้อนป่นปี้
เขาป้าสี ย่าบุญบ้าบี้ ไขวาที บอกซ้าว
ว่าตัวนายเลา เจ้าเพาดอกพร้าว เจียนจากด้าว คามา
เอิ้นบอกไธ้ ไถ่ถ้องปุจฉา ว่ารู้แล้วคา อาชมเพื่อนต้าน
เก็บตัวหนี บ่มียังบ้าน กลับไปเมือง แพร่พุ้น
เพื่อนกินตัวแห ทุมแลตัวคุ้น เพื่อนใจบ่เอื้อ ทางอาว
พร่องหยอกเยาะ มี่นันสะสาว ลวดหนาวเหนื่อยแรง มือแนมหนีบข้าง

พี่ยืนจุก สะดุดกระด้าง ที่หัวมองทาง ป่าคุก
พอคัดอกผิง สมิงกำทุกข์ เหมือนปาวตาดห้วย พันวา
หัวอกพลาดพลั้ง สะหลั้งสังกา แผ่นพสุธา เหมือนจักพลิกปลิ้น
อัตตาตน ดาล้มลงหมิ้ง ตามแดนดิน ป่าคุก
ก็เพราะเพื่อสัง เพื่ออั้นคำทุกข์ จักดาท่าวขว้ำ ทังยืน
เปรียบเหมือนนกน้อย คาบเหยื่อพาปืน เจ็บปวดวืน เพศไฟลุกเอ้า
แล้วจิ่งเหลียวจา น้อยกาเพื่อนเต้า เยียะสันใดเฮา ถ่านี้
น้อยกาวิทา โกธากล่าวชี้ หน้าโจ่จ้าว หาวลม

ข้าได้ช่วยฅิด หวังว่าจักสม งืดหัวใจชม แท้เนอว่าอั้น
เราคึดหื้อยาว พ้อยสาวเอาสั้น มาตัดบั่นฟัน คำคึด
เงินยังถง ไคร่กำสะวึด จกขว้างโจ้ ลงวัง
เต็มว่าเอาไว้ บ่เป็นคุณสัง จากล่าวดัง ตามคำเคียดหย้อ
เงินขาว ๆ ใช่จาวตองห้อ เต็มนายงอน เพิ่นทึงบ่ง้อ
ไชยลังกา จ่มส้ามแดกท้อ ใบตองกล้วย พอพือ
คำฟู่เค้า ปุนเชื่อฟังถือ หวังแน่แท้ฮือ จิ่งไปทวงหนี้
ทำตามใจ ถ้านพอปุนอี้ บ่เป็นยาใด เล็กน้อย
ไชยลังกา หน้าหมองต่ำคล้อย ริร่ำถ้อย วาที
ซ้ำแว่ขึ้นยัง เรือนป้าฅำสี เพื่อนไขวาที บอกพี่พร้อมถ้วน
ว่าคำรักเรา มันปุดขาดด้วน บ่บัวละมวล ดั่งฅิด
แมวกับหนู มาชูผูกมิตร ติดสืบเส้น สายยาว
พระจันทร์อยู่ฟ้า ส่องแจ้งกลางหาว ฝูงหมู่เดือนดาว ย่อมแฝงแอบอ้อม
บุปผาเผย ที่เคยทัดส้อม หอมดวงบาน ซว่านรส
ภมารา ย่อมบินมาซด กวนเกลือกกลิ้ง คันธัง
ตามพี่ได้รู้ ดูดั่งสัจจัง เปรียบเหมือนบวกวัง สวนแตงไร่เต้า

คันฅนละหนี บ่มีไผเฝ้า ฝูงสัตว์ฅนเบียฬ เฅี่ยนลัก
อุปมัย เปรียบไปไซ้ซัก ขอทราบแจ้ง เชิญฟัง
อาชมเดี่ยวนี้ บ่เหมือนแต่หลัง จาสังคำใด บ่ใสซื่อต้าน
ร้อยถามพันถาม เรื่องฅวามหลายถ้าน ก็กุมหื้อบัง เลี้ยวลับ
รอยว่าจักมี ผู้มาบังฅับ ปันยื่นส้น ปลายคำ
หัวอกพี่ไธ้ เพศไม้หักขำ เหมือนปืนยายำ ซ้ำยิงสอดเข้า
ได้ยินข่าวสาร ชมนางน้องเหน้า เจียนจากคา พรากย้าย
ขึ้นไปสู่โขง ธานีเขตฅ้าย เมืองแพร่แก้ว ริมยม
คำเขาเล่านั้น ดูดั่งจักสม ฟังคำฟู่ชม เหมือนมัดไข่ติ้ว
คึดดูเรื่องถง ริมแดงเนื้อสิ้ว ยังจาเงือดเทิง ฟู่น้า
ว่าตัวพี่หนาน สั่งมาอย่าช้า สารสั่งข้า ยามไป
อย่าได้เนิ่นช้า หย่อนยานอกใจ กับกาวิไชย เพื่อนไปผ้ายเต้า
ถงพี่ใส่กิน ริมปุดเนื้อเส้า ได้หยิบหู่ เอาห่วงร้อย
จักยื่นปัน หื้อกาพี่น้อย ยังเงือดถ้อย จาเทิง
แล้วฟั่งเว้น สืบเส้นกางเขิง แปงแซงเพิง ไคเหลืองมุ่ยป้อง
สีมือทอ บ่ใช่อวดหย้อง สองวันทึง สืบฅ้น

มุ่ยแอ้มไคเหลือง ดูงามล้ำล้น หยิบบ่ป้น ฅืนเดียว
บ่รู้คำคึด เพื่อนฅนเฉลียว จักลักหย่องเทียว ยกย้ายออกบ้าน
ตริมาจา ปุจฉากล่าวต้าน ว่าผัวเทียมฅิง สั่งไว้
ลักแท้ทึงตัว ทอดางไว้ใช้ หมายใส่ผ้า ครัวไป
หลอนว่าคำคึด สมปากสมใจ ยามเมื่อจักไป หล้างฝากไว้หื้อ
ตัวหนีไกล ซ้ำใจบ่หยื้อ หลอนหมายหื้อทือ ไว้ใช้
บ่ใช่ว่าเขียม ที่อั้นฝากไว้ ของเท่าอั้น พาไป
คำดั่งนี้ เขาเล่าจาไข บึดว่าจักไป สู่เมืองแพร่ห้อง
บึดว่าจักไป อาลัยใจข้อง คันผัวเทียมฅิง บ่ว้าย
บ่ป่ายบ่หนี บ่หลบหลีกย้าย จักอยู่ถ้า จนมา
บ่ได้ปากพ้อง กับสามิกา บ่หนีมาเมือง กลัวเฅืองโสกไหม้
ตายเป็นตาย บ่เมือไหนได้ ไขฟู่เอาแน่ฅัก
บ่ได้ฟู่จา หันหน้าผัวรัก บ่ฅืนสู่ห้อง ธานี
คันมารอดมื้อ วันอันจักหนี ครอบครัวมี วัตราใหม่หมั้ง
เก็บริบรอม ใส่บุงเพียดตั้ง พึ้งปังออก ยามเดียว
ที่จักพลิกงว้าย อว่ายหน้าฅืนเหลียว มาเดินต่องเทียว ลับแลงแฅว่นใต้

เหลียวบ่หันหู ที่จักฅืนได้ ก็จาว่าไป เสี้ยงซ้ำ
ชาติว่าปลา คันลาจากน้ำ บ่หันพอกผ้าย ฅืนมา
ข้าพี่ไธ้ ได้ยินเขาจา น้ำตาอาบพัง ยามฟังเรื่องถ้อย
นั่งไหนบ่จุก ลุกพลันรีบจ้อย ไปหาเรือนเดิม แห่งน้อง
สัญญาเสียง สำเนียงเรียกร้อง หลานอ่อนหน้อย เร็วพลัน
บัวแก้วผู้น้อง ผู้พี่บุญปัน จุ่งรีบเร็วพลัน สุโนเห่าห้อม
หลอนว่ามันกัด สะวัดคาบอ้อม สองชํคา เลือดย้อย
บ่มีไผไหน ลูบคลำฅะฅ้อย บ่เหมือนนึ่ง ป้านายยัง
ฟั่งไปย่างย้าย ขึ้นสู่เคหํ วจนํ กวนแกมคำไห้
มาถามหาตัว แม่บัวจีนใต้ ว่าไปวันใด แน่ฅัก
ส่วนเอ้ยฅำเรือน ผู้เป็นน้องรัก จาฟู่ข้า ตามฅวาม
เดิมว่าจักยก ไปวันสิบสาม ได้ยินฅวามร้อนร้าย มาต้อง
อาวพญา อยู่เมืองแพร่ห้อง แปงชะรางมา เร่งรัด
ฝากเชียงชี สี่ตนอยู่วัด มาแผวก่อนหน้า สามวัน
ผัดนัดมื้อ หื้อพ่อบุญปัน รีบเร่งเร็วพลัน อย่าช้าด้านดื้อ
หื้อพาเอาตัว ศรีชมไปหื้อ ในเดือนนี้แรม อย่าช้า

ยิ่งเกรงกลัว เจ้าอาวเจ้าน้า กลัวท่านถ้า ฅอยคอง
จิ่งได้หย่อนลด มาวันสิบสอง น้องฅำฟองไขจาตอบถ้อง
จักขัดขวาง บ่ไปสู่ห้อง กลัวเหล็กเมืองลอง ว้องกัด
ซ้ำปลายว่าเป็น เจ้าอวบนายฟัก กลัวกุมโส้ คาเครือ
เพราะเหตุนั้นและ บ่ช่างขัดเหลือ คันจักบ่เมือ หื้อท่านหันหน้า
หลอนมีโมโห โกธาเคียดกล้า จาว่ามา หยาบช้า
ห้องนึ่งเป็นนาย สายนึ่งเป็นน้า กลัวโทษต้อง พายลูน
เหตุเป็นพิชชะ เนื่องแนวกระกูล หวังเพิ่งบุญคุณ เมื่อภัยเกิดใกล้
ช่างฟู่ช่างจา เพราะเพิงกว่าใบ้ รอยศรีนางชม สั่งไว้
อาณัติคำ หื้อฅำน้องไธ้ ปดล่ายเหล้น ลวงพราง
ข้าพี่ไธ้ ฟังทึงใจจาง คำหมิ่นบาง ปุนหัวกว่าใบ้
จางยิ่งกว่าจาง เพศเพียงห้อไห้ ไขคำมา เท่านั้น
ก็เข้าใจกัน รู้แจ้งถี่ซั้น ผู้จูงสอดดั้น รอยมี
เอาเสือแรดช้าง มาหลอกหื้อหนี ตีป่าดงพีหื้อสัตว์พร่านหย้าน
อี่น้องเรือนฅำ เอาคำออกต้าน เหมือนตามไฟยาม แดดร้อน
ผัวรักเมียแพง เคยแฝงเซื่อมซ้อน พ้อยบินจากขวั้น ไปพลัน

รอยหล้างน้อง แม่แพรสีจันทร์ น้องมีที่บัน เกาะผันหน่องหน้า
ที่กึกคอง(ตรึกตรอง)ใจ พายในแห่งข้า เหมือนจักมีมา เชื้อนั้น
ชาติเขาฅวายดง เทาะลงสามชั้น บ่ใช่อ่อนหน้อย นอนเปล
เคยต่อรบ หลีกหลบหลายเส เป็นฅนใดเด มนุษย์โลกหล้า
หากบ่เข้าใจ ว่าไปเหมือนข้า หาอโนชา น้องชั้น
ลั่นวาจา ฟู่มาเท่านั้น ก็เขินรากแก้ว หันงูน
คึดรอดน้อง บ่มายหายสูญ แหนมอดอายนูน กระดกกระด้าง
น้องละที่กิน ที่นอนบ่อนสร้าง ครอบครัวใด ริบล้อน
บ่ฅ้างหลอ ทังถ้วยและช้อน ก็เก็บหาบข้อน ยอยัน
ครัวแห่งน้อง ผ่อไหนบ่หัน อกพี่เป็นควัน เพศไฟลุกเอ้า
ซัดตาหัน ที่นอนเก่าเจ้า กวังมัวเมะ เกือบล้ม
น้ำตาไหล พี่ไห้นั่งง้ม ใจสอดดั้น ยามแยง
ทัดที่นี้ พี่เคยนอนแฝง ส่วนสายรอมแพง บ่หันอยู่ใกล้
พี่นอนฝ่ายเหนือ นายนอนพ่างใต้ ซ้ำใจฅะนิง สอดฅิด
บ่ได้ยินเสียง สำเนียงวอดมิด ดักเงียบจ้อย สูญไป
บ่หันหน้าน้อง ปาวอกตกใจ ซ้ำครอบครัวใด บ่หันซักหน้อย

เหมือนตัดหัวใจ พี่ออกไปห้อย เหลือแต่ฅิง คราบไว้
หันสาดตองขาว ผืนเจ้าเคยใช้ ปูลวาดใต้รองนอน
คำโศกทุกข์ ค่อยควี่มายถอน ย้อนน้องเพื่อนวอน บ่ล้อนไปเสี้ยง
สาดตองขาว แขบแดงเนื้อเกลี้ยง หลอนเก็บเอาไป บ่ไว้
คันบ่ได้หัน ครัวเจ้าน้องไธ้ แดนเที่ยงเสี้ยง อินทรีย์
ตัวข้าพี่ไธ้ ไห้แล้วลาหนี ภวังคี เหมือนจักมิ่งขว้ำ
จักขุตา พี่ทึงสองก้ำ จนพอยวาพัง หลั่งเม็ด
พี่บ่มุสา วาทาล่ายเท็จ จุล่ายเหล้น เนอนาย
พี่ไขฟู่น้อง ตามเรื่องแนวสาย ตามแต่ราย บ่พรางน้องเหน้า
ตามวาจา แห่งข้ากับเจ้า บ่บิดเซือนแซ ซ่อนพลิ้ว
พี่ซ้ำไปแผว แอ่วเรือนเอ้ยมิ้ว กับเอ้ยพ่วงผู้ ภาดา
ซ้ำจาเรื่องน้อง บอกพี่ภาตา ว่าเต็มหมู่อา หมู่พี่ก็ห้าม
เป็นแต่ชม ขัดขินล่วงข้าม ใจหากเฟือน พลาดพลั้ง
เก้าว่าจักไป สิบว่าบ่ยั้ง ขออดอยู่ถ้า ผัวมา
พอหื้อได้รู้ คำฟู่คำจา แต่ก่อนเดิมมา ยังอดอยู่ได้
เต็มเขาเต็กถาม เป็นฅวามร้อนไหม้ จักเยี่ยะจะใด ล้ำล้น

ปีศาจ
08-15-2009, 02:29 PM
ต่อบทที่ ๓

กำหนดพรหม สั่งชมบ่พ้น หล้างอยู่อดพ้น เดือนแรม
อย่าไปฟั่งฅิด อื่นอั้นกวนแกม ถ้าพ้นเดือนแรม แผวรอดเดือนหน้า
ยังบ่หันผัว แพงพันขวัญหล้า ก็ตามทีชม จักยก
ทางมีพอเทียว เหลียวเข้าป่ารก เหมือนจักบ่อสู้ เพิงคา
คำดั่งนี้ ตัวพี่เตือนจา เชื้อนี้ชา รีตเมืองแพร่เจ้า
เมียละผัว หื้อมัวหมองเศร้า บ่เคยมี พ้อยพบ
อยู่สุขสงวน บ่กวนบ่รบ บ่วิวาทต้อง มวยรัน
บ่ได้ต่อท้า ด่าหย้อผิดกัน จาม่วนงัน ถูกทัดโล่งถ้อย
เมียทุมผัว หลบตัวหนีจ้อย ผัวฅอยคอง เปล่าเว้
รีตลับแล แขวงใต้เมืองเภ้ ผัวหย่าเบื้อง ทางเมีย
เอิ้นฟู่พร้อม ช่องได้ทางเสีย ผัวและเมีย ควรเย้าอยู่ถ้า
วันสิบเอ็ด ยังไปผ่อหน้า ดูละคอน บ่อนเช็ก
เมื่อเขาทำขวัญ โกนจุกหนูเล็ก ยังตามหมู่เอ้ย ลงไป
คำดั่งนี้ เขาเล่าปราไสร จักไขฟู่ชม เหมือนเขาฟู่ข้า
สักสิบปี แต่นี้ไปหน้า จักเก็บเล่ามา บ่เมี้ยน
เพื่อนห้ามปรามตัว พ้อยหนีหลีกเพี้ยน หล้างขวาดแจ้ง ใจใน

หลานพี่ไธ้ ซ้ำเล่าจาไข เมื่ออาชมไป หลานยังอยู่ใกล้
เรียกร้องหาหลาน ว่าวานมาใกล้ ข้าหกพลันไป ซวะไซ้
อาชมสถิต นั่งยองขอนไม้ ที่ริมร่มใกล ้ฅันนา
อาชมบอกซั้น ฅะยั้นวาจา ว่าขออำลา พลิกฅืนสู่ห้อง
ข้าผู้หลาน ซ้ำฅืนมาถ้อง จักไปวันใด แน่ฅัก
จักไปกับไผ ไถ่ถ้องถามซัก จาตอบข้า ดูเบา
ว่าวันพรูกนี้ จักเมือกับเขา หลานถามไถ่เอา สามหลบสามตั้ง
ว่าเขาเป็นไผ อย่าไปลับกั้ง ขอไขนามํ ถี่ซั้น
จักเมือกับเขา บอกได้เท่านั้น บ่รู้อื่นผู้ฅนใด
ผู้นั้นผู้นี้ บ่ชี้นามไผ ไขคำเดียว ว่าเขาเท่าอั้น
คันว่าหลาน บ่เทิกการขั้น ฅงหลบบ่ทัน หลีกแพ้
จักลองดูอา สักหน้อยดูแท้ จักบิดเบี่ยงแก้ รายใด
ส่วนตัวข้านี้ มีคำสงสัย แต่เมื่อยามไป ไขจาสั่งต้าน
หวังว่าอาว จักพาเมือบ้าน หลานบ่พราง กล่าวชี้
ข้าบ่หวัง จักเป็นดั่งนี้ พ้อยเป็นดั่งอี้ อาชม
ยามแรกรักไผจักหื้อสม ได้แฝงเชยชม สมฅิดสมอ้าง

ไปอุปถัมภ์ หื้อได้เทียวข้าง สมคำฅะนิง น้าไพ้
ข้าสืบสาว ได้อาวมาไว้ จิ่งสมใฝ่อ้าง คำพอง
ข้าหน่องน้าว จิ่งได้เป็นของ สองคำสีเนห์ บ่เทแตกอ้า
เต็มว่าชังอาว หล้างฅิดรอดข้า ว่าสาวสืบอา ร่วมรัก
รู้ใจกัน แพงพันแท้ทัก เหมือนติดสืบไส้ สายเดียว
มนุษย์ลุ่มฟ้า โลกหล้าใจเหนียว เล็กข้อมือเดียว ใผรอนหยั่งได้
สาคะรา คงคาเหนือใต้ จาเทียมไป เชี่ยวเลิ้ก
สิบซาววา หยั่งลงได้เทิ๊ก คำก่อนกี้ โบราณ
ฅนมนุษย์ ในโลกสงสาร หลานร่ำเพิงนาน บ่ควรเชื่อได้
ว่าที่ไกล มาได้ที่ใกล้ เหมือนอาศรีชม น้าไพ้
เพราะอยู่กับกัน ปันชีวิตไว้ ยังบิดจากได้ หนีไป
ก็ตามช่างเทอะ อาวอย่าเสียใจ ลับแลไชย บ่ตายอยากเข้า
ลูกพร้าวจาวตาล หมากพลูหมูเหล้า ทังโภชนา เครื่องครบ
คันว่าจักกิน บ่ถ้าปรารภ ไหลหลั่งเต้า มวลมา
มีพร่ำพร้อม หมากจุกเกลี้ยงกา ตาเสือทุเรียน หากมีพร้อมถ้วน
ขนุนสุก มังฅุดหอมอ้วน หอมรสทั่ว เมืองไทย

คันจักเอานั้น บ่ถ้าไปไกล หากมีใน ลับแลงแฅว่นบ้าน
มะม่วงสามปี รสดีจ้อนจ้าน สามเสนสีดา ม่วงม้า
มะม่วงกาสอ ม่วงฝ้ายขี้ย้า ขุนกรูดเกลี้ยง ลิวนาว
หมากกอกหมากนะ หมากโอในขาว ขะหนุนยวงยาว หมากค้อหมากหมั้น
สับปะรดหวาน มะขามข้อสั้น หวานชุอัน พร่ำพร้อม
หมากจุกหมากเกียง ชุมพูปลูกล้อม มะหน้อแหน้ เกวนฅวาย
ส้มสุกลูกไม้ หากมีหลวงหลาย ฝังปลูกยาย เต็มสวนชุบ้าน
จักกินสัง เชิญอาวบอกต้าน หลานจักไป ฅ้นฅว้า
กล้วยฅ้าวกล้วยจัน ตีบฅำน้ำว้า ทังกล้วยไข่ใต้ เชียงราย
ทังกล้วยฮ้างมุก กล้วยส้มหวีหลาย จิมถี่ยาย แวดล้อมตุ้มหลุ้ม
กล้วยตีบฅำ สุกดำหน่วยปุ้ม หากมีซุม ทั่วทิศ
กล้วยน้ำนม ปลีขมแชบชิด คันแก่เต้ง หวานเย็น
สัพพะลูกไม้ เถิงระดูเป็น มีทั่วแดนเดน พร่องหวานพร่องส้ม
จักกินลูกดิบ ฤากินสุกหล้ม ถมไปเนอป่าเล้อ
เถิงเมื่อมันสุก หั้นพอเน่าเบ๊อ ตามใฝ่เต้อ อาวเฮย
เต็มว่าน้าไพ้ ละไว้หนีเฉย อย่าหมองมันเลย หลานบ่หื้อกลั้น

ลับแลไชย บ่วายยังหมั้น หล้างสมฅะเน ใฝ่มัก
แม่ร้างผีตาย แม่หม้ายผียักษ์ หล้างปะจวบได้ แถมคา
ชาติว่าน้ำ บ่หล้างเขียมปลา ชาติว่านา บ่หลอนไร้เข้า
หนีช่างไผ อย่าได้หมองเศร้า ทำไมมัน เท่านั้น
เต็มเขาหนีไกล บ่ไปเฟื้อฟั้น บ่อึบอยากกลั้น อันใด
เต็มหลานขี้ริ้ว เพื่อนละหนีไกล จักกินสิ่งใด จักหาหื้อได้
จักกินเข้าหนม กวนคนอย่างใต้ ก็ตามดวงทัย ใฝ่มัก
ทองหยอดทองหยิบ ติดวางด้วยฅวัก เข้าหนมใส่ไส ้หนมคน
ตามฅวามใฝ่มัก อาวจักประสงค์ ทังเข้าหนมวง ทอดมันชุบอ้อย
เข้าหนมถะไหล ใส่ในถ้วยหน้อย เขาขายที่พอย บ่อนเช็ก
เข้ามันสูนกลอย บัวลอยเป็นเม็ด เข้าตอกปั้น สูนงา
เข้าหนมครก และสังขยา เข้าหนมแดกงา งุ้นน้ำซอยเสี้ยว
น้ำอบหอม ตาลซายเข้มเขี้ยว เทลงแทว หีบซด
เข้าหนมผิง ซ้ำยิ่งมีรส เข้าหนมไข่เหี้ย สาฅู
เข้าหนมเทียนเช็ก ใส่ในเนื้อหมู เข้าหนมวิทู ใส่น้ำอ้อยใต้
คันอาวจักกิน หลานจักทำให้ เข้าหนมเมืองไทย ชื่อนัก

ลอดช่องมีหาง ทังลูกแมงลัก หลานแกว่นด้วย ทำครัว
กะทิน้ำพร้าว จักเอาชาติหนัว มะพร้าวทำครัว จักเอาชาติห้าว
บ่พออับจน เข้าเหนียวเข้าเจ้า บ่บกบางลง เฅลื่อนลด
บ่จาสะหาว อวดอู้เอายศ บ่บกขาดแห้ง ถุเยีย
หลานจักรับเลี้ยง บ่พอกลัวเสีย ติเสียแต่เมีย หาหื้อบ่ได้
ในเขตโข งระวงเหนือใต้ แผวแดนไทย ท่งย้าง
ก็หากเขียมสาว แม่หม้ายแม่ร้าง บ่มีที่อ้าง แฝงชม
ในเขตฅ้าย ลับแลงทังกลม มีแต่อาชม คนเดียวเท่าอั้น
ใจซื่อใส ฟู่ไหนมีหั้น บ่บิดอำพราง ลับลี้
ชาวลับแลง ตูข้าแฅว่นนี้ ช่างสัปปหลี้ หนีคำ
อาชมน้าไพ้ ฟู่ไหนเพื่อนจำ บ่หลงลืมคำ กำไหนกิ่วหั้น
ไผติเตียน บ่เฟือนตั้งหมั้น ติเสียช่างฅืน พลิกงว้าย
ผ่อไปไกล ลอดหน้าแฅ่งย้าย ผัดแวดเกี้ยว เวียนวน
คันว่าคึดแล้ว บ่พลิกฅืนหน บ่เซือนซน กวนเกาหยาบหยุ้ง
ติเสียช่างหน เพศเพียงดั่งกุ้ง ยามเมื่อลอยใน บวกน้ำ
บ่ใช่แข้ง(แกล้ง)จา แดกหย้องสุ่ยซ้ำ ไขฟู่ต้าน ตามราย

คำหลานเล่าเรื่อง เบื้องพี่จำหมาย มาไขบอกนาย ตามรายถูกต้อง
บ่เตื่อมแปง แสร้งคำเพิ่มหย้อง เก็บเอามา ฟู่น้อง
ขออย่าขัดใจ ร่ำไรจ่มฟ้อง ว่าตัวพี่แข้ง นินทา
เอ้ยพ่วงนั้น ซ้ำเล่าไขจา ว่าวันจักลา ยกย้ายจากบ้าน
ได้ยินเสียง ส่ำเนียงสั่งต้าน เมื่อเดินทาง เที่ยวลัด
ทัดขอนตาล ป้างวันออกวัด หันหาบหิ้ว บุงเดิน
เล็งพินิจ ดูดั่งสุกเสิน เดินก็เดิน ไขจาสั่งต้าน
ว่าขออำลา พอกฅืนเมือบ้าน เป็นหว่างครา ก่อนเล้า
หาบครัวกราย ก่อนงายรุ่งเช้า ดูบ่เศร้า หมองมัว
เดินย่างย้าย สู้ ๆหัว ๆ หากใจฅอนัว ได้ยอออกบ้าน
ได้ยินเสียง ส่ำเนียงสั่งต้าน บ่เหมือนยามออน ก่อนนั้น
สั่งเสย ๆเหมือนบ่เคยซั้น หันเมื่ออั้น ผิดแซง
เอ้ยแก่แล้ว บ่ช่างดัดแปลง แสร้งแต่งคำ กลัวกรรมบาปต้อง
มุสาจาร บ่หื้อเกี่ยวข้อง หันเชื้อใด ฟู่น้อง
เอ้ยบ่ช่างแปลง ซุกแซมส่อฟ้อง หื้อน้ำขุ่นต้อง ชอมรอย
พวงดอกย้าง ดอกมันดอกกลอย ไผบ่ผ่อคอย บ่ทัดบ่ส้อม

ย้อนมันบ่หอม ระเมาเอิบอ้อม ตาคอยดอม บ่ทัด
คันหยุบมาแยง แล้วฅืนทิ้งซัด บ่เหมือนเพื่อนอั้น ศรีชม
คันหันดอกไม้ ฅุ่มหน้าบานถม บิดมาชม นิยมชื่นสู้
หัวใจไหว ลวดไหลหลิ่งหลู้ หาบครัวชู ยกเช้า
ลักอุ่นใจ ป้านพอทุ่นเท้า เหมือนห่อเข้า ดูฅวาย
พราะมีคำคึด หมื่นนึ่งพันปลาย จิ่งติดตามราย ทวยไปไต่เต้า
เยื่องคำแพง ที่ได้แฝงเฝ้า กับพรหมสะเพา ดอกคุ้ม
เหมือนบ่พาน บ่ข้องบ่ทุ้ม ใจมืดกุ้ม ทังเมือ

เดินสู่ทิศะ อุดรหนเหนือ หัวเหิดอืน ขึ้นท่งผ้ายดั้น
หันผู้ชาย ติดตามทวยหั้น จักเป็นชาวใด บ่ฅัก
มาอาศรัย อยู่ในส่ำนัก วัดใหม่นี้ เมินมา
มีดซุยขัดพก นุ่งกางเกงขา จักว่าคูลวา ตัดล้าอย่างใต้
เยียะคำฟู่สูง ฟังบ่สู้ได้ จักเป็นชาวใด ไม่รู้
ฟู่จาสัง บ่หยุดฅุดฅู้ โผโล่หน้า เลยไป
บ่สู้แม่นทัด จับซอบใจไผ ฟู่สังคำใด จะนั้นว่าอั้น
เยียะหูยาน ๆเยียะการสั้น ๆ ตาแลชัน เหลือกเลื้อ

ฅนผอมเสือ เออเลอร่างเฅื้อ หน้าผากหิ้น หูบัง
บ่ปุนแกว่นคุ้น หน้าดูกจังกัง ฟู่สังคำใด สบร้ายปากกล้า
คันไผฟู่ขัด สะบัดลิ้วหน้า ซอบวาทา สุ่ยยุ
สลิดเป็นขุน หุ่นมุทะลุ สูงต่ำถ้าน กลางฅน
มาพิเคราะห์ ฟังดูซอบกล เวทมนตร์ดล เขาลือเก่งกล้า
เยียะดำๆ ย่างซำก้มหน้า สองชํคา ย่างโธ้ง
ไปตามสัน มคฺคํทางโค้ง ลัดท่งขึ้น เดินทาง
เอ้ยผ่อแท้ สุดเช่นตาขวาง หันไปทาง นาบวกชำท่งหน้อย

พี่ได้ยินเสียง สำเนียงเรื่องถ้อย ใจพรหมพลอย ต่ำคล้อย
น้ำตาไหล หลั่งเบ้าถั่งย้อย เพราะจิตใฝ่ห้อย เถิงนาย
สารเรื่องทุกข์ แต่ต้นเถิงปลาย จักเล่าไขยาย ตามรายเรื่องเหง้า
ตามวาจา อันข้ากับเจ้า อั้นสองฅนเรา ฟู่ไว้
สัพพะวัตระ เก็บมาควี่ไค้ ไขเล่าหื้อ นายฟัง
บทนี้ยัง บ่สุดเสี้ยงห้อง จักเล่าน้องต่อ บทลูน
ก่อนแหล่นายเฮย ฯ

ปีศาจ
08-15-2009, 02:30 PM
บทที่ ๔

มโนเนือง จีเหลืองเหี่ยวม้วย เพียงดั่งกล้วย บ่มไว้ในขุม
แดนแต่น้อง แม่บัวจีจุม เจ้าหัวฅำซุม ทอดทุมละข้า
ละเวเหหน เพศคนเมาบ้า เพื่อตัวนายมา ทิ้งละ
ซ้ำได้ยินเขา เล่าถ้อยวาทะ ไขฟู่หื้อ หลายราย

อยู่มาชุมื้อ พร่ำคือตัวตาย อยู่เหนือดินดาย สะร่างบ่หล้อน
เกิดมาเป็นฅน ทรงทุกข์ข้อน ก็ปางคราวครา ถ่านี้
เพราะว่านายเลา เจ้าหลบหลีกลี้ หนีซ่อนหน้า มาเมือง
มาละพี่ไว้ โศกไหม้หมองเหลือง เพศเพียงเฟืองน้องเหยืองเบื่อข้า
มาทอดทุมชาย เรี่ยรายเหนือหญ้า แกมสุธา ฝุ่นมุก
นายได้เถิงสุข ละข้าพี่ทุกข์ คำฟู่ต้น รอยลืม
พี่รักบ่แล้ว เพศเข้าติดหืม พี่แพงบ่ลืม เพศฟืมรักฝ้าย
พี่บ่หมายเป็น อุตามร้างหม้าย หมายฝากอินทรีย์ จิ่มน้อง

พี่หมายฝากใจ ฝากไส้ในท้อง จนตราบเสี้ยง ชีวํ
บ่สมดั่งฅิด ฅะนิงใจหวัง น้องจงชิงชัง รอยแหนงหน่ายข้า
บ่อิ่นดู มุทูตาหน้า สักเท่าคายบง หน่อไม้
มาจงชิงชัง เบื้องข้าพี่ไธ้ กับสาเหตุอั้น ใดชา

เยียะฟั่งฟ้าว จากด้าวเคหา มะโนมะนา บ่ช้าอยู่ได้
เต็มเขาทวงเงิน เกินเหลือร้อนไหม้ หล้างขอทุเลา ผ่อนไว้
พี่ยังไปถาม มาส้ายแทนใช้ ควรขอผ่อนถ้า ยาวนาน
บ่ใช่หลวงพระ พวกกรมการ หากเป็นวงศ์วาน พี่น้องกันใกล้

จักใส่เหล็กหลา ขื่อคาฤาได้ เจ้าไหมใยมอน ยอดม้อน
มาดูเกรงกลัว สะดุ้งสะท้อน ไผจักข่มฆ่า ฟันนาย
ของสิ่งทรัพย์ อยู่กับกฎหมาย จักเอาจิ่มนาย ครั้งนี้จนได้
บ้านท่าเสา บ่พอไกลใกล้ กับลับแลงไชย เขตฅ้าย

ลัดท่งทางหลวง ไต่เต้ายกย้าย คราวก่อนเข้า งายเดียว
เขาเร่งรัด แม่แพรสีเขียว น้องสังบ่เทียว ทวยไปฟู่ข้า
พี่ยังสั่งตัว แม่บัวจีอ้า หลายนัยยา เรียบร้อย
ฝูงภิกขุเถร โยมเณรพระหน้อย ยังรู้เชื่อด้วย ดินไฟ

ดีและร้าย ควรเชื่อลองใจ เต็มตัวบ่ไป หล้างรออยู่ถ้า
ยังจักสม ดังคำฟู่ข้า รอยว่าพรหม ล่ายเพี้ยน
พี่สั่งนาย จนเสี้ยงซ้ำเมี้ยน บ่จาเงือดอ้าง ซักคำ
รือฝูงพี่น้อง หากแข้ง(แกล้ง)ทำกัมม์ จงกระทำ หื้อน้องจากข้า

บ่ปลงปล่อยตัว แม่บัวจีอ้า ไปหาภาดา พี่เชื้อ
น้องสังบ่ไป ปราไสรเงือดเงื้อ ชุมหมู่อั้น นายเคย
เจ้าเพื่อนพ้อง น้องหากทำเฉย ที่คุ้นที่เคย ถมถองไฅว่บ้าน
ที่เพื่อนมีของ เงินทองป้องป้าน หากยังมี บ่ไร ้

เอาตัวไปขัน มาส้ายแทนใช้ หื้อหมดจากเสี้ยง ราคี
คันว่าพี่นี้ บ่ตายเป็นผี บ่หนีคำเดิม จักเติมไถ่เจ้า
บ่ลาละตัว หื้อมัวมืดเส้า จักตามทวยเอา ไถ่ฅด
จักไถ่นางแพง เจ้าแป้งกลิ่นรส บ่ทุมทอดต้น วาที

อันนี้น้อง หองทึงใคร่หนี ช่องทางมี บ่ปังตอบโต้
หันเป็นสาย ร่อมรายโต้โหล้ บ่ปิดอำพราง เงือดเงื้อ
พออ้างอิงเถิง เทิงข้าพี่เชื้อ เขาจักว่าหื้อ สันใด
เป็นแต่น้อง หากทึงใจไกล คันว่าจักไป เอาพี่มาอ้าง

กลัวได้อยู่กิน ยินดีสืบสร้าง บ่จางเทิง ทางพี่เชื้อ
ชายหากเข้าใจ บ่ถ้าเงือดเงื้อ กลัวใฝ่เอื้อ ยาวไป
ตริจ่มฟ้อง อึดคลางหมองใจ จาร่ำไร ต่ำคล้อยหน้าส้อ
รู้วิสัย เหมือนลาวรู้ห้อ ผดในฅอ รู้พื้น
วิสัยเขา อ้างถกลากทึ้น พายฝ่ายเบื้อง ทางชม

ข้าพี่นี้ บ่เล็งหันสม น้องหากเมาลม ไปสมสู่หน้า
ใจนายดี ได้หนีจากข้า ได้เหิงเมินมา น้องฅิด
รอยว่านาย มาด้วยอามิส ติดสืบเส้น สายใย
นายว่ารัก หากรักปลายใจ บ่รักแต่ใน จิตใจและไส้

รักเชื้อใด หนีไกลจากได้ ใจในเพียง นุ่นงิ้ว
นายหันพี่จน เป็นฅนขี้ริ้ว เขียมแผ่นผ้า เงินทอง
หวังว่าน้อง บ่หันแต่ของ หวังจีบัวทอง น้องหันแต่ข้า
นายฟังคำไผ ฅนใดแสร้งส้า จายุยง ส่งท้าย

หนทางหลวง บ่เต้ายกย้าย พ้อยบุบุ่นผ้าย ดอยดง
มาจุพี่ว้าง ย่ำฟากหวิดตง มาจุพี่ลง หล่มพงแฝกหญ้า
เยื่องคำจา อันนายฟู่ข้า เหมือนจักมีมา แน่ฅัก
ฝนตกหัวปี น้ำนองยิ่งนัก ปลาย่อมเหล้น ชมฟอง

บัวราณว่าไว้ หากมีถมถอง ยามเมื่อนายพอง น้องหันว่าแก้ว
มีผิวใส วรรณวัยผ่องแผ้ว ค่าควรเมือง หยวาดฟ้า
ปางพายลูน เป็นแก้วขี้ย้า เปรียบตัวม่อนข้า สันเดียว
มาจุบี้ว้าง ตกฟองกลางเปียว ย้อนจีบัวเรียว บ่เหลียวใฝ่เฝ้า

จีบัวฅำ พี่กำได้เหง้า พ้อยถูกฟองลม คูดค้าน
กาบกาสรบาน พอแห้งเหี่ยวม้าน แมงภูเผิ้ง กวนชิง
เหมือนด้วงตัวน้อย อยู่ดินกินขิง พี่บ่รู้ฅิง ติงตัวสักหน้อย
ยักษ์อยู่ดอยหิน ลู่ชิงไปจ้อย พี่ตามทวยรอย บ่พบ

หัวอกเรียม เพศเพียงหนีบทบ ตีเตื่อมหลิ้ม จิมลง
คันคึดรอดน้อง แม่ฟองจันทร์ผง น้ำตาพังลง บ่มีเหือดหน้า
พี่มาเล็งหัน แผ่นพรรณเสื้อผ้า อันตัวชายา แต่งไว้
อั๊บมอบปัน หื้อข้าพี่ไธ้ สีมุ่ยอิ้น ซอนแดง

เจ้าน้องรัก ช่างทอจัดแจง พี่เอามาแยง ผ่อคอยตางหน้า
และวันไหน พี่ไขผ่อผ้า สิบซาวที อ่านครบ
คันเอามาตืน แลัวคืนจีบทบ ตบลูบเกลี้ยง แปงดี
บ่หนานุ่งคบ กลัวหม่นหมองสี พกพันดี ใส่ถงมัดห้อย

คันพี่บ่หัน แผ่นพรรณผ้าต้อย อั้นสีมือนาย แต่งไว้
อัตตาตน ตัวพรหมพี่ไธ้ แดนเที่ยงเสี้ยง ชีวํ
ผ้าห่มทุ้ม แม่ดวงบุปผํ ซะแม่นว่ายัง เกิ๋ดค้างจิ่มข้า
พี่ขอรักษา ไว้คอยตางหน้า อโนชา น้องรัก

ใส่ถงแขวน บ่แหนมซวกซัก กลัวกลิ่นเจ้า หายไป
ยามล่วงแล้ว ก่อนกี้ออนไกล เมื่อสองอยู่ใน เคหาแห่งห้อง
หนาวเย็นฅิง ที่พิงใจข้อง ย่อมเอามา ห่มเนื้อ
กลิ่นคัณธํ น้องยังร้างเรื้อ บ่หายเหือดเอื้อน สูญไป

หันของแห่งน้อง พอทุ่นอุ่นใจ คันหอระทัย วันใดโศกเศร้า
เอาผ้าผืนขาว ของนายน้องเหน้า มาสูดดมเอา กลิ่นรส
คำโศกา ค่อยหายเหือดงด อดอยู่ได ้เป็นคราว
เจ้าคู่ซ้อน บ่ร้อนบ่หนาว สนุกพิงพาว เหิดหัวอยู่ห้อง

ม่วนวอนใจ เยาะใยคู่ถ้อง บ่จาเทิงเรียม พี่ไธ้
เยื่องคำจา อันเจ้าฟู่ไว้ ก็หายกว่าจ้อย สูญไป
คำฟู่เค้า เอาทุมเสียไหน เอากำใส่ไฟ ฤาไหลน้ำกว้าง
จงชังพรหม บ่ได้สมสร้าง บ่สัญญาณเทิง บอกรู้

มางืดหัวใจ เจ้าก้อนกลิ่นคู้ ไผสอนสั่งหื้อ ชังชาย
คึดรอดน้อง บ่ลืมบ่หาย พี่แพงนาย เหมือนฅวายกับเอี้ยง
สับไซ้เหา เอาเมนออกเสี้ยง จับยืนยอง ผ่อเลี้ยง
หันไข่ขางหนอน บ่มซอนตัวเพลี้ยง ก็สับออกเสี้ยง ยืนฟอน

เอี้ยงผ่อเลี้ยง บินเบี่ยงทวยจร มีแต่ฅวายพอน บ่รอนรักเอี้ยง
ก้อนเกลือเขียม ลูกไม้ก็เสี้ยง จาทวนเทียม เปรียบนั้น
พี่เมารักนาย เหลือหลายหลืบชั้น บ่จางจืดด้วย คำแพง
เต็มข้าพี่ไธ้ ได้เงินพอแสน กับหัวฅำแดง บ่แพงเท่าเจ้า

คันได้เฝือแฝง เพาแพงตัวเจ้า ปัดแผ่นดินนอน ก็แล้ว
เจ้าสลิดเขียม เคยเทียมร่างแฅ้ว ไผกำสะแหว้ว เดินดอน
พี่เมารักน้อง แม่ฅำขจร จนหาหว่างนอน ผ่อนยั้งบ่ได้
บึดเมาขึ้นเหนือ บึดเมาล่องใต้ ซุกซนไป เที่ยวลัด

หล้างเทื่อก็ไป อาศัยอยู่วัด กินซากเข้า เหลือเพล
พี่ทรงคำทุกข์ น้องบ่หันเห็น เจ้ากัมม์ซอนเวร หลอนน้องอยู่ใกล้
พี่บ่ทุกข์จน ทารณร้อนไหม ้ยังหลับดีในอิ่มท้อง
แม่นว่าเจ็บเป็น นายแพงเพื่อนพ้อง จักแฝงใฝ่เฝ้า เยายา

อยู่มาชุมื้อ พี่ทรงโสกา เพราะตัวชายา น้องบ่มีใกล้
แม่นว่าเจ็บเป็น ร้อนเย็นหนาวไข้ เป็นหวัดไอ เสียบคัด
เจ็บหลังสึง ลมขึ้นยึ่งยัด บังเกิดด้วย สันใด
บ่มีที่วัก ที่วานไผไหน จักหานางใด นวดฟั้นนั่งป้อง

บ่เหมือนนงราม เมื่อยามอยู่ห้อง ปางยามออน ก่อนนั้น
คำโสกา หมื่นอันพันชั้น เถิงถูกต้อง ตัวเรียม
แก้วเลี่ยมเพชร วิฑูรสีเสียม นิดนั่งเทียม บ่หนีจากข้า
เข้าน้ำคำกิน ย่อมดาไว้ถ้า ตามเวลา ฅาบมื้อ

การหล้างควรขาย อุบายทางซื้อ ตกแต่งหื้อ ตามมี
ข้าพี่ไธ ้บ่ได้เฅิงขี หมากสุบมูรี มีไว้บ่แห้ง
น้องหากจัดแจง แต่งดาสร้างแสร้ง บ่ขีเฅิงใดทุกข์ร้อน
กินเข้าร่วมขัน หีบแกงร่วมช้อน บ่ทุกข์โศกต้อง สักอัน

ตั้งแต่น้อง แม่แพรสีจันทร์ หกวิ่งยัน หนีไกลจากข้า
บ่มีไผ แต่งดาไว้ถ้า หาเองเดียว เลี้ยงท้อง
ก็บ่เหมือน อยู่ใกล้เทียมน้อง พี่ทุกข์โศกต้อง หลายแซง
หล้างเทื่อนั้น พี่เดินแสวง ไปแอ่วคอยแยง ลับแลงแฅว่นใต้

