PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : วิชาเศรษฐี



*8q*
09-10-2009, 08:03 PM
ทุกคนหากว่ายังต้องการเสพสุขในโลกนี้อยู่ ดูเหมือนว่าจะยังปรารถนาความเป็นเศรษฐีมั่งมีสมบัติด้วยกันทั้งนั้น เพราะทรัพย์สมบัติ เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขทางโลกีย์ทุกชนิดบรรดามีในโลก ใครมีทรัพย์สมบัติมาก มักจะได้สมปรารถนาในทุกสิ่ง อย่างอวัยวะร่างกายหรือแม้แต่หัวใจคน ก็ดูเหมือนว่าจะซื้อกันได้ด้วยเงินทองแล้ว
นอกจากนั้น คนมีเงินทองยังเป็นที่นิยมนับถือของคนทั่วไป จะพูดจาอะไร ก็มีคนเชื่อ น่าเกรงขาม เข้าทำนอง " มีเงินมีทองพอพูดกันได้ มีไม้มีไร่ปลูกเรือนงาม" นั่นแหละ
ดังนั้น การที่ทุกคนปรารถนาความมีทรัพย์สมบัติเพื่อเป็นเศรษฐีหรือเพียงเป็นคนมีเงินทองพอใช้จ่าย "จึงเป็นสิ่งไม่น่าตำหนิเพราะเป็นสิทธิอันชอบธรรมของทุกคน
แต่ความปรารถนานี้หาได้สำเร็จแก่ทุกคนไม่ เพราะลำพังเพียงแค่ปรารถนาเท่านั้น ทรัพย์สมบัติจะเกิดขึ้นมาสนองความปรารถนาก็หาไม่ คนที่เขาเป็นเศรษฐีมีทรัพย์นั้น เขามีเคล็ดของเขาอยู่ จะมีอย่างไรลองอ่านเรื่องนี้ดู
ชายคนหนึ่งเคยบวชเรียนแล้ว มีนิสัยชอบรู้ชอบเห็น ชอบศึกษาค้นคว้า นับเข้าในประเภทฉลาดได้คนหนึ่ง แล้วยังเป็นคนคุยเก่ง คุยได้ทุกเรื่องอีกด้วยแต่ว่าเป็นคนฐานะไม่ค่อยดี พอมีกินมีใช้ไปวัน ๆ เท่านั้น
ในวันหนึ่งจึงคิดว่า เห็นท่าจะต้องไปหากำนัน เพื่อเรียนรู้ความเป็นเศรษฐีกับกำนันเสียแล้ว เพราะกำนันเป็นคนรวยที่สุดในตำบลนั้น คิดตกก็ไปหากำนันทันที
ฝ่ายกำนันเห็นเขามาสมัครเรียนวิชาเศรษฐีด้วยก็ยินดีรับไว้ด้วยเห็นหน่วยก้านของเขาพอไปได้ ทั้งคำพูดจาก็ดูจะเป็นคนใช้ได้อยู่แต่ตกลงกันว่าวิชานี้อาจจะไม่จบง่าย ๆ ต้องเรียนกันนานหน่อย ให้เขากินอยู่ในบ้านเลย ช่วยทำงานบ้านด้วยโดยไม่ต้องรับค่าจ้าง เขารับคำตามข้อเสนอ
เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้วเขาก็ถามกำนันว่า จะให้เริ่มเรียนได้เมื่อไร ? กำนันบอกว่าเรียนกันวันนี้เลย เพราะเป็นวันพฤหัสบดีอันเป็นวันครูอยู่แล้ว เขาดีใจมากจึงคุยกับกำนันอย่างถูกคอ
ตกเย็น..กำนันก็ให้คนจัดอาหารมาขึ้นโต๊ะ ส่วนมากก็อาหารดี ๆ ทั้งนั้น และมีหลายอย่างด้วย เขาถามกำนันว่าจะเลี้ยงใคร จึงจัดอาหารมากมายอย่างนี้ กำนันตอบว่าก็เลี้ยงเรานั่นแหละ วันนี้ต้องรับลูกศิษย์เสียหน่อย เขาก็คิดว่า อ้อ ! คนเป็นเศรษฐีนั้นจะต้องเลี้ยงกันด้วยอาหารดี ๆ โต๊ะใหญ่ ๆ อย่างนี้
พอถึงเวลา กำนันก็ให้เขานั่งโต๊ะประจำที่ แล้วบอกให้ทานได้ เขาก็เริ่มลงมือตักข้าวใส่จาน แล้วก็เอื้อมมือไปหยิบขวดเหล้ายี่ห้อดีจะรินดื่มกำนันก็จับมือเขาไว้พลางพูดว่า
"เราชอบเหล้ามากหรือ ?"
เขาตอบว่า "ของโปรดทีเดียวครับ"
เออ..! เหล้านี่ถ้าไม่ได้กินจะตายไหม ?
"ไม่ตายครับ..!"
ไม่ตายก็แสดงว่าเหล้าไม่จำเป็นต่อร่างกายใช่ไหม ?
"ใช่ครับ"
และเมื่อเหล้ากินแล้วเมาไหม ?
"เมาครับ!"
เมาแล้วคุมสติไม่ได้ เอะอะโวยวายเหมือนคนบ้าไหม ?
"ใช่ครับ!"
เธอชอบเป็นคนบ้าหรือคนดี
"ชอบเป็นคนดีครับ"

กำนันก็เลยสรุปว่า เมื่อเหล้ามันไม่จำเป็นต่อชีวิต ไม่กินก็ไม่ตาย แต่กินแล้วเมาทำให้เหมือนคนบ้า ก็อย่าไปกินมัน ว่าแล้วก็ให้คนยกขวดเหล้าไปเก็บเสีย
เขามองตามอย่างเสียดาย..
กำนันถามเขาเรื่อย ๆ สิ่งใดที่ไม่จำเป็นต่อชีวิต ถึงไม่ได้กินก็ไม่ตายก็ให้ยกออกเก็บ เอาไว้เฉพาะที่จำเป็นต่อชีวิตต่อร่างกายต้องการจริง ๆ คือข้าวและกับข้าวเพียง ๔-๕ จาน แล้วพูดว่า
อาหารเหล่านี้จำเป็นต่อชีวิตจริง ๆ เมื่อไม่กินร่างกายจะอยู่ไม่ได้ แต่มันมีมากเราสองคนกินไม่หมด ? เขาตอบว่าไม่หมดครับ
ถ้าไม่หมด มันเหลือ จะเสียไหม ?
"เสียครับ"
เอ้า ! ถ้าเสียอย่างนี้ก็เอาไว้กินสัก ๒-๓ อย่างก็พอ เอาของแห้ง ๆ เก็บไว้ก่อน มันไม่บูดไม่เสียว่าแล้วก็