หล้างเทื่อมีไกล หล้างทีมีใกล้ โขงอาณา ระยะ
การโกนจุก ทำบุญบวชพระ บ่เหือดเอื้อน กินทาน
หากมีชุทิศ ลับแลงสันฐาน ปุนชมบาน ทำทานม่วนเหล้น
พร่องไต่ตามสาย ชาติเชื้อเครือเส้น อันเป็นวงศ์วาน พิชชะ

ฝูงหมู่ชุมเคย บ่เสยทอดละ มาบอกต้าน เชิญไป
เขาทอดเลี้ยง เข้าน้ำปัจจัย ตามรีตเมืองไทย จัดแจงแต่งสร้าง
ของกินสัง บ่บกเหือดแห้ง เหมือนนายแพง หากรู้
จักบอกนายแพง เจ้าแป้งกลิ่นคู้ เขาแต่งต้อน หลายอัน

มีพร่ำพร้อม โทะโตกกวัะขัน ของจืนจ่าวมัน ของหวานใส่ด้วย
คันจักจา ว่าไปด้วยถ้วย ก็กลัวคำยาว ฅ่าวนัก
ขอนายแพง จุ่งแยงสอดทวัก เหมือนดั่งอั้น หันมา
ข้าพี่ไธ ้เท่าลวาดแลตา ไปหันชะนา ฝูงสาวร้างหม้าย

หล้างฅนนุ่งไหม หล้างฅนนุ่งฝ้าย หลายนารี ละลุ้ม
พี่ได้ไปหัน แผ่นพรรณเขาทุ้ม สีมุ่ยอิ้น บิงใบ
ข้ามาระนึก คึดสอดในใจ ว่าผืนสะไบ เหมือนของน้องเหน้า
เหมือนจักได้หัน สุพรรณหน้าเจ้า ใจมัวเมา ซว่านท้วง

ลวดตกสะเกิ๋ด คึดเกี้ยวเลี้ยวล้วง ใจสอดดั้น เทิงนาย
เต็มกินอิ่มท้อง คัดยึ่งเพียงตาย เหมือนอยู่บ่ดาย บ่กินสักหน้อย
ลวดกำเข้าจุก รีบลุกไปจ้อย ผันบันเอา จอกน้ำ
กลืนลืนลง ซ้ำเข้ายัดค้ำ เกิ๋ดกิ่วก้ำ รูฅอ

กลืนลืนน้ำ ซ้ำลงหลำหลอ เจ็บใจฅอ ปานจักแตกอ้า
ย้อนเมารักนาย แม่ดาวปลอมฝ้า บ่แปงวาทา ชุบย้อม
และอันและมี ไปเสี้ยงพร่ำพร้อม เพราะใจอ่วงอ้อม อาลัย
นึ่งเมินนึ่งฮ้าย วุ่นวายหัวใจ วันใดฅืนใด บ่ใสสว่างหน้า

น้องมาทำกัมม์ ทำเวรใส่ข้า หื้อเวทนา บ่แล้ว
สองรักกัน มัดหมั้นกิ่วแฅ้ว พ้อยบิดจากเบื้อง ฅืนฅาย
ตั้งแต่น้อง จากห้องหนีหาย บ้านสันฅอกฅวาย พี่บ่กรายใกล้
คันพี่ไปกราย เที่ยงรนร้องไห้ เคยหันนงวัย นาฎน้อง

พ้อยบ่ได้จา ได้ต้านปากพ้อง หันแต่ห้อง หมองดาย
จักแถมเตื่อมทุกข์ โศกไหม้ไปหลาย บ้านสันฅอกฅวาย แหนมบ่ไปไกล้
หลอนพี่ไปกราย บ่หันก็ไห้ อกทรวงใน ยิ่งล้ำ
ลวดบ่ไปกราย ไปใกล้แถมซ้ำ แดนแต่หั้น เนอนาย

ปีศาจ
08-15-2009, 02:31 PM
ต่อบทที่ ๔

ห้องนี่งนั้น ปุนผิดอายหยาย ฝูงญิงชาย หลวงหลายเพื่อนบ้าน
จักหยอกจิกัน เนืองนันเล่าต้าน จุนปากทวย ควักชี้
ว่าเมียละผัว เก็บตัวซ่อนลี้ หนีวิ่งผ้าย เสียเมือง
ยังเมาคุ้มคว้า บ่เผิดอายเหยือง อดสาเทียวเนือง แว่แวะมาได้


ปุนดีอายตาง รำฅาญใจใบ้ กลัวเขาร่ำไร ดั่งนี้
คองพี่หื้อหลัง พากันควักชี้ บุ้ยปากสุ้ม ทวยชาย
แดนแต่นั้น พี่บ่ไปกราย จวางเมานาย แล่นเหนือหกใต้
นั่งไหนก็เหงา เซาไหนก็ไห้ สืบวันไป สืบมื้อ


บ่คึดทางขาย อุบายจ่ายซื้อ บ่จงใฝ่เอื้อ เงินฅำ
พี่ทรงคำทุกข์ อยู่ไปตามกัมม์ พ่ำเพ็งธรรม จำศีลแปดห้า
ปรารถนา ขอได้หันหน้า อย่าไคลคลา คลาดว้าง
ขอกุศล ทวยดลผ่าม้าง หื้อสมใฝ่อ้างอารมณ์


ขอเชิญเทพท้าว เขตด้าวทังกรม อินทาพรหม ครุฑนาคต่ำใต้
ขอช่วยปอง พองฅืนหื้อได้ รีบเร็วไว อย่าช้า
จุงบันดลใจ แม่แก้วไข่ฟ้า หื้อกลับพอกหน้า ฅืนมา
คันว่าน้อง รอมแพงเพื่อนจา ไปตกอาณา รัฏฐาหมื่นห้อง


จักเซาะถามหา นายเราที่ข้อง ตามทวยพอง ลู่ม้าง
เต็มไปเมืองแกว แผวเมืองล้านช้าง จักตามไต่เต้า เอามา
เต็มไปอังวะ ตะโก้งหงสา สิบสองพันนา เขตลื้อเมืองห้อ
อโยธิยา คูลวาสีป้อ โขงอาณา ลุ่มฟ้า


บ่ว่าเมืองไหน จักไปฅ้นฅว้า บ่ปลงปล่อยหื้อ ฅนใด
เต็มเถ้าแก่ฅ้าว เดินทางบ่ไหว จักค่อยคลานไป จนเถิงรอดเจ้า
เต็มนายมีผัว เทียมแยงแฝงเฝ้า จักตามทวยเอา ลู่ม้าง
จาลวงสุด อยู่กรวงงาช้าง จักตีสิ่วต้อง ชีเอา


อันนี้น้อง แม่อินทร์ลงเหลา เขาพาเอา สู่เมืองแพร่แก้ว
เมืองโกศัย เป็นภัยบาดแบ้ว หนทางเทียว ก็โค้ง
ใคร่หันหน้านาย เหมือนอกจะล้ง ก็สุดส่วนเสี้ยง ปัญญา
กลัวเหมือนไข่มด ตกย่านวังปลา จักตามทวยมา ก็มาบ่ได้


คันมีปีกหาง บินซานไปได้ จักเหินบนทวย บ่ละ
เหมือนวรรณพราหมณ์ หน่อเหน้าองค์พระ กับเมียมิ่งแก้ว พิมพา
จักเอาน้องรัก รอมแพงขวัญตา เหาะเหินเดินมา ผ่าลัดเมฆฝ้า
ข้ามสิงขรดอยดง ขอบขั้น เถิงเมืองพิงค์ บ่ช้า


สุดวิสัย นั่งไห้งุ่มงว้า บ่มีปีกอ้า เหินบิน
พี่เมารักน้อง กาบซ้อนบัวจีน จนกายาฅิง พอผอมเผิดแห้ง
จับหล้างฅืน บ่นอนจนแจ้ง ตาพอแดง เลือดช้ำ
มาเป็นทุกข์ใจ ทุกข์ฅอยิ่งล้ำ รนร่ำไห้ หานาย


นอนนั่งฅิด ฅะมุ่นกระหาย นอนหงายเมื่อยฅิง เปลี่ยนพลิกฅืนขว้ำ
บ่เป็นตาสุข สะแคงสองก้ำ กลับไปมา พลิกฟื้น
สองดวงตา เพศทาด้วยพริก เพื่อทุกข์โศกเศร้า เมาวอน
นองเนตรย้อย ชุ่มเสี้ยงทังหมอน หัวอกเอ่าฅลอน หลับนอนบ่ได้


น้ำตาตก คัดอกนั่งไห้ ใจเทียวไช ไฅว่ฅิด
ว่าปางนี้เหย นายหลับแทบมิด บ่ฅิดอ่วงต้อง ผัวออน
ฤาว่าน้อง เจ้ากาบไกสร บ่หลับบ่นอน กวักไหมปั่นฝ้าย
ฤาสุขสงวน ม่วนงันจะกว้าย อยู่เดียวดาย แต่น้อง


ฤามีคู่แฝง คู่แพงเพื่อนพ้อง เรียงร่วมห้อง พิงเพา
ฤาว่าน้อง แม่ปล้องแขนเหลา บ่ห่วงบ่เมา เพศเพียงดั่งข้า
นายบ่เหงาผลาญ ชื่นบานตาหน้า เป็นสันใดชา น้องชั้น
ยังคึดรอดเถิง ร่ำเพิงพี่ชั้น เหมือนม่อนข้า พรหมมินทร์


ฤาว่าน้อง นับอยู่นับกิน บ่กวังเมาวิน เสมอดั่งข้า
ตัวฟู่ตัว เพศเพียงดั่งบ้า มาอัทธวา ร่ำรัก
กลางฅืนนอน ใจจรสอดทวัก ไปกล่อมเจ้า นอนเรียง
หล้างเทื่อนั้น เหมือนได้ยินเสียง เยียะเหมือนซะเมียง หันสารูปหน้า


หวังว่านาย พลิกฅืนหาข้า ลุกขึ้นมา ฟั่งรับ
แล้วลวดหายตา พี่ไปวาบวับ กับเพื่อนกลิ้ง ชวนเมา
ผ่อซั้นแท้ เป็นว่าเงาเสา เมาบ่เมา จนพอปุนอั้น
ที่จักเป็นฅน สืบทนตั้งหมั้น บ่หันเนอนาย น้องรัก


หันของกิน ที่อันเคยมัก มาเหมือนกรวดก้อน หินชา
เท่าดอมละไว้ บ่อาลัยหา บ่แหนมภุญชา(กินอาหาร)คาบเคี้ยวลงได้
อิดอ่อนหิว โรยแรงแกมไข้ เหมือนเป็นหวัดไอ หอบซ้ำ
จับหล้างวันเหย พอลืมเข้าน้ำ ถ้านปุนอั้น เมานาย


กาเพื่อนทุกข์ สอดดั้นขวงขวาย ของใดมียาย ทังหวานเปรี้ยวส้ม
มีทังหุงแกง จ่าวจืนปิ้งต้ม เล้าโลมพรหม พี่ไธ้
ว่าอดใจกิน ข้าทำแต่งไว้ เพื่อหื้อทุ่นไส้ ใจดี
ของเยื่องนี้ ของขวบของปี หวานลำดี ควรกินกับเข้า


อย่าไปมัวเมา ปากหมองท้องเศร้า เล้าโลมพรหม ฅะฅ้อย
หลอนอิดหิว โรยแรงอ่อนม้อย จักเจ็บป่วยไข ้โรคา
ชมคู่ซ้อน บ่สีเนหา เพื่อนหนีพรากลา ทิ้งละไว้ได้
เต็มว่าหมองเหงา ซบเซานั่งไห้ เพื่อนหนีเราไป ขอกฟ้า


ที่อันจักเป็น น้ำมันขี้หย้า ก็หาบ่ได้ สักอัน
อดเอาเทอะ พอฟังคำกัน เต็มคำรำพัน ก็บันบ่ได้
ไชยลังกา หันข้านั่งไห้ เท่าร่ำเพิงไป กล่าวชี้
ทังท่านทังตัว ย่อมเป็นดั่งนี้ ซ้ำเหงาเงียบไห้ ทวยพรหม


อย่าว่าพี่นี้ แต่งถ้อยประสม มาจุล่ายชม บ่ไห้ว่าไห้
หลอนว่าไผ ขึ้นมาจากใต้ ลองถามคอยด ูเที่ยงรู้
พี่ไห้หมองเหงา หาเจ้ากลิ่นคู้ เขาหันพี่ไห้ ทึงเมือง
ออนมอยเนื้อ ขาวแดงแกมเหลือง คันอยู่ยังเมือง วิเทห์เทพห้อ


ใคร่กำแขนถาม ใจฅวามสักข้อ ใครสองนั่งรอ ต่อท้า
ก็ไกลชอยวอย เหมือนดอยกับฟ้า เหงยเหงี่ยงหน้า ดูเดือน
ข้อนที่ทุกข์ บ่มีไผเหมือน คึดหลายวันเดือน ก็มาบ่ได้
หลอนตีนช้างสาร ฅวบตีนนกไส้ เที่ยงจมดินไป บ่ฅ้าง


ฅอพี่พรหม บ่เท่าฅอช้าง กลัวถูกต้อง ภัยยา
ขอน้องรัก แก้วชอบชาตา พิจารณา ตรัสตรองหย่องเหยี้ยม
ปลายเข็มแหลม ปลายหนามก็เหลี้ยม จาทวยเทียม เปรียบน้อง
เหมือนนกพาปิน หากินเลี้ยงท้อง ขอตรัสเจตน์แจ้ง ดวงทัย


การทางรัก เหลืออกเหลือใจ แสนอาลัย พี่ไปบ่ได้
แอ่วไปจุกเหงา ซบเซานั่งไห้ ใจในเฟือน เพื่อนพุ
อย่าไปสังกา ว่าข้าสุ่ยยุ จุล่ายเหล้น แปงเอา
หัวอกพี่ไธ้ เพศแคร่ไฟเผา เต็มที่เมา นั่งไหนบ่หมั้น


ซ้ำดอยตายโหง เขาโพลงมากั้น ขอนายฟัน บั่นม้าง
ขุดกุ่นเสีย อย่าหื้อเทิกฅ้าง หื้อหันเป่งกว้าง ทางยาว
อ็อดฮอดเนื้อ สีแดงแกมขาว เจ้าหัวฅำซาว ชาติเนื้อฅำใต้
คันนายขุด โค่นทุมเสียได้ พี่ส่วนสาธุ ยินดี


น้องมาทอดซัด เข้าท่งนาปี ไปกุมยินดี นาดอน้ำห้วย
ก้ำพองเป็นกอง งวงงอออกด้วย พ้อยแผ่นดินพอน ขาดน้ำ
อย่าฟั่งเสียงแข็ง แมงแคงช่างซ้ำ ชามเชื้ออั้น ลองฟัง
เมืองแพร่พื้น สี่ห้าปีหลัง ฝูงชนํ ทังฝูงไพร่เจ้า


เยียะนาปี นาดอใฝ่เฝ้า กอใบงาม โป่งซ้อน
นายหันไผ ได้กินอิ่มท้อง มีพร่องอั้น คานาย
ชุมเพื่อนพ้อง เยียะนาเหมืองฝาย พาเสียแรงฅวาย บ่หลายก็หน้อย
คันได้ปลูกฝัง ยังยายเป็นถ้อย โป่งใบงาม หน่อเฟื้อ


เต็มบ่ได้กิน ฅงไว้ได้เชื้อ นาฝ่ายเบื้อง เหมืองลิน
ฅนได้เยียะ ก็อุ่นใจกิน เข้าตกดิน บ่ห่อนเป็นหญ้า
คันบ่สม ดั่งคำฟู่ข้า จักพันธนา ปาดลิ้น
นายได้กินปลา ลวดลาเสียชิ้น บ่คึดรอดข้า ปรารมภ์


สะเลียมมะแขว้ง เพื่อนเล่าลือขม หัวใจแห่งชม พ้อยขมกว่าอั้น
ปากว่ารือ ใจก็อืออั้น ช่างจุลมพราง ล่ายคด
นายเจียรจา ฟู่ข้าเอายศ บ่สมว่าอ้าง สักคำ
ยามเมื่อน้องรัก ไผยังบ่จำ ยามเมื่อจักชัง แม่ฅำซาวห้า


พ้อยฟังคำเขา หน่ายชังตัวข้า ใจฅลายลา จากไธ้
ยามจักหน ีมีคำสั่งไว้ หลายเรื่องถ้อย วาทา
คันว่ารักแท้ หื้อเมือทวยหา ที่จักลงมา ลับแลงแฅว่นห้อง
คันเมืองสวรรค์ ลงกินแกลบกล้อง จักกลับมาไช พี่น้อง


คันช้างพลายสาร ไค่มานมีท้อง จักพลิกพอกห้องมาไช
เจ้าทิพพะ ที่แพงหัวใจ ไขเหน็บคำ ตั้งใจว่าข้า
คันหนูกินไถ กระทู้กินกล้า จักกลับลงมา เฟื้อฟั้น
ฝูงญิงชาย ทังหลายหมู่นั้น ไขบอกหื้อ ภาดา


สองสามแล้งนี้ บ่ถ้าคองหา จักกลับฅืนมา ก็กลัวกุ่มแส้
เต็มหลับฝันหัน บ่ควรดีแก้ ตัวฅำแรสั่งไว้
สัพพะวัตรา เก็บมาควี่ไค้ ไปว่าอั้น สันใด
นคระ เมืองมิ่งโกศัย มีกังวลภัย นายรู้ชุข้อ


ตัวหนีไกล ซ้ำไขคำหย้อ จาคำพอ สั่งไว้
ปุนอั้นแล้วตัว เจ้าสร้อยดอกไม้ บ่แหนงหน่ายข้า สันใด
ปุนดีต่ำคล้อย น้อยอกหมองใจ มางืดดวงทัย แม่ใบหน้าส้วย
ทำกัมม์บ่พอ ทำฅอแถมด้วย พี่จวางเมาทวย ปั่นคว้าง


เสมอเหมือน เปรียบเทียมอย่างช้าง ยามเมื่ออั้น ลงมัน
พี่ได้พลัดน้อง ที่ข้องใจผัน ในปัจจุบัน ชาตินี้ต่อหน้า
บ่ได้ทำสัง เป็นกัมม์บาปกล้า หื้อเป็นเวรา หน่องพะ
ฤาว่าบุพเพ ปางหลังภาวะ รอยว่าข้า ทำมา


ได้เอาลูกนก พรากแม่มาตา หื้อเจียนจากลา รังนอนบ่อนเหล้น
กัมม์สยอง ครอบฅืนไฅว่เส้น เถิงเทิงชาย ชาตินี้
ผิบ่มี เปรียบอั้นดั่งชี้ รอยกัมม์อื่นอั้น พามัว
ปังตอบท้า ไฅว่ได้เถิงตัว ฤาได้ขายงัว พลัดแม่ยามหน้อย


ลูกงัวใจหมอง ร้องรนอ่อนอ้อย อยากนมพอ ร่ำร้อง
กัมม์สนอง หื้อข้าพลัดน้อง สายที่ข้อง ลำนวน
ไขฟู่น้อง แม่แป้งจันทร์จวน ตามฅะบวน แต่เค้าเบื้องเบ้า
ตามวาจา อั้นข้ากับเจ้า ขอนายเลา คึดรู้


อย่าเมาชมผัว อย่าหนัวกล่อมชู้ จุ่งนิตนั่งตั้ง ใจฟัง
เต็มนายบ่รัก บ่บาระขัง เต็มว่านายชัง บ่ปังตอบเจ้า
พี่ขอรักตัว ต่อเท่าคุ้มเถ้า แม่ผมพันมวย อั่วช้อง
บ่ได้เป็นผัว ขอเป็นพี่น้อง เหมือนสืบเส้น สายเดียว


ตัวพี่ก็ทุกข ์คำคึดก็เถียว เหลียวหยุบใด เป็นใบหย่อมหญ้า
ยกหัตถา มือขึ้นลูบหน้า ก็เป็นดินทราย ฅะฅ้อย
ทรัพย์สิ่งของ เงินทองเล็กน้อย ก็หาบ่ได้ ในมือ
ออนก่อนนั้น ยังได้กำถือ ติดแปดมือ แต่เฟื้องซีกเสี้ยว


บัดนี้จน ทารณข้อนเขี้ยว เฟื้องเงินเดียว บ่ซิ
บ่ใช่ว่าชา ยพี่แข้งถี่ชิ เกิ๋ดฟู่เกิ้ง ทางนาย
คุณแห่งน้อง มีมากหลวงหลาย ตัวแห่งนาย ทำไว้กับข้า
ได้อุปถัมภ์ ทำทอแผ่นผ้า กับโภชนา อุ่นร้อน


พี่ได้กิน ได้พิงห่มซ้อน ปางก่อนกี้ มีคุณ
พี่บ่ลุบล้าง ทุมดายหายสูญ จักหมายตอบคุณ แห่งนายน้องเหน้า
พี่บ่มีสัง ฝากมาหื้อเจ้า จับยามเมา หอดไร้
เป็นของกิน ครัวทรงเครื่องใช้ จักฝากหื้อ ยินอาย


กลัวตัวแห่งน้อง ร่างค้อมฅิงผาย เอาของแห่งชาย ซัดทุมลุ่มใต้
กลัวฟักฟันทุม สุมไฟหื้อไหม้ บ่จับดวงทัย แห่งน้อง
หนีละเสีย จากห้องเทศท้อง ยังกุมฝากหื้อ ครัวมา
ดูบ่คึด เผิดหน้าอายตา ฝากทวยมา ดั่งฤาเยียะได้


มากวังสึง เมาซึงแต่ใต้ ตามทวยมา แท้ทัก
คร้านรู้คร้านหัน กลัวเจ้าน้องรัก จาว่าอี้ นินทา
เพราะเหตุว่าน้อง บ่สีเนหา ไปปิยาภา กับเขาใหม่หน้า
พี่จักฝากสัง กลัวดังเคียดกล้า กลัวผัวนายมา ร่ำรู้


จักโมโห โกธาว่าชู้ จาด่าหย้อ หลายราย
คันว่าน้อง ที่ข้องใจหมาย บ่เหยืองเบื่อชาย หน่ายชังตัวข้า
สัพพะสิ่งของ เงินทองเสื้อผ้า หล้างเก็บริบรอม เหมียดไว้
ย้อนบ่ดีกิน ดีทรงดีใช้ จิ่งหลบหลีกหน้า หนีมา


พี่ไขเรียบร้อย แต่งถ้อยกลอนจา รำพันมา แต่เค้าแต่ต้น
หลอนจาเกิน คำเดิมล่วงป้น ใจนายบ่ดล ถูดทัด
วาจาแปง หลอนผิดแผกพลัด บ่จับถูกต้อง หูนาย
พอขอน้องรัก แม่แก้วสีผาย อย่าติเตียนชาย นินทาด่าหน้า


คำโศกา เกิดในใจข้า จิ่งแปงคำมา ฟู่น้อง
บ่สู้เกาะเกลียว ติดเกี้ยวจ่องคล้อง เหตุแปงแสร้ง ยามเมา
ใจแตกฟุ้ง หย่านหยุ้งกวนเกา ซ้ำปัญญาเบา ทุ่นช้าบ่เหลี้ยม
เท่ามีวิสัย ยาวพอฅืบเหยี้ยม ก่อยอดทำเพียร ร่ำพิจ


จักดาบ่สม อารมณ์ใฝ่ฅิด แปงรอดเจ้า ทังอาย
หลอนว่าน้อง ที่ข้องใจหมาย ง่อมงันนาย เมื่อเยียะหูกฝ้าย
อยู่หอเรือนนาย กวักไหมปั่นด้าย มโนนาย ค่ายนัก
หื้อไปวานเขา ที่เจ้าเคยรัก มาอ่านหื้อ ญิงฟัง


จักไขวาทํ แม่วังทุ่นตื้น กับแม่พิงไชย เชี่ยวพื้น
ผ่าสูนกัน มอกดังฅะครื้น เสียงฅลื่นต้อง ฟองเฟือน
จักลือกระเทือน ทั่วเมืองโลกใต้ หื้อฝูงฅนลือ เล่าไว้
คันไผประสงค์ เก็บมาอ่านใช้ เที่ยงสนั่นใต้ ดินเฟือน

มะโนเนือง สุดเสี้ยงเสียหนี้ เท่านี้สู่ ดาฟัง
ก่อนแหล่ นายเหย ฯ


จบบริบูรณ์

ปีศาจ
08-15-2009, 02:35 PM
http://olddreamz.com/alldreamz/sappa/1.gif
น้อยไชยา
ท้าวสุนทรพจนกิจ (บุญมา สุคันธกูล)
บันทึกจาก เว็บบอร์ด"คำไทคำถิ่น"
(ขอขอบพระคุณท่านเจ้าของต้นฉบับอักษรล้านนาเป็นอย่างสูงมา ณ ที่นี้) [HR]
น้อยไชยา- พวงดอกไม้เบ่งบานสลอน ฝูงภมรพู่เผิ้งสอดไซ้
ดอกภิคุลหองเพิ่นต้นใต้ ลมพัดไม้มาสู่บ้านตู
รู้แน่ซัดเข้าสอดสองหู ว่าสีชมพู ถูกปล้ำเค้าเนิ้ง
เค้ามันตายปลายมันเสิ้ง ลำกิ่งเนิ้ง ตายโค่นทวยแนว
ดอกภิคุล ค็ครืดอกแก้ว ไปเป็นของเพิ่น แล้วเนอ

แว่นแก้ว- เตมเค้าเนิ้ง กิ่งมันบ่ถอน บ่ไหวฅลอนเฟือนช่างหมั้นแท้เล้า
ตามคำลมเพิ่นพัดออกเข้า มีแต่เค้าไหวสั่นฅลอนเฟือน
กิ่งมันแท้บ่แส่เสลือน บ่เหมือนลมเชย รำเภิยค็ชนั้น
ใจคำยิงนี้หนิมเที่ยงหมั้น บ่เปนหองเพิ่นฅนใด
ยังเปนกจกแว่นแก้วเงาใส บ่ไหวข้อนเหงี่ยง ช้ายเนอ

น้อยไชยา- ตัวพี่น้อยจักขอถาม ตามคำลมเพิ่นมาเล่าอู้
ว่านายมีชู้ บ้านวังสิงห์ฅำ ฝ่ายทังพุ้นเพิ่นมาใส่มาจำ
บ้านวังสิงห์ฅำ เพิ่นมาหมั้นค็ไว้แล้ว
ทางฝ่ายปั้นตัวน้องนางแว่นแก้ว ค็ตกลงแล้วบ่ใช่คาหา
เพิ่นจะกินแขกแต่งการค็วิวาห์ เมื่อใดชาพี่น้อยใคร่รู้เค้า
ส่วนไชยาบ่สมเพิ่นเจ้า เพราะเขียมเข้าของเงินธอง
ฝ่ายทางนายบ่หมายเกี่ยวข้อง มาละหมองต่ำคล้อยเนอ

แว่นแก้ว- ตัวน้องนี้บ่หล่าใหลหลง การตกลงค็ยังบ่แล้ว
จิ่งเชิญตัวพี่มาห้วยแก้ว เพราะใคร่รู้คำอู้คำจา
จิ่งเชิญน้อยพี่มาเปิกสา จักว่าใดชาตัวน้องค็ใคร่รู้
การที่มาฟู่อู้ จะเอาเปนชู้คาว่าเอาเปนเมีย
ฤาจักลับล้างลืมลายหน่ายเสีย บ่เอาเปนเมียฤาจักธิ้งเสียแล้ว
ฤาเอาเปนเมียนางช้างแก้ว อยู่เปนคู่ข้างเทียมฅิง
ขอบอกนางหื้อแน่ใจจิง บ่อำพรางนาตน้องเนอ

น้อยไชยา- บ่จุหลอกน้องหื้อหม่นหมองหมาง บ่ล่อลวงพรางแม่นางร่างแฅ้ว
พี่หมายเอาเปน เมียนางช้างแก้ว บ่หื้อฅลาดแฅล้วเรื่องคำสีเนห์
หลอนแก้วน้องใจยังบ่เหว เที่ยงสมครเนเหมือนพี่คึดเล้า
หลอนพี่จุค็ยังล่ายเจ้า ขอหื้อฟ้าผ่าหัวแม่เมียตาย
ลูกแม่ยิง อู้เหล้นค็บ่ดาย ลูกพ่อชายอู้แท้ค็บ่พลั้ง
หลอนนางตายไปเปนไก่ตั้ง พี่น้อยจักตายเปนฅืน
ฟู่บ่ถูกวันพรูกค็บ่ขืน ฟู่เมื่อฅืนทึงบ่ขืนเมื่อเช้า
การรักกันหองข้ากับเจ้า เปรียบเหมือนเหล้ากับพาง
ปากคำใดพี่ค็ทึงอ้าง บ่ใช่จางจากน้องเนอ

แว่นแก้ว- หลอนว่าแท้ เหมือนดั่งคำจา น้องขอสัญญากับตัวพี่น้อย
บ่ขอรักใผซักเท่าเกิ่งก้อย ขอรักพี่น้อยไชยานี้ค็ฅนเดียว
ฅนอื่นนับร้อยทึงบ่แลบ่เหลียว จะขอรักเดียวชายเดียวค็เท่านี้
หลอนว่าน้องจุฤาสับปหลี้ ขอหื้อฟ้าผ่าหัวพ่อผัวตาย
ลูกแม่ยิงบ่ใช่ว่าบ่ดาย ลูกพ่อชายขี้จุค็แท้ ๆ
กินค็ยังทึงแก่ สเลียมยำใส่แย้ บเขือแช่ยำใส่เทา
คอนพี่น้อยไชยารักแท้ข้าเจ้า ค็ยินดีจิ่มแท้เนอ ฯ

ความเห็น :

ในฉบับของ อำนวย กลำพัด ข้างล่างนี้เป็น
....ดอกภิคุลของ"พี่"ต้นใต้ ลมพัดไม้มาสู่บ้านตู
ซึ่งฟังดูแล้วบ่ใคร่ลงตัว
เพราะ "พี่" กับ "ตู" เป็นสรรพนามบุรุษที่หนึ่ง เหมือนกัน
ในขณะที่เนื้อความต้องการแสดงความแย้งกัน ดังนั้นฉบับข้างตันน่าจะถูกต้อง
....ดอกภิคุลของ "เพิ่น" ต้นใต้ ลมพัดไม้มาสู่บ้าน "ตู"
คือ ดอกพิกุลของ"เขา"ต้นทิศใต้ ลมพัดไม้มาสู่บ้าน"ฉัน" (ตู-ตูข้า)

อย่างไรก็ดี ผมชอบที่จะใช้คำว่า "ของ" แทนคำว่า "หอง"
หรือ "แถม" แทนคำว่า "แหม" ในภาษาเขียน
เพราะโดยรูปคำที่ถูกต้องแท้จริงน่าจะเป็นตัว "ข" และ "ถ" มากกว่า
เว้นแต่จะเป็นการออกเสียงแบบภาษาพูด ซึ่งอาจเพี้ยนไปบ้างตามลิ้นของพื้นถิ่น
(เช่น แหมคำ-อีกคำ อีกประเดี๋ยว , แหมเทื่อ-อีกครั้ง)

คำว่า ตู นั้น ปัจจุบันไม่พบว่า่มีใครใช้กันแล้ว
บางทีอาจจะคิดว่าไม่สุภาพ เหมือนคำว่า คิง-ฮา
ทั้ง ๆที่โดยความหมายแล้วน่ารักมาก คิง=ตัว ฮา=รา,เรา
หรือคำว่า "ข้า" คนสมัยก่อนจะใช้เมื่อพูดกับพระสงฆ์องคเจ้า
เป็นการแสดงความนอบน้อมว่าตนเองเปรียบเสมือนเป็น "ข้า"(ของพระเจ้า-ข้าพเจ้า)
แต่เดี๋ยวนี้คงไม่มีใครใช้กันแล้ว

คำว่า
"ทิ้ง"
เหตุที่ใช้ตัว "ธ" ก็เพื่อรักษาเสียงตัว ท ตามสำเนียงภาคกลาง
โดยปกติแล้วภาษาล้านนา มักจะใช้
ขว้าง
เช่น
"ขว้างเรี่ย"
คือ ทิ้งเรี่ยราด
ส่วน ทอดทิ้ง ใช้
"ทุมทอด"
(ภาษาเก่า)
อีสานใช้
"ทิ่ม"
ในความหมาย ทิ้ง ส่วนละทิ้ง ใช้
"ปา"


(ส่วนทัดที่ว่า "บ่ไหว ฅลอนเฟือน ช่างหมั้นแท้เล้า
น่าจะเป็น "บ่ไหว เฟือนฅลอน ช่างหมั้นแท้เล้า"
เพราะสัมผัสคล้องจองกับประโยคแรกมากกว่า
ส่วน "แส่เสลือน" น่าจะเป็น "แซเสลือน" ซึ่งความหมายเท่ากับ แชเชือน
คือ ไถล ไม่ตรงไปตรงมา)

ขอขอบคุณสำหรับต้นฉบับอีกเทื่อนะครับ
โดย ลุงหนาน [29 เม.ย. 2547 , 08:04:55 น.]

ปีศาจ
08-15-2009, 02:37 PM
ซอน้อยไชยากับนางแว่นแก้ว
(ทำนองพระลอ)
[BLOCKQUOTE]น้อยไชยา : ดวง * ดอกไม้เบ่งบานสลอน ฝูงภมรแม่เผิ้งสอดไซ้
ดอกพิกุลของเพิ่นต้นใต้ ลมพัดไม้มาสู่บ้านตู
รู้แน่ชัด เข้าโสตสองหู ว่าสีชมพูถูกปล้ำเค้าเนิ้ง
เค้ามันตายปลายมันเสิ้ง ลำกิ่งเนิ้งไหวหวั่นทวยแนว
ดอกพิกุลก็คือดอกแก้ว ไปเป็นของเพิ่นแล้วกะหนอ


นางแว่นแก้ว : เต็มเค้าเนิ้ง กิ่งมันบ่ถอน บ่ไหวเฟือนคลอนกิ่งไปไหนเล่า
ตามคำลมที่พัดออกเข้า มีแต่เค้า ไหวหวั่นคลอนเฟือน
กิ่งมันแท้บ่แซเสลือน บ่เหมือนลมเชยรำเพยก็จะนั้น
ใจน้องญิงน้องหนิมเที่ยงหมั้น บ่เป็นของเพิ่น ฅนใด
เปรียบเหมือนกระจกแว่นแก้วเงาใส บ่ไหวข้อนเหงี่ยง ช้ายเนอ

น้อยไชยา : ตัวพี่น้อยจักขอถาม ตามคำลมเพิ่นมาเล่าอู้
ว่านายมีชู้บ้านวังสิงห์ฅำ ฝ่ายทางพุ้นเพิ่นมาใส่ประจำ
บ้านวังสิงห์ฅำ เพิ่นมาหมั้นไว้แล้ว
ฝ่ายพ่อสาวน้องนางแว่นแก้ว ตกลงไว้แล้วบ่ใช่คาหา
เพิ่นจะกินแขกแต่งการวิวาห์ เมื่อใดชาพี่น้อยใคร่รู้เค้า
ส่วนไชยาบ่สมเพิงเจ้า พี่เขียมเข้าของเงินทอง
ฝ่ายตัวนายบ่หมายเกี่ยวข้อง มาละหมองต่ำคล้อย

นางแว่นแก้ว : ตัวน้องนี้บ่ล่าใหลหลง การตกลงก็ยังบ่แล้ว
จิ่งเชิญตัวพี่มาห้วยแก้ว เพราะใคร่รู้คำฟู่คำจา
จิ่งเชิญน้อยพี่มาเปิกษา จะว่าใดชาตัวน้องก็ใคร่รู้
จิ่งเชิญตัวพี่มาฟู่อู้ จะเอาเป็นชู้คาว่าจะเอาเป็นเมีย
ฤาจะลบล้างลืมลายหายเสีย บ่เอาเป็นเมีย ฤาจะทิ้งเสียแล้ว
ฤาจะเอาเป็นเมียนางช้างแก้ว อยู่เป็นคู่เทียมฅิง
ขอบอกนายหื้อแน่ใจจริง อย่าอำพรางนาฏน้อง

น้อยไชยา : ตัวพี่น้อยบ่จุหลอกน้อง หื้อหม่นหมองหมาง
บ่ล่อลวงพราง แม่นางร่างแฅ้ว
พี่หมายเอาเป็นเมียนางช้างแก้ว บ่หื้อคลาดแคล้วเรื่องคำสีเนห์
หลอนแก้วน้องใจยังบ่เหว เรื่องคำสีเนห์เหมือนพี่คึดแล้ว
หลอนพี่จุคายังล่ายเจ้า ขอหื้อฟ้าผ่าหัวแม่เมียตาย
ลูกแม่ญิงอู้เล่นบ่ดาย ลูกพ่อชายอู้แท้ก็บ่ฟัง
หลอนนายตายไปเป็นไก่ตั้ง ตัวพี่น้อยจะตายเป็นฅืน
อู้บ่ถูกวันพรูกค่อยมาขืน อู้เมื่อฅืนค่อยมาขืนเมื่อเช้า
ตัวพ่อชายกับทึงเจ้า เปรียบเหมือนเหล้ากับพาง
ปากคำใดพี่ก็ทึงอ้าง บ่ได้ใจจางจากน้อง....
(ขอขอบพระคุณ ต้นฉบับ จาก"คำฅมแห่งล้านนา" โดย อำนวย กลำพัด)
*ลางแห่งว่า "พวงดอกไม้"
กินแขก = แต่งงาน ไก่ตั้ง =ไก่ต่อ ข้อนเหงี่ยง = ค่อนเอียง เกิ่งก้อย =ครึ่งก้อย
แม่ยิง ญิง =ผู้หญิง พ่อชาย =ผู้ชาย บ่ดาย =เปล่า ๆเฉย ๆ ขี้จุ =ขี้โกหก สะเลียม =สะเดา
บเขือแช่ (น่าจะเป็น แจ้ คือมะเขือขื่น) เทา =สาหร่ายเทา คล้ายเส้นผมมีสีเขียวใช้ทำเป็นอาหาร
คอน,คัน = หากว่า จิ่ม =ด้วย คำสีเนห ์= ความสิเนหา เสน่หา หลอน = แม้นว่า
จุ ล่าย =โกหก หลอกลวง วันพรูก =วันพรุ่ง ขืน =ในที่นี้หมายถึง คืนคำ อู้ =พูด [/URL]
พาง =ขวด เขียม =ขาดแคลน หายาก ฟู่ =เจรจา คึด =คิด สับปหลี้ =สับปลับ
คู่เทียมฅิง =คู่เทียมกาย ( ฅิง -ตัว กาย เช่น รู้ฅิง =รู้ตัว ฟื้นฅิง =ฟื้นตัว คืนสติ)
เค้า =โคน(ต้นไม้) ต้น(เหตุ) จะว่าใดชา =จะว่าอย่างไรฤา ช้าย =บ่าย เบี่ยง คล้อย
ไชยา =อ่าน ไจยา ส่วนใหญ่มักออกเสียงผิดเป็น"ไจ๋ยา"
น้อย = ใช้เรียกนำหน้าชื่อคนที่เคยบวชเณรมาก่อน ส่วนคนที่เคยบวชพระเรียก หนาน
เต็มว่า = แม้นว่า ทวย =ด้วย เนิ้ง =โน้ม เอียง บ่ใช่คาหา = ไม่ใช่หรือ ค็ = ก็
ปล้ำ =โค่น เปิกษา =ปรึกษา เผิ้ง =ผึ้ง พุ้น =นู้น โน้น เพิง = พึง สม เหมาะสม
เพิ่น,เพื่อน =เขา เฟือน =โยก คลอนแคลน เมื่อใดชา =เมื่อใดฤา ร่างแฅ้ว =เอวบางร่างน้อย ( แฅ้ว =คอด กิ่ว) มักใช้ร่างแฅ้วแอวกลม ล่าย =โกหก หลอกลวง วันพรูก =(อ่าน วันพูก)วันพรุ่ง
เสิ้ง =เซ เอน ใส่ประจำ =วางมัดจำ หนิม = นิ่ง หนิมเที่ยงหมั้น =หนักแน่นมั่นคง ไม่หวั่นไหว [URL=http://olddreamz.com/index.html]

(http://olddreamz.com/index.html)

ปีศาจ
08-16-2009, 09:43 AM
วรรณกรรมมุขปาฐะล้านนา




ผีขี้หมา
มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า ครั้งหนึ่งมีพ่อค้ากลุ่มหนึ่งพากันเดินทางไปค้าขายต่างแดน ในระหว่างการเดินทางที่แสนจะเหนื่อยล้า แสงแดดที่แผดจ้าบอกได้ว่าถึงเวลาอาหารกลางวัน เมื่อเลือกได้ทำเลเหมาะ จึงพากันหยุดพักริมทาง ทุกคนต่างก็จัดแจงเอาข้าวปลาอาหารออกจากถุงของแต่ละคน นำออกมาวางบนพื้นที่รองด้วยใบตองป่า แล้วล้อมวงตั้งท่าเพื่อจะจัดการกับอาหารมื้อนั้น ขณะที่กำลังจะลงมือกินข้าว พลันสายตาของพ่อค้าคนหนึ่ง ก็เหลือบไปเห็นกองขี้หมากองใหญ่ เขาจึงลุกออกไปเอาใบไม้ปิด แต่ก็ยังปิดไม่มิด เขาจึงเด็ดดอกหญ้าที่อยู่บริเวณนั้นทับถมให้บดบังสายตา แล้วเอาดอกอะไรต่อมิอะไรปิดข้างบนอีกทีหนึ่ง เพราะจะได้กินข้าวอย่างเต็มอิ่ม คนพื้นเมืองเวลาจะกินอาหาร ถ้ามีสิ่งใดที่เกี่ยวกับขี้อยู่ใกล้ๆ ก็มักจะกินข้าวไม่ลง เมื่อทุกคนอิ่มจึงเอนกายให้คลายเหนื่อย เรียกกันว่า "ยายเม็ดข้าว" จากนั้นจึงพากันเดินทางต่อไป

วันต่อมามีคนอีกกลุ่มหนึ่งมาพักกินอาหาร ณ ที่นั้นอีก เมื่อเห็นมีดอกไม้วางกองไว้จึงคิดว่าที่ตรงนี้คงมีผีอยู่ถึงได้มีคนบูชา ก่อนจะกินข้าวจึงได้เอาข้าวและอาหารวางไว้เพื่อแบ่งให้ผีกินตามธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติกันมา ภายหลังมีคนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่ามาพักตรงนั้น เห็นดอกไม้และซากอาหารที่มีคนกลุ่มก่อนๆ วางไว้ ก็คิดว่าเป็นที่อยู่ของผี จึงวางดอกไม้ธูปเทียนขอโชคขอพร ยิ่งนานก็มีดอกไม้ธูปเทียนจำนวนมากกองสูงขึ้น

วันหนึ่งมีพ่อค้าอีกกลุ่มหนึ่งเดินทางกลับจากค้าขาย ในกลุ่มนี้มีพ่อค้าคนหนึ่งค้าขายขาดทุน ไม่ได้เงินทองเข้าของกลับมาดังคนอื่นเขา เมื่อเดินทางมาถึงบริเวณนั้นก็ได้เวลาอาหารกลางวัน จึงพากันพักกินข้าว หัวหน้าพ่อค้าได้เอาข้าวและอาหารแบ่งให้ผีกินโดยวางใกล้กับกองดอกไม้ หลังจากที่กินข้าวเสร็จทุกคนต่างเอนกายพักผ่อน ส่วนพ่อค้าคนที่ขาดทุนครุ่นคิดตลอดเวลาว่าจะมีอะไรกลับไปขายเพื่อจะได้เงินให้ลูกให้เมีย ในระหว่างที่ใช้ความคิดอยู่นั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่กองดอกไม้บูชาผี เขาจึงตัดสินใจกอบเอากองดอกไม้นั้นใส่ถุงย่าม หลังจากทุกคนพักจนพอใจแล้วจึงพากันเดินทางกลับ แต่พ่อค้าคนนั้นไม่ยอมกลับเข้าบ้านของตัวเอง และได้แบ่งขี้หมาแห้งกับดอกไม้แห้งทำเป็นห่อๆ ออกเร่ขายไปตามหมู่บ้าน โดยอธิบายว่าผีนี้เป็นผีดี ได้มาจากต่างแดน เป็นผีที่ให้ความคุ้มครองบ้านและคุ้มครองคน คนที่ยังไม่มีผีประจำเรือนก็หลงเชื่อและซื้อไป แล้วจำนำไปไว้บูชาเป็นผีเรือน บางคนที่เลี้ยงดีประกอบกับจังหวะชีวิตดี ก็เจริญรุ่งเรือง บางคนชะตาชีวิตไม่ดีก็จนลง ก็จะกล่าวโทษว่าผีเรือนไม่ดี และเลิกนับถือ พร้อมทั้งนำผีไปไหลน้ำ ด้วยเหตุนี้ต่อมาจนถึงปัจจุบันจึงเรียกผีที่ไม่ให้คุณหรือผีไม่ดีว่า ผีขี้หมา

ปีศาจ
08-16-2009, 09:45 AM
นิทาน "พ่อสอนลูก"



พ่อแม่ของเด็กนักเรียนสอนหนังสือลูกเมื่ออยู่ที่บ้านยามกลางคืน ลูกไปเข้าโรงเรียนใหม่ก็อยากจะรู้หนังสือ กลับบ้านมาก็เลยถามพ่อ แต่พ่อนั้นบางครั้งก็รำคาญเพราะว่ามัวแต่ทำงาน ก็ไม่อยากจะบอกลูก ด้วยความรำคาญของพ่อแม่ก็ตอบลูกในแบบเลี่ยง ๆ ไปเสีย เพราะอยากให้ลูกรู้เอง

ลูกเรียนภาษาไทยอยู่ก็อ่านไปถึงคำว่า "บ้าน" ลูกสะกดแล้วสะกดอีกก็อ่านไม่ได้ ก็เลยถามพ่อว่า "พ่อ ๆ คำนี้พ่ออ่านว่าจะได"
พ่อไม่ยอมตอบว่า "บ้าน" ก็อยากให้ลูกใช้สมองคิดเองว่าจะอ่านว่ายังไงก็เอาไม้ไปแตะๆ ที่ฝาเรือนจะให้ลูกบอกว่า "บ้าน" ลูกก็อ่านไม่ได้ ก็เลยถามว่า
"นี่ ๆ ดูนี่ อ่านว่าจะไดหือ"
ลูกก็อ่านว่า "ไม้แป้น" ก็ยิ่งไปกันใหญ่
ทีนี้ลูกอ่านไปถึงคำว่า "เด็ก" ก็อ่านไม่ได้อีก จึงถามพ่อ
"พ่อ ๆ คำนี้ลอ อ่านว่าจะได"
พ่อก็รำคาญ โมโห ก็ไม่ยอมอ่านว่า "เด็ก" ก็บอกว่า
"คนตังใต้อู้ว่าจะได ละอ่อนเนี่ย เปิ้นว่าจะได"
ลูกก็ไม่รู้นิ่งเงียบ พ่อโมโหก็เลยถามอีกว่า
"ตัวสูงเท่าสูเนี่ย คนตังใต้เขาว่าจะได"
ลูกก็บอกว่า "ละอ่อน" แทนที่จะตอบว่าเด็กก็ไม่ว่าเด็ก ดันไปตอบว่าละอ่อนเสียอีก

ปีศาจ
08-16-2009, 09:48 AM
ความเป็นมาของชื่อ "แม่น้ำปิง"



ในอดีตเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จเลียบโลกเพื่อออกโปรดสัตว์ พระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกก็เสด็จมาจนถึงเมืองไทย แล้วก็มาแวะที่อ่างน้ำหน้าถ้ำเชียงดาว พอพระพุทธเจ้ามาแวะที่นั่น ชาวบ้านต่างก็ดีอกดีใจ ปรึกษานัดแนะกันว่าจะเตรียมของไปถวาย จะใส่บาตรพระพุทธเจ้า

มีอยู่ครั้งหนึ่งชาวบ้านเอาอาหารมาถวายพระพุทธเจ้ามากมายเต็มไปหมด พระพุทธเจ้ากำลังจะฉันก็เหลือบไปเห็นปลาปิ้ง เมื่อพระพุทธเจ้าเห็นปลาปิ้งตัวนั้นก็นึกสงสาร จึงหยิบปลานั้นมาตั้งคำอธิษฐานแล้วปล่อยไปในน้ำ

พอปล่อยปลาลงไปน้ำแล้ว ปลาตัวนั้นก็กลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ก็ว่ายน้ำไปมาตามแอ่งน้ำหน้าถ้ำเชียงดาวนั่นเอง จนถึงปัจจุบันถ้าใครไปเที่ยวถ้ำเชียงดาวก็จะเห็นปลาที่มีรอยสีดำคาดอยู่ข้างตัวเหมือนรอยไม้หนีบเวลาปิ้งปลา

ส่วนน้ำที่ปล่อยปลาตัวนั้นไป เมื่อก่อนชาวบ้านเรียกกันว่า "แม่น้ำปลาปิ้ง" ต่อมาก็เรียกเพี้ยนไปว่า "แม่น้ำระมิงค์" แล้วก็เรียกกันต่อๆมาว่า "แม่น้ำปิง" กันมาจนถึงปัจจุบัน

ปีศาจ
08-16-2009, 09:55 AM
นิทานล้านนา เรื่อง วิธีปราบลิง

ที่มา:
เว็บไซต์ล้านนาคดี http://lanna.mju.ac.th/ "ทุกภาพ ทุกตัวอักษร มอบเป็นวิทยาทานแด่ทุกท่าน"

ที่หมู่บ้านสันขะหมวด หมู่บ้านนี้ประกอบอาชีพทำไร่ทำนาหมุนเวียนตามฤดูกาล ในฤดูที่ปลูกแตงโมมักจะได้รับความเดือดร้อนจากสัตว์ที่อาศัยในป่าแถบนั้น โดยเฉพาะพวกลิงซึ่งมักจะพาพวกลงกินแตงโมที่กำลังสุกพอดี ชาวไร่เดือดร้อนมาก จะไล่จับมันก็ไม่ทันเพราะมันเป็นสัตว์ที่ว่องไวและรวดเร็วมาก จึงเป็นปัญหาหนักอกชาวไร่เสมอ


ต่อมามีชายคนหนึ่งออกอุบายในการจับลิงเหล่านั้น โดยเอา ‘' ข้าวเม่า ‘' ( ข้าวหมัก หรือข้าวหมาก ) ซึ่งหมักไว้ ๖ - ๘ วัน แล้วนำมาวางไว้กลางสวนแตง เมื่อพวกลิงลงมาขโมยกินแตง ขณะที่หัวหน้าลิงกำลังหาดูแตงโมว่าลูกไหนสุกและกินได้ มันก็ได้กลิ่นของข้าวหมัก จึงตามกลิ่นไปจนพบ แล้วพาลูกน้องไปกินข้าวหมักด้วย จนในที่สุดข้าวหมักออกฤทธิ์ทำให้พวกลิงเมาจนหมดสติหลับกันหมด นอนกันเป็นกอง ๆ อยู่กลางสวน พวกชาวไร่ต่างก็พากันออกมาฆ่าลิงพวกนั้นตายจนหมด
ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้
- อ่านสนุกเพลิดเพลิน
- แก้ปัญหาด้วยกำลังปัญญาความคิด
- รู้และเข้าใจนิสัยที่แท้จริงของปัญหาที่จะแก้
- มีความสามารถแต่ขาดความคิดถึงเหตุผล ทำให้เกิดหายนะได้
คติ
‘'ความหายนะเกิดจากความลุ่มหลงหรือสิ่งล่อใจได้ ‘'
นิทานพื้นบ้านล้านนาไทยแต่ละเรื่อง ได้ให้คุณค่าด้านความสนุกสนานเพลิดเพลิน ตลอดจนให้ความรู้ความเข้าใจในขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมอันดีงามของไทย สามารถเป็นเครื่องหล่อหลอมอัธยาศัยจิตใจของคนภาคเหนือ ให้มีความเมตตากรุณา อ่อนโยน อ่อนน้อม น่าคบหาซึ่งสิ่งเลห่านี้นิทานมีส่วนสำคัญต่อการปฏิบัติตนทางจริยธรรมไม่น้อย เช่น
ปัญญาสชาดก นิทาน ๕๐ เรื่อง ที่มหาพื้นบ้านที่ดีหลายเรื่องต้องสูญหายไปตามบุคคลและกาลเวลา เนื่องจากไม่มีลูกหลานผู้สนใจรื้อค้น ศึกษา และเก็บรักษาไว้ ในปัจจุบันนี้ สถาบันกรศึกษาหลายแห่งต่างให้ความสนใจในการศึกษาค้นคว้า ได้มีการเก็บรวบรวมนิทานพื้นบ้านเข้าไว้เป็นหมวดหมู่ ซึ่งนอกจากจะเป็นการอนุรักษ์ไว้แล้วยังช่วยให้เยาวชนของชาติมีโอกาสเรียนรู้ การศึกษา การต่อสู้ และวิถีชีวิตแห่งบรรพบุรุษของตนได้เป็นอย่างดี
การนำเอานิทานไปเล่าเรื่องประกอบคำสอนให้เด็ก ๆ ได้ฟังย่อมจะเป็นเครื่องทำให้เพลิดเพลินและเสริมความรู้ แบ่งเบาภาระที่จะต้องสอนเนื้อหาอย่างเดียว โดยอาศัยบุคลาธิษฐานเป็นตัวอย่างประกอบ นอกจากนี้นิทานแต่ละเรื่องเรื่องยังให้ข้อเท็จจริงและช่วยในด้านการอ่าน การเขียน การใช้ภาษาที่ถูกต้อง เป็นการเพิ่มทักษะในด้านการเห็น การฟัง และการทำตามเยี่ยงอย่างอันดีนั้นด้วยการศึกษาเรื่องนิทานจึงเป็นปัจจัยให้ เกิดความรู้ทั้งทางทฤษฎีและแนวปฎิบัติด้วยทั้งสองทาง
<!-- /node-inner, /node -->

ปีศาจ
08-16-2009, 10:06 AM
ค่าวส่งถึงคนฮัก
จากหนังสือค่าวของหนุ่มไก่แก้ว แต่งโดยหนานบุญส่วน นาอิ่น 20 หมู่ 3 อ.แม่จริม จ.น่าน


ศรีโสภา สายต๋าน้องไท้ เจ้าสร้อยดอกไม้ เจ้าล่างอินหลง

ฟังสานนิยม บังคมแห่งข้า
สลิดดวงหอม บานป๋อมดอกหญ้า สลิดเจยมา แวดเก๊า

สะแล่งขาวพร บานซอนรสเล้า ฝูงสัตว์ต่องเต้าเตียวใจ
ฝูงเผิ้งและมิ้น เข้าออกอาศัย ขะปวงมาลัย บานเผยกลีบอ้า

จ๊ารสดูหอม ปู๋นวอนใจ๋ข้า ปี้ได้มาดมกลิ่นกู้
เพื่อบ่หื้อใผ คนใดทราบฮู้ ปี้จักพูดอู้คนเดียว

จักเหนาะหน่องน้าว

ใฝ่ฟั่นเป๋นเกลี๋ยว กับจี๋บัวเรียว นายมอนกู้ต้าน
ปี้ไปเสาะหา หลายเมืองหลายบ้าน บ่เหมือนเตียมนายอี่น้อง

ฮิมปากก็หู เสียงใยก้องๆ หากจับถูกต้องใจ๋จาย
กันได้นายน้อง เปื้อน ป๊องสมสาย ได้อยู่กับนาย ใจ๋ดีส้วนเสี้ยง

สีเนื้อขาวใส มังสังเลื่อนเกี้ยง เหมือนอินทร์ลงเตียมเปลี่ยนซด
แก้มกางหูต๋า ตี๋นมือก็ก๊ด เหมือนอินทร์หล่อเบ้าลงปีม

กิ้วก็โก่งก๊อม หางต๋าวงสิงห์ ต๋าก็ดำนิล เหมือนอินทร์ขีดแต้ม
ผ่อดูแสงต๋า ใสไวส่องแจ้ง เหมือนแสงเดือนดาวอยู่ฟ้า

ย่างเตียวไปไหน คิงก๋วยวาทว้า เหมือนนางเตพแก้วนาลี
กันได้นาทน้อง แม่บัวแสนสี เตียวมัดกะวี เหมือนหมูหุ๊บเสี้ยง

ปี้ได้หันนาย แม่ใบหน้าเกี้ยง ก็หายมลตินเป่งวะ
พยาธิเหลือหมอ แอวหักขะยัด ก็หายขาดเสี้ยงเมามัว

ปี้หมายเอาน้อง อย่าเสียใจ๋และตกสะลั้ง กลั๋วปี้จืมจังอย่างนั้น
ปี้หมายเอานาย แม่แพรปันจั้น ไว้เป๋นมิ่งแก้วชายา

หื้อเจ้าถามเต๊อะ ป้อแม่ปิต๋า ปู่ลุงอาวอา ชายาของเจ้า
กันเปิ้นจับใจ๋ ตั้งหนุ่มตั้งเฒ่า หื้อตั๋วนายเลาบอกเต๊อะ

กลั๋วเปิ้นติเตี๋ยน ปี้คนเล๊อะเทอะ บ่จบจ๊างอั้นก๋านใด
ว่าปี้ขี้ค้าน เปิ้นบ่เปิงใจ๋ กลั๋วยอดนงเลา ใจ๋ในสะดุ้ง

ป้อแม่จับใจ๋ บ่ทำหยาบยุ้ง ใจ๋ปี้บานจื่นย้าว
ปี้น้องว่าดี ใจ๋เต้ามะป้าว มาสุดส่วนเสี้ยงดีนา

ก๋รรมเวรปี้จั้น หน่องแน่นหนักหนา เมื่อใดจา ปล๋าจักเต๋มข้อง
สองมือเข้าสวม งมใปจ้องๆ เหี่ยไหลไคปังละลั้ง

บ่ห่อนจักเต๋ม ข้องหลวงหน่วยนั้น บ่มีหิงข้อง เหตุนั้นแล
แม่แก้วสมสาย ตั้งญิงและจาย บ่หลอนเคิ้นเฒ่า

เต้าอยู่เหงาหมอง ตั้งสองข้าเจ้า เหมือนกิ๋นต๋ำเตาจ๋างพริก
เห่าห้อมสิงหา ตั๋วกล้ามีปิ๊ด ยังมีกู้ข้างแปงปัน

เปรียบเหมือนดั่งนก ตกอยู่ในขัง ร้อยปี๋เดือนวัน ยังขังอยู่หั้น
ปี๋ใดฟู่นาย บ่มายขาดบั้ง บ่ยอมตัดมันขว้างละ

พุทโธมีเอยจาย ใจ๋ยังอาละ ฮักเอาตั๋วเจ้านายไป
ตกโขงเขตคล้าย ต้องพ่ายเมืองไกล๋ เยระมันไทย อาลัยอยู่เฝ้า

จัดเอาแหลมหลาว ทวนลาวิ่งเข้า เตฟันเอาหลู่ม้าง
เต๋มถูกสะงวน โซ่เหล็กเจือกจ๊าง จักหาคู่ข้างมนต์คง

หื้อเจือกเหล็กจ๊าง หักย่อยเป๋นผง แต๋มเหล็กจำคง จักวงแวดเข้า
ลี้อยู่ในขุม บ่มอยู่ในเบ้า จักเสียมขุดเอาจ๋นตึ๊ก

อยู่ปื้นน้ำหลวง ทะเลใหญ่ลึก จักแหต๊อดเข้าดำลง
แต๋มเจ้าน้องไท้ อยู่ใบ้มันขม ฝนขวานคม แอ้นแง้นเข้าเน๊อ

พร้ามีดเสียมขวาน กั้นคมมันเป้อ สิ่วต้องเอาเนออี่น้อง
ตกโขงเขตไกล๋ เขตฮ้อเมืองว้อง จัดหากู้ได้ตวยเอา

แต๋มเจ้าน้องไท้ อยู่ดอยปูเขา ขี่หงส์ตวยเอา ลอยบนเมฆผ้า
ไปตวยเสาะหา แม่บัวกาบอ้า เจ้าจี๋บัวตองเปี้ยนน้ำ

เจ้นปี้บ่ต๋าย ขาดบั้นขะยั้น บ่ป๋งปล่อยหื้อนายลาก่อนแหล
ดอกสบานงา เท่ามาบานหลามป๋ายใบหล้อ หลอนอี่นายให้อยู่ป๋าสาดทอง

ยองป๋าสาดล้อ ก็ปอสัดถาผ่อลูกป้อจายจิ่ม....

ปีศาจ
08-16-2009, 10:07 AM
ฮ่ำบอกไฟขึ้น
จากป้ออุ้ยศรีก๋อง

อิคิกลุยหัง สัททังค้ำฟ้า เสียงสนั่นกล้า ต๊องฟ้าปายบน
เป๋นโกลาหล ปายบนโต้งห้อง เหมือนเสียงฟ้าฮ้อง แผดก้องกังวาน
พ่องหอบลูกหลาน เป๋นปุ๊กเป๋นคู้ ไปกั๋นลู้ลู้ ไปผ่อบอกไฟ
หูดับตับไหล ผ่อบอกไฟขึ้น เป๋นดีใจ๋จื้น ท่าน้าวมีงาน
วาระกิ๋นตาน หลองวัดแก้วเจ้า ตกแต่งแป๋งเก๊า ต่อศาสนา
ผ่อฝูงประชา ศรัทธาแก้วกว้าง บ่ได้ละว่าง ขว้างหื้อหายไป
ตกน้ำบ่ไหล บ่ไฟบ่ไหม้ บุญตานขานไค้ ไผยะไผทำ
เป๋นบุญต๋ามหลัง ไปยังจ๊าดหน้า จ๊าดนี้บ่ต้า มาฮ่วมกิ๋นตาน
ได้มาฮ่วมก๋าน มางานตี้นี้ ขอไขกล่าวจี้ ปี้น้องอาวอา
ยังญาติก๋า วงศาถ้วนหน้า มาเน้อน้องหล้า มาผ่อบอกไฟ
ผู้คนหลวงหลาย หลั่งไหลมาจ้อม แห่แหนแวดล้อม ป้าดก๊องก๋องยาว
ตึงหนุ่มตึงสาว ไค่หัวเหิดสู้ คึกคักแต้ลู้ ยอดจู้คนงาม
จ๊าดขี้ปู๋มหลาม อกแง้นแป้แล้ ผ่อดูถี่แต้ เป๋นต๋าดีจัง
มานุ่งซิ่นปั๋ง เสือกไค่ก๋ำจอง มานุ่งซิ่นย้อม น้ำแหล้ลงคราม
คนเฒ่าบ่งาม นั่งหดอยู่ใต้ ฮ่มปื้นเก๊าไม้ ต๋ามเหมืองคันนา
ผ่อเทิ้มนั่นกา จุ๋มปลวกว่าอั้น เป๋นหลืบเป๋นจั้น หลั่งไหลกั๋นมา
หนุ่มสาวนั่นกา ม่วนงันแต้ใบ้ หากปิ๊กไปได้ ไค่ลดลงซาว
ไปเป๋นหนุ่มสาว ฟ้อนรำต๋ำเต้น บ่มีหลบเว้น ตึงม่วนตึงงัน
เจิญมาผ่อกั๋น ผ่อบอกไฟขึ้น หื้อมันใจ๋จื้น สนุกเจยบาน
ยั้งเวียกยั้งก๋าน จ๋านชามแลถ้วย บ้านเฮือนแหมด้วย วันพูกค่อยทำ
ความม่วนมาต๋ำ ละไว้ก่อนเจ้า วันพูกเมื่อเจ๊า ค่อยล้างค่อยโท
งานใหญ่งานโต๋ มาเน้อน้องหล้า คนเฒ่าย่างจ้า ขอลาลวดลง
ขอจบวางป๋ง ลงไว้เต้าอี้ ก่อนแลนายเหย .....

ปีศาจ
08-16-2009, 11:43 AM
ค่าว ตำใยสายฝ้าย

ตั้งเก๊าเอาไว้ ตึงใจ๋ตึงตั๋ว
เกียมคอบเกียมคัว ป๊กไปตางหน้า
สะลีที่นอน หมอนเสื่อเสื้อผ้า
ข้าตอฝ้ายมา เนิ่นช้า
หอมมัคคญาณ นิพพานเลิศฟ้า
หวังถึงโลกหน้า เชียงคาน
อ่านเขียนบ่ออก บอกหื้อลูกหลาน
จารธรรมใบลาน ผ่านบุญมาหื้อ
เกียมปิ๊กเฮือนหลัง ฝังใจบ่ดื้อ
ด้านสู่มารมือ ราชไท้
กี่ด้ายฝ้ายหมุน บุญฮอมฝากไว้
มือล้วงสอดใต้ ฟืมตอ
ระฆังดังซ้อง เปิ้นฮ้องสั่งขอ
บ่ดีรีรอ หื้อไปทางหั้น
โรงเรียนนั้นไซร้ มีไว้จะอั้น
หื้อลูกหลานมัน คิ่นค้อ
ตัวข้าเปิงใจ๋ เตียวในกงล้อ
ไต่ตามบาทข้อ โบราณ
ตะก่อนบ่ฮู้ บ่สู้ไขขาน
ฟังก้าตำนาน บ่หาญอาจอ้า
อันบ่าเดี๋ยวนี้ ชีวีแกร่งกล้า
น้อมรับวันทา แก่ท้าวฯ
จักเพียรแก่ก๋าน ผสานจิตเคล้า
เป็นหนึ่งเดียวเข้า กายา
ผ่านมือผ่านฝ้าย ผ่านลายรักษา
ผ่านกาลเวลา ผ่านผืนฝ้ายฝั้น
ไหวมือไหวฝ้าย จกด้ายสายสั้น
ตั้งจิตหื้อพลัน ทั่วพร้อม
อกาลิโก๋ ธรรมโมหมั่นซ้อม
ภาวนาจ้อม ใจ๋งาม

เครือมาศ วุฒิการณ์
สนั่น ธรรมธิ

ปีศาจ
08-16-2009, 02:35 PM
เรื่อง ปู๋เซ็ดค่ำลัวะ
<!-- Main -->เรื่องปู๋เซ็ดค่ำลัวะ ก็คือว่า
ลูกคนสุดท้องของยายนั่นแหละ (นางแม่หม้าย) ส่งให้มา มาแกล้งลัวะ มันจะไปพยายามแกล้งลัวะ ทุกทางเลย
ทีนี้ก็ พวกลัวะทั้งหลาย ลูกเล็กเด็กแดงลูกลัวะ เล่นกับมัน มันก็เล่นด้วย แกล้งด้วย เขกหัวเขกเหอ ทำสารพัด มันกำลังจะโกหก หลอกว่า เอ่อ...
"ใคร...ใครไม่ไปตกเบ็ดเหรอ ตกเบ็ดปลากินดีนะ"
"เอาอะไรตก เอาอะไรทำเหยื่อ"
มันก็บอกว่าเอาไข่
"ต้มไข่สักรังเอาไป แล้วก็ เอาเกาะเบ็ด มันได้อยู่แล้ว "
หมอนั่นว่ามันจะบอกให้พ่อมัน หมอนั่นมันจะบอกให้พ่อมัน มันจะบอกให้พ่อเราไปตก ว่าเสร็จ ปู๋เซ็ดนั้นมันก็
"ก็พวกเองจะไปตกเบ็ด บอกให้พ่อเองไปตกเบ็ดเมื่อไร"
"วันพรุ่งนี้" (รุ่งขึ้น)
มันก็ไปซ่อนอยู่ใต้วังน้ำ ถ้าเขาตกเบ็ดมามันก็เอาไข่เสีย ตกเบ็ดมามันก็เอาไข่ ไข่ใส่เบ็ดตก ได้มาก็เอามากิน จนกระทั่ง มันได้ลูกได้เมีย ก็หากิน เอามาให้ลูกมัน มากินอวดลูกลัวะลูกลัวะถาม
"ไอ้นี่ เอ็งไปเอาไข่ที่ไหนมากิน"
"พ่อข้าไปเป็นปลาอยู่ในวัง ไปเอาไข่มากิน"
ทีนี้ เด็กลูกลัวะมาบอกให้พ่อแม่ พ่อแม่มัน
"ฮึ...ปู๋เซ็ดจริงๆ ด้วย ที่มันมากินไข่เราเนี่ย ไม่ใช่ปลา ทีนี้ นะเราจะไปกินไข่ปู๋เซ็ดบ้างล่ะ"
บอกให้ลูกปู๋เซ็ดแหละ หมู่เด็กบอกว่า
"ไอ้นี่ วันพรุ่งนี้ บอกให้พ่อเองไปตกเบ็ดนะ เอาไข่ไปตกสิ พ่อข้าเขาจะเปลี่ยนจากตกเบ็ด...พ่อข้าเขาจะไปเป็นปลา พ่อเองไปตกเบ็ดบ้าง"
(พูด)เสร็จ ทีนี้ก็ไปตกเลย มันไม่ได้ใส่ไข่เยอะ ใส่ไข่นิดเดียว ทำเบ็ดคมแล้วก็คมอีก ตกไปงั้น ลัวะมันไม่ได้ฉลาดเหมือนคนเมืองเรา ลัวะสมัยเมื่อก่อนน่ะ.... พอตกเบ็ดก็ตะครุบคาบ ปู๋เซ็ดลากคอมาตีเสีย ตกเบ็ดไปก็คาบ ก็ลากคอมาตี ตายหมดจนเป็นครึ่งหมู่บ้านแล้วสิ

เลยเบื่อ มาหาวิธีแกล้งอย่างอื่นอีก... คิดอะไรไม่ออกแล้ว(เหลือเเฮง)
แกล้งทำเป็นไม่สบาย ปู๋เซ็ดแกล้งทำเป็นไม่สบาย อำพรางที่จะไปฆ่าลัวะ มาหาเอ่อ...ไปถามยามที่ลัวะ
"โห!...มันไม่สบายอย่างนี้ ก็ต้องไปเซ่น ผีไม้หลวงกลวงไม้ใหญ่ก่อนน่ะ จะหาย"
ทีนี้ก็ปู๋เซ็ดมันเข้าไปอยู่กลวงไม้นู่น พอพวกลัวะเอาไก่เอาอะไร มาเซ่น
"เอ้อ...นี่นะผีไม้หลวงกลวงไม้ใหญ่ เอามาเซ่นมาบูชา ลูกเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้"
เอ้อ!...วิ่ง..วิ่ง..วิ่ง..วิ่ง ลัวะมันกลัว ปู๋เซ็ดเอาไก่มาให้ลูกมันกินไป(กิน)อวดลัวะ ทีนี้ลูกลัวะเห็นก็หือ... ร้องไห้อยากจะกิน ก็ถามว่า
"เองเอาไก่ไหนมากิน"
"อึม...พ่อข้าเป็นผีอยู่..เอ่อ..ต้นไม้หลวงกลวงไม้ใหญ่ ได้ไก่ต้มมากิน"
ลัวะ(ว่า) "วันพรุ่งนี้ให้ปู๋เซ็ดไปเซ่นบ้างนะ ไก่น่ะ"
ลัวะทั้งหลายก็ ปู๋เซ็ดนี่ก็แกล้งไม่สบาย มาถามยามที่ลัวะ อีกน่ะแหละ
"ให้ไปเซ่นผีไม้หลวงกลวงไม้ใหญ่เอะ จะหาย เอาไก่ไปเยอะๆ" มันก็ว่า
"เอ้อ...ดีละ ต้นไม้กลวงมันมีนั่นต้นหนึ่งแล้วนี่"
พวกลัวะก็ไปอยู่ในกลวงไม้นั่น ก็ในกลวงไม้ ปู๋เซ็ดก็เอาไก่ไปเอาหมูไป แกล้งตีหมูให้ร้อง อู๊ด!..อู๊ด!..อู้ด!..อู้ด!.. มันไม่ได้ตีให้ตาย พวกลัวะก็พากันดีใจว่าจะได้กินเนื้อไก่ เนื้อหมู มันหักเอาเศษไม้ เอาเศษหญ้าเอาอะไรเข้ายัดข้างใต้ ก็ไฟเข้าหวดให้เขา ตายกันหมดบ้านหมดเมืองลัวะ อีกซ้ำยังไม่พอ กะโหลกหัวปู๋เซ็ดนั้นที่เรี่ยอยู่ มันตายแล้วมันเรี่ยอยู่นั่น พวกลัวะที่หลงที่เหลือยังอยู่นั้น ไปขี้ใส่กะโหลกหัวมัน
"เจ็บใจ มันแกล้งทั้งโคตรพ่อโคตรแม่"
แตนซ้ำก็อยู่ในนั้น ต่อยก้น
"เฮ่อ... ปู๋เซ็ดนี่ กะโหลกหัวมันก็ยังดุอยู่เลยว่ะเฮ้ย"
นี่แหละ...จบเท่านี้เรื่องปู๋เซ็ด
credit: http://thaiarc.tu.ac.th<!-- End main-->

ปีศาจ
08-16-2009, 02:45 PM
ควายสามเขา (นิทานของชาวไทเขิน)
มีเศรษฐี อยู่เมืองหนึ่งมีลูกชาย ๗ คน ต่อมาเศรษฐีนั้นใช้ลูกชายทั้ง ๗ ไปหาปลา ชายทั้ง ๗ คนนั้น จึงไปหาปลาตามคำสั่ง พอไปถึงริมฝั่งแม่น้ำ พี่ชายทั้ง ๖ ให้น้องหุงข้าวทำอาหารรอไว้ แล้วพี่ทั้ง ๖ จึง ไปหาปลา ต่อมามีฤาษีองค์หนึ่งซึ่งเทวดาแปลงกายมาได้มาบิณฑบาตในที่นั้น ฝ่ายน้องชายคนสุดท้องจึงแบ่ง ข้าวออกเป็น ๗ ห่อแล้วเอาไปทำบุญหมด ฤาษีจึงบอกว่าถ้าพี่ชายทั้ง ๖ กลับมาและถ้าเดือดร้อนให้เอามีด ผ่าไหนึ่งข้าวเป็น ๗ ชิ้น แล้วให้แก่พี่ชายคนละชิ้น ให้บอกว่าเป็นของวิเศษ แล้วฤาษีจึงให้พรและก็จากไป ต่อมาพี่ชายทั้ง ๖ กลับมาจึงจะกินข้าว น้องชายบอกว่าได้เอาข้าวทำบุญไปหมดแล้ว พี่ชายจึงโมโหและไม่เชื่อเขาและได้ทุบตีเขา เขาจึงบอกว่าฤาษีสั่งให้ผ่าไหข้าวเป็น ๗ ชิ้นแล้วให้แบ่งกันคนละชิ้น แล้วพี่ชายทั้ง ๖ คนก็แบ่งไหข้าวออกเป็น ๗ ชิ้น เอาไปคนละชิ้น น้องชายคนสุดท้องก็ได้แยกทางกับพี่ชายทั้ง ๖ คน เดินทางไปคนเดียว ไปจนถึงเมืองจัมปานคร มีเศรษฐีเฒ่าคนหนึ่ง ได้รับเอาเขามาเลี้ยงและให้เลี้ยงควายซึ่งมีทั้งหมด ๑๐๑ ตัว และบอกว่า ถ้าหากมีลูกมาจะให้ปีละตัว ต่อมาเลี้ยงวัวมาถึง ๓ ปี เศรษฐีก็ไม่ให้ เศรษฐีจึงพูดว่า ถ้าควายแม่เฒ่าตัวนี้มีลูกสามเขาก็จะให้ ต่อมาควายแม่เฒ่า นั้นก็มีลูกมีเขาสามเขาจริง เขาจึงได้เลี้ยงควาย ๓ เขานั้นต่อมา ควาย ๓ เขานั้นมีเขาเป็นเพชรเป็น พลอย ส่งแสงสว่างไปทั้งบ้าน ต่อมาเจ้าเมืองรู้ข่าวจึงอยากได้จึงมาขอซื้อเขา เขาก็ไม่ขาย เอาช้างเอาม้ามาให้ก็ไม่ขาย เอา เมืองและลูกสาวมาแลกก็ไม่รับ เจ้าเมืองจึงบอกว่ามีไก่ตัวหนึ่งเป็นไก่วิเศษเรืองแสงมีตัวเป็นแก้ววิเศษ จึงจะขอแลกกับควายของเขา เขาจึงได้ถามว่าไก่นั้นวิเศษอย่างไร เจ้าเมืองก็บอกว่าไก่นั้นถ้าอธิษฐาน อย่างไรนั้น หากให้มันขันสามครั้งก็จะได้ทุกสิ่งตามต้องการ เขาจึงแกล้งแลกควายกับเจ้าเมือง แล้วจึง ได้ไก่มาแล้วจึงเดินทางเข้าป่าไปเรื่อย ๆ จนไปพบฤาษีองค์หนึ่ง ฤาษีถามว่ามาจากไหน เขาเล่าว่าตน มาจากต่างเมืองจากพ่อแม่มาและไปอยู่กับเศรษฐีคนหนึ่งและได้ควาย ๓ เขามาเลี้ยงและได้แลกควายกับ ไก่ของเจ้าเมืองมา อันไก่ตัวนี้ถ้าต้องการอะไร ก็ให้มันขัน ๓ ครั้ง พระฤาษีจึงว่าจริงหรือไม่ก็ไม่รู้ จึง อยากให้ขันเพื่อสร้างเมือง เขาจึงเอาไก่นั้นมาขัน ๓ ครั้งก็เป็นบ้านเมืองขึ้นมา เขาจึงได้ครองเมืองนั้น ฝ่ายพี่ชายทั้ง ๖ ได้แบ่งปลากันแล้วพากันกลับบ้าน ต่อมาเศรษฐีผู้เป็นพ่อก็ตาย ทั้ง ๖ คนจึงแบ่ง สมบัติกัน ต่อมาคนทั้งหมดก็เอาแต่กินเหล้ากินยาและต่อมาก็ได้ขายวัวควายช้างม้า อันเป็นสมบัติไปจนหมด ทำให้ทุกคนกลายเป็นคนยากจน แล้วได้มาปรึกษากันว่า เดี๋ยวนี้เราก็ยากจนแล้ว จะไปค้าขายก็ไม่มีเงิน พี่คนโตจึงพูดขึ้นว่าเรามาทำขลุ่ย ทำซึง ทำเครื่องดนตรีแล้วมาหัดร้องเพลงต่าง ๆ แล้วต่อมา คนทั้ง ๖ จึงได้เดินทางไปเรื่อย ๆ จนไปถึงเมืองของน้องชายคนสุดท้องก็ได้มาร้องเพลงที่ใกล้เมืองนั้น จึงมีเด็ก เลี้ยงควายมาพบเข้าแล้วก็ไปบอกกับเจ้าเมือง เจ้าเมืองผู้เป็นน้องชายจึงให้ไปเรียกคนทั้ง ๖ คนมาพบ พอคนทั้ง ๖ คนมาพบที่วัง ก็ไม่รู้ว่าเป็นพี่ชาย เจ้าเมืองจึงให้คนทั้ง ๖ คนมาเล่นดนตรี พอเล่นเสร็จน้อง ชายก็รู้ว่าเป็นพี่ชายของตนทั้ง ๖ คนแต่พี่ชายทั้ง ๖ คนนั้นไม่ทราบความจริงนั้น น้องชายก็ถามพี่ว่ามาจาก ที่ไหน มีพี่น้องกี่คน พี่ทั้ง ๖ ก็เล่าว่ามาจากเมืองพาราณสี มีพี่น้อง ๗ คน และได้เล่าเรื่องตอนไปหาปลา จนมาถึงตอนแยกทางกับน้องคนสุดท้องจนมาถึงที่นี่ น้องชายจึงขอดูไหข้าว พี่ทั้ง ๖ คนก็ไม่เอาทิ้ง จึงล้วง มาให้ดูน้องชายจึงเอามาให้ดูทั้งหมดจึงรู้ว่าเป็นพี่น้องกัน น้องชายคนสุดท้องจึงเอาไก่วิเศษมาขัน ๓ ครั้ง ให้เป็นปราสาท ๖ หลังและมีหญิง ๖ คนให้พี่ชายทั้ง ๖ อยู่สุขสบาย แล้วทั้ง ๗ คน จึงทำบุญกรวดน้ำ ไปให้พ่อของตนที่ตายไป จาก ด้วยปัญญาและความรัก นิทานของชาวไทยวน นิทานของชาวไทลื้อ นิทานของชาว ไทใหญ่ นิทานของชาวไทเขิน

ปีศาจ
08-18-2009, 07:13 AM
ม้วยเก้ากอง/หัวล้านเบื่อเห็ด (นิทานของชาวไทยวน)
นิทานเรื่องม้วยเก้ากอง หรือหัวล้านเบื่อเห็ดนี้ เป็นเรื่องที่กล่าวไว้ในกลุ่มวันตามระบบความเชื่อ ที่ชื่อว่า วันเก้ากอง คือวันที่มีคนตายถึง ๙ ศพ บางแห่งก็เรียก ม้วยเก้ากอง มีเรื่องโดยสรุปดังนี้ หญิงโสเภณีคนหนึ่งมีผัวหัวล้านถึง ๗ คน วันหนึ่งนางนำเห็ดพิษมาทำอาหารรับประทานด้วยกัน สามี จึงตายหมดทั้ง ๗ คน จึงได้จ้างสัปเหร่อให้เอาศพไปเผา และบอกว่าให้เผาอย่างรอบคอบเพราะผัวของ นางอาจฟื้นขึ้นมาได้อีก เมื่อสัปเหร่อเผาศพแล้วก็ไปขอรับเงินตามสัญญา แต่นางกลับลากศพผัวอีกคนหนึ่งมาแล้วเอาขี้เถ้า ทาตามตัวและบอกว่าผัวนางยังฟื้นได้ สัปเหร่อจึงแบกศพซึ่งมีขี้เถ้าติดนั้นนั้นไปฝังในหลุมที่ลึกมากขนาดถึง ตาน้ำ พอฝังศพเสร็จก็กลับไปรับเงิน แต่นางก็ลากศพผัวของนางออกมาอีกศพแล้วเอาโคลนทาตัวไว้ นาง บอกสัปเหร่อว่าผัวนางกลับมาอีกแล้ว สัปเหร่อจึงนำไปฝังอีกครั้งหนึ่งและเอาหนามถมไว้หลุมศพอย่างแน่น หนาแล้วจึงไปขอรับค่าจ้าง นางโสเภณีก็นำศพผัวออกมาอีกและเอาหนามมาใส่ตามตัวลากมาหงายร่าง อยู่ที่หน้าบ้านแล้วบอกว่าผัวนางมาอีกแล้ว สัปเหร่อจึงบอกว่าจะเอาไปหั่นเป็นท่อน ๆ แล้วเผาอีกและตน จะเฝ้าดูให้แน่ใจอีกด้วย ขณะที่ศพจวนใหม้หมดแล้วยั้น บังเอิญก็มีชายเผาถ่านหาบถ่านมาถึงที่นั่น ชายเผาถ่านก็บังเอิญหัวล้าน และมีรูปร่างคล้าสามีทั้งเจ็ดของนางอีกด้วย สัปเหร่อเห็นเข้าก็นึกว่าศพฟื้นขึ้นมาอีกจึงโมโหและโดดเข้าชก ต่อยชายเผาถ่านคนนั้นจนพลัดตกเข้าในกองฟอนที่เผาศพอยู่ สัปเหร่อและชายเผาถ่านก็ตายด้วยกันทั้งสอง คน นับว่าในวันนั้นมีคนตายรวมเก้าคน จึงนับว่าวันนั้นเป็นวันม้วยเก้ากอง หมายถึงตายเก้าคน นิทานเรื่องนี้ยังมีส่วนสัมพันธ์กับการกำหนดกิจกรรมประจำวันด้วย คือ วันเก้ากอง ห้ามการปลงศพ รองพืน ห้ามการปลงศพ ห้ามก่อกองฟืน พืนดอก ควรทำขันที่ทำด้วยเงิน พืนดาย มีงัวฅวายตายจาก สุพัก รับของจะเสียทุน ควรซื้อหมู รับได้ ไม่ดี รับตาย ไม่ดี ขว้ำได้ ห้ามทำบันได ไสเจ้า ควรทำการแรกนา ไสเสีย เหมาะแก่การทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ท้ายพ้าว(ท้ายพาว) ดี ยี่เพียง ดีทุกอย่าง

ปีศาจ
08-18-2009, 07:15 AM
ชาตาบ่ากอกแห้ง (นิทานของชาวไทยวน)
ชายสองคนเป็นเพื่อนกันและได้สัญญากันว่า จะไม่ละทิ้งกัน ต่อมาทั้งสองไปค้าขายจึงพูดย้ำว่า ถ้าหากใครได้ดีก็ให้มาช่วยเหลือกัน เมื่อทั้งสองแยกทางกันไปแล้ว คนหนึ่งไปได้ดี ได้แต่งงานกับลูกเศรษฐี แต่ อีกคนหนึ่งก็ยากจนลงจนต้องเป็นขอทาน คนที่ได้ดีก็คิดจะช่วยเพื่อนที่มาขอทาน เขาก็เอาเงินใส่ในลูกฟัก มอบให้ ขอทานนั้นได้ลูกฟักแล้วก็จากไป ซึ่งก่อนที่จะไปเพื่อนเศรษฐีก็กำชับว่าให้เอาฟักไปแบ่งให้ลูกให้เมีย กินกัน ห้ามเอาไปขายหรือไปผ่าที่ไหน เมื่อเขาเดินผ่านตลาดก็มีคนขอซื้อฟักนั้น เขาก็ไม่ยอมขาย ชายนั้น ก็ถามไปอีกว่า จะขายในราคาเท่าไรก็จะซื้อหรือจะแลกสิ่งใดก็ได้ ในที่สุดชายขอทานนั้นก็ขายฟักนั้นไปและ เอาเงินค่าฟักนั้นไปใช้จนหมด เมื่อเงินที่ได้จากการขายลูกฟักนั้นหมดแล้ว ชายขอทานก็ไม่รู้จะไปขอใครอีก จึงกลับไปหาเพื่อนอีก และบอกเศรษฐีว่ามีคนมาแย่งลูกฟักที่ให้ไปนั้นเสียแล้ว เศรษฐีก็เอาทองใส่ในลูกฟักให้ไปอีกพร้อมกับกำชับ ให้เอาฟักนั้นไปถึงบ้านจริง ๆ ขอทานก็รับเอาใส่หาบไป เมื่อหาบไปนานเข้าก็หนักจึงเอาวางไว้ ก็มีคน มาขอซื้อหลายราย จนในที่สุดก็คิดว่าฟักนั้นมีรอยเจาะแล้วและที่บ้านก็ไม่มีข้าวจะกิน จึงเอาฟักไปแลกข้าว เมื่อข้าวหมดก็กลับไปหาเศรษฐีอีก เศรษฐีก็ถามถึงฟักทองซึ่งชายขอทานก็บอกว่ามีคนมาแย่งไป เศรษฐีก็คิดว่าเพื่อนของตนคนนี้ไม่มีวาสนา และคิดจะหาทางช่วยต่อไปอีก จึงขุดหลุมสามหลุม เอา ทองใส่หลุมหนึ่ง เงินใส่หลุมหนึ่ง และเอามะกอกแห้งใส่อีกหลุมหนึ่ง และเอาธนูให้เขายิงไปที่หลุม ถ้าลูก ธนูไปถูกหลุมไหนก็จะได้สิ่งของในหลุมนั้นไป ชายขอทานก็ยิงธนูไปตกที่หลุมมะกอกแห้งทั้ง ๒ ครั้ง จึงเป็น อันว่าชายขอทานนั้นไม่มีชาตาจะได้เงินหรือทอง คงได้เพียงแต่มะกอกแห้งเท่านั้น จึงนับว่าชาตาของชาย คนนั้นเป็น ชาตาบ่ากอกแห้ง คือคนที่ไม่มีโชค

ปีศาจ
08-18-2009, 07:16 AM
นางอูเปียมและสามลอ (นิทานของชาวไทเขิน)
ที่เมืองเกงตอง ยังมีหญิงหม้ายเป็นเศรษฐีคนหนึ่งมีลูกชายชื่อสามลอ เมื่อสามลอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แล้ว นางจึงให้ลูกชายนางไปค้าขายที่เมืองกิ๋ง ในเมืองกิ๋ง มีลูกเศรษฐีคนหนึ่งชื่อนางอูเป่ม นางอูเป่มนี้ มีความงามมาก ต่อมาทั้งสองได้มารู้จักกัน แล้วจึงพากันไปนั่งคุยที่ริมน้ำคงซึ่งแม่น้ำนั้นก็ไหลเสียงดังมาก จึงคุยกันไม่รู้เรื่อง ทั้ง ๒ คนจึงบอกให้แม่น้ำนั้นไหลเสียงเบา ๆ ซึ่งแม่น้ำนี้ก็ไม่ส่งเสียงดังนักจนทุกวันนี้ ต่อมาทั้ง ๒ ได้แต่งงานกัน และไม่นานนัก นางอูเปียมก็ตั้งท้อง ในระหว่างที่สามลอไปค้าขายนั้น แม่ของสามลอได้หมั้นลูกสาวเศรษฐีไว้ทางบ้าน ชื่อว่านางอูแปม เมื่อสามลอพาเมียตนกลับมาที่บ้านเมืองของตนนั้น แม่ของสามลอก็ไม่ชอบหน้าและเกลียดนางอูเป่ม แต่ไม่กล้าแสดงออกต่อหน้าลูกชายตน ต่อมาจึงได้วางแผนให้ลูกชายของนางไปหาปลามาทุกวัน และทรมานลูกสะใภ้โดยวิธีต่าง ๆ เช่น ทำไม้เฮี้ย (ไม้ซาง)ไว้ที่ราวบันได นางอูเป่มทนไม่ได้ เพราะว่ามีท้องแก่มาก และทั้งมือทั้งเท้าก็ถูกไม้นั้นบาดเป็นแผลหมด จึงหนีออกจากบ้านไปโดยที่ผัวของนางไม่รู้เพราะไปนอนค้าง เฝ้าที่จับปลาอยู่ที่อื่น ตกกลางคืน สามลอก็นอนฝันว่าเห็นช้างเผือกและตนได้ไล่จับช้างเผือกไป และต่อมา ช้างก็ตาย ฝ่ายอูเปียมเมื่อหนีออกจากบ้านมาก็ได้คลอดลูกออกระหว่างทาง นางอูเปียมจึงเอาลูกไว้ที่ตอไม้ และสั่งความว่า ถ้าพ่อมาตามให้บอกด้วยว่าแม่นั้นเจ็บปวดไปทั้งร่างกายจนทนต่อไปไม่ได้แล้ว นางจึงหนี กลับไปบ้านเกิดของนางและถึงแก่ความตาย ฝ่ายผัวกลับมาไม่พบเมียแต่เห็นรอยเลือด จึงรู้ว่าแม่ของตนไม่ชอบเมียตน จึงออกติดตามหาเมียซึ่ง ก็ไปพบลูกของตน แต่ลูกนั้นได้ตายไปแล้วและกลายเป็นนก ซึ่งนกก็ถามว่าจะไปไหน สามลอก็บอกว่าจะไป ตามหาเมีย ไปถึงเมืองเมียตนพบว่าที่เมืองนั้นกำลังจัดงานศพเมียของตนอยู่ สามลอจึงเข้าไปหาศพเมีย แต่ชาวบ้านก็ไม่ให้เข้า สามลอจึงล้วงเอาเงินในถุงย่ามออกมาซัดไปโดยรอบ ขณะที่ชาวบ้านไปเก็บเงิน ที่สามลอทิ้งไปนั้น สามลอจึงถือโอกาสเข้าไปหาศพเมียตน และได้เปิดฝาโลงศพแล้วกอดเมีย แล้วใช้มีด แทงตัวแล้วนอนตายกับเมียในโลงศพนั้น ฝ่ายแม่สามลอรู้ข่าว จึงเอาไม้คานซึ่งเป็นไม้มี ๓ ตามาคั่นระหว่างศพของคนทั้ง ๒ ไว้แล้วก็นำศพ ไปเผา และในระหว่างเผานั้นควันจึงลอยหมุนเป็นเกลียวขึ้นไปบนฟ้า ทั้ง ๒ คนจึงได้เกิดไปเป็นดาวบน ท้องฟ้า จึงมีคำที่ชาวบ้านกล่าว ๆ ไว้ว่า "เดือนสามเยี่ยมขันหมาก เดือนห้าจากกันไป"
*****************************
เจ้าสามลอกับนางอูปิม
เรื่อง เจ้าสามลอกับนางอูปิม นี้ Harold M.Young ได้นำมาเผยแพร่เป็นภาษาอังกฤษในวารสาร มนุษยศาสตร์ของคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๓ โดยกล่าวว่า จากการศึกษา อย่างละเอียดพบว่า เจ้าสามลอเป็นบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงอาศัยอยู่ที่เมืองกิ๋ง และเมียของเจ้าสามลอเป็น ชาวเมืองเกงตอง ซึ่งเป็นเมืองเล็กริมฝั่งแม่น้ำสาละวิน เรื่องดังกล่าวนี้ นักเขียนชาวเมืองกิ๋งชื่อเจ้านาวคำแลง (Chaw Naw Kham Leng)บันทึกไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๓ เรื่องนี้มีใจความโดยสรุป ดังนี้ เมื่อสิ้นฤดูฝนแล้ว เจ้าสามลอ ซึ่งเป็นหนุ่มรูปงามแห่งเมืองกิ๋งได้นำขบวนวัวต่างเดินทางรอนแรม ไปซื้อเมี่ยงจากชาวปะหล่องที่เมืองตองเปงแล้วนำไปขายที่ตลาดของเมืองเกงตอง ที่ตลาดนั้นเจ้าสามลอ ได้พบและพูดคุยกับสาวงามชื่อนางอูปิม ซึ่งเจ้าสามลอก็ได้บอกรักนางและว่าจะรีบกลับมาแต่งงานโดยเร็ว เช้าวันรุ่งขึ้น ขบวนวัวต่างของเจ้าสามลอก็เดินทางกลับสู่เมืองกิ๋ง ซึ่งเมื่อกลับถึงบ้าน แม่ของเจ้า สามลอก็บอกว่าได้ไปขอหญิงสาวชื่อนางอูแปมให้เป็นภรรยาเจ้าสามลอไว้แล้ว เจ้าสามลอบอกแม่ว่าตนได้ พบหญิงสวยใจงามซึ่งเดินในน้ำโดยไม่มีคลื่นและเดินบนพื้นฟากโดยไม่มีเสียง แต่นางอูแปมเมื่อเดินในน้ำ เธอก็จม และเมื่อเดินบนพื้นฟาก ตงก็หัก เจ้าสามลอจึงเดินทางไปเมืองเกงตองโดยไม่ฟังเสียงทัดทาน จากแม่ และเบื้องหลังนั้น แม่กับนางอูแปมก็ได้ร่วมกันวางแผนไว้เพื่อที่เจ้าสามลอและภรรยาต้องแยกกัน เมื่อไปถึงเมืองเกงตองแล้ว เจ้าสามลอได้เข้าพิธีแต่งงานกับนางอูปิมอย่างเอิกเกริก และได้พา นางอูปิมกลับไปเมืองกิ๋งโดยที่ไม่บอกเธอให้ทราบถึงเรื่องของแม่และนางอูแปม เพราะเจ้าสามลอเชื่อว่า ความน่ารักของนางอูปิมนั้นจะทำให้นางเป็นที่ยอมรับ เมื่อไปถึงแล้ว ความดีงามของนางอูปิมก็ได้สร้างความประทับใจแก่ทุกคนยกเว้นแม่ของเจ้าสามลอ และนางอูแปม นางอูปิมต้องแอบร้องไห้อยู่บ่อยครั้ง นางแม่มักซ่อนมีดไว้ในไหสำหรับนึ่งข้าว เพื่อให้ทำ อันตรายแก่นางอูปิมยามที่เธอเข้าครัวปรุงอาหาร นางแม่ทำให้ขั้นบันไดพลิกเพื่อให้นางอูปิมตกเมื่อนาง ขึ้นเรือน นางอูปิมถูกกลั่นแกล้งดังกล่าวเป็นปีจนนางคลอดบุตรชายคนหนึ่ง ครั้งหนึ่งที่เจ้าสามลอไม่อยู่ นางแม่ได้กลั่นแกล้งนางอูปิมจนนางไม่อาจทนอยู่ต่อไปได้ นางจึงตัดสินใจหอบลูกหนีกลับไปเมืองเกงตอง นางอูปิมขอร้องคนที่นางพบว่านอกจากสามีของนางแล้ว อย่าได้บอกแก่ผู้ใด ยิ่งเดินทาง นางอูปิม ก็ยิ่งเหนื่อยล้าเพราะอดนอนและกินอาหารไม่พอเพียง จนเมื่อนางไปถึงเกงตองแล้ว คนก็แทบไม่เชื่อว่า นางคือคนที่เคยสง่างามในงานแต่งงานเมื่อปีก่อน ด้วยความทุกข์ระทมและอ่อนล้าทั้งกายและใจ นางอูปิม ก็หมดกำลังใจที่จะดำรงชีวิตต่อไปได้ ดังนั้นหลังจากกลับถึงบ้านแล้วไม่นานนัก วิญญาณของทั้งอูปิมและลูก ก็ได้ข้ามสะพานเงินสะพานทองไปสู่ที่อยู่อันไกลโพ้น เมื่อเจ้าสามลอกลับถึงบ้านก็พบว่าเมียและลูกหายไปแล้ว ก็เกิดความทุกข์ระคนด้วยความโกรธ จึง สาบานว่าจะแก้แค้นทุกคนที่ทำให้อูปิมหายไป เมื่อเลือกได้คนสนิทจำนวนหนึ่งแล้ว เจ้าสามลอก็ออกค้นหา นางอูปิมทันที และเมื่อทราบจากเด็กเลี้ยงควายว่านางคืนไปเกงตองแล้ว เจ้าสามลอก็รีบติดตามไปทันที เมื่อเข้าเขตเมืองเกงตองแล้ว เจ้าสามลอก็พบแต่คนที่อยู่ในความหม่นหมอง เมื่อทราบว่าสาเหตุ ของความหม่นหมองนั้นคือความตายของอูปิมและลูกน้อย เจ้าสามลอก็พูดว่าตนจะรีบไปสมทบกับเมียและลูก เมื่อไปถึงบ้านที่ทอดร่างของอูปิมกับลูกนั้น ก็พบว่ามีคนอยู่แน่นขนัดไปหมดไม่เว้นแม้แต่ที่บันได เจ้าสามลอ จึงล้วงเอาเงินในย่ามออกโปรยให้คนกรูไปแย่งกันเก็บจนเส้นทางเปิดโล่งให้เจ้าสามลอ ภาพของอูปิม ที่ปรากฏนั้นดูงามกว่ายามมีชีวิต เจ้าสามลอจึงถลาลงไปรับคมมีดของตนและสิ้นชีวิตอยู่เคียงข้างอูปิม และ วิญญาณของเจ้าสามลอก็ตามไปอยู่คู่กับนาง และด้วยความสงสาร มหาเทพจึงได้ให้เด็กน้อยกลายเป็นนก โพระดกซึ่งส่งเสียงว่า"คด คด" เพื่อด่าย่าของตน ส่วนเจ้าสามลอและนางอูปิมก็ได้กลายเป็นดอกดองดึง อยู่ที่ริมธารแห่งหนึ่ง เมื่อแม่ของเจ้าสามลอทราบว่าลูกและลูกสะใภ้ของตนตายแล้วเช่นนั้น นางจึงไปหาผู้วิเศษคนหนึ่ง เพื่อให้ช่วยดูว่าทั้งคู่ยังอยู่ด้วยกันหรือไม่ เมื่อได้รับคำตอบว่ามหาเทพได้ให้ทั้งสองเป็นดอกไม้อยู่คู่กันที่ ริมลำธารแห่งหนึ่ง นางจึงได้ตามไปขุดต้นดองดึงขึ้นมาเผาโดยคิดว่าทั้งสองจะต้องอยู่ด้วยกันไม่ได้แม้ใน โลกอื่น แต่กระนั้น มหาเทพก็ยังสงสาร จึงให้ทั้งคู่กลายเป็นดาวอยู่บนฟากฟ้าที่แม่ใจร้ายไม่อาจไปได้ถึง เจ้าสามลอได้กลายเป็นดาวประกายพรึก ส่วนนางอูปิมก็ได้กลายเป็นดาวประจำเมือง และดาวทั้งคู่ก็ร่วม กันทอแสงเจิดจรัสให้คนเห็นอยู่ทุกคืน และในคืนที่ท้องฟ้ากระจ่างนั้น ก็sอาจมองเห็นทางช้างเผือกทาบ ข้ามขอบฟ้า อันหมายถึงเส้นทางของขบวนวัวต่างของเจ้าสามลออีกด้วย หมายเหตุ พบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของบุคคลที่มีอยู่จริงในเมืองกิ๋งและเมืองเกงตอง ในรัฐฉาน

ปีศาจ
08-18-2009, 07:18 AM
ช้างกับเสือ (นิทานของชาวไทลื้อ)
ครั้งหนึ่งมีพญาช้างและพญาเสือท้าแข่งฤทธิกัน โดยมีข้อสัญญากันว่าถ้าฝ่ายเสือชนะการแข่งขัน เสือ ก็จะพาบริวารมากินช้างเสีย และถ้าหากว่าช้างชนะก็จะเอาพวกบริวารมาแทงเสือให้ตายหมด เมื่อแข่ง กันแล้วปรากฏว่าช้างเป็นฝ่ายแพ้เสือ เสือจึงบอกให้ช้างอยู่กับที่เพื่อที่จะไปตามบริวารมากินช้าง พอดีขณะนั้นมีพญากระต่ายมาพบช้างเข้าจึงได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากช้าง เกิดความสงสารช้าง เป็นอันมาก พญากระต่ายจึงบอกให้พญาช้างว่าตนเองจะช่วยให้พญาช้างรอดชีวิตจากการเป็นเหยื่ออาหาร ของพญาเสือและบริวาร พญากระต่ายจึงให้ช้างไปเอาไม้หนังก่อแดงมาให้ เมื่อพญาช้างเอาหนังไม้ก่อ แดงมาแล้ว พญากระต่ายจึงบอกให้พญาช้างหนีไปเสีย เมื่อช้างไปแล้วพญาเสือก็มาถึงและไม่เห็นพญาช้าง แต่เห็นพญากระต่าย ก็ถามพญากระต่ายว่าพญาช้างไปไหนเสีย พญากระต่ายก็บอกว่าตนเองได้กินพญาช้าง หมดแล้วแต่ยังไม่อิ่ม อยากกินเนื้อสัตว์อื่น ๆ อีก พญาเสือได้ยินดังนั้นก็มีความตกใจมากจึงวิ่งหนีไปพร้อมทั้งบริวารคนละทิศละทาง พญากระต่ายนั้นก็ วิ่งไล่ตามไป จนกระทั่งจับได้พญาเสือซึ่งได้หนีมาถึงฝั่งน้ำแห่งหนึ่ง พญาเสือก็ร้องขอชีวิต พญากระต่าย จึงแกล้งบอกพญาเสือว่าตนเองนั้นมีเครื่องไทยทานที่จะนำไปฝั่งตรงกันข้าม ถ้าพญาเสือเอาไปได้ตนเอง ก็จะไว้ชีวิต พญาเสือก็รับคำ กระต่ายจึงเอาหญ้าคามาผูกหลังเสือ เสร็จแล้วก็เอาไฟจุด พญาเสือนั้นก็ ตกใจจึงกระโดดลงไปในแม่น้ำ พญากระต่ายเห็นดังนั้นจึงสั่งพญาสัตว์ป่าทั้งหลายลงไปช่วยเอาพญาเสือขึ้นมาจากแม่น้ำให้ได้ ถ้า ไม่ได้ก็จะฆ่าให้ตายทั้งหมด พญากบกับพญาเขียดจึงกระโดดงมลงไปช่วยก่อนแต่ก็ไม่สามารถช่วยได้ จึง ร้องขึ้นว่า อ็อบ ๆ แอ็บ ๆ ตั้งแต่นั้นมา พญากระต่ายก็สั่งพญาอึ่งอ่างลงไปช่วยอีก พญาอึ่งอ่างก็กระโดด ลงไปช่วยแต่ก็ไม่สามารถช่วยได้ จึงร้องว่า "เลิก็บ่ใช่ตื้น ๆ" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ส่วนกวาง เมื่อ กระโดดลงไปช่วยเสือก็เกิดสำลักน้ำ จึงร้องขึ้นว่า "กั๊ด ๆ" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ส่วนสุดท้ายนั้น พญากระต่ายก็สั่งให้พญาแมวลงไปอีก เมื่อพญาแมวก็โดดลงไปก็เกิดหนาวมากจึงร้องว่า "หนาว หนาว ๆ" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เสือกับช้าง มาพบกัน เสือพูดกับช้างว่าเจ้าก็ร้องเสียงดังมาก เรามาแข่งกันร้องส่งเสียงดังดู ถ้า หากชาวบ้านตัดสินว่าเสือร้องดังกว่า เสือก็จะกินช้างแต่หากช้างร้องดังกว่าช้างก็จะกินเสือ แล้วเสือจึง ให้ช้างร้องก่อน ช้างจึงบอกว่าเสือชนะช้าง ช้างจึงยอมเป็นอาหารของเสือ เสือจึงบอกว่าให้รออยู่ที่นั่น จะไปหาเพื่อนมาช่วยกิน เพราะว่ากินผู้เดียวไม่หมด บังเอิญกระต่ายตัวหนึ่งมาพบช้าง จึงถามช้างว่า อยู่ที่นี่ทำไม ช้างบอกว่าเสือให้รอที่นี่เพราะร้อง เสียงดังสู้ไม่ได้ กระต่ายถามว่าช้างกลัวตายไหม ช้างตอบว่ากลัวตาย กระต่ายบอกว่าอย่างนั้นก็จะช่วย ไม่ให้ตาย กระต่ายให้ช้างไปขอข้าวที่ตำคลุกกับงาจากชาวบ้านมา เมื่อได้มาแล้วกระต่ายจึงวางแผนให้ ช้างทำเป็นนอนตายนิ่งเงียบ แล้วเอาข้าวคลุกงามาติดไว้ที่หัวช้างและตามตัว อีกไม่นานเสือก็มาก็เห็น กระต่ายกำลังกินข้าวคลุกงาอยู่ก็นึกว่ากระต่ายกำลังกินช้างจึงเกิดความกลัวจึงได้วิ่งหนี กระต่ายจึงให้ ช้างวิ่งไปในหมู่บ้าน ส่วนกระต่ายจึงวิ่งไปตามทางเล็ก ๆ เสือนึกได้และรู้ทันกระต่ายภายหลังก็โกรธ กระต่ายเป็นอันมาก ส่วนกระต่ายนั้นก็ไปพบกองขี้ควาย จึงเอาหนามเสียบกับขี้ควายไว้แล้วนั่งเฝ้าอยู่ เสือก็ตามมาทัน จึงถามกระต่ายว่า เจ้าใช่ไหมที่เป็นตัวการที่ช่วยช้าง กระต่ายบอกว่าไม่ใช่มันหรอก เพราะมันกำลังนั่ง เฝ้าเก้าอี้วิเศษของปู่ตนอยู่ตั้งนานแล้ว เก้าอี้นี้ถ้านั่งแล้วจะเห็นอาหารทุกอย่างว่าอยู่ที่ไหน เสือก็จึงอยาก นั่ง จะนั่งบ้างจึงขอร้องกระต่าย กระต่ายว่าจะขอไปถามปู่ก่อน พอกระต่ายกลับมาก็พูดว่า ปู่บอกว่าถ้า เสือจะนั่งก็ให้กระแทกนั่งลงแรง ๆ แล้วกระต่ายก็วิ่งไปที่อื่น ไปพบกับต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งมีรังผึ้งอยู่ริมทาง ฝ่ายเสือจึงกระแทกนั่งนั่งลงอย่างแรงจึงถูกหนามเสียบก้น เสือโกรธมากที่โดนกระต่ายหลอก จึงออกตามกระต่ายจนพบแล้วถามว่า กระต่ายใช่ไหมที่หลอกให้ นั่งเก้าอี้หนาม กระต่ายตอบว่าไม่ใช่ตนหรอก เพราะกระต่ายมิใช่มีตัวเดียว และว่าตนนั่งเฝ้าฆ้องวิเศษ ของปู่นานแล้ว ฆ้องนี้ถ้าผู้ใดตีแล้วก็จะเห็นอาหารทุกอย่าง เสือคิดนึกว่าเป็นฆ้องวิเศษจริง ก็ขอตีฆ้องนั้น กระต่ายก็ตกลงโดยบอกว่าให้ตีแรง ๆ แล้วมันก็วิ่งหนีเข้าป่าไป เสือจึงตีรังผึ้งนั้นเต็มแรง ผึ้งจึงต่อยเอา จนบวมไปทั้งตัว เสือจึงรู้ว่าเสียรู้กระต่ายอีกจึงโกรธมากและตามกระต่ายไปอีก เสือไปพบกระต่ายที่บ่อน้ำแห้ง เห็นกระต่ายลงไปนั่งอยู่ในบ่อเสือก็ถามว่ากระต่ายใช่ไหมที่โกหกมัน ถึง ๒ ครั้งแล้ว กระต่ายบอกว่าไม่ใช่ เพราะกระต่ายไม่ใช่มีตนเพียงตัวเดียวในป่านั้น แล้วก็บอกเสือว่า ฟ้าจะถล่มทับหัวเสือ ถ้าหากเสือไม่ลงมาในบ่อ เสือจึงมองดูฟ้าเห็นเมฆดำลอยจึงกลัวก็กระโดดลงบ่อน้ำ แห้งนั้น กระต่ายจึงกระโดดขึ้นหลังเสือแล้วกระโดดออกจากบ่อ แล้วไปบอกชาวบ้านให้มาฆ่าเสือ

ปีศาจ
08-18-2009, 07:18 AM
ช้างกับเสือ (นิทานของชาวไทใหญ่)
เสือกับช้าง มาพบกัน เสือพูดกับช้างว่าเจ้าก็ร้องเสียงดังมาก เรามาแข่งกันร้องส่งเสียงดังดู ถ้า หากชาวบ้านตัดสินว่าเสือร้องดังกว่า เสือก็จะกินช้างแต่หากช้างร้องดังกว่าช้างก็จะกินเสือ แล้วเสือจึง ให้ช้างร้องก่อน ช้างจึงบอกว่าเสือชนะช้าง ช้างจึงยอมเป็นอาหารของเสือ เสือจึงบอกว่าให้รออยู่ที่นั่น จะไปหาเพื่อนมาช่วยกิน เพราะว่ากินผู้เดียวไม่หมด บังเอิญกระต่ายตัวหนึ่งมาพบช้าง จึงถามช้างว่า อยู่ที่นี่ทำไม ช้างบอกว่าเสือให้รอที่นี่เพราะร้อง เสียงดังสู้ไม่ได้ กระต่ายถามว่าช้างกลัวตายไหม ช้างตอบว่ากลัวตาย กระต่ายบอกว่าอย่างนั้นก็จะช่วย ไม่ให้ตาย กระต่ายให้ช้างไปขอข้าวที่ตำคลุกกับงาจากชาวบ้านมา เมื่อได้มาแล้วกระต่ายจึงวางแผนให้ ช้างทำเป็นนอนตายนิ่งเงียบ แล้วเอาข้าวคลุกงามาติดไว้ที่หัวช้างและตามตัว อีกไม่นานเสือก็มาก็เห็น กระต่ายกำลังกินข้าวคลุกงาอยู่ก็นึกว่ากระต่ายกำลังกินช้างจึงเกิดความกลัวจึงได้วิ่งหนี กระต่ายจึงให้ ช้างวิ่งไปในหมู่บ้าน ส่วนกระต่ายจึงวิ่งไปตามทางเล็ก ๆ เสือนึกได้และรู้ทันกระต่ายภายหลังก็โกรธ กระต่ายเป็นอันมาก ส่วนกระต่ายนั้นก็ไปพบกองขี้ควาย จึงเอาหนามเสียบกับขี้ควายไว้แล้วนั่งเฝ้าอยู่ เสือก็ตามมาทัน จึงถามกระต่ายว่า เจ้าใช่ไหมที่เป็นตัวการที่ช่วยช้าง กระต่ายบอกว่าไม่ใช่มันหรอก เพราะมันกำลังนั่ง เฝ้าเก้าอี้วิเศษของปู่ตนอยู่ตั้งนานแล้ว เก้าอี้นี้ถ้านั่งแล้วจะเห็นอาหารทุกอย่างว่าอยู่ที่ไหน เสือก็จึงอยาก นั่ง จะนั่งบ้างจึงขอร้องกระต่าย กระต่ายว่าจะขอไปถามปู่ก่อน พอกระต่ายกลับมาก็พูดว่า ปู่บอกว่าถ้า เสือจะนั่งก็ให้กระแทกนั่งลงแรง ๆ แล้วกระต่ายก็วิ่งไปที่อื่น ไปพบกับต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งมีรังผึ้งอยู่ริมทาง ฝ่ายเสือจึงกระแทกนั่งนั่งลงอย่างแรงจึงถูกหนามเสียบก้น เสือโกรธมากที่โดนกระต่ายหลอก จึงออกตามกระต่ายจนพบแล้วถามว่า กระต่ายใช่ไหมที่หลอกให้ นั่งเก้าอี้หนาม กระต่ายตอบว่าไม่ใช่ตนหรอก เพราะกระต่ายมิใช่มีตัวเดียว และว่าตนนั่งเฝ้าฆ้องวิเศษ ของปู่นานแล้ว ฆ้องนี้ถ้าผู้ใดตีแล้วก็จะเห็นอาหารทุกอย่าง เสือคิดนึกว่าเป็นฆ้องวิเศษจริง ก็ขอตีฆ้องนั้น กระต่ายก็ตกลงโดยบอกว่าให้ตีแรง ๆ แล้วมันก็วิ่งหนีเข้าป่าไป เสือจึงตีรังผึ้งนั้นเต็มแรง ผึ้งจึงต่อยเอา จนบวมไปทั้งตัว เสือจึงรู้ว่าเสียรู้กระต่ายอีกจึงโกรธมากและตามกระต่ายไปอีก เสือไปพบกระต่ายที่บ่อน้ำแห้ง เห็นกระต่ายลงไปนั่งอยู่ในบ่อเสือก็ถามว่ากระต่ายใช่ไหมที่โกหกมัน ถึง ๒ ครั้งแล้ว กระต่ายบอกว่าไม่ใช่ เพราะกระต่ายไม่ใช่มีตนเพียงตัวเดียวในป่านั้น แล้วก็บอกเสือว่า ฟ้าจะถล่มทับหัวเสือ ถ้าหากเสือไม่ลงมาในบ่อ เสือจึงมองดูฟ้าเห็นเมฆดำลอยจึงกลัวก็กระโดดลงบ่อน้ำ แห้งนั้น กระต่ายจึงกระโดดขึ้นหลังเสือแล้วกระโดดออกจากบ่อ แล้วไปบอกชาวบ้านให้มาฆ่าเสือ

ปีศาจ
08-18-2009, 07:21 AM
ลิลิตพระลอ

ที่อยู่ตามเว็บข้างล่างนี้เลยครับ


http://olddreamz.com/bookshelf/praloh/praloh.html

ป.ล.ขอโทษด้วยนะครับที่นำมาลงให้อ่านกันไม่ได้เพราะมันเยอะเกินไป
ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

ปีศาจ
08-18-2009, 09:10 AM
ตำนานพระจันทน์
ตำนานพระจันทน์ หรือตำนานการสร้างพระพุทธรูปด้วยไม้จันทน์ สรุปความจากจากต้นฉบับของวัดทรายมูล ต.ทรายมูล อ.สันกำแพง เชียงใหม่ จารเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๒ ในธัมม์หรือคัมภีร์ดังกล่าวประกอบตำนานของพระจันทน์ พระสิงห์และพระแก้ว รวม ๓ เรื่อง ด้วยกัน เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งที่พระเจ้าปเสนทิโกสล ทรงคิดที่จะสร้างพระพุทธรูปเพื่อเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้าเมื่อเสด็จปรินิพพานแล้ว จึงขออนุญาตจากพระพุทธเจ้า เมื่อได้รับอนุญาตจึงให้ราชทูตไปเอาไม้แก่นจันทน์จากพญาสุวัณณพรหมา แล้วให้ช่างแกะสลักเป็นพระพุทธรูปสูง ๖ องคุลี หน้าตักกว้าง ๒๐ ศอกองคุลี บ่ากว้าง ๒๖ องคุลีกับครึ่งนิ้วมือ มีน้ำหนัก ๘๐๐๐ เสร็จแล้วก็นำไปให้พระพุทธเจ้าทอดพระเนตร แล้วถวายทานอาหารและน้ำแก่พระพุทธเจ้า ครั้งนั้นพระพุทธเจ้าจึงเทศนาอานิสงส์การสร้างพระพุทธรูปโปรดแก่พญาปเสนธิโกสล เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานและพญาปเสนธิโกสลสวรรคตแล้ว ราชบุตรของพญาปเสนทิโกสลชื่อวิตตุภะก็ได้ครองราชย์แทน พญาสุวัณณพรหมาก็ส่งราชทูตมาขอพระจันทน์ พญาวิตตุภะจึงให้สร้างพระพุทธรูปแก่นจันทน์อีก ๒ องค์ให้เหมือนกับองค์แรก แล้ววางไว้สองข้างของพระองค์แรก จากนั้นให้ราชทูตของพระสุวัณณพรหมาเลือกไป ๑ องค์เมื่อได้แล้วก็นำไปถวายพญาสุวัณณพรหมา พระจันทน์อยู่เมืองสุวัณณพรหมาได้ ๑๐๐๐ ปีจนเมืองนี้แพ้ศึก ลูกพญาสุวรรณพรหมาคืออาทิตยราชกุมาร จึงเอาพระจันทน์ไปไว้ที่เมืองแช่ตา ส่วนจันทนราชกุมารก็เอาพระธาตุพระพุทธเจ้าไปไว้ที่ลำปาง ต่อมาเมืองแช่ตาเกิดการโกลาหล มหาเถรเจ้าตนหนึ่งจึงนำพระจันทน์นี้ไปถวายพญาคำแดงๆ ก็รับไว้ได้ ๑๕ ปี ลูกพญาตนหนึ่งชื่อ ท้าวตาแหวนมาขอพระจันทน์ ซึ่งลูกพญาคำแดงก็ให้ไป พระจันทน์อยู่ที่เมืองท้าวตาแหวนได้ ๑๐ ปี ก็ถูกมหาเถรชื่อ สิโวหะ ขโมยไปไว้ที่บ้านพุกามซึ่งอยู่ในเมืองแช่ตา ฝากไว้กับพรานป่าผู้หนึ่งได้ ๗๓ ปี ต่อมาปู่โมไปทำศึกที่เมืองแช่ตาก็จึงเอาไปไว้ยังบึงหนองบัวที่เมืองพะเยา อยู่ได้ ๖๐ ปี เมื่อพญาสุทธิศิลป์รู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระจันทน์จึงได้นำไปไว้ที่วัดป่าแดงหลวงดอนชัยอยู่นาน ๖ เดือน ต่อมา พญาติโลกราชก็ให้มหาธรรมเสนาไปเอาพระจันทน์มาไว้ยังเชียงใหม่โดยผ่านเมืองน่าน เมืองแพร่ เมืองหริภุญชัย แล้วจึงนำมาไว้ที่วัดอโสการามซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองเชียงใหม่ เมื่อท้าวยอดเชียงรายได้ครองเมืองพะเยาก็ขอพระจันทน์คืนไปอีก แต่พอถึงสมัยพญาแก้วๆ ก็ถวายพระจันทน์แก่พระเมืองแก้วเมืองเชียงใหม่ ซึ่งได้นำไปไว้ยังวัดศรีภูมิ แล้วย้ายไปวัดบุพพาราม เพื่อให้แขกชาวใต้ได้สักการะบูชากัน

ปีศาจ
08-18-2009, 09:11 AM
ตำนานอาฏานาฏิยปริตร
อาฏานาฏิยสูตร กล่าวไว้ว่า
ในสมัยหนึ่ง เมื่อพุทธเจ้าประทับ ณ เขาคิชฌกูฏ กรุงราชคฤห์ ท้าวจาตุมหาราช คือ ท้าวธตรฏฐ์ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักข์ และท้าวกุเวร พร้อมด้วยบริวารอันได้แก่ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ นาค และยักษ์ มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ท้าวมหาราชเหล่านี้ บางครั้งเรียกว่า จตุโลกบาล (ผู้รักษาโลกทั้ง ๔) ซึ่งเป็นผู้นับถือพุทธศาสนา เมื่อได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ท้าวกุเวรกราบทูลว่า อมนุษย์ที่เป็นบริวารของจตุโลกบาล บางพวกก็เลื่อมใสพระพุทธเจ้า บางพวกก็ไม่เลื่อมใส เพราะพระองค์ทรงแสดงธรรมให้ถือศีล ๕ คือให้ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม การพูดเท็จ และการเสพสุรา แต่มนุษย์และยักษ์ยังชอบทำบาปเหล่านี้ จึงขัดใจไม่ค่อยเลื่อมใส สาวกของพระองค์ที่ประกอบวิปัสสนาธุระ ไปบำเพ็ญสมณธรรมในเสนาสนะป่าเปลี่ยว เมื่อไม่มีสิ่งป้องกัน อมนุษย์ก็จะรบกวนเบียดเบียนให้ลำบาก ขอให้พระองค์ทรงรับเอาเครื่องป้องกันรักษา คือ อาฏานาฏิยปริตรไว้ จะได้ประทานให้สาวกสวด จะทำให้อมนุษย์เลื่อมใส ไม่เบียดเบียนภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา และกลับจะช่วยคุ้มครองรักษาให้อยู่ผาสุข แล้วจึงกล่าว อาฏานาฏิยปริตร ขึ้นในเวลานั้นว่า วัปัสสิสสะ นะมัตถุ เป็นต้น เมื่อพระองค์ทรงรับโดยดุษณีภาพ ท้าวกุเวรจึงกราบทูลต่อไปอีกว่า ผู้ที่เจริญอาฏานาฏิยปริตรนี้ดีแล้ว อมนุษย์จะไม่ทำร้าย ถ้าอมนุษย์ยังผืนกระทำจะแพ้ภัยตัวเองจากนั้น พระพุทธเจ้าจึงนำมาตรัสเล่าแก่ภิกษุทั้งหลายในภายหลัง


เรียบเรียงจาก ไข่มุก อุทยาวลี)

ปีศาจ
08-18-2009, 09:13 AM
ลูกฆ่าแม่ (นิทานของชาวไทยวน)
ชายชาวนาคนหนึ่งมีฐานะดี นาที่เขาไปทำนั้นไกลจากบ้านไม่น้อย เมื่อเขาไปทำนานั้น แม่ของเขา ที่แก่แล้วเป็นผู้เอาอาหารไปส่งทุกวัน แต่เขาก็หาเรื่องดุด่าแม่เสมอ ถ้าแม่เอาข้าวไปส่งช้า เขาก็ทุบตีแม่ ถ้าแม่เอาอาหารไปส่งเร็วกว่าเวลา เขาก็ด่าและทำร้ายแม่เสมอ วันหนึ่งเขาบังเอิญเห็นแพะของตนให้นมลูก ก่อนที่ลูกแพะจะกินนมแม่แต่ละครั้งก็ทำความเคารพแม่ ก่อนเสมอ เมื่อกินนมเสร็จก็ทำความเคารพแม่อีก เขาก็เก็บมาคิดและสำนึกว่าแม้แต่สัตว์ก็ยังรู้จักเคารพ แม่ ส่วนตนนั้นกลับดุด่าทำร้ายแม่ ในที่สุดเขาก็ตั้งใจจะเป็นลูกที่ดีของแม่ เมื่อเขาเห็นแม่หาบข้าวมาแต่ไกล เขาก็วิ่งไปหาเพื่อจะไปรับแม่ แม่ก็เข้าใจว่าลูกจะมาทำร้ายตน เหมือนทุกวัน ก็วิ่งกลับ ลูกเห็นเช่นนั้นก็รีบวิ่งตามไป ฝ่ายแม่เมื่อเห็นลูกเข้ามาใกล้และจะวิ่งหนีไม่ไหว แล้วก็โดดลงไปตายในหนองน้ำ ซึ่งลูกก็ตามลงไปช่วยแต่ไม่ทัน เขาก็มานึกเสียใจที่ได้ทำให้แม่ตาย ก็เอา ศพแม่มาทำบุญ จากนั้นเขาก็เก็บเงินทองใส่ย่ามออกเดินทางไปเพื่อค้นหาคนที่เหมือนแม่ แต่ไม่พบ บางคน ชื่อเหมือนแต่หน้าตาไม่เหมือน บ้างมีหน้าตาเหมือนแม่แต่ชื่อไม่เหมือน เขาค้นหาเช่นนั้นไปจนหมดเงินทอง แล้วก็กลับมาเอาที่บ้าน แล้วอีกเดินทางต่อไปจนทั่วทุกบ้านทุกเมืองก็ไม่พบจนเงินทองเกือบหมด วันหนึ่ง พระมหาเถรเจ้าแปลงตัวเป็นหญิงแก่คนหนึ่งเหมือนแม่ของเขาเดินขอทานผ่านหน้าบ้านชาย คนนั้น เมื่อเขาเห็นว่าขอทานคนนี้เหมือนแม่ตนจึงลงมาก้มลงกอดขาและเรียกว่า แม่ แม่ หญิงแก่ก็ด่าว่า เป็นใครมากอดแข้งกอดขาและเรียกตนเป็นแม่ ตนไม่เคยมีลูก แต่ชายนั้นก็บอกว่าเห็นหญิงคนนั้นเหมือนแม่ ของตน จึงจะรับเอาตัวไปเป็นแม่ หญิงแก่ปฏิเสธว่าไม่ได้ เพราะตนเป็นคนขี้บ่น ชอบด่า ชายนั้นก็ว่าจะ บ่นจะด่าอย่างไรก็จะทน หญิงแก่ก็ยังไม่ยอม เขาจึงกอดอุ้มเอานางเข้าบ้าน หญิงแก่จึงให้เขาสาบานว่า ถ้านางต้องการอะไรเขาจะให้ได้ทุกอย่างหรือไม่ เขาก็รับคำ นางก็ถามว่าถ้าถึงฤดูร้อนจะทำอย่างไร เขาก็บอกว่าจะปลูกบ้านฤดูร้อนให้ ถ้าถึงฤดูหนาวจะทำอย่างไร เขาก็บอกว่า จะสร้างบ้านที่อบอุ่นให้และ ที่แม่จะนอนนั้นเขาจะเข้าไปนอนให้อุ่นก่อน ถ้าขออยากกินเนื้อจะทำอย่างไร เขาก็บอกจะหามาให้กินด้วย ความสำนึกที่แม่ตายจากไป จึงจะขอเอาหญิงนั้นเป็นแม่ ในที่สุดหญิงแก่ก็ตกลง จากนั้นเขาก็เฝ้าปรนนิบัติอยู่เสมอมา เวลาแม่จะนอนก็เข้าไปบีบนวดให้ ต่อมาเขาก็บอกว่าจะออก ไปหาอะไรมากินให้ และแม่อยู่เฝ้าบ้าน เมื่อกลับมาก็ไม่พบแม่ จะถามใคร ๆ ก็ไม่รู้เรื่อง แต่ก็ไปเห็น พระมหาเถรจึงเข้าไปถาม มหาเถรก็ว่าท่านเองที่แปลงเป็นแม่ของเขา และพูดว่าเขานั้นเป็นคนทารุณแม่ เป็นคนบาปหนา พร้อมนั้นพระเถระนั้นก็ได้เทศน์เรื่องคุณของพ่อแม่ให้ฟัง ซึ่งในที่สุดชายคนนั้นก็ขอบวชไป ปฏิบัติพระมหาเถร

ปีศาจ
08-18-2009, 12:00 PM
นางแมว (นิทานของชาวไทใหญ่)
มีเมืองแห่งหนึ่ง ชื่อเมือง"กะเป่ละวาด"เจ้าเมืองของเมืองนี้มีลูกสาวสวยอยู่คนหนึ่งอายุได้ ๒๐ ปี จึงจัดแต่งงานให้ พอแต่งงานได้ ๗ วันต่อมามีลูกชายเจ้าเมือง"ตักกะโส" มาขอแต่งงาน เจ้าชายเมือง นั้นก็เฝ้าขอแต่งงานอยู่ทุกวัน จนเจ้าเมืองเลยบอกว่าขอให้มเหสีของตนคลอดลูกออกมาอีกคนก่อนและถ้า เป็นหญิงหรือชายหรือเป็นอะไรก็แล้วแต่ก็จะให้แต่งงานด้วย เจ้าชายก็ตกปากรับคำ และต่อมาเจ้าเมือง นั้นก็จัดพิธีให้เจ้าชายโดยไม่มีเจ้าสาว ในวันแต่งงานและให้เจ้าชายอยู่ในวังนั้นต่อมา ฝ่ายเจ้าชายก็เฝ้าถามเจ้าเมืองอยู่ทุกวันว่าแม่ยายท้องหรือยัง ต่อมาได้นาน ๑๒ เดือน แม่ยายก็ ตั้งท้องและอุ้มท้องต่อมาเป็นเวลานาน ๑๒ เดือน ก็คลอดออกมาเป็นแมวจึงมอบให้ลูกเขยของตนที่ไร้คู่นั้น และเจ้าเมืองก็ไล่ลูกเขยและแมวออกจากวังไป ระหว่างเดินทางนั้นแมวก็ร้องกินข้าวกินน้ำ จนมาถึง เมืองของตน เจ้าเมืองผู้เป็นพ่อก็ถามว่าค้าขายได้อะไรมา ลูกชายตอบว่าไม่ได้อะไรมานอกจากได้เมีย เป็นแมวมาตัวหนึ่ง พ่อก็ไล่ออกจากบ้านอีก เลยหนีไปอยู่ชายแดนเมือง อยู่มาวันหนึ่งผัวไปทำงาน เมียซึ่ง เป็นแมวก็กลายร่างเป็นหญิงสาวสวยงามมากออกมาหุงหาอาหารให้ไว้รอท่าเวลาผัวกลับตน แล้วก็กลาย ร่างเป็นแมวอีกเมื่อทำอาหารเสร็จ พอผัวกลับมา เมียซึ่งกลายร่างเป็นแมวก็ถามผัวว่าได้อะไรมาบ้าง ฝ่ายผัวก็เอาถุงย่ามให้ดู เมียซึ่งกลายเป็นแมวนั้นก็จึงคาบถุงย่ามนั้นเข้าไปไว้ในบ้านตน ต่อมาไม่นานเจ้าเมืองอีกเมืองหนึ่งทราบว่าเจ้าชายนี้มีเมียเป็นหญิงงามมาก จึงเรียกเจ้าชายเข้า ไปพบในเมืองและวางแผนโดยบอกว่าให้ไปเอาดอกสาวะตี และถ้าหามาไม่ได้จะยึดเมียของเจ้าชายเสีย ต่อมาอีก ๗ วัน เจ้าชายก็หาดอกสาวะตีนั้นมาได้และเอาไปให้เจ้าเมือง เจ้าเมืองก็จึงวางแผนอีก โดย ให้ไปหาปลามา เจ้าชายก็หามาให้ขนาดใหญ่ที่สุดตัวหนึ่ง แล้วเจ้าเมืองก็ใช้ให้ไปหากวางมาอีก เจ้าชาย ก็หามาให้ได้เช่นเคย เจ้าชายโมโหเพราะเจ้าเมืองใช้ไปหลายครั้ง จึงได้อธิษฐานเอาค้อนขว้างไปใน อากาศกลายเป็นยักษ์ใหญ่ลงมารบกับเจ้าเมืองนั้นทันที ฝ่ายเจ้าเมืองเห็นว่าตนเองนั้นสู้ไม่ได้แน่จึงยอมแพ้ และยกบ้านเมืองขนตนให้เจ้าชายและเมียได้ครองสืบไป

ปีศาจ
08-18-2009, 12:03 PM
ตำนานละแวก
ต้นฉบับตำนานละแวกนี้ เป็นของวัดศรีพิงค์เมือง (วัดศรีปิงเมือง) ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ จำนวน ๑ ผูก ความยาว ๖๒ หน้า คัดลอกโดยมหาวันภิกขุ เมื่อพ.ศ. ๒๔๒๓ ตรงกับ จ.ศ.๑๒๔๒ ปีกดสะง้า เดือน ๑๒ แรม ๙ ค่ำ วัน ๓ สรุปใจความได้ดังนี้ ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นั้น ทรงทำนายเหตุการณ์ในอนาคตไว้ที่เมืองละแวก เมื่อเสด็จมาถึงเมืองแห่งนี้ พญานาคได้มาอุปัฏฐาก จึงทำนายว่า สถานที่ดังกล่าวนี้จะเป็นที่ตั้งของพระพุทธศาสนา พระอานนท์จึงขอเอาพระเกศาธาตุบรรจุไว้ที่นี่ พระพุทธองค์ทรงมอบพระเกศาธาตุให้จำนวน ๕ เส้น จากนั้นพระอินทร์ พระพรหม ครุฑ นาค และพญาเจ้าเมืองละแวก จึงก่อเจดีย์ขึ้นเป็นจำนวน ๕ องค์ สำหรับเป็นเครื่องหมายของศาสนา ๕ พันปี ครั้นเมื่อพระพุทธองค์นิพพานไปแล้ว ๒๒ ปี พญาอโสกธัมมิกราชได้มาบูรณปฏิสังขรณ์เจดีย์ดังกล่าวให้เจริญรุ่งเรือง โดยก่อกำแพงแก้วรอบบริเวณพร้อมทั้งติดแผ่นทองจังโกทุกองค์เจดีย์ ส่วนเมืองละแวกแห่งนั้นมีบริเวณกว้าง ๓ พันวา ยาว ๒ พันวา กำแพงเมืองก่อด้วยหินหนา ๖ พันวา สูง ๔ พันวาคูเมืองลึก ๗ วา สำหรับบริเวณที่สร้างเจดีย์ ๕ องค์กว้าง ๓๐๐ วา ฐานเจดีย์องค์หนึ่งกว้าง ๑๔ วา สูง ๒๐ วา แต่ละเจดีย์มีซุ้มพระพุทธรูปทั้ง ๔ ด้าน เหมือนกันหมดทุกองค์ เจดีย์ทั้ง ๕ องค์ดังกล่าวนี้ พระพุทธองค์ให้สร้างไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายทางศาสนา หากเจดีย์จมพื้นดินลงไป ๑ องค์ เท่ากับศาสนาพ้นไปแล้ว ๑ พันปี จนกว่าจะครบ ๕ พันปี เจดีย์ทั้งหมดจึงจะหายไปในที่สุด เจดีย์ดังกล่าวนี้มีผู้อุปัฏฐากดูแลคือ ภิกษุ ๕๐๐ องค์ สามเณร ๕๐๐ รูป คฤหัสถ์ ๕๐๐ คน ในช่วงระยะเวลาระหว่างพุทธศาสนา ๕ พันปีนั้น จะมีพญาธัมมิกราชเกิดมาจำนวน ๕ องค์โดยมีช่วงเวลาครั้งละ ๑ พันปื สำหรับพญาธัมมิกราชองค์ที่ ๓ ที่จะเกิดมาในระหว่างพุทธศาสนาได้ ๓ พันปีนั้น จะเกิดมาในขณะที่บ้านเมืองเดือดร้อนวุ่นวาย ผู้คนไม่มีศีลธรรม เกิดมีการรบพุ่งฆ่าฟันกันไปทั่ว ก่อนที่จะมีพญาธัมมิกราชเกิดขึ้นนั้น ท้องฟ้าจะมืดมิดเป็นเวลา ๗ วัน ครั้นถึงวันที่ ๘ ท้องฟ้าจึงจะสว่างสดใส เทวบุตรจะนำเอาเครื่องสูง ๕ ประการมาทำพิธีราชาภิเษกโดยมีนางฟ้าและพระฤาษีมาร่วมพิธีด้วย รวมทั้งข้าทาสบาทบริจาริกาจำนวนหนึ่งหมื่นหกพันนางจากอุตรกุรุทวีป เมื่อเสร็จพิธีราชภิเษกแล้ว ปราสาท ๓ หลังจะผุดขึ้นมาจากพื้นดิน แต่ละหลังทำด้วยทองคำ แก้วและเงิน พญาธัมมิกราชองค์นั้นได้เสวยราชสมบัติในเมืองฝาง ในราชสำนักจะมีบุรุษผู้ประเสริฐ จำนวน ๖ คน พญาธัมมิกราชจะขุดเอาข้าวของเงินทองจากพื้นดินมาบูรณะบ้านเมืองและแจกจ่ายเป็นทานแก่คนทั่วไป หลังจากนั้นจึงได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป

เรียบเรียงจาก ไพฑูรย์ ดอกบัวแก้ว)

ปีศาจ
08-18-2009, 12:04 PM
หมาฮุย หรือ หมาขนฅำ (นิทานของชาวไทลื้อ)
นิทานเรื่องนี้ มีการดำเนินเรื่องบางตอนที่ละม้ายกับเรื่องในคร่าวซอเรื่อง สุวัณณเมฆะหมาขนฅำ อยู่ด้วย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน เรื่องนี้มีว่ามีชายสูงอายุคนหนึ่ง เมื่อเมียเสียชีวิตไปแล้วก็รู้สึกว้าเหว่ จึงไปเอาหญิงคนหนึ่งชื่อกาไวมาเป็นเมีย นางเมียกาไวคนนี้เกลียดชังเจ้าบุญปันซึ่งเป็นลูกเมียก่อน จึงหาทางใส่ความให้สามีแก่เอาลูกของตนไปทิ้ง เสียในป่า ฝ่ายพ่อก็ตามใจเมียใหม่ จึงหลอกเจ้าบุญปันไปป่าด้วย พ่อจึงพาลูกเดินทางเข้าป่าลึก ไปเห็น หลุมมันเก่าที่เขาขุดกินหัวแล้วก็เอาลูกโยนทิ้งลงในหลุมนั้น แล้วพ่อก็กลับบ้าน บุญปันมีหมาแสนรู้อยู่ตัวหนึ่งชื่อหมาฮุย ซึ่งเมื่อหมาฮุยไม่เห็นเจ้าของของตนกลับมากับพ่อก็สงสัยจึง ตามกลิ่นจากบ้านไปจนถึงหลุมมันที่เจ้าบุญปันตกอยู่ แล้วก็ไปกัดเอาเครือเชือกหย่อนไปให้เจ้าบุญปันให้ใช้ โหนขึ้นมาได้แล้วก็พากันกลับบ้านอย่างเดิม แม่ก็บ่นให้พ่ออีก เอาลูกไปปล่อยทำไมจึงกลับมา แกพูดว่า อีกครั้งเราจะชวนไป ตกวันต่อมา ฝ่ายแม่ก็ล่อลวงลูกว่าเราจะไปป่าเพื่อหาหมากส้มลูกหวาน แล้วก็ชวนเจ้าบุญปันเข้าป่า ในทีนี้เจ้าบุญปันรู้ว่าแม่เลี้ยงเกลียดชังตนอยู่แล้วก็ชวนเอาหมาไปด้วยและไม่ยอมกลับบ้าน คงเดินไปในป่า ตามยถากรรม บังเอิญมียักษ์สองผัวเมียพบเข้าก็เลยเก็บเอาไปเป็นลูกเลี้ยงทั้งหมาทั้งคน พ่อยักษ์ก็สอน วิชาการและคาถาอาคมให้จนหมดภูมิของตน ต่อมาวันหนึ่ง มีพญาเจ้าเมืองคนหนึ่งไล่กวางไปแล้วหลงเข้าไปเมืองยักษ์ ยักษ์ก็จับเอาไว้ได้ว่าจะ กิน แต่พญาบอกว่าถ้ากินตนก็จะได้กินเพียงคนเดียว ถ้าให้ปล่อยตนไปก็จะยอมส่งลูกให้กิน ๗ วันต่อคนหนึ่ง แล้วยักษ์ก็ปล่อยพญาไป พอไปถึงบ้านเมืองก็จัดการทำปราสาทไว้นอกเมือง แล้วเตรียมเอาลูกสาวส่งไป ให้ยักษ์กินตามสัญญา ส่วนเจ้าบุญปันอยู่กับยักษ์พ่อแม่บุญธรรมนานแล้ว ก็อยากจะไปเที่ยวต่างเมือง ซึ่งพ่อและแม่บุญธรรม ก็ไม่ขัดขวาง แล้วก็ยกเครื่องอาวุธ เช่น ดาบสรีกัญชัย เป็นต้นให้ลูก แล้วพ่อยักษ์ก็แนะนำให้ไปหาบ้านลุง ของยักษ์ ซึ่งพ่อลุงเมื่อรู้ว่าเป็นหลานบุญธรรมก็ช่วยส่งไปเมืองคนโดยเอาเจ้าใส่อุ้งมือข้ามแม่น้ำให้ถึงบ้าน แม่ย่าจ่าสวนชื่อว่าปิ่นคำ เจ้าอาศัยอยู่กับแม่ย่าจ่าสวนอยู่ถือว่าเป็นแม่ของตน พอรุ่งเช้าเจ้าบุญปันก็เห็นพญาเจ้าเมืองแห่ลูกสาวมาเพื่อจะเอาไปให้ยักษ์กิน ผ่านกระท่อมน้อยของ แม่ปิ่นคำ ส่วนเจ้าบุญปันเห็นลูกสาวพญาก็รู้สึกพอใจ พอถึงหัวค่ำแล้วเจ้าก็แต่งตัวถือดาบสรีกัญชัย พร้อม เครื่องดนตรีคือ ซออู้ ไปแอ่วหานางที่ปราสาทแล้วนางลูกสาวพญาได้ยินก็บอกว่าเจ้าอย่าได้มาที่นี่ เดี๋ยว ยักษ์จะมากิน เพราะถึงกำหนดที่พ่อเอานางมาให้ยักษ์กิน ซึ่งยักษ์กินไปแล้ว ๖ คน ยังค้างแต่ตนผู้เดียว ทั้งสองคุยกันได้ไม่นานนัก ก็มียักษ์มามากมายเหาะมาเพื่อจะกินนาง ส่วนเจ้าบุญปันเห็นเช่นนั้นจึง เข้าต่อสู้และฆ่ายักษ์ตายไปเป็นอันมาก แล้วเจ้าบุญปันก็ขออำลานางเพื่อกลับบ้านแม่ปิ่นคำ ก่อนที่จะไปนั้น นางก็เอามีดตัดชายผ้าสะไบให้เอาไปเพื่อเป็นของตอบบุญคุณที่ฆ่ายักษ์ ครั้นรุ่งเช้าพวกชาวบ้านชาวเมืองไปที่ปราสาท ก็ไปเห็นยักษ์ตายอยู่มากมายเช่นนั้น ก็รีบไปแจ้งต่อ พญาเจ้าเมือง ส่วนพญาเจ้าเมืองก็ดีก็ไปแห่เอานางกับมาสู่บ้านสู่เมืองตามเดิม แล้วไต่ถามข่าวว่าใคร คือผู้ที่มาช่วยฆ่าพวกยักษ์ ซึ่งนางก็บอกว่าจำไม่ได้ เพียงแต่ตนได้มอบชายผ้าสไบให้ไปเท่านั้น ฝ่ายพญาเจ้าเมืองก็ประกาศเกณฑ์ให้ชายทุกคนเอาชายสะไบมาชุมนุมกัน จนชายคนสุดท้ายที่ต้องไป แสดงตัวคือเจ้าบุญปัน ซึ่งเมื่อนำชายผ้าของนางมาต่อกับของเจ้าบุญปันก็พอดีกัน พญาก็อุสสาภิเษกให้เขา สองคนเป็นผัวเมียกันตามประเพณี แล้วมอบบ้านเวนเมืองให้เป็นเจ้าเมืองแทน เมื่อเจ้าบุญปันได้อยู่เป็นสุขแล้วก็ทำบุญ ให้สร้างศาลาหลังหนึ่งแล้วให้ทานข้าวของเงินทองเป็นอัน มาก และให้เขียนรูปประวัติของตนและแม่เลี้ยงพร้อมด้วยหมาฮุยไว้ด้วย ส่วนพ่อและแม่สืบได้รู้ข่าวว่ามีคน ทำบุญให้ทานมากก็อยากได้ จึงไปที่ศาลานั้น ส่วนแม่เลี้ยงเมื่อเห็นรูปต่าง ๆ นานา อันเขียนติดฝาศาลา ก็นึกรู้ได้ว่าเป็นเรื่องของลูกติดผัวตัวก็ อายและกลัวตายจึงหลบหนีออกจากเมืองไป แต่ไปได้ไม่ไกล แผ่นดินแยกสูบเอาแม่เลี้ยงไปถึงอเวจีนรก ส่วนเจ้าก็เอาพ่อของตนพร้อมทั้งแม่จ่าสวนอยู่กับด้วยตนอย่างแสนสำราญ เจ้าบุญปันก็คิดถึงยักษ์ที่เป็นพ่อแม่บุญธรรมกับหมาฮุย ก็เลยไปเยี่ยมพ่อพญายักษ์ แล้วก็ขอเอาหมาฮุย คู่ชีวิตของเจ้ามาอยู่กับบ้านเมืองของตนและได้อยู่สุขสำราญไปจนชั่วอายุ

ปีศาจ
08-20-2009, 04:10 PM
ตาบอดสองสหาย (นิทานของชาวไทลื้อ)
มีคนตาบอดสองคนคบหากันเป็นสหายสนิทซึ่งไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ ครั้งหนึ่งชายตาบอดทั้งสอง ไปพบชายคนหนึ่งกำลังเจาะรางข้าวหมูอยู่ ก็ถามว่า ทำอะไรอยู่ ชาวบ้านคนนั้นก็บอกว่ากำลังเจาะราง หมู มันทั้งสองก็ไม่เชื่อ หาว่าชายคนนั้นกำลังเจาะรังผึ้งอยู่ แม้ชายคนนั้นพยายามบอกมันทั้งสองอย่างไร ทั้งคู่ก็ไม่ยอมเชื่อ จนในที่สุดชายคนนั้นก็รำคาญจึงบอกว่า ใช่แล้ว เขากำลังเจาะรังผึ้งอยู่ แล้วชายคนนั้น จึงไปเอาห่อขี้มาให้อ้ายตาบอดทั้งสอง พร้อมกับบอกว่าเป็นไข่ผึ้ง ตาบอดทั้งสองสหายจึงพากันเดินทางต่อไป ในระหว่างทางนั้นมันทั้งสองก็หิวข้าวจึงเอาห่อ"ไข่ผึ้ง" ออกมาแกะเพื่อจะเอาข้าวเหนียวมาจิ้มกิน ก็ได้กลิ่นขี้ ทั้งสองก็คิดว่ามีคนมาขี้อยู่บริเวณใกล้ ๆ นั้น จึง ย้ายไปที่ใหม่อีก ซึ่งก็ยังได้กลิ่นขี้อีก แม้จะย้ายไปอีกก็มีกลิ่นขี้อย่างเดิม ในที่สุดตาบอดทั้งคู่จึงเอาห่อที่ได้ จากชายนั้นมาดมดูก็รู้ว่าเป็นห่อขี้มิใช่ไข่ผึ้ง ก็มีความโมโหชายคนเจาะรางหมูเป็นอย่างมาก จึงพากันกลับ ไปหาชายคนเจาะรางหมูคนนั้นอีก แล้วบอกชายคนนั้นว่าจะฆ่าเสียให้ตาย ชายคนนั้นจึงเอาท่อนไม้ให้ทั้งสองคนละอัน แล้วก็ให้ทั้งสองตีตน เพราะทั้งสองไม่รู้ว่าใครเป็นชาย ที่เจาะรางข้าวหมู จึงตีถูกกันเองจนถึงแก่ความตายไปทั้งสองคน

ปีศาจ
08-20-2009, 04:29 PM
ตำนานแม่ธรณี
เนื้อหาของเรื่องนี้แบ่งออกเป็นสองตอน ตอนที่หนึ่งกล่าวถึงต้นศรีมหาโพธิ ตอนที่สองกล่าวถึงแม่ธรณี ตอนที่หนึ่ง กล่าวถึงต้นศรีมหาโพธิ ซึ่งเป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าได้อาศัยร่มเงาเป็นที่ประทับขณะตรัสรู้ ลักษณะของต้นโพธินี้มีขนาดใหญ่ประมาณ ๓๐ ศอกของพระพุทธเจ้า จากดินถึงคาคบสูง ๕๐ ศอก จากคาคบถึงยอด ๕๐ ศอก แต่ละกิ่งยาว ๕๐ ศอก มีกิ่งทั้งหมด ๑๐๐๐ กิ่ง มีใบ ๓ โกฏิ มีก้านแดงงาม มียอด ๒๐๐ โกฏิ กลมและกว้าง ๑๐๐ ศอก มีสีขาว เขียว เหลือง ดำ แดง มีเทวดา นาค พรหม พระอินทร์ พระวิษณุกรรม ยักษ์ พระยาราชสีห์ และลูกสาวกับบริวารพระยามารคอยดูแลรักษา หากผู้ใดได้สักการบูชาต้นโพธินี้ก็จะได้ถึงนิพพาน แม้ต้นไม้ที่ขึ้นใกล้กับต้นโพธินี้ก็จะมีดอกตลอดเวลา ต้นโพธินี้ตั้งอยู่บนสะดือเมืองชมพูทวีปซึ่งมีเมืองต่างๆ เป็นบริวาร ปัจจุบันไม่มีต้นโพธินี้แล้ว คงมีแต่เจดีย์ซึ่งสร้างขึ้นมาไว้ให้ผู้คนสักการบูชาแทน
ตอนที่สอง กล่าวถึงแม่ธรณีซึ่งเป็นผู้รักษาแผ่นดิน ได้กล่าวกับพระยาวิษณุกรรมถึงสาเหตุที่คนทั้งหลายมีสุขทุกข์แตกต่างกันว่าเป็นเพราะสิ่งต่อไปนี้ คือ
- สถานที่หรือทำเลที่ตั้งบ้านเรือนว่า อยู่ทางทิศใด ระดับพื้นที่สูงต่ำเพียงใด
- ชนิดของต้นไม้ที่ปลูกในบ้านหรือใกล้บ้าน
- การบูชาเทวดา ผีบ้านผีเรือนเมื่อเวลาสร้างบ้านใหม่
- การกระทำสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่สมควรหรือที่เรียกว่าขึด เช่นถมบ่อน้ำที่มีอยู่ ตัดต้นไม้ซึ่งเป็น ศรีเมือง ทำลายจารีตเดิม ฯลฯ
- ชนิดของไม้ที่นำมาสร้างบ้าน เมื่อได้ฟังแล้ว พระยาวิษณุกรรมก็ได้นำเอาเรื่องราวนี้ไปจารึกไว้ที่หน้าผาของเกาะแห่งเมืองลีลปถนคร ภายหลังฤาษีชื่อสุเมธ ได้นำสั่งสอนชาวเมืองตักสิลาและสืบทอดมาจนบัดเดี๋ยวนี้


เรียบเรียงจาก พรรณเพ็ญ เครือไทย)

ปีศาจ
08-21-2009, 04:42 PM
นางไข่ฟ้า (หมาเก้าหาง) (นิทานของชาวไทเขิน)
เมื่อก่อนมีเมือง ๆ หนึ่ง มีทุคคตะ (คนจน) ๒ พ่อลูก ก่อนพ่อจะตายได้สั่งลูกว่า ถ้าพ่อตายแล้วให้ เอาหัวพ่อไปด้วยไม่ว่าจะเดินทางไปที่ใด ต่อมาไม่นานผู้เป็นพ่อก็ตายฝ่ายลูกจึงเอากะโหลกของพ่อติดตัว ไปด้วยทุกแห่ง ต่อมาไม่นานก็ออกจากบ้านไปอยู่ในป่า และปลูกกระท่อมในป่าแล้วเอากะโหลกของพ่อฝัง ไว้ใต้กระท่อมนั้น ต่อมาก็ออกไปทำงานเกี่ยวข้าวมาขายทุกวัน วันหนึ่งชายยากจนคนนั้นออกไปเกี่ยวข้าว ไปพบไข่ใบหนึ่งซึ่งใหญ่มากเห็นว่าประหลาดดี จึงเก็บมา ไว้ในบ้าน ต่อมา ขณะที่เขาออกไปทำงาน ก็มีผู้หญิงสวยงามคนหนึ่งออกจากไข่นั้นมาทำงานหุงหาอาหาร ไว้ให้เขา เมื่อเขากลับจากเกี่ยวคาก็มาพบอาหารก็จึงแปลกใจว่าใครมาทำอาหารไว้ให้ตน จึงไม่กล้ากิน แต่กลิ่นของอาหารนั้นหอม เขาทนหิวไม่ได้จึงได้กินอาหารนั้นจนหมด ต่อมาเขาแสร้งออกไปเกี่ยวหญ้าคา แล้วแอบกลับมาดู จึงมาพบหญิงสาวคนหนึ่งสวยมากกำลังทำอาหาร เขาจึงถามว่านางมาจากที่ไหน เป็น ลูกของใคร หญิงสาวผู้นั้นจึงได้บอกว่านางนั้นได้ออกมาจากไข่ที่เขาเก็บจากป่ามาไว้ในบ้าน ต่อมาทั้ง ๒ คนจึงได้เป็นผัวเมียกัน และที่บ้านของเขานั้นก็เลี้ยงหมา ๙ หางไว้หนึ่งตัว ไม่นานเจ้าเมืองได้ทราบว่าเขามีเมียสวยจึงอยากได้ จึงได้เรียกตัวเขาไปพบในวังและสั่งให้เขา ไปเอาไก่มาชนกัน โดยสัญญาว่าถ้าไก่ของชายผู้นั้นชนะก็จะยกเมืองให้ แต่ถ้าไก่เจ้าเมืองชนะเจ้าเมือง จะยึดเมียของเขาเสีย เขาจึงตกลงแล้วก็กลับบ้านมานั่งคิดว่าจะทำอย่างไรดี ฝ่ายเมียเมื่อทราบเรื่องก็ เอาข้าวมาหว่านหน้าบ้าน ก็มีอีเห็นตัวหนึ่งมากินข้าว เมียเขาจึงได้เสกคาถาให้อีเห็นเป็นไก่แล้วบอกให้ ผัวเอาไปชนกับไก่เจ้าเมือง เขาจึงเดินทางไปชนไก่กับเจ้าเมือง ไก่ของเจ้าเมืองก็แพ้ แต่เจ้าเมืองไม่ ยอมยกเมืองให้ตามสัญญา แต่กลับบอกให้เขาเอาวัวมาชนกันอีก เขาจึงได้กลับมาบ้าน มานั่งคิด ฝ่ายเมีย ก็มาถาม พอทราบเรื่องก็บอกว่าจะช่วยเหลือ แล้วนางจึงไปจับเสือในป่าแล้วเสกคาถาให้เป็นวัวแล้วนำ มาให้ผัวนางไปชนกับวัวเจ้าเมือง ปรากฏว่าวัวของเจ้าเมืองก็แพ้ เจ้าเมืองก็ไม่ยอม แต่กลับบอกให้เขา เอาช้างมาชน เขาจึงกลับบ้านมานั่งคิด ฝ่ายเมียก็มาช่วยโดยไปเอาฤาษีตนหนึ่งมาเสกเป็นช้างและให้ผัว ของนางนำไปชนกับช้างเจ้าเมือง ช้างของเจ้าเมืองก็แพ้ เจ้าเมืองจึงบอกว่าอีก ๗ วันจะยกเมืองให้ ต่อมาใกล้จะถึง ๗ วัน เจ้าเมืองก็สร้างกลองใบใหญ่ขึ้นใบหนึ่ง และให้คนไปอยู่ในกลองแล้วใช้คน นำไปหาเขาที่บ้านโดยบอกว่าเจ้าเมืองจะมีงานจึงได้เอากลองมาฝากไว้ แท้ที่จริงแล้วเจ้าเมืองนั้นอยาก จะสืบดูว่าเขามีของวิเศษอะไรจึงชนะเจ้าเมืองทุกอย่าง ตกตอนดึกมา สองผัวเมียจึงพูดคุยกัน ฝ่ายเมีย บอกเขาว่าห้ามกินไข่ทุกชนิด เพราะว่าจะทำให้นางไม่สบายและจะอยู่ไม่ได้ในเมืองมนุษย์ จะต้องกลับไป อยู่ที่เมืองของนางบนสวรรค์ เมื่อคนที่อยู่ในกลองได้ยินเช่นนั้นจึงนำเรื่องไปเล่าให้เจ้าเมือง เจ้าเมือง จึงจัดงานเลี้ยงขึ้นแล้วใช้คนไปเรียกผัวของนางมา พอผัวของนางมาถึงงานเลี้ยง ก็พบว่าอาหารทุกอย่าง ประกอบด้วยไข่ทั้งหมด เขาจึงนึกถึงคำบอกของเมียจึงไม่กินอาหาร เจ้าเมืองจึงโกรธ บอกว่าถ้าเขา ไม่กินแล้วก็จะถูกฆ่า เขาจึงกลัวจึงหยิบกินเพียง ๒-๓ คำ ซึ่งก็เพียงพอที่ฝ่ายเมียซึ่งอยู่ทางบ้านจะปวดหัว จนอยู่ต่อไปไม่ได้ จึงต้องกลับไปบนสวรรค์ แต่ก่อนจะกลับก็ได้ฝากแหวนวิเศษของนางไว้ให้ผัวโดยฝากไว้ กับหมา ๙ หางของนาง พอเขากลับมาถึงบ้านไม่พบเมียก็จึงเสียใจนัก หมา ๙ หางจึงบอกว่าไม่ต้อง เสียใจ ตนจะช่วยพาไปหาเมียแล้วจึงเอาแหวนนั้นให้เขา หมา ๙ หางจึงพาเขาเดินทางมาถึงฝั่งน้ำแห่งหนึ่ง ก่อนจะข้ามน้ำ หมาได้สั่งเขาว่า ถ้าตนตดขึ้น ก็จงอย่าหัวเราะ เพราะว่าถ้าหัวเราะแล้วหางมันจะหลุด แล้วจึงให้เขาเกาะหางหมาเดินทางข้ามแม่น้ำ หมาก็ตดเขาก็หัวเราะ จึงทำให้หางหมาขาด เขาก็จับอีกหางหนึ่ง และหางหมาขาดถึง ๘ ครั้งจึงข้ามน้ำ ได้สำเร็จ ทำให้หมาเหลือหางเดียวมาจนทุกวันนี้ ฝ่ายหมาก็เจ็บปวดมากเพราะหางขาดและเดินทางมากับเขาได้ไม่นานก็ตาย เขาจึงนำศพหมาเดิน ทางต่อไป มีแมลงวันตัวหนึ่งมาขอกินเนื้อหมา เขาก็ให้แมลงวันกิน แมลงวันจึงช่วยแนะนำทางเขาจนถึง เขตเมืองของกา แมลงวันก็บอกว่าตนเดินทางต่อไปไม่ได้แล้ว และบอกว่าถ้าเมื่อใดที่ต้องการให้มันช่วย แล้วก็จงอธิษฐานถึงมัน เขาจึงเข้าไปในเขตเมืองของกา กามาพบเขาและขอกินเนื้อหมาอีก เขาก็จึงให้ กากิน กาจึงนำทางมาจนหมดเขตเมืองของกาถึงเขตของอีแร้ง กาก็ได้สั่งเขาอย่างเดียวกับแมลงวัน พอ เข้าเขตอีแร้ง ๆ ก็ขอเขากินเนื้อหมาอีก เขาก็ให้กินและอีแร้งก็กินจนหมด ต่อมาอีแร้งก็ไปส่งเขาจนหมด เขตเมืองของอีแร้ง เขาจึงเดินทางไปเรื่อย ๆ เขารู้สึกกลัวจึงไปนอนบนต้นไม้แห่งหนึ่งซึ่งใหญ่ที่สุด ต่อมามีนก ๒ ตัวผัวเมียเป็นนกที่ใหญ่มากสามารถบินถึงชั้นฟ้าได้ ซึ่งชื่อว่านกอะจ๊ะเลเล(หัสดีลิงค์) บินมาเกาะที่ต้นไม้นั้นและได้คุยกันว่า วันนี้กินอิ่มแล้วพรุ่งนี้จะกินอะไรอีก ฝ่ายนกที่เป็นผัวจึงบอกว่า พรุ่งนี้ จะไปกินช้างที่เมืองจุมปอน(อุทุมพร) เขาจึงได้รู้ว่าเมียตนอยู่เมืองจุมปอน เขาจึงแอบเข้าไปซ่อนตัวอยู่ ในหางปั่วนก(หางนกเส้นโต) รุ่งเช้านกก็บินไปยังเมืองจุมปอน และก็บินลงไปจะไปกินช้างที่ตาย เขาจึง หล่นตกลงมาจากขนนกแล้วก็เดินไปเรื่อย ๆ มาจนถึงท่าน้ำแห่งหนึ่ง พอดีทางเมืองนั้นจะทำพิธีอาบน้ำนาง ไข่ฟ้าซึ่งเป็นเมียของเขาและเป็นลูกสาวของเจ้าเมืองและใช้คนใช้มาหาบน้ำที่ฝั่งแม่น้ำนั้น คนใช้จึงได้มา พบกับเขาที่นั่น เขาจึงถามว่านางหาบน้ำไปทำไม คนใช้ก็บอกว่าตักไปให้ลูกสาวเจ้าเมืองอาบ เขาจึง ช่วยนางยกหาบน้ำใส่บ่าแล้วแอบถอดแหวนใส่ลงในหาบน้ำ พอนางคนใช้หาบน้ำมาถึงในวังแล้วไปเทให้ลูกสาวเจ้าเมืองอาบ แหวนจึงได้วิ่งเข้าสวมนิ้วมือของ ลูกสาวเจ้าเมืองจึงทำให้ลูกสาวเจ้าเมืองหรือนางไข่ฟ้ารู้ว่าผัวของนางมาตาม นางจึงถามคนใช้ว่าตักน้ำ ที่ไหนมา คนใช้ก็เลยเล่าให้ฟังว่าพบชายคนหนึ่งอยู่ที่ท่าน้ำ นางจึงบอกให้พ่อแม่ว่าผัวนางมาตาม พ่อแม่ นางจึงให้ทหารไปตามเขามา แล้วไม่ให้เห็นนาง แล้วจึงจัดงานและให้นางคนใช้อีก ๖ คนมาแต่งตัวให้ เหมือนนางไข่ฟ้าแล้วใช้ผ้าม่านปิดหน้าแล้วให้เขาไปเลือกว่าใครเป็นเมียของเขา โดยเอาแหวนของนาง ออกเสีย ฝ่ายชายผู้เป็นผัวของนางก็อธิษฐานให้แมลงวันมาช่วย แมลงวันจึงบินมาเกาะที่มือของนาง เขา จึงชี้ตัวนางได้ถูกต้อง ฝ่ายเจ้าเมืองผู้เป็นพ่อตาก็ไม่เชื่อจึงให้ใช้ผ้าม่านปิดแล้วให้นางทั้ง ๗ ยื่นนิ้วออกมา คนละนิ้ว แล้วจึงให้เขาเลือกชี้ว่านิ้วไหนเป็นของนางไข่ฟ้า ชายผู้เป็นสามีจึงอธิษฐานให้แมลงวันมาช่วย แมลงวันจึงมาเกาะที่นิ้วนาง ทำให้ชี้ได้ถูก เจ้าเมืองจึงเชื่อและยกรองเท้าวิเศษที่ใส่แล้วเหาะได้ให้ด้วย จากนั้นเขากับเมียจึงเหาะลงมาที่กระท่อมเขาและได้มาฆ่าเจ้าเมืองที่โกงเขาถึง ๓ ครั้ง ๓ ครา แล้วเอาไฟเผาเมืองไหม้หมด ต่อมาจึงได้สร้างเมืองขึ้นใหม่ และทั้ง ๒ คนได้ครองเมืองนั้นสืบมา หมายเหตุ นิทานเรื่องนี้ ตรงกับเรื่อง นางไข่พราง และสุพรหมโมกขกุมารชาดก และยังมีบางตอนที่คล้ายกับเรื่องพระสุธนหรือนางมโนห์รา

ปีศาจ
08-24-2009, 05:05 PM
ตำนานพระจันทน์
ตำนานพระจันทน์ หรือตำนานการสร้างพระพุทธรูปด้วยไม้จันทน์ สรุปความจากจากต้นฉบับของวัดทรายมูล ต.ทรายมูล อ.สันกำแพง เชียงใหม่ จารเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๒ ในธัมม์หรือคัมภีร์ดังกล่าวประกอบตำนานของพระจันทน์ พระสิงห์และพระแก้ว รวม ๓ เรื่อง ด้วยกัน เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งที่พระเจ้าปเสนทิโกสล ทรงคิดที่จะสร้างพระพุทธรูปเพื่อเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้าเมื่อเสด็จปรินิพพานแล้ว จึงขออนุญาตจากพระพุทธเจ้า เมื่อได้รับอนุญาตจึงให้ราชทูตไปเอาไม้แก่นจันทน์จากพญาสุวัณณพรหมา แล้วให้ช่างแกะสลักเป็นพระพุทธรูปสูง ๖ องคุลี หน้าตักกว้าง ๒๐ ศอกองคุลี บ่ากว้าง ๒๖ องคุลีกับครึ่งนิ้วมือ มีน้ำหนัก ๘๐๐๐ เสร็จแล้วก็นำไปให้พระพุทธเจ้าทอดพระเนตร แล้วถวายทานอาหารและน้ำแก่พระพุทธเจ้า ครั้งนั้นพระพุทธเจ้าจึงเทศนาอานิสงส์การสร้างพระพุทธรูปโปรดแก่พญาปเสนธิโกสล เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานและพญาปเสนธิโกสลสวรรคตแล้ว ราชบุตรของพญาปเสนทิโกสลชื่อวิตตุภะก็ได้ครองราชย์แทน พญาสุวัณณพรหมาก็ส่งราชทูตมาขอพระจันทน์ พญาวิตตุภะจึงให้สร้างพระพุทธรูปแก่นจันทน์อีก ๒ องค์ให้เหมือนกับองค์แรก แล้ววางไว้สองข้างของพระองค์แรก จากนั้นให้ราชทูตของพระสุวัณณพรหมาเลือกไป ๑ องค์เมื่อได้แล้วก็นำไปถวายพญาสุวัณณพรหมา พระจันทน์อยู่เมืองสุวัณณพรหมาได้ ๑๐๐๐ ปีจนเมืองนี้แพ้ศึก ลูกพญาสุวรรณพรหมาคืออาทิตยราชกุมาร จึงเอาพระจันทน์ไปไว้ที่เมืองแช่ตา ส่วนจันทนราชกุมารก็เอาพระธาตุพระพุทธเจ้าไปไว้ที่ลำปาง ต่อมาเมืองแช่ตาเกิดการโกลาหล มหาเถรเจ้าตนหนึ่งจึงนำพระจันทน์นี้ไปถวายพญาคำแดงๆ ก็รับไว้ได้ ๑๕ ปี ลูกพญาตนหนึ่งชื่อ ท้าวตาแหวนมาขอพระจันทน์ ซึ่งลูกพญาคำแดงก็ให้ไป พระจันทน์อยู่ที่เมืองท้าวตาแหวนได้ ๑๐ ปี ก็ถูกมหาเถรชื่อ สิโวหะ ขโมยไปไว้ที่บ้านพุกามซึ่งอยู่ในเมืองแช่ตา ฝากไว้กับพรานป่าผู้หนึ่งได้ ๗๓ ปี ต่อมาปู่โมไปทำศึกที่เมืองแช่ตาก็จึงเอาไปไว้ยังบึงหนองบัวที่เมืองพะเยา อยู่ได้ ๖๐ ปี เมื่อพญาสุทธิศิลป์รู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระจันทน์จึงได้นำไปไว้ที่วัดป่าแดงหลวงดอนชัยอยู่นาน ๖ เดือน ต่อมา พญาติโลกราชก็ให้มหาธรรมเสนาไปเอาพระจันทน์มาไว้ยังเชียงใหม่โดยผ่านเมืองน่าน เมืองแพร่ เมืองหริภุญชัย แล้วจึงนำมาไว้ที่วัดอโสการามซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองเชียงใหม่ เมื่อท้าวยอดเชียงรายได้ครองเมืองพะเยาก็ขอพระจันทน์คืนไปอีก แต่พอถึงสมัยพญาแก้วๆ ก็ถวายพระจันทน์แก่พระเมืองแก้วเมืองเชียงใหม่ ซึ่งได้นำไปไว้ยังวัดศรีภูมิ แล้วย้ายไปวัดบุพพาราม เพื่อให้แขกชาวใต้ได้สักการะบูชากัน




(เรียบเรียงจาก พรรณเพ็ญ เครือไทย)

ปีศาจ
08-24-2009, 05:11 PM
อะลองมดส้ม (นิทานของชาวไทใหญ่)
มีพ่อค้าวัวคนหนึ่งมีวัว ๕๐๐ ตัว พ่อค้าก็ไปหาคนยากจนคนหนึ่งมาเป็นลูกจ้าง แล้วจึงต้อนวัวออก เดินทางไปจนถึงทุ่งหญ้ากว้างที่หนึ่ง จึงได้ให้ลูกจ้างเลี้ยงวัวอยู่ที่นั่น คนเลี้ยงวัวได้ไปนอนอยู่ใต้ต้นไม้ ต้นหนึ่ง ที่นั้นได้พบมดส้ม (มดแดง) กำลังทำรังอยู่ ซึ่งทำเท่าไรก็ไม่เสร็จ แต่มันก็ทำอยู่อย่างนั้น เขาจึง ช่วยทำรังให้แล้วกลับบ้าน ต่อมามดส้มก็แปลงเป็นหญิงสาวสวยงามไปตามหาเขา แต่ไม่พบเขา คงพบแต่ พ่อค้าวัว จึงได้ถามว่าเขาไปไหน พ่อค้าวัวบอกว่าเขาไปเก็บผัก หญิงนั้นบอกว่าถ้าเขากลับมาให้ไปตาม หานางที่ต้นไม้นั้น พอเขากลับมาพ่อค้าวัวก็บอกให้เขารู้ เขาก็ไปหาที่ต้นไม้นั้น ซึ่งก็พบบ้านหลังใหญ่อยู่ที่นั่นแทน คนที่ บ้านจึงเชิญเข้าไปในบ้าน คนแก่ในบ้านก็ถามว่า ที่ได้มาช่วยสร้างบ้านนี้ ต้องการสิ่งใดตอบแทน เขาบอก ว่าไม่ต้องการสิ่งใดเลย คนแก่ก็ให้คติว่าถ้าอดทนได้ ๗ วันโดยไม่พูดอะไรแล้ว ก็จะสามารถพูดภาษา สัตว์ได้ทุกอย่าง เขาก็รับคำ แล้วก็ออกจากบ้านแล้วมาเลี้ยงวัวต่อไป พ่อค้าวัวก็สงสัยว่าทำไมเขาจึงไม่ยอมพูด ก็นึกว่าผีเข้าก็ใช้น้ำมนต์มาปัดรังควาน ต่อมาอีก ๖ วัน ทำอย่างไรก็ไม่พูด พ่อค้าวัวก็จึงยกวัวให้ ๕ ตัว พอครบ ๗ วัน เขาก็รู้ภาษาสัตว์ เขาก็เดินทางถึงดอย แห่งหนึ่ง วัวพูดบอกเขาว่าถ้าเดินทางขึ้นดอยไปก็คงตายแน่ พอขึ้นดอยไป วัวของพ่อค้าก็ตายลงหลายตัว แต่ของเขาไม่ตาย พอไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พ่อค้าวัวก็ขายของหมดแล้วจึงซื้อของบรรทุกหลังวัวกลับมา แต่เขาก็ไม่ได้ซื้ออะไรบรรทุกมาเลย พ่อค้าวัวก็บอกว่าถ้าไม่บรรทุกอะไรแล้ว ไปพอถึงบ้านเขาจะต้องใช้ หนี้แทนพ่อค้าวัว พอกลับมาถึงกลางทาง วัวก็พูดว่า วัวของเขาทั้ง ๕ ตัวไม่ได้บรรทุกอะไรเลยเพราะเจ้าของเขา รัก แต่ที่เราต้องบรรทุกหนักเพราะเขาไม่รู้ภาษาเรา ที่จริงแล้วเงินมีซ่อนอยู่ใต้กองไฟที่เขาก่อให้เรานั้น พอถึงบ้านเขาจึงไปหาพ่อค้าวัว แล้วถามว่าที่กองไฟนั้นเอาอะไรฝังไว้บ้าง พ่อค้าวัวบอกว่าไม่ได้ฝังอะไร ไว้เลย ต่อมาเขาไปขุดก็พบทองและเงินมากมาย เขาจึงเอาเงินทองนั้นมาให้พ่อค้าวัวเพื่อใช้หนี้แทน และเอาเงินทองมาให้แม่เขา และจากนั้นตัวเองก็เอาเงิน ๑๐๐๐ ชั่ง ออกเดินทางไปหาเพื่อนที่เมืองอื่น ชายนั้นเดินทางไปพบคนแก่กำลังใช้ควายที่แก่มากไถนาอยู่ เขาก็ได้ยินควายบ่นว่ามันทำงานลำบาก เพราะแก่แล้ว เงินที่ซ่อนอยู่ใต้กองไฟก็ไม่ไปเอาเพราะไม่รู้จะบอกอย่างไร เขาจึงซื้อควายตัวนั้น ๑๐๐๐ ชั่ง แล้วนำไปปล่อยไว้ในป่าลึกและบอกควายว่า ถ้าตนมีทุกข์อะไรก็จะมาขอความช่วยเหลือ แล้วก็ออก เดินทางต่อไป เขาเดินทางไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ขณะนั้นคนได้ลิงตัวหนึ่งมา มีคนมามุงดูกันมาก และลิงบอกว่าถ้า อยากได้เงินมันก็จะบอกให้ เขาจึงขอซื้อลิงอีก ลิงจึงพาเขาไปที่อยู่ของมันและเอาทองให้เขา ๑๐๐๐ ชั่ง และบอกว่าถ้าเดือดร้อนอะไรให้มาบอกและจะไปช่วย เขาก็เดินทางต่อไป ก็ไปซื้อเต่าแล้วนำไปปล่อย เต่าก็ให้เงินทองแก่เขา เขาก็เดินทางต่อไปจนถึงบ้านของเพื่อน ก็พบเพื่อน เพื่อนของเขาก็ปรึกษากับเมีย ว่าจะฆ่าแม่ไก่ที่เลี้ยงไว้ทำอาหารเลี้ยงเขา ฝ่ายไก่ได้ยินจึงเรียกลูก ๆ ทั้ง ๗ ตัวมาสอนก่อนตาย เขาก็ ขอซื้อไก่และบอกไม่ให้ฆ่า ขอแต่เพียงเห็นหน้าและได้กินข้าวกับน้ำก็พอใจแล้ว แต่เพื่อนของเขาไม่ยอม จะฆ่าไก่มาทำอาหารเลี้ยงให้ได้ เขาจึงเดินทางกลับบ้าน ฝ่ายเพื่อนของเขาเมื่อเอาไก่มาต้ม ลูกไก่ทั้ง ๗ ก็โดดตามแม่ลงไปในหม้อ เลยถูกต้มตายในหม้อ เนื่องจากไก่นั้นมีน้ำมันอยู่ในตัวเอง น้ำมันนั้นจึงเป็นเชื้อเพลิงให้เกิดไฟไหม้หม้อต้มและลุกลามจนไหม้บ้าน และไหม้ ๒ ผัวเมียตายทั้งคู่

ปีศาจ
08-26-2009, 05:41 PM
ทำนายลักษณะคนจากวันเกิด

วันอาทิตย์ (คนเมืองอ่าน"วันติ๊ด") เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง ออกจะหยิ่งทะนง ไม่ค่อยลงความคิด เห็นกับใคร ชอบเป็นหัวหน้า มีความมานะอดทนมาก แม้ว่าจะโมโหร้าย ทว่าโกรธง่ายหายเร็ว เป็นคนเจ้าระเบียบ และมีสติปัญญาไหวพริบดี ชอบแสวงหาความรู้ ทำการค้าขายหรืองานอุคสาหกรรม ไม่ค่อยดี รับราชการดี
วันจันทร์ (คนเมืองอ่าน"วันจั๋น") เป็นคนเจ้าชู้ มักมีกามารมณ์รุนแรง เนื่องจากมีเสน่ห์ แต่ ไม่ค่อยมีศัตรู เป็นคนชอบคบค้าสมาคม เป็นชายจะได้เมียดี มีเงินทอง แต่ถ้าเป็นหญิงจะมีผัวหลายคน ทำมาค้าขายมีหวังรวย หากรับราชการ ปานกลาง
วันอังคาร (คนเมืองอ่าน"วันกาน") เป็นผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ช่างคิด ช่างจำ มักจู้จี้ขี้บ่นเป็นผู้มีบุญวาสนาแต่มักมีกรรมเก่า อาจถูกจองจำหรือได้รับทุกข์เพราะมิตรสหาย มีศัตรูปองร้ายอยู่มาก ทำการค้าขายดี หากรับราชการ ปานกลาง
วันพุธ (คนเมืองอ่าน"วันปุ๊ด") คนที่เกิดวันพุธกลางวันจะดีกว่าคนที่เกิดกลางคืน เป็นผู้ที่มี อำนาจ แวดล้อมไปด้วยบริวารและสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง หาคู่ครองได้ไม่ยาก เพราะมีรูปร่างหน้าตาสง่างาม ใจคอเยือกเย็น แต่บางครั้งก็โหดเหี้ยมเนื่องจากทำคุณไม่ขึ้น ชอบการสมาคม มีเพื่อนฝูงมาก มีความสุขกับคู่ครองแต่มีบุตรยาก การค้าดี รับราชการปานกลาง
วันพฤหัสบดี (คนเมืองอ่าน"วันผัด") เป็นคนขี้โรค ถึงแม้จะมีเงินทองมากแต่ก็หาความสุขได้ ยาก และมักไม่ได้อยู่บ้านเกิด เป็นคนมีวาสนา มีชื่อเสียง เป็นที่ชอบอกชอบใจของคนทั่วไป คนที่เกิดวันนี้ไม่ว่าหญิงหรือชาย จะได้คู่หลายคน เนื่องจากตัวเองเป็นคนกามารมณ์ร้อนแรง และมักเดือดร้อนเพราะเพศตรงข้าม มีอาชีพหมอ และนักการเมือง ดี ทำการค้า พอไปได้
วันศุกร์ (คนเมืองอ่าน"วันสุก") เป็นคนเห็นแก่ตัว เอาแต่ใจตนเป็นที่ตั้ง มักสร้างศัตรูเสมอ เพราะความคิดมักไม่ตรงกับผู้อื่น จึงมีญาติมิตรไม่มาก แต่จะโชคดีอยู่เสมอ ทำราชการดี ค้าขายปานกลาง
วันเสาร์ (คนเมืองอ่าน"วันเสา") เป็นผู้มีสติปัญญาดี ชอบคิดเรื่องราวของชีวิตและอนาคต เป็นคนรักความสัตย์ ตรงเวลา โกรธง่ายหายเร็ว มีใจนักเลง ชอบการละเล่นและกีฬาต่าง ๆ เป็นคน อาภัพ มักได้จากบ้านและพ่อแม่พี่น้อง แต่มีผู้อุปถัมภ์ดี

ปีศาจ
08-26-2009, 05:46 PM
เรื่อง ขอซื้อฟืน
มีคนไทยคนหนึ่งเข้าไปในหมู่บ้านคนเมืองเพื่อขอซื้อฟืนจากชาวบ้าน คนไทย "ลุง ๆ ขอซื้อฟืนหน่อย จะขายมั้ย" คนเมือง "นาย ๆ ลุงบ่มีปืนขาย" คนไทย "ก็ถามย้ำไปอีกว่า ขอซื้อฟืน จะขายมั้ย" คนเมือง "ก็ผมบอกนายไปแล้วว่าผมบ่ได้ขายปืน บ่มีปืนจะขายฮู้ก่อ" คนไทยชักยัวะ ก็ชี้ไปที่กองฟืนที่อยู่ข้างบ้านกองใหญ่แล้วว่า "นี่ไม่ใช่ฟืนจะเป็นอะไรว่ะ" คนเมืองก็แสดงความบริสุทธิ์ใจว่าตนเองไม่มีปืน ไม่ได้ขายปืน และก็ไม่ได้เอาปืนไปซ่อนในกองหลัวคือกองฟืนนั้น จึงจัดการรื้อ"กองหลัว"ให้คนไทยผู้นั้นดู คนไทย "งง แล้วก็ถามว่าที่ชี้เมื่อกี้นี้เป็นอะไร" คนเมือง "นี่บ่มีปืนซ่อนก่อ ก๋องนี่มันเป๋นก๋องหลัว" (ที่นี่ไม่มีปืนซ่อนไว้ กองนี้เป็น"ก๋องหลัว"คือกองฟืน) คนไทย ???

ปีศาจ
08-28-2009, 10:41 AM
ตำนานพระญาธัมมิกราช
ตำนานพระญาธัมมิกราช หรือ ตำนานพระญาธัมม์ เป็นเรื่องที่กล่าวถึงพญาจักรพรรดิราช คือ ผู้ที่จะมาสั่งสอนคนแทนพระพุทธเจ้าในกัลป์ที่ไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในโลกนี้ แต่ในตำนานสุวรรณคำแดงนั้นกล่าวว่า "ในครั้งนั้นพระญาธรรมปรากฏในเมืองฮ่อ" ทำให้เห็นว่า"พระญาธัมม์"หมายถึง กษัตริย์ผู้ทรงอานุภาพมากกว่าที่จะเป็น"พญาจักรพรรดิราช"ดังเช่นที่ปรากฏในไตรภูมิพระร่วง ทั้งนี้ ตำนานพระญาธัมมิกราช ซึ่งอ้างว่า"ได้จากเมืองพุก่ำมาแล" ซึ่งศูนย์ส่งเสริมและศึกษาวัฒนธรรมลานนาไทย วิทยาลัยครูเชียงใหม่ได้ปริวรรตไว้เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๓ มีใจความกล่าวไว้ ดังนี้ ในตอนต้นเรื่อง กล่าวถึงความเดือดร้อนประการต่างๆ ที่เกิดมีในบริเวณเมืองเชียงใหม่กับลำพูน แล้วจึงกล่าวถึงพญาตนหนึ่งอยู่ทางฟากตะวันออกของน้ำแม่ระมิงคือน้ำแม่ปิง พญาดังกล่าวมีบุตร ๒ คน แล้วทั้ง ๓ ได้รบกันที่เชิงดอยอุจฉุคือดอยสุเทพ บุตรที่เกิดในปีฉลูได้เป็นพญาแทนพ่อ ต่อมาก็ถูกพญากัปปราชแห่งเมืองใต้ยกขึ้นมารบกวน ถัดจากนั้นพญาซึ่งอยู่ด้านตะวันออกและตะวันตกของน้ำแม่ปิงจะรบกัน หลังจากนั้นท้าวพญาทั้งหลายที่อยู่บริเวณขุนน้ำแม่ปิงจะหาศีลธรรมมิได้ ซึ่งเป็นเหตุให้พญาทาง"ฝ่ายสมุทร" หรือทางใต้ ยกรี้พลขึ้นมาตามลำน้ำแม่ระมิงแล้วรบกันที่เชิงดอยคำ เลือดจะตกในที่นั้นมากจนหนูข้ามไม่ได้ พญาธัมมิกราชจะปรากฏที่ "นาไร่หลวงแห่งเมืองหริภุญชัย" แล้วพญาธัมมมิกราชหรือพญาธัมม์จะเป็นผู้ห้ามการรบต่างๆ ครั้งนั้นจะเกิดมีปราสาทเกิดที่ผาก้อนใหญ่นอกเมือง พระอินทร์จะมาสรงน้ำและเป่าหอยสังข์ ท้าวจตุโลกบาล เทวดา ผีเสื้อ(อารักษ์) จะเอาของดีวิเศษต่าง ๆ ไปมอบให้เนื่องในการอภิเษกให้เป็นพญาธัมม์ พระวิษนุกัมม์จะมาเป็นสารถี พระอินทร์จะนำนางแก้วจากอุตตรกุรุทวีปมาให้ รวมทั้งธิดากษัตริย์ต่างๆ ในชมพูทวีปอีก ๑๘,๐๐๐ นาง แล้วพญาธัมมิกราชและพระอินทร์จะช่วยกันสร้างเมืองลำพูนให้เป็นมหานคร ให้ชื่อว่า"อินทาปราการ"และสร้างเครื่องประดับถวายพระธาตุหริภุญชัย แล้วขุมทรัพย์ทั้งหลายจะปรากฏขึ้น ซึ่งพญาธัมมิกราชจะได้แจกจ่ายแก่คนทั้งปวง พญาธัมมิกราชไปเมือง "นครหลวง" ซึ่งมีรูปหมูทองคำอยู่ที่สี่มุมเมือง นำเอาคัมภีร์ทั้งหลายมาตรวจสอบ คัมภีร์ที่ผิดก็จะเผาเป็นมุกรักทำเป็นพระพุทธรูป ภิกษุที่ไม่ถูกตามวินัยก็จะทรงให้สึกเสีย ถัดนั้น พญาธัมมิกราชจะสอนคนทั้งหลายให้ตั้งอยู่ในธรรม แล้วไปบูรณะเมืองราชคฤห์ สาวัตถี และมัชฌิมปเทสแล้วจึงกลับสู่เมือง"อินทาปราการ" ใน พ.ศ.๑๙๒๐ ระฆังของพญาธัมมิกราชองค์ก่อน ที่จมอยู่ในแม่น้ำอจิรวดีก็จะผุดขึ้น หากธัมมิกราชไปในที่ใดก็สั่นระฆังนั้น พระองค์จะมีบุตรที่ดีเหมือนชาลีและกัณหา พระองค์จะสร้างเจดีย์และพระพุทธรูป เมื่อมีการเฉลิมฉลองนั้น จะมี "ฝนห่าแก้ว" คือฝนตกลงเป็นแก้วมณีลงมาในชมพูทวีป ซึ่งพระองค์จะป่าวให้คนทั้งหลายเก็บเอาแก้วมณีมีค่านั้นไปตามความปรารถนา คนทั้งปวงจะอยู่เป็นสุข ไม่มีการทะเลาะกัน ทุกคนจะถือศีลบำเพ็ญภาวนาเคารพผู้เฒ่าผู้แก่
ดังที่อาจารย์กล่าวไว้เป็นอุบายว่า กาถามนกนางว่าทำไมมึงไม่กรอก นกยางว่าเพราะปลาไม่ออก ปลาเอ๋ยทำไมไม่ออก เพราะหญ้ารก หญ้าเอ๋ยทำไมจึงรกนัก เพราะวัวไม่กิน ทำไมวัวไม่กินหญ้า วัวว่าเจ้าเจ้าของไม่ปล่อยตน ทำไมเจ้าของวัวไม่ปล่อยวัว เจ้าของวัวว่าปวดท้อง ทำไมจึงปวดท้อง เพราะข้าวไม่สุก ทำไมข้าวไม่สุก เพราะไฟไม่ลุก ทำไมไฟไม่ลุก เพราะฟืนเปียก ทำไมฟืนเปียก เพราะฝนตกมาก ทำไมฝนตกมาก เพราะกบเขียดร้องเรียก ทำไมกบเขียดจึงร้อง เพราะงูจะกิน ทำไมงูจะกินกบเขียด เพราะกบเขียดเป็นอาหารของงู งูนั้นได้ทิ้งอีกาที่ฟักไข่ออกมาเป็นงูในเมืองนาค แม่กาป่วยตายและได้ให้เมืองนาคไว้แก่งู งูนั้นไม่รู้จักศีล งูนั้นไม่มีบุญ เมื่องูนั้นเกิดมาได้ ๕๕ ปี จะเกิดอุบาทว์ในเมืองนาคนั้น อาจารย์เจ้ากล่าวว่า อุปมาเหมือนปัญญาของงูก็เปรียบเหมือนอีกาและนกยางที่ไม่กรอก คือได้พญาที่ไม่สามัคคีกัน ปลาไม่ออกได้แก่พญาธัมมิกราชยังไม่บังเกิด หญ้ารกได้แก่มิจฉาทิฏฐิ วัวได้แก่พ่อเรือนที่ไม่รู้จักทำบุญให้ทาน เจ้าของวัวได้แก่พญาใจบาปที่ไม่ทำบุญให้ทาน ข้าวไม่สุกได้แก่กลียุคที่จะเกิดศึกแก่คนทั่วไป เมฆเป็นสีเหลืองสีแดง เมฆเป็นเหมือนธงเป็นรูปเหยี่ยวอยู่ทางทิศตะวันออก ถือว่าเป็นเหตุอัศจรรย์ แร้งกาบินโฉบไปมา เหยี่ยวเกาะที่เรือน ก็เป็นอัศจรรย์ รูปเทวดาและพุทธรูปมีเหงื่อไหลก็เป็นอัศจรรย์ ดาวหางเกิดขึ้นก็เป็นอัศจรรย์ ต้นไม้ที่ไม่ควรมีดอกผลกลับมีดอกผลก็เป็นอัศจรรย์ ต้นไม้ที่ไม่หอมเกิดหอมก็เป็นอัศจรรย์ ไม้ตายแล้วมีแก่นหอมเหมือนไม้จันทน์ก็เป็นอัศจรรย์ แผ่นดินแข็งแต่เมื่อลมพัดกลับมีกลิ่นหอม คนใจบาปกลับใจบุญ คนใจบุญกลับใจบาป เมืองเดียวเกิดมีพญาชิงอำนาจกัน แต่นั้นคนก็เลยวิวาทฆ่าฟันกัน พระอินทร์จะมาเป่าสังข์ในอากาศทำให้คนตกใจกลัว คนจะโกหกกัน ภูติผีเข้าสิงคนให้ฆ่าฟันชิงทรัพย์แย่งลูกเมียกัน ถัดนั้น เทวดาจะพุ่งไต้ไปในอากาศ ๓ ครั้ง ทำให้เกิดแผ่นดินไหวสองครั้งในวันเดียว เมื่อมีเหตุดั่งนี้ส่อแสดงแล้ว ก็หมายความว่าองค์ธัมมิกราชจะมาบังเกิด
ลักษณะของธัมมิกราชเมื่อจะเป็นพญานั้น มีกายสีขาวเหลืองเหมือนทองหยด ลักษณะดี ฟันงามมีเสียงนุ่มนวล มีขนขาวเส้นหนึ่งเป็นอยู่ที่ใบหน้าด้านซ้าย แต่ก่อนเป็นคนยากไร้แต่มีเพียร อยู่ที่ไหนมักถูกคนไล่ให้หนีจาก บวชสองครั้ง และเมื่อบวชนั้นเหล่าสงฆ์ก็ไม่ชอบ พอลาสิกขาบทแล้วอยู่ที่ไหนคนก็ไม่ชอบ ท่านให้ความเมตตาต่อคนยากไร้ รักคนใจบุญ ท่านมีบุตรหญิงชายอย่างละสอง ได้เรียนวิชาการมามาก มีใจกล้าหาญ เมื่อบวชนั้นอยู่ทางปลายน้ำแต่เมื่อลาสิกขาบทกลับอยู่ด้านเหนือน้ำ สง่างามเหมือนช้างเอราวัณ ตอนที่บวชนั้นนอนเหมือนลิงลม แต่เมื่อลาสิกขาบทแล้วนอนเหมือนนกพิราบ เมื่อจะได้เป็นพญาก็นอนเหมือนราชสีห์ ท่านจะมาสืบหาคนที่เกิดในปีงูเล็กตั้งแต่ "ปีเต่าเส็ดถึงปีกัดเป้า" เมื่อธัมมิกราชจะปรากฏเป็นพญานั้น จะมีม้าแก้วอยู่ที่ดอยอ่างสรงเชียงดาว พระแสงขรรค์ชัยศรีและแก้ววิเศษนั้น เทวดาจะนำมาให้ มีผีเสื้อพันหนึ่งเป็นบริวาร ผีเสื้อและฤาษีจะรื้อเอารางทองมาอภิเษก พระอินทร์จะให้น้ำอมฤต ทำให้ท่านมีรูปงามและรู้ปิฏกะทั้งปวง ท่านจะมาทำให้ศาสนารุ่งเรืองในหริภุญชัย เมืองฝาง เมืองละโว้และชำระคัมภีร์ทั้งปวง ทำให้คนทั้งหลายเป็นสุขด้วยข้าวของต่างๆ ถัดนั้น "หมู่หน้าแข็งตนขาว" จะเอา เมืองวิเทหะและจุฬนีมาถวาย จะมาสร้างปราสาทถวาย ธิดากษัตริย์ทั้งปวงจะมาถวายตัว ธัมมิกราชจะครองเมืองได้ร้อยปีและโอรสของท่านจะครองต่ออีกร้อยปี คนทั้งหลายจะมีความสุขทุกเมื่อ "ตำนานธัมมิกราชอันนี้ ได้แต่เมืองพุกำ(พุกาม)มาแล" ผู้ใดที่ได้เขียน ได้รักษาและได้บูชาเหมือนกับบูชาธัมมิกราชแล้ว ก็จะได้เงินทองมากนัก "ตำนานธัมมิกราชจบเท่านี้ก่อนแล สกราชได้ ๑๓๑๗ ปีก่าไส้ พ.ศ.๒๔๙๗"



(เรียบเรียงจาก อุดม รุ่งเรืองศรี )

ปีศาจ
08-28-2009, 10:46 AM
เหล้า (นิทานของชาวไทเขิน)
ในเมืองหนึ่ง มี แม่หม้ายคนหนึ่งที่ลูกชายคนเดียวของนางเป็นคนนิสัยไม่ดี นางจึงไล่ออกจากบ้าน และด่าว่า "มึงเป็นแดดมา กูก็ไม่ตากข้าว มึงเป็นพระเจ้ามา กูก็ไม่ไหว้มึง" ต่อมาลูกชายนางได้ไป อยู่กับชาวบ้าน แล้วก็ทำตัวเป็นคนดี ขยันแข็งแรง ทำการทำงาน จึงมีหญิงสาวคนหนึ่งมาชอบ และอยาก ได้เป็นผัว พ่อแม่ของนางก็บอกว่า ถ้าหากแต่งงานกับเขาก็จะไล่ออกจากบ้าน ต่อมา ๒ คนก็แต่งงานกัน และได้พากันหนีไปอยู่อีกที่หนึ่ง ทำมาหาเลี้ยงชีพจนพอมีเงิน จึงมีจิตใจทำบุญทำทานไปวัดฟังเทศน์ฟังธรรม ฝ่ายผัวจึงคิดจะไปขอขมาแม่ของตน จึงได้เก็บเอาผลไม้ พริก มัน เผือก ฯลฯ ใส่เกวียนเดินทาง ไปหาแม่ที่บ้าน จนมาถึงบ้านแม่ของตนแม่ก็ไม่ยอมรับ เพราะว่าได้พูดไว้แล้ว เขาจึงเสียใจแล้วคิดจะไป ถวายพระ พอไปหาพระ พระก็ไม่รับโดยบอกว่า แม่ของเจ้ารับไม่ได้แล้วข้า จะรับได้อย่างไร ทั้ง ๒ ผัวเมียรู้สึกอายแม่ จึงได้นำของเหล่านั้นเดินทางกลับบ้านของตน ขณะที่กลับไปได้ครึ่งทาง ก็ไปพบต้นไม้ต้นหนึ่งมีโพรงไม้ใหญ่ จึงคิดว่าตนจะกลับบ้านก็อายเขา จึง คิดว่าที่ไหนก็มีพระเจ้าอยู่ทุกที่ จึงเอาของเหล่านั้นมาเทใส่โพรงไม้เพื่อทำบุญ ต่อมาฝนตกหนัก น้ำฝนได้ เข้าไปท่วมบรรดาพริก ผลไม้และรากไม้ ฯลฯ ในโพรงไม้นั้น ต่อมามีนกและกวางสัตว์ต่าง ๆ มากินน้ำ ในโพรงก็มีอาการเมา จึงพากันร้องและเต้นอยู่เรื่อยไป ขณะนั้น พรานป่าคนหนึ่งมาเห็นนกมากินน้ำแล้ว ก็เต้นไล่จิกกัน พรานป่าจึงยิงนกจนลูกธนูหน้าไม้หมด นกก็ตายเป็นจำนวนมาก แต่พวกที่เหลืออยู่ก็ไม่หนีไป นายพรานจึงไปจับนกที่เมาและยังไม่ตายมาย่างกิน และก็ได้ไปตักน้ำที่ขังนั้นมากินไปพร้อมๆ กันด้วย เมื่อ ได้กินนกย่างและกินน้ำไปสักครู่หนึ่ง จึงเกิดอาการเมาและหลับไปโดยไม่รู้ตัว พอรุ่งเช้า นายพรานรู้สึกตัวว่าเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ คิดว่านกมากินน้ำนั้นคงเมากันแน่ จึงเปิด ถุงย่ามหมายจะดูนกที่จับไว้ พอเปิดถุงย่ามเท่านั้น นกที่หายเมาก็พากันบินหนีไปหมด จึงได้รู้ว่าน้ำนี้กินแล้ว เมา จึงได้ตัดกระบอกไม้ แล้วตักน้ำนั้นใส่เพื่อนำไปถวายเจ้าเมือง เมื่อไปถึงเจ้าเมืองก็นำน้ำนั้นถวาย และทูลว่าน้ำนี้กินแล้วก็เมา และบอกว่าถ้ากินน้ำนี้ต้องกินกับไก่ขอให้ฆ่าไก่หลาย ๆ ตัว และกินกันหลายคน จึงจะสนุก ต่อมาเจ้าเมืองจึงสั่งให้ฆ่าไก่แล้วมากินเหล้ากันไปแล้วก็หมด แต่เนื้อไก่ยังไม่หมด จึงใช้ทหาร และพรานนั้นไปเอามาอีก พรานจึงไปตักมาอีกเจ้าเมืองก็กินจนเมา ตักมาเท่าไรก็ไม่หมดจนเนื้อไก่หมด เจ้าเมืองจึงให้ฆ่าเป็ดอีกจนเป็ดหมด จึงให้ฆ่าหมูกินกับเหล้าต่อไปจนเหล้าหมด ก็ใช้เสนาไปตักมาอีกแล้ว กินต่อไปจนต้องฆ่าวัวควายช้าง ต่อไปเรื่อย ๆ ฝ่ายเมียก็โมโห จึงพูดว่าช้างก็หมด อะไรก็หมด ฆ่าตัวข้า และลูกกินให้หมดก็ได้ เจ้าเมืองจึงให้ทหารจับเมียและลูกไปฆ่าด้วยความเมา ทหารจึงฆ่าเมียและลูกของ เจ้าเมืองให้เจ้าเมืองกิน และตัดเอาท่อนแขนของเมียและลูกเจ้าเมืองใส่หม้อเอาฝาหม้อปิดไว้ ๗ ชั้น ต่อมาก็เกิดความกลัวจึงได้หนีไปหมด เจ้าเมืองก็เมามากนอนฟุบอยู่ รุ่งเช้ามาเจ้าเมืองสร่างเมาแล้วก็ตามหาลูกหาเมียแต่หาที่ไหนก็ไม่พบ เจ้าเมืองโมโหจึงเอาฆ้อน ไปตีกลองเรียกทหาร แต่ก็ไม่มีใครมาหา มีแต่เสนาเฒ่าคนหนึ่งมาหาเจ้าเมือง เจ้าเมืองได้ถามว่าทหาร หายไปไหนหมดและลูกเมียของตนหายไปไหนหมด เสนาเฒ่าจึงบอกว่าลูกเมียของเจ้าเมืองนั้นเจ้าเมือง ได้ฆ่ากินหมดแล้ว เพราะเจ้าเมืองใช้ทหารฆ่าแต่ทหารทำไปด้วยความกลัวจะถูกฆ่าแล้วจึงไม่กล้ากลับมา เจ้าเมืองจึงบอกว่าไม่เป็นไรให้เรียกทหารมาเจ้าเมืองจึงถามว่า จริงหรือไม่ ทหารก็บอกว่าจริง ตนได้ฆ่าและเอาท่อนแขนเก็บไว้ และก็ได้เอาท่อนแขนมาให้ดู แล้วเจ้าเมืองจึงให้ไป เรียกพรานป่ามาถามว่าพรานน้ำนี้มันมาจากไหน พรานตอบว่ามาจากโพรงไม้ในป่าแห่งหนึ่ง เจ้าเมืองจึงไปหาพระและเล่าเรื่องให้พระฟัง พระจึงเล่าเรื่องหญิงแม่หม้ายและมีลูกชายเกเรให้ เจ้าเมืองฟัง จนถึงตอนที่ลูกชายคนนั้นเอาของมาทิ้งไว้จนกลายเป็นเหล้า ฝ่ายเจ้าเมืองจึงคิดว่า ยังดีที่ เราไม่ตาย ถ้ากินมากกว่านี้คงจะต้องตายเป็นแน่ เจ้าเมืองจึงคิดว่าให้เป็นศีลข้อหนึ่ง ต่อมาเจ้าเมืองจึง ไม่กินเหล้าตลอดมา ศีลนั้นมีว่า สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณีสิกขาปทังสมาธิยามิ เจ้าเมืองจึงใช้ เสนาอำมาตย์ไปฟันต้นไม้ต้นนั้น เสนาอำมาตย์จึงพบรากไม้ ผลไม้ พริก ฯลฯ จึงได้เอามาทำเหล้าจน ตราบเท่าทุกวันนี้ ส่วนท่อนแขนของเมียเจ้าเมืองก็มาฝังไว้ที่ต้นไม้ไร่จามมอน

ปีศาจ
08-31-2009, 01:02 PM
ตำนานสิงหนวัติกุมาร
เรื่องนี้เริ่มจากการที่สิงหนวัติกุมาร โอรสพระเจ้าเทวกาลแห่งนครไทยเทศ คือเมืองราชคฤห์ อพยพผู้คนออกจากเมืองราชคฤห์เมื่อ พ.ศ.๔๓๐ เดินทางไปถึงชัยภูมิที่เคยเป็นแคว้นสุวรรณโคมคำมาก่อนไม่ใกล้แม่น้ำโขงนัก
เจ้าชายสิงหนวัติราชกุมารได้พบกับพันธุนาคราช ซึ่งพันธุนาคราชได้แนะนำให้เจ้าชายสิงหนวัติตั้งเมืองอยู่ในที่นั้น แล้วกลับวิสัยเป็นพระยานาคขุดแผ่นดินให้เป็นคูเมือง เจ้าชายสิงหนวัติจึงตั้งเมืองในที่นั้น และตั้งชื่อเมืองว่า เมืองนาคพันธุสิงหนวัตินคร จากนั้นอีก ๓ ปี เจ้าชายสิงหนาวัติก็ได้แผ่อำนาจปราบปรามหัวเมืองต่างๆ ในเขตนั้น และปราบได้ล้านนาไทยทั้งมวล ถัดจากรัชสมัยของเจ้าสิงหนวัติแล้ว กษัตริย์องค์ต่อมา คือ โอรสของพระเจ้าสิงหนวัติ คือ พระยาพันธนติ ถัดจากพระยาพันธนติ ก็คือ พระยาอชุตราช และเมืองนี้ก็เปลี่ยนชื่อมาเป็นเมืองโยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่น พระยาอชุตราชขอนางปทุมวดีจากกัมมโลฤาษี มาเป็นมเหสี ยุคนี้มีการสร้างพระธาตุดอยตุงและพระธาตุดอยกู่แก้ว กษัตริย์องค์ต่อมาคือพระมังรายนราช โอรสของมังรายนราช คือองค์เชืองนั้น ครองเมืองเดิม ส่วนโอรสชื่อไชยนารายณ์ไปตั้งเมืองใหม่ ชื่อไชยนารายณ์เมืองมูล เมืองโยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแสนก็มีกษัตริย์ปกครองต่อๆ กันมาจนถึง จ.ศ.๒๗๙ (พ.ศ.๑๔๖๐)จึงเสียแก่พระยาขอมแห่งเมืองอุโมงค์เสลานคร กษัตริย์ของเมืองโยนกฯถูกขับให้ไปอยู่ที่เวียงสี่ทวง ที่นั้นพระองค์พังได้โอรสที่เก่งกล้า คือพรหมกุมาร เมื่อพรหมกุมารอายุได้ ๑๖ ปี ก็เสนอให้พระบิดาแข็งข้อต่อขอม และตัวเองเป็นแม่ทัพเข้าต่อสู้กับพวกขอม และสามารถขับไล่ขอมไปทางใต้จนถึงเขตเมืองลวรัฐ พระองค์พังได้กลับเป็นกษัตริย์ในโยนกนครไชยบุรีศรีช้างแสนอีกครั้งหนึ่ง ใน จ.ศ.๒๙๙ (พ.ศ.๑๔๘๐) พรหมกุมารต่อมาได้ตั้งเวียงไชยปราการ และเป็นกษัตริย์ครองเมืองนี้ เมื่อสิ้นพระองค์พรหมราชแล้วโอรส คือพระไชยสิริก็ได้ครองเมืองต่อมา เมื่อถูกทัพมอญคุกคามเข้ามา พระองค์ไชยสิริก็พาชาวเมืองอพยพ เมื่อจ.ศ.๒๖๖ (พ.ศ.๑๕๔๗) ลงไปทางใต้และไปตั้งเมืองอยู่ที่เมืองกำแพงเพชร ในเมืองโยนกนครราชธานีศรีช้างแสนนั้นมีกษัตริย์เสวยเมืองต่อมา จนถึงสมัยพระองค์มหาชัยชนะ และในปี จ.ศ.๔๖๗ (ที่ถูกควรเป็น ๓๗๖ พ.ศ.๑๕๕๘) ชาวเมืองจับปลาตะเพียนเผือกยักษ์ (ควรเป็นปลาไหลเผือกยักษ์) จากแม่น้ำกกแล้วแบ่งกันกินทั่วเมือง และในคืนนั้นเมืองโยนกนครราชธานีไชยบุรีศรีช้างแส่นก็ล่มลง กลายเป็นหนองน้ำใหญ่ ขุนพันนาและนายบ้านทั้งปวงพร้อมใจกันเลือกนายบ้านผู้หนึ่งชื่อขุนลัง เป็นหัวหน้าของชนกลุ่มนั้นช่วยกันสร้างเวียงปรึกษาขึ้นที่ริมแม่น้ำโขงฝั่งตะวันตก และอยู่ทางตะวันออกของเวียงโยนกเดิม นับเป็นการสิ้นสุดราชวงศ์กษัตริย์ ผู้ที่ครองเวียงปรึกษาต่อมานั้นได้รับการคัดเลือกกันเป็นครั้งคราว เรียกว่า "ไพร่แต่งเมือง" รวมเป็นขุนผู้ครองเวียงปรึกษา ๑๖ คน สืบต่อกันมาในช่วง ๙๓ ปี จึงเป็นอันจบตำนานสิงหนวัติกุมาร
หมายเหตุ ตำนานสิงหนวัติกุมารนี้ ไม่ปรากฎชื่อผู้แต่งหรือปีที่แต่ง ได้รับการตีพิมพ์ลงในหนังสือประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๑ ซึ่งกรมศิลปากรพิมพ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๙ มาแล้ว ต่อมาผู้ที่ศึกษาตำนานเรื่องนี้อย่างละเอียด คือ นายมานิต วัลลิโภดม และได้นำเอาผลงานการศึกษาดังกล่าวมาตีพิมพ์ ในนามของคณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี จัดพิมพ์เผยแพร่เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๖

เรียบเรียงจาก อุดม รุ่งเรืองศรี

ปีศาจ
09-01-2009, 05:21 PM
เรื่อง คนขี้เหนียว
พ่อ "ไอ่หน้อย มึงไปยืมค้อนที่บ้านลุงจันมาหื้ออีป้อกำ บอกว่าอีป้อขอยืมมาจดเหล็กกน กำเดียวจะ เอามาคืน (ไอ้หนู ไปยืมค้อนบ้านลุงจันมาตอกตะปู เดี๋ยวจะเอาไปคืน) สักครู่ไอ้หนูก็วิ่งกลับมาบอกว่า ไอ้หนู "ป้อ เขาว่าบ่มี" (พ่อ เขาว่าไม่มี) พ่อ "ฮึ มันขี้จุ มันมีแต่มันขี้จิ๊ บ่หื้อเฮายืม อั้นไอ้น้อย ฅิงไปเอาค้อนของเฮามาใช้ บ่ต้องไปง้อมัน ไอ่คนขี้จิ๊จะอั้นน่ะ" (มันหลอก มันขี้เหนียว เอ็งไปเอาของเรามาใช้ ไม่ต้องง้อ)

ปีศาจ
09-01-2009, 05:22 PM
เรื่อง ไม้ส็วกเขี้ยว (ไม้จิ้มฟัน)
ชายคนหนึ่งเข้าป่าไม้ตัดไม้สักต้นใหญ่หมายใจจะทำเรือขุดเพื่อใช้ไปค้าขายกับเมีย ขณะที่ตัดไม้อยู่นั้น เพื่อนบ้านคนหนึ่งผ่านมาก็เข้ามาคุยด้วย เพื่อนบ้าน ๑ "กำลังเยียะหยังอยู่" (กำลังทำอะไรอยู่) ชาย "กำลังแปลงเรือ" (ทำเรือ) เพื่อนบ้าน ๑ "โฮะ เรือบ่ต้องแปลง เช่าเอาก็ได้ แปลงแต่ไม้ฟาย(พาย)ก็พอแล้ว" ชายนั้นคิดดูก็เชื่อตามจึงเปลี่ยนใจจากทำเรือมาทำแค่พาย อีกครู่หนึ่งเพื่อนบ้านอีกคนหนึ่งก็เข้ามาหา เพื่อนบ้าน ๒ "กำลังเยียะหยังอยู่" ชาย "กำลังแปลงไม้ฟายเรือ" เพื่อนบ้าน ๒ "บ่ต้องเยียะ แปลงไม้ด้ามเข้าดีกว่า (ไม้คนข้าว) ชายนั้นก็เชื่ออีกจึงลงมือทำไม้ด้าม สักครู่หนึ่งเพื่อนบ้านอีกคนหนึ่งก็ไปคุยด้วย เพื่อนบ้าน ๓ "กำลังเยียะหยังอยู่" ชาย "แปลงไม้ด้ามเข้า" เพื่อนบ้าน ๓ "โฮะ บ่ต้องเยียะ แปลงไม้ส็วกเขี้ยวดีกว่า กำลังขายม่วน"(..ขายดี) ชายคนนั้นก็เห็นด้วย ดังนั้นจากต้นสักต้นใหญ่ก็ได้เพียงไม้จิ้มฟันเท่านั้น

ปีศาจ
09-01-2009, 05:25 PM
เรื่อง คนมักกิน
มีชายหนุ่มคนหนึ่งฐานะยากจนมาก จึงต้องรับจ้างไถนาเพื่อเอาเงินเลี้ยงชีพไปวัน ๆ ทุกวันก็จะเอาข้าวไปกินกันกับเพื่อนที่ทำงานด้วย ส่วนใหญ่แล้วแกจะมีแต่ข้าวกับเกลือมาทุกวัน วันนี้อีกเช่นกัน เมื่อได้เวลารับประทานอาหารกลางวัน ทุกคนที่มาทำงานก็มานั่งล้อมวงกันกินข้าว ทุกคนก็เปิดสำรับของตัวเอง ปรากฏว่าทุกคนมีกับข้าวมาหมดยกเว้นชายหนุ่มคนนี้คนเดียวซึ่งห่อกับเกลือมา เมื่อปรากฏแก่สายตาของเพื่อน ๆ แกจึงรีบแก้ตัวว่า "ทีเกลือนี้บ่ลืม ซ้ำมาลืมแคบหมู"

ปีศาจ
09-03-2009, 09:45 AM
เรื่อง ปู่ปันแน

ในรัชสมัยที่นครพิงค์ยังมีเจ้าผู้ครองนครอยู่ ทุก ๆ สามปี เจ้าผู้ครองนครจะต้องส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองไปเป็นบรรณาการทางกรุงเทพฯ เป็นประจำ กาลครั้งนั้นอำนาจในการปกครองดูแลบังคับปัญชาประชาชนพลเมืองเป็นของเจ้าผู้ ครองนครแต่ผู้เดียว จึงเรียกท่านว่าพ่อเจ้าชีวิต
เมื่อใครกระทำผิด เช่น ลักพริก ลักมะเขือและผัก หากถูกจับได้จะถูกประหารชีวิตทันทีพ่อเจ้าท่านว่ามันเป็นคนเกียจคร้าน มีนิสัยเป็นผู้ร้ายจริง ๆ เขาปลูกเขาฝังทำไมไม่ปลูกฝังอย่างเขาบ้างกรณีลักช้าง ม้า วัว ควาย หากถูกจับได้ ท่านให้ปล่อยมันไป เพราะมันอยากใคร่ได้ อยากใคร่มี เล่าโดย รื่น โทเมฆ สำนักงานยาสูบ จังหวัดเชียงใหม่ )
ในคุ้มหลวงอันเป็นที่ประทับของพ่อเจ้าชีวิต จะมีข้าราชบริพาร นางสนมกำนัลและเขนคือ ตำรวจหลวงเฝ้ารักษาอยู่ นอกจากนั้นยังมีศิลปินผู้มีชื่อในทางเป่าปี่อีกคนหนึ่ง ซึ่งคนทั่ว ๆ ไป เรียกกันว่า ‘&#39; ปู่ปันแน &#39;&#39; ในกระบวนเป่าปี่ด้วยกันแล้วทั่วทั้งนครพิงค์หาตัวจับแกไม่ได้
ไม่ว่าเพลงนั้นจะยากและยาวเท่าไร หากปู่ปันได้เป่าแล้ว แกจะเป่าได้อย่างไพเราะเพราะพริ้งเสียงปี่จะแจ้วเจื้อยติดต่อกันไม่ขาดเสียง เพราะแกสามารถระบายลมได้ เคยมีการแข่งขันเป่าปี่กันหลายครั้ง ปรากฏว่าปู่ปันชนะทุก ๆ คราว
ด้วยเหตุนี้ พ่อเจ้าชีวิตจึงโปรดเกล้า ฯ ให้ปู่ปันเป็นข้าราชสำนัก เนื่องจากการเป็นศิลปินเอกทำให้ปู่ปันชอบทำอะไรตามใจชอบ พอว่างงานก็ดื่มสุรา ยิ่งดื่มก็ยิ่งเพลิน เวลาเมาแกจะเอะอะชกต่อยทะเลาะวิวาทกับชาวบ้าน ชาวบ้านเกรงกลัวอำนาจพ่อเจ้าจึงไม่อยากเอาเรื่อง
การที่ปู่ปันปฏิบัติเช่นนี้บ่อย ๆ ก็เลยเป็นนิสัย ดังนั้น เวลาปู่ปันเมาครั้งไรมักจะก่อเรื่องก่อราวขึ้นเสมอ ชาวบ้านบางคนทนไม่ได้ก็นำความกราบทูลกล่าวโทษต่อพ่อเจ้าชีวิต พ่อเจ้าลงโทษตักเตือนว่ากล่าวหลายครั้งหลายหน ครั้นจะลงโทษรุนแรงลงไปก็สงสาร
การที่พ่อเจ้าปฏิบัติเช่นนี้ยิ่งทำให้ปู่ปันได้ใจและผยองตัวคิดว่าตนนั้น เป็น บุคคลสำคัญ แม้แต่พ่อเจ้าก็ไม่กล้าลงโทษหนัก จนกระทั่งวันหนึ่ง ปู่ปันเมาเหล้าเอะอะอาละวาดบริเวณบ้านหนองคำท้าทายชาวบ้าน ชาวบ้านพอเห็นปู่ปันเมาต่างพากันหลบเข้าบ้านเสีย ปิดประตูเงียบ
ปู่ปันเห็นชาวบ้านเข้าบ้านรู้สึกไม่พอใจ จึงเดินเปะปะไปจนกระทั่งพบกองอิฐข้างถนน ปู่ปันดีใจตรงเข้าหากองอิฐนั้น คว้าเอาก้อนอิฐมาขว้างไปยังหลังคาบ้านบริเวณใกล้เคียง ทำให้บ้านเรือนชาวบ้านเสียหายมากมาย เมื่อปู่ปันขว้างจนพอใจ ก็กลับคุ้มหลวงเหมือนไม่มีเหตุอะไร
ครั้นรุ่งเช้า ชาวบ้านได้รับความเสียหาย นำเอาความนี้ไปร้องเรียนต่อพ่อเจ้าชีวิต พ่อเจ้าชีวิตออกไปตรวจเหตุการณ์ที่เกิดเหตุทันที และเห็นว่าปู่ปันทำครั้งนี้เป็นความผิดอันใหญ่ จึงสั่งให้นำเอาตัวปู่ปันไปจองจำไว้ในคุก
พอดีขณะนั้นทางแม่ฮ่องสอนและเชียงใหม่ช่วยกันจับกะเหรี่ยงผู้หนึ่ง ชื่อว่า พะสะกอ ในข้อหาว่าปล้นทรัพย์และฆ่าเจ้าทรัพย์ตาย พ่อเจ้าชีวิตสั่งให้นำตัวไปประหารชีวิต การที่จะนำเอาใครไปประหารชีวิตจะต้องนำเอาผู้นั้นตระเวนรอบ ๆ เมืองครบสามวันก่อน และป่าวประกาศมิให้ใครเอาเยี่ยงอย่าง
ผู้ถูกประหารจะถูกจองจำครบ ๕ ประการ คือ เท้าใส่ตรวน เท้าติดขื่อไม้ โซ่ล่ามคอ คาใส่คอทับโซ่ และมือทั้งสองสอดเข้าไปในคาไปตอดไปติดกับขื่อที่ทำด้วยไม้ เขนนำพะสะกอแห่ไปรอบเมือง จนกระทั่งวันที่สาม อันเป็นวันสุดท้าย
ขบวนนำนักโทษประหารผ่านคุ้มหลวงอันเป็นที่ประทับของพ่อเจ้าชีวิต พ่อเจ้าชีวิตเห็นผู้คนมากมายรู้สึกสงสัย จึงถามข้าราชบริพารว่า ‘&#39; ชาวเมืองเขาดูอะไรกันนั่น ‘&#39; ข้าราชบริพารกราบทูลว่า &#39;&#39; เขานำตัวกะเหรี่ยงชื่อ พะสะกอ ไปประหารชีวิตพะย่ะค่ะ ‘&#39;
เจ้าหลวงระลึกถึงปู่ปันแนได้ว่า มันประพฤติผิดโทษร้ายแรงสมควรที่จะลงโทษไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่างต่อ ไป พ่อเจ้าจึงบอกให้เขนว่า ‘&#39; เอ่อ บอกเปิ้นรอกำ ขอฝากปู่ปันแนไปคน
เต๊อะ &#39;&#39;( เออ บอกให้เขารอประเดี๋ยว ขอฝากตาปันไปคน )
ขบวนประหารได้นำผู้ต้องโทษทั้งสองไปประหารยังตำบลท่าวังตาล เมื่อประหารเสร็จแล้วก็นำความมากราบทูลให้ทรงทราบทุกประการ เรื่องราวของปู่ปันแนศิลปินเป่าปี่ก็อวสานลงด้วยอาญาของพ่อเจ้าชีวิต แม้ว่าพระองค์จะเสียดายสักเท่าไรก็ตาม แต่เมื่อผิดกฎหมายแล้วก็ต้องปฏิบัติไปอย่างเที่ยงธรรม
พ่อเจ้าชีวิต หมายถึง ผู้มีอำนาจเด็ดขาด สามารถสั่งประหารชีวิตได้ทันที

คุ้มหลวง หมายถึง วังที่เจ้าผู้ครองนครประทับ
แน คือ ปี่พื้นเมือง
พ่อเจ้า หมายถึง ผู้ครองนคร
ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อันสันดานคนพาลนั้น เมื่อรู้ว่ามีคนคอยปกป้องแล้วย่อมได้ใจ และจะพาลหนักขึ้น
การเป็นใหญ่จะต้องปฏิบัติอะไรให้เสมอหน้ากัน อย่าเลือกปฏิบัติให้เสียความเป็นธรรม

คติ
‘&#39; ได้ดีแล้วอย่าลืมตัวเหมือนกิ้งก่าได้ทอง &#39;&#39;


ที่มา:
เว็บไซต์ล้านนาคดี http://lanna.mju.ac.th/
http://www.openbase.in.th/node/7086

ปีศาจ
09-04-2009, 04:17 PM
เรื่อง หมูกินแกลบ หมากินเข้า
นานมาแล้วสมัยที่ต้นไม้พูดได้ สัตว์พูดได้ มีครอบครัวเศรษฐีที่มีไร่นาสุดลูกหูลูกตา พอถึงฤดูทำนาในปีหนึ่ง ท่านเศรษฐีได้เลี้ยงหมา กับหมูไว้ทำนา พอฝนตกลงมาท่านเศรษฐีก็บอกหื้อสัตว์ทั้งสองว่า "เออ! มึงสองตั๋วออกไปไถนาที่กลางต้งปุ้นเน้อ ขวาย ๆ กูจะออกไปผ่อ" (ไปไถนากลางทุ่งนะ พอสาย ๆ กูจะตามไปดู) เมื่อทั้งสองออกไปที่กลางทุ่ง หมูเป็นสัตว์ที่ชอบนอนหลับมันจึงรู้ตัวดี พอไปเถิงหมูก็รีบใช้ปากไถนาเพื่อให้เสร็จ แล้วมันก็มานอนหลับ ฝ่ายหมาพอไปเถิงมันก็นอนหลับเสีย พอหมูไถแล้วมันก็เที่ยวเหยียบไปจนเห็นว่ามีแต่รอยตีนหมาบนขี้ไถที่หมูไถไว้ แล้วก็เผอิญท่านเศรษฐีมาพอดี ก็มาเห็นใส่หมูนอนหลับอยู่ ขี้ไถก็มีแต่รอยตีนหมา คว้าได้ไม้ก็ทุบปากหมูเพื่อให้หมูตื่น ปากของหมูก็เลยบานใหญ่มาจนทุกวันนี้ เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวได้เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาเอาข้าวไปตำ ท่านเศรษฐีก็ว่า "ไอ้หมูมึงขี้คร้าน บ่เยียะก๋าร บ่อไถ หื้อมึงกิ๋นแกลบเน้อ ไอ้หมามึงหมั่นดี กูจะหื้อมึงกิ๋นเข้า" (ไอ้หมูขี้เกียจ ให้มึงกินแกลบ ไอ้หมาขยันดี ให้มึงกินข้าว) ตั้งแต่นั้นมา หมูก็กินแกลบ หมาได้กินข้าวจนถึงทุกวันนี้

ปีศาจ
09-07-2009, 12:31 PM
เรื่อง เปิดที่นี่
แม้วคนหนึ่ง เข้ามาซื้อของที่ตลาดในเมือง เมื่อซื้อของอย่างอื่นได้หมดแล้ว ก็ได้มาซื้อผงซักฟอกชนิดกล่องจากเจ้าของร้านและได้อ่านดูข้างกล่อง พบประโยคหนึ่งเขียนไว้ว่า "เปิดที่นี่"ซึ่งเป็นรอยปรุให้เปิดเทผงซักฟอก ด้วยความสงสัยคำว่า "เปิดที่นี่" จึงถามเจ้าของร้านไปว่า แม้ว "ไปเปิดที่บ้านได้ก่อครับ" (จะเอาไปเปิดที่บ้านได้ไหม)

ปีศาจ
09-07-2009, 12:32 PM
เรื่อง แม้วกับนายอำเภอ
นายอำเภอออกไปเยี่ยมราษฏรที่เชิงเขาแห่งหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่ไต่ถามทุกข์สุขของชาวบ้านตามแบบนายอำเภอที่ดี วันหนึ่งนายอำเภอไปพบแม้วคนหนึ่งเดินสวนทางมาท่าทางเหน็ดเหนื่อย นายอำเภอก็หยุดทักทายให้ความสนใจว่า นายอำเภอ "ลุกบ้านมากา" (มาจากบ้านหรือ) แม้ว "ครับ" นายอำเภอ "บ้านอยู่ทางใด" แม้ว "บ้านผมอยู่ไกลครับ" นายอำเภอ "อยู่ทัดใดนั้น" (อยู่ที่ไหนนะ) แม้ว "มันไกลขนาดครับ" (บ้านอยู่ไกลจริงๆ) นายอำเภอ "ไกลมอกใดหั้น" (ไกลขนาดไหนนะ) แม้ว "ไกลมอก (ขนาด)หัน(เห็น)นายอำเภอตัวเท่าหมาเนี่ยะ ครับ"

ปีศาจ
09-07-2009, 12:38 PM
เรื่อง เห่อคำไทย
จั๋นตาเป็นสาวเหนือที่ไปทำงานกรุงเทพ ฯ นัยว่าเป็นที่มาของรายได้จากบางอย่างที่เป็นเงินมาก ไม่นานนักจั๋นตาก็กลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกับสีสันบนใบหน้าและเครื่องแต่งกายพร้อมทั้งความร่ำรวย แต่ที่คนอื่นตามไม่ทันก็คือ จั๋นตาพูดแต่ภาษาไทยกลางโดยไม่พูดคำเมืองเลย วันสุดท้ายก่อนที่จั๋นตาจะกลับจากบ้านนาไปหากินในกรุงเทพฯ ตามเดิมนั้น จั๋นตาก็ไปซื้อของในตลาดเพื่อเอาไปฝากเพื่อนร่วมอาชีพของเธอ ครั้งนั้นได้พบเพื่อนเก่าที่เป็นแม่ค้าในตลาดจึงสนทนาประสาเพื่อนเก่า ว่า "อี่จั๋น มึงไปอยู่กรุงเทพฯ แต่งตัวงามแท้น่อ" จั๋นตาก็จีบปากตอบไปอย่างภาคภูมิว่า "อุ๊ย ใครๆ ไปอยู่กรุงเทพมีงานทำได้เงินดี ๆ ก็แต่งตัวสวยอย่างนี้ ทั้งนั้นแหละ" สองคนพูดกันอยู่นาน เพื่อนแม่ค้าสังเกตได้ว่าจั๋นตาไม่ยอมพูดคำเมืองเลย จึงพูดว่า "มึงไปอยู่กรุงเทพฯ บ่เมิน มึงลืมคำเมืองหมดแล้วกา กูบ่หันมึงอู้คำเมืองเลย" จั๋นตานิ่วหน้า ตอบไปว่า "แหม ใครๆ ที่นั่นเค้าพูดอย่างนี้ทั้งนั้นนี่นา ฉันพูดอยู่ทุกวัน คำเมืองไม่ได้พูดเลย ก็ลืมกันไปบ้างน่ะซี" "เอ่อ เอ่อ แล้วมึงจะปิ๊กกรุงเทพ ฯ เมื่อใด" จั๋นตานึกถึงกรุงเทพฯ แล้วก็ยืดกายด้วยความภาคภูมิแล้วตอบไปว่า "แถมบึ่ด" (อีกสักพัก)

ปีศาจ
09-09-2009, 04:20 PM
เรื่อง บ่ข่ามสวัสดี (ทน "สวัสดี" ไม่ไหว)
พ่อหลวงใหม่คนหนึ่งจะไปซื้อของในเมืองจึงนำเอาหมากเมี่ยงบุหรี่ไปกินระหว่างทางด้วย แต่ไม่รู้ว่าจะเอาไปเก็บไว้ที่ไหนดี แกก็เลยเอาวางไว้บนหัวแล้วสวมหมวกทับไว้ เมื่อเดินมาตามทาง ผู้คนเมื่อรู้ว่าเป็นพ่อหลวงก็ยกมือไหว้ พ่อหลวงใหม่ลืมนึกว่าตนเองเอาหมากเมี่ยงบุหรี่ใส่หมวกไว้ จึงรีบเปิดหมวกออกรับไหว้ของเหล่านั้นก็หล่นกระจาย พ่อหลวงก็เก็บใส่หมวกแล้วสวมไว้บนหัวเหมือนเดิม เดินไปได้อีกหน่อยชาวบ้านก็ยกมือไหว้อีก พ่อหลวงก็เปิดหมวกออกรับไหว้อีก ของก็หล่นกระจายอีกเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง จนกลับถึงบ้าน ลูกหลานก็ถามว่า "พ่อหลวง ไปเวียงวันนี้ม่วนก่อ" (..ไปในเมืองวันนี้สนุกไหม) พ่อหลวง "ม่วนแท้หาม่วน บ่ข่ามสวัสดี" (ไอ้สนุกก็สนุกหรอก แต่ทน "สวัสดี" ไม่ไหว)

ปีศาจ
09-09-2009, 04:27 PM
เรื่อง บ่ใช่โงเจ้า ฅวาย (ไม่ใช่งัวหรอกค่ะ ควายค่ะ)
ชาวบ้านคนหนึ่งไปแจ้งความเรื่องควายหาย พอดีผู้ใหญ่บ้านไม่อยู่จึงเดินไปที่อำเภอ เมื่อพบกับปลัดอำเภอซึ่งเป็นคนกรุงเทพฯจึงรีบยกมือไหว้ ชาวบ้าน "ไหว้สาเจ้า ข้าเจ้าฅวายหาย" (ท่านขอรับ ควายของกระผมหาย) ปลัด "หายประมาณกี่โมงล่ะ" ชาวบ้าน "บ่ใช่ฅวายมานเจ้า ฅวายปู๊" (ควายไม่ได้ท้องหรอกค่ะ เป็นควายตัวผู้) ปลัด "หายแน่นอนเหรอ" ชาวบ้าน "บ่ได้นอนเจ้า นั่งผ่อ" (ไม่ได้นอนค่ะ ดิฉันนั่งดู) ปลัดโมโห "ไอ้โง่" ชาวบ้าน "บ่ใช่โงเจ้า ฅวาย"

ปีศาจ
09-09-2009, 04:31 PM
เรื่อง บ่อหันหมู่(ไม่เห็นผู้หมู่)
นายแดงได้ขับรถฝ่าไฟแดง หมู่ดำได้เรียกให้หยุดและถามนายแดงว่า หมู่ดำ "เนี่ย..ไฟแดงหันก่อ" นายแดง "หันก่าครับ" (เห็นครับ) หมู่ดำ "หันแล้วยังบ่อฮู้จักจอด" (เห็นแล้วทำไมไม่หยุดรถ) นายแดง "ก่อผมบ่อหันหมู่ล่อครับ" (ก็ ผมไม่เห็นผู้หมู่นี่ครับ)

ปีศาจ
09-09-2009, 04:39 PM
เรื่อง หัวโน
คนขับรถคนหนึ่งเล่นการพนันเก่งมาก ครั้งหนึ่งนายอำเภอบ้านนอกมีการประกาศรับสมัครคนขับรถประจำตำแหน่งนายอำเภอ นักพนันคนนั้นก็ไปสมัครด้วย ปรากฏว่าได้เป็นคนขับรถและอยู่กับนายอำเภอ ต่อมา ๒-๓ เดือน นายอำเภอจะไปประชุมต่างจังหวัด ขนขับรถก็ทำหน้าที่ขับรถไป เมื่อนายอำเภอนอนโรงแรมชั้นหนึ่ง เขาก็นอนที่เดียวกัน นายอำเภอสั่งอาหารเช้าอย่างดีมากินคนขับรถนักพนันก็สั่งอย่างนั้น นายอำเภอก็คิดในใจว่า "เออ หมอนี้มันบ่ได้ความ ขับรถได้เดือนละพันสองพัน นอนเท่านายอำเภอ กินเท่านายอำเภอ มันท่าจะบ่ไหว มันท่าจะไปบ่รอด" นายอำเภอจึงเรียกคนขับรถมาสั่งสอน" เธอจะไปทำตัวเหมือนเป็นจะอี้บ่ได้นา เพราะรายได้ของเธอมันหน้อย จะกินเหมือนนายอำเภอ นอนเหมือนนายอำเภอบ่ได้" คนขับรถบอกว่า "นายอำเภอบ่ถ้ามาห่วงผม บางเดือนผมอาจจะได้นักกว่านายอำเภอก็ได้ นายอำเภอบ่ใช่รู้อะหยัง" "ก็ขับรถก็หันกันอยู่ เดือนพันปลายสองพัน ทึงเบี้ยเลี้ยง ไปได้กับอะหยัง" "โฮะ นายอำเภอ ผมบ่ใช่แบบอั้น พอเลิกขับรถ ผมก็ไปเล่นการพนันทวย" "เอ เพิ่นเล่นเพิ่นเสีย มันเล่นมันได้ ใคร่รู้แท้" (คนอื่นเล่นเขาก็เสีย แกเล่นแกได้ อยากรู้จริง) "เอาจะอี้ ถ้านายอำเภอใคร่รู้ วันพรูกเก้าโมงเมื่อเช้าหัวนายอำเภอจะโน นายอำเภอจะเชื่อก่อ" นายอำเภอ "บ่เชื่อ" คนขับรถ "พนันกันม่ะ มะใส่กันคนละ ๒๐๐ ถ้าหัวนายอำเภอโน นายอำเภอต้องเสียหื้อผม ๒๐๐ ถ้าบ่โน ผมเสียหื้อนายอำเภอ ๒๐๐" วันรุ่งขึ้นนายอำเภอตื่นขึ้นแล้วก็ลูบหัวตัวเอง พลางนึกในใจว่า "เอ มันบ่โนนี่" จึงเรียกคนขับรถ "นี่ เธอว่าหัวฉันจะโน บ่โนเท้าบ่าเดี่ยว" (ยังไม่โนจนเดี๋ยวนี้) "โนก่า" "บ่โน" คนขับรถเถียงจนนายอำเภอรำคาญ พูดว่า "โอ๋ย ถ้ามันโนก็รู้ก่า" "มันโนล่ะนา" "ซวามผ่อก่า" (คลำดูซิ)นายอำเภอพูด คนขับรถก็จับหัวนายอำเภอจนเบื่อจึงบอกว่า "โอ ผมยอมเสีย วันนี้พลาดไปเสียนายอำเภอ ๒๐๐" นายอำเภอตัดบทว่า "โอ เสียดายสตังค์มัน เอาเลย คืนหื้อเหีย ๒๐๐" "บอกว่าเอาไป พนันเป็นพนัน ผมนี้สปอร์ตพอ นักเลงพอ วันนี้ผมได้นักเหลือนายอำเภอก่อน" "ได้กับหยัง" (ได้เพราะอะไร) "เพราะผมไปพนันกับคนที่นอนโรงแรมพู้น" "พนันว่าจะใด" (พนันว่ายังไง) "สูผ่อเน่อ วันพรูกเก้าโมงนา นายอำเภอจะฮ้องฮาไปหยุบหัว เขาบ่เชื่อ บ่เชื่อติกบ่เชื่อต๋าย ก็เลยพนันกันไว้ ๔ คนทวยกัน คนละ ๑๐๐ ๆ ผมแบ่งหื้อนายอำเภอ ๒๐๐ ผมได้ ๒๐๐ หัวนายอำเภอก็ได้หยุบ" (ไปพนันว่าพรุ่งนี้เก้าโมง นายอำเภอจะเรียกไปจับหัว พวกนั้นไม่เชื่อก็เลยพนันกันทั้ง ๔ คน ๆ ละ ๑๐๐ ผมแบ่งให้นายอำเภอ ๒๐๐ ผมได้ ๒๐๐ แถมยังได้จับหัวนายอำเภอด้วย)

ปีศาจ
09-09-2009, 04:49 PM
เรื่อง ต้มยำงูสิง
พ่อตากับลูกเขยคู่หนึ่งมีเรื่องเขม่นกันอยู่เสมอ วันหนึ่งพ่อเมียไปได้งูสิงตัวหนึ่งก็เอามาต้มยำกินด้วยกันแต่ว่าทั้งขันโตก (สำรับ) มีซ้อนอยู่คันเดียวซึ่งต้องผลัดกันซดน้ำแกง แต่พ่อเมียเป็นคนถือช้อนไว้และซดน้ำแกงโดยไม่ยอมวางซ้อน ลูกเขยจึงคิดหาอุบายให้พ่อเมียวางช้อนให้ได้ จึงกล่าวยกยอว่าพ่อเมียเก่งเพราะสามารถจับงูตัวใหญ่ ๆ ได้ และถามพ่อตาว่า "พ่อ ๆ งูตัวนี้ยาวเท่าใด" พ่อเมียรีบวางช้อนแล้วกางแขนออกสุดเหยียดแล้วบอกว่า "ยาวกว่าวาของพ่อไปศอกหนึ่ง" ลูกเขยเห็นเป็นโอกาสทองเช่นนั้นจึงรีบจับช้อนตักน้ำต้มยำงูสิงมาซดโดยไม่ยอมวางช้อนเช่นกัน พ่อเมียเห็นลูกชาย(ลูกเขย) ไม่ยอมวางซ้อนเช่นนั้นจึงออกอุบายถามว่า "ลูกชาย ๆ ข้าวกล้าที่หว่านนั้นยาวเท่าใดแล้ว" ลูกเขยรู้ทันจึงเอารักแร้หนีบช้อนไว้ แล้วยกศอกขึ้นกล่าวว่า "ยาวเท่าศอกลูกชายแล้ว พ่อ" ว่าแล้วก็ก้มหน้าก้มตาตักกินต้มยำงูสิงต่อไป

ปีศาจ
09-10-2009, 01:04 PM
ตำนานวัดพระธาตุปูปอ
วัดพระธาตุปูปอ บ้านสันป่ากอย ต.ดงเจน อ.เมือง จ.พะเยา ซึ่งหากเขียนแบบปริวรรตอักษรแล้วจะเป็น พูพอ มีตำนานที่กล่าวขานถึงความเป็นมาของพระธาตุหรือเจดีย์ในวัดดังนี้ ครั้งที่พระพุทธองค์ดำรงพระชนม์อยู่ ได้เสด็จมาโปรดสัตว์ทุกบ้านทุกเมือง ครั้งที่พระพุทธองค์มีพระชนมายุ ๖๐ ปีแล้วก็ได้เสด็จมาพร้อมกับพระอินทร์ มาทางเหนือเลียบฝั่งแม่น้ำโขงทางเชียงแสนมายังเชียงราย ดอยด้วน ดอยจอมแว่ บ่งกง ปูเตา แล้วมาทางสันเขา และพบยักษ์ตนหนึ่งซึ่งไม่ได้กินอาหารมาเจ็ดวันแล้ว ยักษ์พยายามจะจับพระพุทธเจ้ากินเป็นอาหาร ซึ่งพระองค์ก็แสดงปาฏิหารย์เหยียบก้อนหินให้เป็นรอยพระบาท ยักษ์ตกใจก็ยกมือไหว้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้รักษาศีลแล้วใช้ให้ไปอยู่ที่ดอยด้วน พระพุทธเจ้าตรัสว่ายักษ์ไล่มาทันพระองค์ในที่นั้น ก็จะเรียกที่นั้นว่า"จอมทัน"(อ่าน"จ๋อมตัน")ที่เชิงดอยนั้น ต่อไปพวกโจรจะมาตั้งอยู่แล้วมีชื่อว่าเวียงเลย เมื่อพระอานนท์ขอให้ "หมายสาสนา" หรือทำเครื่องหมายในพระศาสนาไว้ด้วย พระพุทธเจ้าก็ว่า ไม่มีถ้ำหรือก้อนหินอันมีลักษณะดีที่ควรไว้รอยพุทธบาท แต่ภายหน้าจะมีคนมาสร้างเจดีย์ชื่อว่า"ดอยจุก" หรือ"ดอยหยุด" จากนั้น พระพุทธเจ้าก็ลงจากดอยและได้พบสองสามีภรรยาที่เชิงดอย สองสามีภรรยาพยายามหาของมาถวายก็ได้เพียงพลูเจ็ดใบ จึงถวายพลูและครกตำหมาก พระพุทธเจ้าก็ทำนายว่าต่อไปจะมีผู้สร้างอารามในที่แห่งนั้นชื่อ "ปูปอ" และเนื่องจากสองสามีภรรยาถวายครกหิน ภายหน้าบ้านเมืองในที่นั้นจะบริบูรณ์ด้วยหินและทราย จากนั้นก็เสด็จไปยังดอยจอมทองต่อไป ต่อมาใน พ.ศ.๒๐๕๒ มีนายพรานป่าผู้หนึ่งเอาที่ดินของตนแลกกับที่ดินที่เป็นวัดในขณะนี้ แล้วสร้างวัดขึ้นกว้างยาวด้านละ ๑๐๐ วา สร้างวัดนี้ขึ้นหลังจากการสร้างวัดศรีโคมหรือวัดพระเจ้าตนหลวงท่งเอี้ยงเพียง ๑๘ ปี



(บุปผา คุณยศยิ่ง เรียบเรียงจาก เอกสารโรเนียวซึ่งอ้างถึงที่มาจาก "คุ้มหลวงเชียงใหม่")

ปีศาจ
09-15-2009, 05:45 PM
ต๋องตุ๋ย ต๋องมอง (นิทานของชาวไทใหญ่)
มีชายสองคนเป็นเพื่อนกัน คนหนึ่งชื่อ ต๋องตุ๋ย อีกคนหนึ่งชื่อ ต๋องมอง คืนหนึ่ง ทั้งสองไปขโมยวัวของ ชาวบ้านซึ่งที่บ้านนั้นมีวัวอยู่สองตัว และพอดีตอนนั้นเสือก็กำลังจะมากินวัวนั้นเช่นกัน ขณะที่เสือนั้นกำลังรอ จังหวะอยู่ที่นั่น ลูกเล็กของเจ้าของวัวเกิดร้องไห้ พ่อแม่จึงขู่ให้เงียบโดยตอนแรกบอกว่า เสือจะกิน แต่ เด็กก็ไม่เงียบ ขู่ว่างูจะกินก็ไม่เงียบ ที่สุดจึงขู่ว่าไอ้ต๋องตุ๋ยต๋องมองมา เด็กจึงเงียบไป เมื่อเสือได้ยินดังนั้นก็คิดว่า เด็กนี้เมื่อเขาขู่ว่าเสือจะกินยังไม่ยอมเงียบ แต่พอบอกว่าไอ้ต๋องตุ๋ย ต๋องมองมา กลับเงียบ จึงคิดว่าสองคนนี้คงมีความสามารถมาก เสือก็เลยกลัวทั้งสองคนนี้มาก จึงหมอบ นิ่งอยู่นั้น เมื่อสองคนนี้มาถึงและเป็นตอนกลางคืน จึงเข้าใจผิดว่าเสือเป็นวัวจึงจับมัดและจูงมา ครั้นถึงรุ่งแจ้ง คนที่เดินตามหลังมาเห็นว่าวัวที่เอามานั้นที่จริงเป็นเสือ จึงวิ่งหนีไป ปล่อยให้อีกคนจูงไป เมื่อคน นั้นหันหลับมาดูอีกทีก็พบว่าเป็นเสือจึงเอาเสือผูกไว้กับต้นไม้แล้วตัวเองก็ปีนหนีขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ เสือก็กลัว ชายคนนี้ จึงดิ้นและหลุดหนีไปได้ บังเอิญที่ว่าต้นไม้ที่เขาหนีขึ้นไปอยู่นั้นเป็นที่อยู่ของหมี เมื่อหมีกลับมาเห็นเขาเข้าจึงปีนขึ้นไปเพื่อจะ จับกิน เขาจึงถอดเอาใบดาบหย่อนลงมา หมีก็คิดว่าเป็นหางของเขาจึงจับไว้และดาบก็บาดมือเข้า หมี ตกใจ คิดว่าสัตว์อะไรมีความสามารถขนาดนี้ ขนาดหางยังคม ตัวคงมีอันตรายแน่ หมีเลยหนีไป เขาจึง รอดตาย

ปีศาจ
09-15-2009, 05:46 PM
ไอ่เปลี้ยกับไอ่ตา (อ่าน"ไอ่เปี้ยกับไอ่ต๋า") (นิทานของชาวไทยวน)
ไอ่เปลี้ยกับไอ่ตา เป็นเพื่อนกัน ไอ่เปลี้ยนั้นเป็น"เปลี้ย"คือง่อยเปลี้ยเดินไม่ได้ จะไปไหนก็ต้องขี่คอ ไอ่ตาซึ่งตาบอด โดยถือว่า "ไอ่ตาเป็นตีน ไอ้เปลี้ยเป็นตา" ทั้งสองดำรงชีวิตด้วยการขอทาน ครั้งหนึ่ง สองสหายพิการก็ไปพบคราดไถนาเก่าที่เขาทิ้ง เปลี้ยก็ถามตาว่าจะเอาไหม ตาก็บอกว่า เอาสิ เดินไปอีกไปพบเต่า เปลี้ยก็ถามตาว่าจะเอาไหม ตาก็บอกว่าเอา เปลี้ยก็เก็บไปด้วย จากนั้น ก็ไปพบขี้ช้าง เปลี้ยถามตา ๆ ก็ให้เอาไปด้วย เดินทางไปอีกก็ไปพบยักษ์ ๆ ก็ยินดีที่ทั้งสองจะมาเป็น อาหารของตน แต่เปลี้ยกับตาก็ไม่ยอม โดยบอกว่าหากจะกินทั้งสองจริงแล้วก็ต้องมาแข่งอะไรกันก่อน ถ้า เราทั้งสองแพ้ก็จะยอมให้กิน ถ้าข้าชนะก็จะไม่ให้กิน ยักษ์ก็ตกลงตามนั้น แล้วพูดว่าเราจะมาแข่งเครื่องใช้กัน ยักษ์เอาหวีออกมาวาง เปลี้ยก็เอาคราด โยนออกมา เมื่อเครื่องใช้ของสองสหายมีขนาดโตกว่า ก็ถือว่ายักษ์แพ้ไปครั้งหนึ่งแล้ว ทีนี้ยักษ์จับเหา ของตนออกมา ตาก็ให้เปลี้ยเอาเต่าออกมา ปรากฏว่าเต่าใหญ่กว่าเหา ซึ่งยักษ์ก็แพ้อีก ทีนี้ยักษ์ก็เอา เมี่ยงที่ทำเป็นคำแล้วออกมา ตาก็บอกให้เปลี้ยเอาขี้ช้างออกมาก็ปรากฏว่าใหญ่กว่าเมี่ยงของยักษ์ ยักษ์จึง ขอยอมแพ้และไปเอาเงินทองมาให้เปลี้ยและตาเอาไปมากที่สุดเท่าที่จะเอาไปได้ ทั้งสองก็กลับบ้านด้วยความดีใจ เมื่อเดินทางมาพบบ่อน้ำแห่งหนึ่ง เปลี้ยมองเห็นรังนกอยู่บนต้นไม้ จึงบอกให้ตาปีนขึ้นไปเอาไข่นกมากินกัน ตาก็ปีนขึ้นไป เมื่อล้วงลงไปในรังนก บังเอิญในรังนกมีงูเห่าอยู่ ตาไปคว้าเอาคองูออกมา งูก็พ่นพิษเข้าตาของตา พิษของงูนั้นทำให้ตาหายจากการบอด เมื่อตาเห็นว่า จับคองูอยู่เช่นนั้นก็ตกใจจึงปล่อยมือออก งูก็ตกลงไปใกล้ตัวของเปลี้ยซึ่งเดินไม่ได้ เปลี้ยตกใจและกลัวงู มาก ด้วยความกลัวจึงลุกขึ้นวิ่ง ขาที่เดินไม่ได้ก็หายและเดินได้เป็นปรกติ

ปีศาจ
09-15-2009, 05:47 PM
กะต๊ำป๋าค่ำตุ๊ (นิทานของชาวไทยวน)

นิทานเรื่องนี้ ควรจะเขียนเป็น กะท้ำปลาฅ่ำทุ ซึ่งหมายถึงพรานที่จับปลาด้วยเครื่องมืออย่างฟ้าทับเหว กลั่นแกล้งพระภิกษุ ปฐมเหตุของเรื่องมีว่าพรานจับปลาผู้นี้เป็นลูกของแม่หม้ายคนหนึ่ง นางอยากจะข้ามน้ำไปทำบุญที่ฟากน้ำตรงข้ามแต่ไม่มีเรือ เมื่อพระพายผ่านมา พระก็ไม่ให้นางอาศัยไปด้วย พอเรือของพระยาเจ้าเมือง ผ่านมา เจ้าเมืองก็ไม่รับนางไปด้วยเช่นกัน นางจึงถวายของที่จะทำบุญกับต้นไม้และเจดีย์ทรายในที่นั้นแล้ว อธิษฐานขอลูก ๓ คน ตั้งใจที่จะได้ลูกที่ฉลาดเพื่อจะให้ไปแกล้ง พระ พระยา และพวกแจ๊ะ ซึ่งคำ"แกล้ง" ในภาษาล้านนาใช้ "ฅ่ำ" ซึ่งมักเขียน"ค่ำ" โดยคนที่"ฅ่ำทุ" คือ กะท้ำปลา เรียกชื่อนิทานว่า "กะต๊ำป๋า ค่ำตุ๊" คนที่ไปแกล้งพระยาคือ "เชียงเหมี้ยง" ซึ่งมีนิทานเรื่อง เชียงเหมี้ยงฅ่ำพระญา ส่วนคนไปแกล้ง "แชะ"คือพวกแจ๊ะที่เป็นชนเผ่าหนึ่งนั้นคือ "เส็ด" และมีนิทานว่า "เส็ดฅ่ำแชะ เส็ดค่ำแจ๊ะ"
ทั้งนี้มีเรื่องที่เล่ากันว่ากะต๊ำป๋ามักหาเหตุแกล้งพระอยู่หลายเรื่อง เช่น
วันหนึ่ง "ตุ๊"หรือพระชวน กะต๊ำป๋าไปซื้อเกลือ โดยพระให้กะต๊ำป๋าจัดม้าให้ตุ๊ขี่ม้า ส่วนกะต๊ำป๋าก็เดิน เท้าไป ตอนที่เขาจัดม้านั้นเขากลับอานม้าเอาข้างล่างไว้ข้างบน เมื่อพระขึ้นขี่ก็นั่งไม่สบาย ขี่ไปได้ระยะ หนึ่งก็ร่วงจากหลังม้า "ตุ๊"ซึ่งก็ต้องเวียนตกเวียนขี่ม้าไปตลอดทาง
เมื่อไปถึงที่ก็ซื้อเกลือแล้วให้กะต๊ำป๋าเป็นผู้หาบกลับ แล้วพระก็ขึ้นขี่ม้านำหน้าไปก่อน กะต๊ำป๋าซึ่งจำ ต้องหาบเกลือนั้น ก็แสร้งว่ามีความสุขมากก็เลยทำเป็นหลับไปทั้ง ๆ ที่หาบเกลือเดินตามหลังพระที่ขี่ม้าซึ่ง ต้องขึ้นม้าลงม้าตลอดเวลา
ฝ่ายพระนั้นขี่ม้าไปได้ระยะหนึ่ง เห็นว่ากะต๊ำป๋าหาบเกลือสบายกว่าตนจึงถามว่าหาบเกลือสบายหรือ กะต๊ำป๋าก็ตอบว่าสบายจนตนหาบเกลือไปพลางเดินไปพลาง พระรู้เช่นนั้นก็ขอแลกไปหาบเกลือและให้กะต๊ำ ป๋าไปขี่ม้า กะต๊ำป๋าจึงกลับอานม้าแล้วควบกลับวัดในทันที ส่วนตุ๊นั้นทั้งเหนื่อยทั้งหนักขึ้นทุกทีจึงคิดจะซ่อน เกลือนั้นไว้ก่อนแล้วให้กะต๊ำป๋ามาเอาทีหลัง จึงเอาหาบเกลือซุกไว้ในพุ่มไม้แล้วเอาหญ้าคลุม แต่พอแหวก หญ้าดูก็ยังเห็นหาบเกลืออยู่ ก็กลัวคนมาเห็นและขโมยไป จึงหาบต่อไปอีกจนถึงแอ่งน้ำแห่งหนึ่ง ตุ๊จึงโยน หาบเกลือลงไปซ่อนไว้ในน้ำแล้วรีบกลับไปที่วัด
เมื่อกลับมาถึงวัดกะต๊ำป๋าก็ถามว่าเกลืออยู่ที่ไหน พระก็บอกว่าเอาซ่อนไว้ในแอ่งน้ำโน่น กะต๊ำป๋า ก็ว่า เอาไว้ที่นั่นเดี๋ยวปลากินหมดแน่ ๆ จึงชวนพระเอาถังน้ำไปเพื่อจะวิดน้ำออก เมื่อไปถึงก็ปรากฏว่า เหลือแต่ตะกร้า กะต๊ำป๋าจึงว่า ปลากินเกลือหมดไปแล้ว พระก็ถามว่าเราจะทำอย่างไร เขาก็ว่าต้องวิด น้ำฆ่าปลาเสีย เมื่อทั้งสองช่วยกันวิดน้ำไปก็ได้ปลา พอเป็นปลาช่อนกะต๊ำป๋าก็เอามือทุบที่หัวปลา พอได้ ปลาดุกเขาก็หิ้วหางปลายื่นให้พระเอามือตบ เงี่ยงปลาก็ปักมือพระคาอยู่อย่างนั้นทั้งเจ็บทั้งปวด กะต๊ำป๋า เห็นดังนั้นก็วิ่งขึ้นไปบนดอยแล้วกลิ้งหินลงมาพร้อมกับร้องบอกว่า "ไม่เสือก็หมี ไม่หนีก็ตาย" พระเห็นหิน กลิ้งลงมาก็ตกใจออกวิ่ง เงี่ยงปลาก็หลุดจากมือ เมื่อกลับมาถึงวัดเขาก็ถามอาการว่าเป็นอย่างไร พระก็ว่าปวด กะต๊ำป๋าก็เตือนพระว่ารุ่งขึ้นพระจะต้องตื่นไปบิณฑบาตแต่เช้า พระก็ขอให้กะต๊ำป๋าปลุกด้วย กะต๊ำป๋าก็ตอบตกลง
พอพระเข้านอน กะต๊ำป๋าก็เอาขี้ผึ้งมาฝั้นเป็นเทียนเล่มโตมาจุดไว้บนต้นมะพร้าวแล้วไปปลุกพระว่า เกือบสว่างจนดาวประกายออกแล้ว พระเห็นสว่างที่ยอดมะพร้าวก็นึกว่าจริงจึงรีบครองผ้าแล้วเอาบาตร มาและสั่งเขาไว้ว่าดูแลวัด คนในอย่าให้ออกคนนอกอย่าให้เข้า เขาก็รับคำ
เมื่อพระออกนอกวัดไปแล้ว ไม่ว่าจะไปทางไหน คนก็หลับเงียบไปทั้งหมด ไม่มีวี่แววคนจะตักบาตร พระไม่รู้จะทำอย่างไรจึงกลับไปวัด พอไปถึงก็ตะโกนเรียกกะต๊ำป๋า กะต๊ำป๋าก็ถามว่า "ใคร มาทำไม" กลางดึกอย่างนี้ พระก็บอกว่า "ข้าเอง" แต่กะต๊ำป๋าก็แกล้งทำเป็นไม่รู้และบอกว่าพระเขาสั่งไว้อย่าง เด็ดขาดว่าคนในอย่าให้ออกคนนอกอย่าให้เข้า เมื่อพระเห็นว่าจะพยายามพูดอย่างไร กะต๊ำป๋าก็ไม่เปิด ประตูรับ จึงไปนอนที่ค้างซึ่งชาวบ้านทำไว้ปลูกฟักเขียวแห่งหนึ่ง
พอเช้ามืด เจ้าของบ้านนั้นก็ตื่นขึ้นมาแล้วไปเอาฟักมาทำอาหาร จึงไปที่ค้างฟัก ไปเห็นหัวพระซึ่ง นอนหลับโผล่หัวออกมาจากค้างก็คิดว่าเป็นฟักเขียวที่แก่จัด จึงเอาไม้กระทุ้งเต็มแรงเพื่อให้"ผลฟัก"ร่วง พระก็สะดุ้งด้วยความเจ็บปวด จึงวิ่งหอบบาตรและกุมหัวกลับไปวัด
เมื่อไปถึงวัด กะต๊ำป๋าก็ว่า กลับวัดได้อย่างไรโดยที่ไม่มีอาหารในบาตร นี่คงเป็นว่าพระแอบหลบ ไปนอนแน่ ๆ พระก็อุ้มบาตรกลับออกไปอีก คราวนี้พระไปพบคนที่"สอยฟักเขียว"มาตักบาตร ก็ถามว่าเอา อะไรเป็นอาหารมาตักบาตร คนตักบารก็ว่า "ปู๊เขียว นะก่า"(เจ้าเขียวน่ะซี) พระก็คิดว่าคราวนี้คงได้ กินแกงไก่เป็นแน่ จึงรีบกลับวัดไปบอกกะต๊ำป๋าว่าวันนี้ได้ไก่มา คงอร่อยแน่ เมื่อเขาเปิดดูก็บอกพระว่า ไม่ใช่ไก่ แต่เป็นฟักเขียว พระก็ว่าเป็นไก่ ในที่สุดกะต๊ำป๋าก็อุ้มบาตรสาดไป ก็เห็นว่าเป็นแกงฟักไม่ใช่ไก่
เป็นอันว่าอาหารบิณฑบาตในเช้านั้นหมดไปแล้ว พระจึงถามถึงปลาที่ให้กะต๊ำป๋าเก็บไว้ ซึ่งนาย กะต๊ำป๋าได้แอบกินหมดไปแล้วและได้จับเอาแมลงวันใส่ไว้ในที่ใส่ปลา เมื่อพระถามถึงปลาเช่นนั้น เขาก็ บอกว่ายังมีปลาอยู่ พระจึงใช้ให้ไปเอามา เมื่อเอามาแล้วพระเปิดออกดูก็มีแมลงวันบินออกมามากมาย และปลานั้นก็เหลือแต่ก้าง และกะต๊ำป๋าก็หาว่าแมลงวันกินปลาหมด พระก็เชื่อจึงโกรธแมลงวันและสั่งว่า ทีนี้ถ้าเห็นแมลงวันที่ไหนก็ให้ตีให้ตาย แล้วพระก็เอาไม้ให้เขาท่อนหนึ่งไว้คอยตีแมลงวัน บังเอิญมีแมลงวัน ตัวหนึ่งมาเกาะที่จมูกพระ พระก็บอกว่า "ไอ้กะต๊ำป๋า ๆ มีนี่ตัวหนึ่ง"กะต๊ำป๋าก็เอาไม้ตีที่จมูกพระเต็มแรง จนพระถึงกับชักดิ้นชักงอ
วันหนึ่งพระต้องออกไปนอกวัดจึงเรียกกะตำป๋ามาแล้วสั่งว่า เฝ้าวัดให้ดี อย่าให้อะไรมารกรุงรัง อย่าให้หมาเข้าในห้อง เขาก็ตอบโดยแข็งขันว่าจะจัดการให้เรียบร้อย เมื่อพระออกไปเขาก็ออกไปแล้ว ไปเอางาทำ เข้าหนุกงา คือตำงาคลุกกับข้าวเหนียวแล้วปั้นไปวางไว้ที่หมอนพระ เมื่อพระกลับมาพระก็ถาม ว่าเป็นอย่างไร เขาก็บอกว่า เรียบร้อยดี ไม่มีอะไรเข้ามาในวัดเลย แต่พอพระเห็นก้อนข้าวคลุกงาก็เข้า ใจว่าเป็นขี้หมาจึงสั่งลงโทษให้กะต๊ำป๋ากิน"ขี้หมา"นั้น กะต๊ำป๋าก็หยิบ"ขี้หมา"นั้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย แถมยังชวนพระกินด้วยอีกว่า อร่อยจริง ๆ พระก็ลองชิมดู เมื่อเห็นว่าอร่อยดี ก็ถามเขาว่าหมาตัวไหนนะ ที่ขี้อร่อยอย่างนี้ เขาก็บอกว่า "หมาแดงนั่นไง"
พระจึงให้ไปไล่หมานั้นเข้าวิหาร พระจับบานประตูคอยทีอยู่ก็ดันประตูเท้ากระแทกจนอุจจาระหมา ทะลัก แล้วพระจึงรีบเข้าไปกินก่อนที่กะต๊ำป๋าจะแย่ง แต่ปรากฏว่าคราวนี้เป็นขี้หมาจริง ๆ

ปีศาจ
09-15-2009, 05:48 PM
สองคนสองสหาย (นิทานของชาวไทใหญ่)
มีชายหนุ่มสองคนไปขอเรียนวิชากับอาจารย์ได้สามปี แต่อาจารย์ก็ไม่ได้สอนอะไรจึงขอลากลับบ้าน อาจารย์ก็อนุญาตและให้ข้อคิดไปว่า ทำอะไรให้ทำจริง ๆ ถ้าไม่ทำจริงก็ไม่พอกิน สองคนก็เดินทางกลับ เมื่อมาถึงหนองน้ำแห่งหนึ่งเห็นมีปลามาก จึงจะวิดหนองน้ำกินปลา ทั้งสองจึงช่วยกันวิดจนแห้ง ปรากฏว่า ไม่มีปลาสักตัว เพื่อนคนหนึ่งจึงเกิดความท้อแท้และว่าจะกลับแล้ว แต่อีกคนก็ว่าอาจารย์สอนว่าทำอะไรให้ ทำจริง ๆ จึงขุดดินลงไปอีกก็ไปพบหม้อทองคำ เขาจึงตัดไม้มาสองกระบอกและเอาทองใส่ เมื่อมาถึง บ้านคนหนึ่งว่าจะนอนในบ้านอีกคนนอนในป่า เพราะอาจารย์สอนไว้ว่า อย่านอนในที่สบาย เมียพูดดีอย่า ไว้ใจ ตกกลางคืน เมียก็ถามคนที่นอนที่บ้านว่าไปได้อะไรมาบ้าง เขาก็บอกว่าได้ทองมา แต่ขณะนั้นเมีย ได้บอกชายชู้ให้มาแอบฟังอยู่ใต้ถุน เขาบอกว่าเขาเอาทองนั้นฝังไว้ที่ต้นกล้วยในสวน ชู้ก็ได้ยินจึงแอบไป ขโมย แต่บังเอิญเขาได้ยินจึงวิ่งไล่ตามชู้ไป ชายชู้ที่ขโมยนั้นกลัวจึงเอาทิ้งไว้ในป่า และก็ไปตกที่เพื่อนคน ที่นอนในป่าพอดี เขาจึงเก็บไว้ เพื่อนคนที่นอนที่บ้านก็มาบอกว่าทองคำถูกขโมยไปเสียแล้ว คนที่นอนในป่า จึงว่าบอกแล้วว่าอย่านอนที่ดี เมียพูดดีอย่าไว้ใจ เพื่อนคนที่ทองคำหายก็ถามว่าจะทำอย่างไรดี อีกคนจึง บอกว่าจะเอามาคืนให้ได้ ทั้งสองจึงกลับไปที่บ้านของชายคนที่เมียมีชู้ กลับไปคุยกันให้เมียได้ยินว่าพรุ่งนี้เราจะไปค้าขายอีก เมียจึงเอาชู้มานอนด้วย รุ่งเช้าทั้งสองก็ทำทีออกไปค้าขาย แต่มาแอบดูเมียอยู่ เมื่อชู้มานอนทั้งสองเห็น จึงวิ่งขึ้นบ้านมา เมียก็ให้ชู้เข้าไปแอบอยู่ในห้องซึ่งมีกล่องอยู่ ทั้งสองก็ทำทีว่ากลับมากินอาหาร แล้วเพื่อน ทั้งสองก็เข้าไปในห้องนอน และรู้ว่าชายชู้อยู่ในกล่องนั้น จึงเอาเชือกมามัดไว้อย่างแน่นหนาและว่าจะ เอาไปขาย ทั้งสองจึงช่วยกันหามไป นางเมียได้ยินเข้าก็กลัวว่าชู้จะตายเพราะทั้งสองพูดกันว่าถ้าไม่ได้ขายก็จะฟันทิ้งน้ำไป จึงไปบอกเศรษฐีที่เป็นพ่อของชู้ให้มาซื้อ เศรษฐีมาขอซื้อ ๑๐๐ ทั้งสองก็ขอสองร้อย เศรษฐีก็ขอซื้ออีกเขาก็ขอเป็น ทอง ๑๐๐๐ ทีนี้เศรษฐีจะซื้ออีก เขาก็ขึ้นราคาเป็น ๒๐๐๐ พอเศรษฐีจะซื้ออีก เขาก็ขึ้นราคาเป็น ๔๐๐๐ ตอนนี้เขาก็ได้กำไรเป็นสองเท่าของทองที่เขามี เขาจึงขายไป อีกคนจึงว่า นี่ไง ที่ดีอย่าไปนอน เมียปากบอนอย่าบอกอะไรให้

ปีศาจ
09-15-2009, 05:49 PM
เสี่ยวผีเสี่ยวฅน (นิทานของชาวไทลื้อ)
ทุคคตะ คือคนยากจนคนหนึ่งรับจ้างเลี้ยงวัวเลี้ยงควายให้ชาวบ้าน ต่อมาขอไปอยู่กับครูบาและได้ขอ เรียน สิพพคุณ (อ่าน"สิปป๊ะกุน")คือวิชาการต่าง ๆ กับครูบานั้น ครูบาก็สอนให้จนท่องจำได้ขึ้นใจทั้งหมด วันหนึ่ง เจ้าทุคคตะไปเที่ยว ไปพบผีก็กอดผีแล้วพูดว่าเรามาเป็นพี่น้องกัน ทั้งสองตกลงเป็น เสี่ยว หรือสหายกัน พอคิดจะไปค้าขายแต่ก็ไม่มีเงินจึงไปขอจากครูบาไปทำทุน ทั้งสองก็ไปเอาหมอยหีหมอยควย มาสามหาบมาทำเป็นสายเบ็ดและไปหาแตดแม่ยิง(ผู้หญิง)ที่มีแตดสามง่าม มาทำเป็นเหยื่อเบ็ดนั้น แล้วทั้ง สองก็พากันไปที่สระแห่งหนึ่งแล้วเริ่มต้นตกปลา ฝ่ายลูกของพญานาคนึกอยากจะไปเที่ยวก็แปลงเป็นปลาและบังเอิญมากินเหยื่อที่เบ็ดนั้น ทั้งสองจึง ตวัดเบ็ดขึ้น แต่สายเบ็ดขาดไป รุ่งขึ้น ทั้งสองไปตกปลาที่เดิมอีก ปลาจำแลงก็มากินเบ็ดอีก สองสหาย ตวัดเบ็ดแต่สายเบ็ดก็ขาดอีก ก็เลยวางเบ็ดแล้วชวนกันไปเที่ยวเมืองนาค ส่วนลูกพญานาคนั้นก็ป่วยเพราะขอเบ็ดติดคออยู่ไม่มีหมอคนใดในเมืองนาคช่วยรักษาให้หายได้ เมื่อ เสี่ยวผีเสี่ยวคนทั้งสองคนเมื่อลงไปเมืองนาคแล้วก็ไปเที่ยวที่บ้านแม่เฒ่าคนหนึ่ง แล้วถามว่าใครในเมือง นาคนี้ป่วยอยู่บ้าง แม่เฒ่าก็บอกว่า ลูกของพญานาคนั้นป่วยด้วยมีขอเบ็ดค้างคอ ยังไม่มีหมอผู้ใดในเมือง นาครักษาให้หายได้ ทั้งสองคนจึงไปหาพญานาคแล้วอาสารักษาลูกพญานาค พญานาคก็บอกว่าถ้ารักษาให้ หายได้ก็จะให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ยกเว้นเมียพญานาคเอง เสี่ยวผีเสี่ยวคนจึงกลับไปที่แม่เฒ่าอีกแล้วลวงถามว่า พญานาคนั้นมีของดีอะไรบ้าง แม่เฒ่าก็บอกว่า พญานาคนั้นมีม้าตัวหนึ่งชื่อคำแต้ เวลามันขี้จะเป็นเงินเวลามันเยี่ยวก็จะเป็นทอง เสี่ยวผีเสี่ยวคนจึงรักษา ลูกพญานาคจนหายแล้วก็ขอเอาม้าคำแต้เป็นรางวัล ต่อมาเสี่ยวคนไปพบลูกสาวพญาเจ้าเมืองคนหนึ่งก็อยากได้เป็นเมีย พญาเจ้าเมืองจึงบอกว่าถ้าใคร สามารถเอาแผ่นคำมาตีเป็นสะพานจากบ้านของตนเองจนไปถึงที่อยู่ของพญาเจ้าเมืองได้ ก็จะยกลูกสาว ชื่อนางพิมพาให้เป็นเมีย เจ้าเสี่ยวคนจึงเอาเงินเอาคำที่ม้าขี้และเยี่ยวออกมาไปตีเป็นสะพานข้ามไปยัง บ้านของพญาเจ้าเมือง ๆ จึงยกนางพิมพาลูกสาวให้แก่เสี่ยวคน ส่วนเสี่ยวผีนั้น เมื่อเห็นนางพิมพาก็มีความอยากได้นางเป็นเมีย มันจึงเนรมิตรเป็นอีบ่างไปร้องอยู่ ที่บ้านของเสี่ยวคน นางนั้นเมื่อได้ยินเสียงของอีบ่างนางก็ตาย เสี่ยวผีจึงได้นางเป็นเมีย เสี่ยวคนนั้นเมื่อ รู้ดังนั้นก็ให้เอาอีบ่างมาตัดลิ้นเสีย ซึ่งต่อมาเมื่ออีบ่างร้องคราวใดก็ไม่มีคนตายตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เสี่ยวคนก็ใช้ให้เสนาทั้งหลายอันมี ไอ่ขน ไอ่เฮน ไอ่ฟักขาม ไอ่ไส้ลูน และไอ่สามไก่ไห้ ให้ไปฆ่า เสี่ยวผี ซึ่งทั้งสี่ก็ฆ่าผีได้ด้วยยาพิษ แล้วก็ได้นางนั้นคืนมาให้เสี่ยวคนในที่สุด

ปีศาจ
09-15-2009, 05:49 PM
เสี่ยวผีเสี่ยวคน (นิทานของชาวไทเขิน)
แต่ก่อนยังมีเด็กวัดคนหนึ่งไปเที่ยวสาวทุกวัน สาวจึงชอบเขา ต่อมา ผีได้มาเข้าตัวเขา เขาไป บอกพระว่าผีมาเข้าตัว พระจึงเอาด้ายสีดำของแม่หม้าย ๗ เส้น มาผูกคอเขาไว้และถามว่าผีมาเข้าเด็ก ทำไม ผีจึงบอกว่าผมชอบสาวแต่มันไปเที่ยวสาวทุกวัน ผมจึงไม่ชอบมัน พระจึงใช้ค้อนทุบตี ผีร้องขอชีวิต และบอกว่าถ้าให้ชีวิตมัน ๆ ก็จะช่วยเหลือทุกอย่างมีเรื่องอะไรก็ให้พระนึกถึงมัน พระจึงปล่อยผีไป ต่อมาชายผู้เป็นเด็กวัดไปได้เมียสาวสวยมาจากเมืองนาค ส่วนขุนแสงผู้เป็นผีจึงอยากได้เมียเขา จึงคิดวางแผนต่าง ๆ โดยแปลงเป็นงูเขียวมาอยู่ในครก แล้วคิดว่าถ้ากัดเมียเขาตายแล้วก็จะเสกนางให้ คืนชีพมาและจะเอาเป็นเมีย ในระหว่างนั้นเพื่อนผีที่เคยมาเข้าตัวขโยมวัดซึ่งได้รักเขาและเป็นศิษย์ของ อาจารย์เดียวกับขโยมวัด มาเข้าฝันขโยมวัดในเวลากลางคืน และสอนขโยมวัดว่าถ้าตำข้าวอย่าเอามือ ลงก่อน ตกตอนเช้าขโยมวัดได้บอกเมียว่าถ้าจะตำข้าว ให้ตำก่อนอย่าได้เอามือลงไปในครกก่อน ฝ่าย เมียจึงมาตำข้าวตามที่ผัวบอก เมื่อตำเสร็จจึงพบงูเขียวตายอยู่ก้นครก ฝ่ายขุนแสงจึงโมโห นึกในใจว่ามันรู้ได้อย่างไร จึงวางแผนใหม่ โดยแปลงเป็นตะเข็บ(ตะขาบ) มาอยู่ในหม้อน้ำ ถ้าเมียของขโยมวัดมาตักน้ำล้างหน้าตอนเช้าก็ให้ตะเข็บกัดมือนาง แล้วตนจะไปช่วยให้ นางฟื้นและก็จะเอานางเป็นเมีย ฝ่ายเสี่ยวผี(สหายผี) จึงไปบอกผัวของนาง ผัวของนางไปบอกนางถึง เรื่องตะเข็บนี้และบอกว่าอย่าตื่นล้างหน้าก่อนผัว ตกตอนเช้านางจึงตื่นพร้อมกับผัวแล้วจึงให้ผัวไปล้างหน้า ก่อน ขโยมวัดผู้เป็นผัวจึงฆ่าตะเข็บนั้นตาย ต่อมาขุนแสงก็เสกเป็นหนอนพิษมาอยู่ในที่นอน ถ้านางหรือผัวนางมานอนก็ให้กัดให้ถูกพิษตาย แล้ว ตนจะได้เอานางเป็นเมีย ฝ่ายเสี่ยวผีจึงมาบอกผัวนาง ทั้ง ๒ จึงได้ฆ่าหนอนตายแล้วจึงเอาไฟเผา กลิ่น จึงลอยไปถึงขุนแสง ขุนแสงจึงเสกให้เป็นหว่างกอลอมาให้ร้องเอาขวัญของนางซึ่งจะทำให้นางตาย แล้ว ตนจะได้เอานางเป็นเมีย หว่างกอลอจึงมาร้องที่บ้านของนาง หว่างกอลอมี ๓ ลิ้น ลิ้นที่หนึ่งเมื่อร้องแล้ว เรียกเอาขวัญ ลิ้นที่สอง เรียกเอาตาย และลิ้นที่สาม เรียกเอาคืนชีพ จึงได้มาร้องลิ้นที่หนึ่งนางจึงเจ็บ หัว ผัวนางจึงไม่รู้จะทำอะไรจึงจับผมนางไว้ทำอย่างไรก็ไม่หาย หว่างกอลอจึงร้องลิ้นที่สองเอาชีวิตนาง ไปได้ เสี่ยวผีจึงมาบอกว่าไม่ต้องกลัวจะช่วยเหลืออย่าเอาศพไปทิ้ง ตนจะช่วยให้คืนมาภายใน ๗ วัน ส่วนนางเมียของเด็กวัดนั้นจึงไปเป็นเมียขุนแสงโดยวิญญานร่างกายยังอยู่ที่บ้านเพราะผัวนางไม่ได้ ทิ้ง เสี่ยวผีจึงไปถามหว่างกอลอโดยแกล้งถามว่า เจ้ามีลิ้นกี่ลิ้น มันหลงกลบอกว่ามี ๓ ลิ้น ลิ้นที่หนึ่งเรียก เอาขวัญ ลิ้นที่สองเรียกให้ตาย ลิ้นที่สามเรียกเอาคืนให้ฟื้นขึ้นมาได้ เสี่ยวผีจึงบอกให้ลองเรียกโดยลิ้นที่ เอาชีวิตคืนซิเรียกเป็นไหม หว่างกอลอหลงกลจึงร้องโดยใช้ลิ้นที่ ๓ นางจึงมีชีวิตคืนกลับมาหาผัวนางที่ บ้าน เสี่ยวผีจึงถามหว่างกอลอว่าลิ้นที่เรียกตายเรียกเป็นไหม ลองแลบให้ดูซิ หว่างกอลอจึงแลบลิ้นที่สาม ให้ดู เสี่ยวผีจึงเอามีดตัดลิ้นมันแล้วนำลิ้นไปให้ขโยมวัดผู้ผัวให้เผาเสีย ตั้งแต่นั้นมาหว่างกอลอจึงมีสองลิ้น ส่วน ๒ ผัวเมียจึงอยู่อย่างสุขสบายสืบมา

ปีศาจ
09-17-2009, 05:29 PM
นางกิมก๋อง (อะลองลิ้นก่าน) (นิทานของชาวไทใหญ่)
เจ้าเมือง ๆ หนึ่งมีลูกชายสามคน ทั้งสามไปเรียนวิชามาจากเมืองตกะโส เมื่อเรียนจบแล้วก็เดิน ทางกลับบ้านเมือง ระหว่างทางไปเห็นนกก้อนสองผัวเมียบินมา เขาก็ยิงตกลงมาตายเสียตัวหนึ่ง ตัวผัว เมื่อเห็นเมียตายก็ฆ่าตัวตายตามไปด้วย แล้วทั้งสามก็กลับมาถึงบ้านเมืองและได้เล่าถึงเรื่องนกทั้งสองนั้น ให้พ่อฟัง พ่อก็ว่าทั้งสามนี้ไม่ดี ไปฆ่านกสองตัวเมียที่เขารักกันตาย แล้วก็ไล่ทั้งสามไปอยู่ในป่า ทั้งสามก็เข้าไปในป่า ไปพักที่ต้นไม้ฮุงต้นหนึ่ง เมื่อทั้งสามหิวน้ำจึงให้น้องสุดท้องไปหาน้ำ เขา ไปพบหนองน้ำแห่งหนึ่งซึ่งมียักษ์ตัวหนึ่งเฝ้าอยู่ เขาก็ขอน้ำจากยักษ์ แต่ยักษ์บอกว่าต้องให้พรแก่ตนเสียก่อน จึงจะให้กิน เขาก็ให้พรแก่ยักษ์ แต่ยักษ์ไม่พอใจจึงเอาเขาไปขังไว้ คนที่สองไปอีกก็ไปเจอยักษ์และถูก ยักษ์ขังอีก ที่สุดพี่คนโตจึงตามไป ยักษ์ก็บอกเช่นเดียวกับสองคนนั้น ซึ่งพี่ชายคนโตบอกว่าจะให้พรก็ได้ แต่ ต้องให้ตนอาบน้ำกินน้ำเสียก่อน ยักษ์ก็ยอม เมื่ออาบน้ำกินน้ำเสร็จชายคนนี้ก็ให้พรยักษ์อย่างดี ยักษ์พอใจ มากจึงถามว่าอยากได้อะไร เขาก็บอกว่าเอาน้องทั้งสองของเขาคืนมาก็แล้วกัน ซึ่งยักษ์ก็นำน้องทั้งสอง มาคืนให้ แล้วทั้งสามก็ออกเดินทางต่อไป ระหว่างการเดินทางนั้น บังเอิญพี่คนโตเกิดป่วย จึงให้ทั้งสองเดินทางไปก่อน และเมื่อถึงทางแยก ก็ให้ทำเครื่องหมายไว้ว่าไปทางไหน แต่ที่นั่นมียักษ์ร้ายตัวหนึ่งมาเปลี่ยนเครื่องหมายที่น้องของเขาทำไว้ เขาจึงหลงไปในเมืองหนึ่ง ซึ่งมียักษ์จับเอานางคนหนึ่งมาซ่อนไว้ในกลอง เขาก็พบนางที่นั่นและถามนาง ว่า ทำไมมาอยู่ที่นี่ นางก็คิดว่าเขาเป็นยักษ์ นางจึงว่าอย่าพูดมากเลย จะกินก็กินเสีย แต่เขาบอกว่าเขา มิใช่ยักษ์ พอดียักษ์มาถึง ก็ดีใจที่มีมาเป็นสองคนก็จะเข้ามากิน เขาก็ใช้ดาบวิเศษฆ่ายักษ์ตาย และเขาก็ เอานางมาเป็นเมีย ส่วนสองน้องนั้นก็รอพี่อยู่ไม่เห็นไปพบตนตามนัดหมาย จึงตามไปพบเขาที่เมืองของนางกิมก๋องนั้น ทั้งสามจึงเป็นพระยาในเมืองกิมก๋องนั้นเสีย ต่อมามีอีกเมืองหนึ่งจะมาตีเอาเมืองของสามพี่น้องนี้ เกิดต่อสู้กันและทั้งสามเอาชนะได้ เจ้าเมืองนั้นจึงได้เมืองนั้นอีกเมืองหนึ่งและอยู่เป็นเจ้าเมืองทั้งสองสืบมา

ปีศาจ
09-17-2009, 05:42 PM
[CENTER]วอกไคหิน เรื่องวอกไคหิน หรือวอกไข่หิน เป็นนิยายที่จารลงในใบลาน มีปรากฏอยู่ทั่วไป เห็นว่ามีเนื้อเรื่อง ละม้ายกับเรื่อง"ไซอิ๋ว" อยู่ไม่น้อย ที่เขาสิเนโรหรือเขาพระสุเมรุนั้น มีผาก้อนหนึ่งใหญ่กว้างลักษณะเหมือนบาตร หินนี้เป็นสี่เหลี่ยมตั้ง สูงขึ้น ๘ ศอก เป็นที่ ๆ พระปัจเจกเจ้าไปแสดงธรรมทุกวัน ที่นั้นมีหินอีกก้อนหนึ่งซึ่งมีสัณฐานเหมือนไข่ พอได้วาระแล้วไข่หินก็แตกกลายเป็นวอกตัวหนึ่ง ต่อมา วอกตัวนี้ก็ตั้งตัวเป็นหัวหน้าของวอกหรือบรรดาลิง อาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งวอกไข่หินก็จัดลำดับและแบ่งวอกทั้งหลายออกเป็นกลุ่ม ๆ ทั้งเพื่อรักษาความ ปลอดภัยและเพื่อการไปหาอาหารมาเลี้ยงกัน เป็นต้น หลายปีผ่านมา พญาวอกก็ออกจากถ้ำเพื่อเปลี่ยนวิถีชีวิต วอกได้ไปแย่งเอาเสื้อผ้าของพรานมาแต่ง แล้วเดินทางไปสู่สำนักฤาษีแล้วขอบวชเพื่อเรียนวิชาด้วย โดยเฉพาะได้คาถาบทหนึ่งเป่าให้เป็นไฟ อีกบท หนึ่งเป่าให้ข้าศึกตื่น สาปให้เป็นฝน อีกบทหนึ่งเป่าให้เป็นอะไรก็ได้ตามใจชอบ เมื่อได้วิชาแล้ว วอกจึงเดินทางต่อไปจนได้ไปปราบยีกษ์และลงไปอาละวาดถึงเมืองนาค ซึ่งก็ได้ ใช้อำนาจบังคับเอาเสื้อเกราะ ฆ้อนคำและสิ่งอื่น ๆ อีกหลายประการ เมื่อวอกกลับไปแล้ว พญานาคจึง ขึ้นไปฟ้องพระอินทร์ พระอินทร์จึงบอกให้ท้าวทั้ง ๔ ไปตามหาวอกเพื่อเอาไปลงนรก ซึ่งก็ไปจับเอาวอก วอกได้ในขณะที่นอนหลับอยู่บนหินกลางป่า พอไปถึงนรกวอกก็ถามว่าเหตุใดจึงจับตน ท้าวทั้งสี่จึงบอกว่าได้ รับหนังสือคำสั่งจากพระอินทร์ ซึ่งวอกก็ขอดูแล้วฉีกทิ้งและกลับไปอยู่ที่เดิม เมื่อท้าวทั้ง ๔ กลับไปรายงานพระอินทร์แล้วพระอินทร์จึงบอกว่าจะให้เรียกตัววอกไปเกี่ยวหญ้าม้า ซึ่งก็ทำงานได้ ๗ วันจึงไปถามพวกเทวดาที่นั่นว่าทำงานกับพระอินทร์เช่นนี้มียศเป็นอะไร พอได้รับคำตอบ ว่าไม่ได้รับการแต่งตั้งใด ๆ ก็โกรธและหนีกลับไปอยู่ที่เดิม เทวดาที่ตามมาจับก็พ่ายแพ้จนพระอินทร์ต้อง ให้เทวบุตรมาเชิญตัวขึ้นไปสวรรค์แล้วแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าเทวดามีหมวกทองคำรองเท้าทองคำ และให้ ไปเฝ้าสวนอุทยาน ซึ่งวอกก็ไปกินผลไม้วิเศษในอุทยานนั้นเสีย และได้ก่อเหตุเดือดร้อนวุ่นวายไปทั่ว ถึง จะให้เทวดาไปรบก็พ่ายแพ้กลับไปหาพระอินทร์ ในที่สุดวอกถูกน้องของพระอินทร์จับได้ โดยน้องของพระอินทร์เสกแหวนขว้างไปสวมคอวอกแล้วจับ เอาตัวไปฆ่า ซึ่งถึงแม้จะหาทางฆ่าอย่างไรก็ไม่สำเร็จ จนต้องไปนิมนต์พระพุทธเจ้ามาช่วยปราบ ซึ่งก็ท้า ให้ขึ้นไปอยู่ในอุ้งมือพระพุทธเจ้า และหากกระโดดออกจากอุ้งมือพ้นก็จะได้เป็นพระอินทร์ วอกจึงตกลงที่ จะลองแข่งดู เมื่อกระโดดไปถึงที่สุดแล้วก็พบเสา ๕ ต้นจึงเขียนชื่อตนไว้ที่นั่น ซึ่งพระพุทธเจ้าก็บอกว่า วอกยังไปไม่พ้นมือ เพราะเสาที่วอกหมายชื่อไว้คือนิ้วมือนิ้วกลางของพระพุทธเจ้านั่นเอง พอพระพุทธเจ้า คว่ำมือลง วอกก็ตกจากมือพระพุทธเจ้า พระองค์ก็เลยเสกเขาใหญ่ทับไว้ เมื่อเห็นว่าวอกยังดิ้นรนออกหา ทางออก แต่พระพุทธเจ้าเสกไม่ให้ออกจนกว่าจะหมด ๕,๐๐๐ ปี(ดอยที่ว่าคือดอยเชียงดาว เชียงใหม่)

ปีศาจ
09-18-2009, 12:48 PM
ตำนานเทวดาอันเอาฅนเข้าถ้ำเมืองละพูน
เรื่องราวตำนานที่เกี่ยวกับความเป็นมาของชาวเมืองลำพูน ตำนานเรื่องนี้ปรากฏในตอนท้ายคัมภีร์ ตำนานลำพูน มีเพียง ๘ ลานเศษ ได้กล่าวถึงเหตุแรกเริ่มของเรื่องดังกล่าวไว้ว่า เมื่อ จ.ศ.๙๓๘(๒๑๑๑) วันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๕ เวลาพลบคำ เทวดาได้นำเอาชายคนหนึ่งชื่อว่า รัวทีพา ผู้เป็นคนเฝ้าเทวสถาน อารักษ์พระญาดอยหลวง ชายคนดังกล่าวหลังจากกลับออกจากถ้ำมาแล้วก็ได้เล่าเรื่องต่าง ๆ ที่ตนได้พบเห็นให้ชาวลำพูนได้ฟังว่า มีอยู่วันหนึ่ง ตัวเขาเองได้ไปหาใบม่วน (ใบไม้ชนิดหนึ่ง พจนานุกรมล้านนา ฉบับแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า หมายถึง พรรณไม้พุ่มยืนต้นจากต่างประเทศชนิด Prunus persica Batch วงศ์ Rosaceae เรียก บ่าม่วน ในวัดบ้านปิด ด้านทิศใต้ลำพูน ห่างจากวิหารด้านใต้ประมาณ ๑๐๐ วา ขณะที่กำลังจะกินใบบ่าม่วนหรือหมากนั้น ก็เกิดเป็นหมอกมืดครึ้มขึ้นมาทำให้เขาหลงทาง ทันใดนั้น มีชายชราผู้หนึ่งนุ่งขาวห่มขาว เดินเข้ามาทักทายเขา เขาถามหนทางกลับบ้าน แต่ชายแก่กลับพาเขาเดินทางต่อไป สิ่งที่เขาสังเกตและจำได้คือ มีต้นกล้วย ลำเหมือง เมื่อเดินต่อไปเห็นโกฐธาตุพระพุทธเจ้า จากนั้นชายเฒ่าคนนั้นก็พาเขาไปที่บ้านของตนเอง และก่อนจะขึ้นไปบนบ้าน ชายชรานั้นก็นำเอาผ้าเนื้อละเอียดอ่อนดังทองคำ มาให้เขานุ่งห่ม สิ่งที่เขาเห็นในสถานที่นั้นล้วนวิจิตรพิสดาร และยังได้รับฟังการบอกเล่าเรื่องพระธาตุจากชายชราคนนั้นด้วย สิ่งที่มองเห็นอีกอย่างหนึ่งคือพญา ๗ องค์ที่นั่งประจำพระมหาธาตุ ขณะเดียวกันก็ได้เห็นคนที่กำลังไหว้พระธาตุ ล้วนแล้วแต่นุ่งขาวห่มขาว และพญานั้นยังให้หมากเขากินอีก พร้อมทั้งบอกเรื่องการสร้างแท่นแก้ว และยังได้เล่าถึงเมืองบน คือสวรรค์ว่า ชาวสวรรค์ตีฆ้องกลอง ทำให้เสียงของมันดังมาถึงที่เขาอยู่ ยิ่งกว่านั้นยังบอกไม่ให้เขาทำร้ายชีวิตสัตว์ ไม่ให้ด่าสมณชีพราหมณ์ ไม่ให้ประมาทในบิดามารดาของตน ต้องรักษาศีล ๕ และศีล ๘ อย่างสม่ำเสมอ เมื่อให้ทาน ต้องให้ผู้ทรงศีลกินแล้วตนเองจึงกิน ส่วนอาหารที่ควรกินนั้นควรเป็นอาหารเจ ห้ามไม่ให้กินเนื้อ เมื่อถามถึงอาหารที่ไม่ควรกิน ก็ได้รับคำว่า มีกบ เขียด เต่า ตะพาบน้ำ นอกจากนี้ ชายชรายังทำนายชะตาให้อีกว่า จะมีคนคนหนึ่งที่อดอยากอาหารมาควักเอาตาและปาดชิ้นกิน ทั้งนี้เพราะว่าในชาติก่อนเคยสร้างเวรกับพญาดอยหลวง คือชาติหนึ่งนั้นพญาดอยหลวงเป็นตุ๊กแก และ ตัวเขาเองเกิดเป็นพญาช้าง เกิดเถียงกันว่าใครจะเป็นกรรมสิทธิ์ในต้นไม้ทั้งที่ตุ๊กแก ซึ่งอาศัยอยู่ในโพรงต้น ส่วนพญาเป็นเพียงอาศัยร่มไม้แต่อ้างสิทธิ์ครอบครอง ผลสุดท้ายพญาช้างโกรธจึงรุนไม้ตนนั้นให้โค่นลง เมื่อทั้งสองตายไป ช้างไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้วมาเกิดเป็นคน ส่วนตุ๊กแกเกิดเป็นพญาดอยหลวง เมื่อถามถึงแท่นแก้วหรือบัลลังก์ที่กำลังสร้างก็ได้รับคำว่า จะเอาไปไว้ประจำในที่ๆ คนมีศีลธรรม และสั่งมาให้บอกคนไปร่วมกันทำบุญที่หน้าวัดชีวร ในเดือน ๖ และจะออกไปดูคนใจใฝ่บุญแลใจใฝ่บาป และจักเอาว่านไฟหว่านคนใจใฝ่บาปให้ตายหมดสิ้น ตอนท้ายพญาดังกล่าวชวนให้เขาอยู่ด้วยกัน แต่ตัวเขาปฏิเสธ จึงได้รับคำสั่งในวิธีเดินทาง ก่อนกลับก็ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี และให้หนังสือ เมื่อพร้อมแล้วชายชราก็ให้ขี่ม้าและเดินตามมาส่ง เมื่อถึงที่แห่งหนึ่งจึงให้ลงจากหลังม้าและหลับตา เมื่อรู้ตัวก็ปรากฏอยู่ ณ ก้อนหินเหนือปากถ้ำหอกลองนี้เอง

ปีศาจ
09-18-2009, 12:51 PM
ตำนานสี่เกลอ
ตำนานสี่เกลอฉบับวัดปากเหมือง เป็นการกล่าวถึงชายสี่คนที่เป็นมิตรสหายกันคือ ชาวพม่า ชาวพื้นเมืองล้านนา ชาวไทใหญ่และชาวไทย โดยทั้งสี่คนได้รู้จักกันตั้งแต่เมื่อครั้งที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงยกทัพมาตีเชียงใหม่ พระนารายณ์ทรงเป็นกษัตริย์องค์ที่ ๑๐ นับตั้งแต่พระเจ้าอู่ทองเป็นต้นมา พระเจ้าอู่ทองทรงเป็นเชื้อสายของพญาไชยสิริแห่งเมืองเชียงแสน ทรงสร้างเมืองอยุธยาขึ้นในปี พ.ศ. ๑๘๙๓ ตรงกับปียี เดือน ๗ ขึ้น ๖ ค่ำ วันศุกร์ ครั้นต่อมาถึงลำดับกษัตริย์องค์ที่ ๑๔ พญาไชยราชทรงปกครองบ้านเมือง มีมเหสีนามว่าศรีสุดา มีโอรส ๒ องค์คือ เจ้ายอดฟ้า อายุ ๑๑ ปี เจ้าสิปปา อายุ ๕ ปี เมื่อพระบิดาสวรรคต เสนาอามาตย์จึงแต่งตั้งให้เจ้ายอดฟ้าขึ้นครองราชย์ ฝ่ายพระนางศรีสุดา ต่อมาได้สามีเป็นจ่ารักษาพระราชวัง ทำให้เสนาอามาตย์ไม่พอใจจึงไปนิมนต์เจ้าเทียนซึ่งเป็นพระอนุชาของพญาไชยราชที่ออกไปบวชนั้น ให้สึกออกมาปกครองบ้านเมือง โดยมีขุนภิเรนเทพซึ่งเป็นเชื้อสายของพ่อขุนรามคำแหง เป็นหัวหน้าของเสนาอามาตย์ผู้ใหญ่ได้ไปเชิญเจ้าเทียน และจ่ารักษาพระราชวัง มาเสี่ยงเทียนบูชาต่อหน้าพระประธาน ใครจะได้เป็นใหญ่ให้เทียนดับทีหลัง หลังจากจุดเทียนเสี่ยงทายแล้ว เทียนของพระอนุชาจะดับก่อน ทำให้ขุนภิเรนเทพโมโหจึงคายหมากทิ้ง แต่เทวดาบันดาลให้หมากไปถูกใส่เทียนของจ่ารักษาพระราชวัง ทำให้เทียนลุกไหม้อย่างรวดเร็วและดับไปก่อน เสนาอามาตย์จึงนำตัวจ่ารักษาพระราชวัง และนางศรีสุดาไปฆ่า จากนั้นจึงให้พระอนุชาขึ้นเป็นกษัตริย์ ครั้นอยู่ต่อมาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงกระทำไมตรีติดต่อกับชาวฝรั่งเศส ชาวไทยในสมัยนั้นต่างมีเวทย์มนต์คาถาอยู่ยงคงกระพันเป็นอันมาก ได้ทดลองให้ชาวฝรั่งเศสใช้ปืนยิงแต่ก็ยิงไม่เข้า บางครั้งก็ยิงไม่ออก เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก ต่อมาพระนารายณ์ได้ส่งกองทัพไปตีเมืองหงสาวดี และสามารถได้รับชัยชนะอย่างง่ายดาย เมื่อเลิกทัพกลับมาทางล้านนา จึงได้เมืองเชียงใหม่เป็นเมืองขึ้นอีกเมืองหนึ่ง เหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้สหายทั้งสี่คนคือชาวเชียงใหม่ พม่า ไทใหญ่และชาวไทย รู้จักเป็นมิตรสหายกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และได้ร่วมมือกันสร้างวัดสี่เกลอไว้เป็นสักขีพยาน ทางทิศตะวันตกของเมืองเชียงใหม่ ทั้งสี่คนต่างมีอุปนิสัยที่แตกต่างกันคือ ชาวไทใหญ่ชอบเล่นเป็นพ่อค้าวัวต่าง ชาวพม่าชอบเล่นควายลากไม้ ชาวพื้นเมืองเชียงใหม่ชอบเลี้ยงหมา ส่วนชาวไทยชอบเที่ยวไปตามที่ต่างๆ ครั้นในเวลาต่อมาชาวไทยคิดเอาใจออกห่าง จึงออกอุบายเล่านิทานให้เพื่อนทั้งสามของตนฟังว่า มีสัตว์ ๔ ตัวเป็นเพื่อกันคือ วัว ควาย สุนัข และงู วันหนึ่งในขณะที่วัว ควายกำลังกินหญ้าอยู่ริมชายป่าแห่งหนึ่งนั้น มีสุนัขสองตัวกำลังผสมพันธุ์กันอยู่ วัวเห็นเช่นนั้นจึงถามสุนัขว่าทำไมจึงหันหลังให้กัน สุนัขตอบว่าเพื่อแสดงความรักใคร่ หากหันหน้าเข้าหากันแล้ว จะทำร้ายแยกเขี้ยวยิงฟันใส่กัน ขณะนั้นมีงูตัวหนึ่งเลื้อยผ่านมา ควายจึงถามว่าทำไมจึงสามารถไปไหนมาไหนได้ ทั้งๆ ที่ไม่มีเท้า งูตอบว่าที่ไม่มีเท้านั้นดีแล้ว เพราะเป็นการสะดวกใจ คิดจะไปไหนก็ไปได้เลย ไม่ต้องเสียเวลายกแข้งยกขา จากนั้นสัตว์ทั้ง ๔ ก็แยกย้ายกันไป เมื่อชาวไทยเล่านิทานจบลง ชาวพม่า ชาวเชียงใหม่และชาวไทใหญ่ก็ทราบความหมายว่าเพื่อนชาวไทยของตนต้องการที่จะแยกตัวไป จึงพูดกันว่าชาวไทยนี้ชาติก่อนเคยเป็นแลน ได้กินข้าวลีบที่พระพุทธเจ้าประทานให้ ทำให้แลนมีลิ้นแตกออกเป็นสองแง่ จึงเป็นผู้ที่ช่างพูด แต่ปากกับใจไม่ตรงกัน ด้วยเหตุนี้ท่านจึงสอนว่า สิ่งใดที่จะทำให้มิตรสหายผิดข้องหมองใจกัน จงอย่าได้นำมาพูดถึง ดังเช่นชายทั้ง ๔ คนนี้



(เรียบเรียงจาก ไพฑูรย์ ดอกบัวแก้ว)

ปีศาจ
10-06-2009, 10:45 AM
ตำนาน
พระเสตังคมณี(พระแก้วขาว)
พระแก้วขาว หรือพระเสตังคมณี เป็นพระพุทธรูปที่นับถือกันว่ามีความศักดิ์สิทธ์ สามารถคุ้มครองป้องกันอันตรายและอำนวยความสุขสวัสดิ์มงคลแก่ผู้ที่เคารพสักการะได้และปรากฏว่า ในอดีตกาลเป็นพระพุทธรูปสำหรับบูชา ประจำพระองค์ของพระนางจามเทวีปฐมกษัตริย์ผู้ครองนครหริภุญชัย และพระเจ้าเม็งรายมหาราช(หรือพระเจ้ามังราย) ปฐมวงศ์เมงราย ผู้สถาปนอาณาจักรลานนาไทย และกษัตริย์ผู้ครองหริภุญชัย และนครเชียงใหม่ ในยุคต่อๆ มา ก็นับถือเป็นพระพุทธรูปบูชาประจำพระองค์ทั้งสิ้น
พระพุทธรูปองค์นี้ ในตำนานได้กล่าวถึงการสร้างใว้ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานล่วงแล้ว ๗๐๐ ปี ในวันเพ็ญเดือน ๗ พระสุเทวฤาษีได้เอาดอกจำปา ๕ ดอก ขึ้นไปบูชาพระจุฬามณียังดาวดึงษ์สวรรค์ ได้พบปะสนทนาด้วยพระอินทร์ๆ ก็บอกกล่าวแก่สุเทวฤาษีว่า ปีนี้ในเดือนวิสาขะเพ็ญ ที่ลวะรัฏฐะจะสร้างพระพุทธรูปปฏิมากรด้วยแก้วขาว ครั้งสุเทวฤาษีกลับจากดาวดึงษ์เทวโลกแล้ว จึงไปสู่เมืองละโว้ ขณะนั้น พระยารามราชเจ้าเมืองละโว้กับพระกัสสปเถระเจ้าปรารถการที่จะสร้างพระแก้ว ซึ่งพระอรหันต์ไปได้แก้วขาวบริสุทธิ์บุษยรัตน์มาจากจันทเทวบุตร แล้วขอพระวิศนุกรรมมาเนรมิต สำเร็จรูปเป็นองค์พระพุทธปฎิมากรสุเทวฤาษีและฤาษีอื่นๆ ก็ได้มาประชุมช่วยในการสร้างพระด้วย ครั้งสำเร็จแล้วก็บรรจุพระบรมธาตุ ๔ องค์ ไว้ในพระโมลี(กระหม่อม) ๑ พระนลาต(หน้าผาก)1 พระอุระ(หน้าอก)1 พระโอษฐ์(ปาก) ๑ รวม ๔ แห่ง
เมื่อสร้างเสร็จแล้ว พระแก้วขาวก็ได้ประดิษฐานอยู่ที่เมืองละโว้สืบมาเป็นเวลานาน มาถึงสมัยเมื่อพระฤาษีสร้างนครหริภุญชัยขึ้นแล้ว ใช้ให้ควิยะอำมาตย์ ไปเชิญพระนางจามเทวี ซึ่งเป็นราชธิดาของพระเจ้ากรุงละโว้ มาครองเมืองหริภุญชัย พระนางจึงขออนุญาตจากพระราชบิดา นิมนต์พระภิกษุสงฆ์สามเณร และพระเสตังคมณี(พระแก้วขาว) มาเป็นพระพุทธรูปประจำพระองค์ พระแก้วขาวจึงได้ประดิษฐาน ณ นครลำพูน แต่นั้นมาเป็นเวลานานหลายร้อยปี บรรดากษัตริย์ครองเมืองหริภัญชัย(ลำพูน) ทั้งวงศ์เดียวกับพระนางจามเทวีและต่างวงศ์ ต่างก็ได้เคารพบูชาเป็นประจำองศ์มาทุกวงศ์ และได้สร้างหอพระปริดิษฐ์ไว้ในพระราชวัง
พระเสตังคมณีประดิษฐานอยู่ ณ เมืองลำพูนตลอดมาจนกระทั่งถึง รัชสมัยของพระยายีบาเป็นกษัตริย์ครองเมือง ในครั้งนั้นพระเจ้าเมงรายซึ่งเป็นเจ้าครองนครเงินยวง(เชียงแสน) ได้ยกกองทัพไปปราบบ้านเล็กเมืองน้อยต่างๆ ที่ยังแข็งเมืองอยู่ให้เข้ารวมอยู่ไปอำนาจของพระองค์จนหมดสิ้นแล้ว แต่นครหริภุญชัยนครั้งนั้นมีกำลังเข็มแข็งมาก พระองค์จึงคิดอุบายให้ขุนอายฟ้าเห็นราชวัลลภคนสนิท ไปทำการจารกรรมนานถึง ๗ ปี ขุนอ้าว จึงส่งข่าวไปให้พระเจ้าเมงรายให้ยกกองทัพมาตีภุญชัย พ.ศ. ๑๘๒๔ ชาวเมืองที่ไม่ยอมทิ้งเมืองทำการต่อสู้เมงรายต้องใช้ธนูเพลิงยิงเข้าไป ทำให้เกิดเพลิงไหม้ทั้งเมือง ในที่สุดก็พ่ายแพ้แก่กองทัพแก่กองทัพพระเจ้าเมงราย
เมื่อยกเข้าเมืองได้แล้ว พระเจ้าเมงรายจึงเสด็จออกตรวจดูความเสียหาย สี่งที่ทำให้พระองค์ทรงประหลาดพระทัยที่สุดคือ หอพระซึ่งอยู่ในบริเวณพระราชวังของพระยายีบาหาได้ถูกเพลิงไหม้ไม่ แต่บริเวณรอบๆ นั้นถูกเพลิงเผาผลาญพินาศฟมด พระองค์จึงเข้าไปทอดพระเนตรดู เห็นพระแก้วขาวสถิตอยู่ ณ ที่นั้น ก็เกิดมีพระราชศรัทธาปสาทะเป็นอันมากจึงอัญเชิญองค์พระแก้วขาวมาประดิษฐาน ณ ที่ประทับของพระองค์ ทรงเคารพสักการะบูชาเป็นพระพุทธรูปประจำพระองค์แต่นั้นมา

ปีศาจ
10-06-2009, 10:46 AM
ตำนาน
พระเสตังคมณี(พระแก้วขาว)
ต่อเมื่อพระองค์มาสร้างนครเชียงใหม่เป็นราชธานี เมื่อปีพ.ศ. 1839 ได้อัญเชิญพระแก้วขาว(เสตังคมณี) มาประดิษฐานในพระราชวัง จนตลอดรัชกาลของพระองค์ แม้ในเวลาเสด็จออกศึก ก็ทรงนิมนต์พระแก้วขาวไปด้วยทุกครั้ง พระองค์มิได้ประมาทในพระแก้วขาวเลย เมื่อพระองค์สวรรคตแล้ว พระแก้วขาวก็คงประดิษฐานอยู่ในเมืองเชียงใหม่ตลอดมา จนกระทั่งถึงรัชกาลของพระเจ้าติโลกราช รัชกาลที่ 11 แห่งราชวงศ์เมงราย พระองค์ทรงเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง พระองค์ได้ทรงทำนุบำรุงการพระพุทธศาสนาในเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่ายุคใดๆ ทั้งสิ้น พระองค์โปรดให้หมื่นด้ามพร้าคต ซึ่งเป็นนายช่างสถาปนิคเอกออกแบบไปถ่ายแบบอย่างโลหะปราสาท และรัตนเจดีย์ ในเมืองลังการมาแล้ว โปรดให้หมื่นด้ามพร้าคตเป็นผู้อำนวยการสร้างถาวร วัตถุในวัดวาต่างๆ และสร้างหอพระแก้วมรกตและพระแก้วขาวไว้ ในพระอารามราชกุฏาคารเจดีย์ (คือเจดีย์หลวง) ในปี พ.ศ. 2022 ในยุคนี้พระพุทธรูปสำคัญหลายองค์ ได้มาประดิษฐานในนครเชียงใหม่ เช่น พระแก้วมรกต พระพุทธสิหิงค์ พระเสตังคมณี (พระแก้วขาว) พระศิลา (พระหินอ่อน) เป็นต้น พระสององค์นี้เวลานี้ประดิษฐานอยู่ที่วัดเชียงมั่น จังหวัดเชียงใหม่
พระแก้วขาวได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง ในรัชสมัยของพระเจ้าติโลกราช มาตราบถึงรัชสมัยของพระยอดเชียงรายราชนัดดา ทรงสืบสันติวงศ์ต่อมา ในสมัยนี้มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระแก้วขาวคือ ในครั้งนั้นมีราชบุตร พระยาเมืองใต้ชื่อ สุริยวังสะ บวขเป็นภิกษุขึ้นมาจำพรรษาอยู่วัดเวฬุวัน (กู่เต้า) ในระหว่างปี พ.ศ. 2030-2049 ได้มารักใคร่ชอบพอกับนางท้าวเอื้อยหอขวางราชธิดา ของพระเจ้าติโลกราชเป็นอย่างยิ่ง สุริยะวังภิกขุมีความประสงค์อยากได้พระแก้วขาว ซึ่งประดิษฐานที่วัดเจดีย์หลวงจึงรบเร้าขอให้นางท้าวเอื้อยหอขวางจัดการให้ นางท้าวเอื้อยหอขวาง จึงทำกลอุบายว่าป่วยไข้ ครั้นนานหลายวันเข้า พันจุฬาผู้รักษาหอพระ จึงมาขอเอาพระแก้วคืน นางท้าวเอื้อยก็ให้ทองคำพันหนึ่งเป็นสินบนปิดปากพันจุฬา แล้วนางท้าวเอื้อยจึงเอาพระแก้วขาวใส่ไว้ในขอูป แล้วใส่ในถุงคลุมมิดชิดดีแล้ว ใช้ให้อ้ายกอน ทาสชายนำไปถวายแก่สุริยวังสะภิกขุ สริยวังขะภิกขุจึงเอาไม้เดื่อปล่องมาแกะเป็นองค์ แล้วเอาพระแก้วขาวแล้วใส่ไว้ในองค์พระ ไม้เดื่อที่กลวงภายในแล้วก็พาหนีไปเมืองใต้เสียและ
ครั้งอยู่ต่อมา ในปี พ.ศ. 2035 พระยอดเชียงรายให้ทรงสร้างพระอารามขึ้นในทิศตะวันตกเฉียงใต้เมือง ให้ชื่อว่าวัดตะโปทาราม (คือวัดรำพึง) ด้วยมีพระประสงค์จะเอาพระแก้วขาวไปประดิษฐานไว้ที่นั่น เมื่อได้ทราบว่าพระแก้วหายไปจึงสืบสวนได้ความ จากอ้ายกอนทาสของนางท้าวเอื้อยหอขวางว่า นางได้ใช้ตนนำไปถวายแก่สุริยวังสะภิกขุ และได้เอาหนีออกจากเมืองไปแล้ว พระยอดเชียงรายก็ใช้ให้ราชทูตเชิญเครื่องราชบรรณาการและราชสาส์น ไปถวายพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาเพื่อขอพระแก้วคืน พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาตอบพระราชสาสน์มาว่า สืบหาก็ไม่ได้ความ และหาไหนก็ไม่พบ พระยอดเชียงรายขัดพระทัย จึงยกทัพไปยังกรุงศรีอยุธยา อยู่ได้เดือนหนึ่งจึงได้พระแก้วขาวคืนแล้ว จึงเลิกทัพกลับมา พระแก้วขาวจึงได้ประดิษฐาน ณ เชียงใหม่ตามเดิม
ในปัจจุบัน พระแก้วขาว (เสตังคมณี) ประดิษฐานอยู่ ณ วัดเชียงมั่น จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเป็นมิ่งขวัญของชาวเชียงใหม่เป็นปูชนียวัตถุชิ้นสำคัญยิ่ง และเป็นสิ่งที่พวกเราไม่ควรประมาท ควรเคารพสักการะกราบไหว้บูชา เพื่อเป็นเนื้อนาบุญของเราทั้งหลาย และเราควรภาคภูมิใจ และทนุถนอมให้ดำรงอยู่ต่อไปชั่วกาลนานเทอญฯ

อ้างอิง http://www.yupparaj.ac.th/web1998/st06/part5-1.html

ปีศาจ
10-06-2009, 11:24 AM
มื้อจันวันดี
มื้อจันวันดีหรือที่ออกเสียงตามสำเนียงชาวเหนือว่า "มื้อจั๋นวันดี" นั้น เป็นการหาฤกษ์ยาม ตามเดือนพื้นเมือง ก่อนที่จะกระทำพิธีอันเป็นมงคลทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ การเดินทางไปค้าขาย หรือการบวช ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
เดือน
วันจม (วันไม่ดี)
วันฟู (วันดี)
เกี๋ยง (ตุลาคม)
วันจันทร์
วันศุกร์
ยี่ (พฤศจิกายน)
วันอังคาร
วันอาทิตย์
สาม (ธันวาคม)
วันพุธ
วันอาทิตย์
สี่ (มกราคม)
วันพฤหัสบดี
วันจันทร์
ห้า (กุมภาพันธ์)
วันศุกร์
วันเสาร์
หก (มีนาคม)
วันเสาร์
วันพุธ
เจ็ด (เมษายน)
วันอาทิตย์
วันพฤหัสบดี
แปด (พฤษภาคม)
วันพุธ
วันอาทิตย์
เก้า (มิถุนายน)
วันพฤหัสบดี
วันจันทร์
สิบ (กรกฎาคม)
วันศุกร์
วันอังคาร
สิบเอ็ด (สิงหาคม)
วันเสาร์
วันพุธ
สิบสอง (กันยายน)
วันอาทิตย์
วันพฤหัสบดี เมื่อทราบวันดีแล้ว ก็ควรจะทราบยามหรือเวลาอันเป็นมงคลของแต่ละวันด้วย ดังนี้ วันอาทิตย์ ยามเช้า ไม่ดี ยามสายและยามใกล้เที่ยง ดีมาก ยามบ่ายและยามเย็น ไม่ดี ยามใกล้ค่ำ ดีมาก วันจันทร์ ยามเช้า ยามสาย และยามใกล้ที่ยง ไม่ดี ยามเที่ยงและยามบ่าย ดีมาก ยามเย็น ยามใกล้ค่ำ และยามค่ำ ไม่ดี วันอังคาร ยามเช้าและยามสาย ดีมาก ยามใกล้เที่ยง ยามเที่ยง และยามบ่าย ไม่ดี ยาม เย็นและยามใกล้ค่ำ ดีมาก ยามค่ำ ไม่ดี วันพุธ ยามเช้า ยามสาย และยามใกล้เที่ยง ไม่ดี ยามเที่ยงและยามบ่าย ดีมาก ยามบ่าย- เย็น ยามใกล้ค่ำ และยามค่ำ ไม่ดี วันพฤหัสบดี ยามเช้าและยามสาย ไม่ดี ยามใกล้เที่ยงและยามเที่ยง ดีมาก ยามบ่าย-เย็นและใกล้ค่ำ ไม่ดี ยามค่ำ ดีมาก วันศุกร์ ยามเช้า ไม่ดี ยามสาย ดีมาก ยามใกล้เที่ยงและยามเที่ยง ไม่ดี ยามบ่ายและยาม เย็น ไม่ดี ยามใกล้ค่ำและยามค่ำ ดีมาก วันเสาร์ ยามเช้าและยามสาย ดีมาก ยามใกล้เที่ยงและยามเที่ยง ไม่ดี ยามบ่าย-เย็น ดีมาก ยามใกล้ค่ำและยามค่ำ ไม่ดี
หมายเหตุ : โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เนื่องจากเป็นความเชื่อส่วนบุคคล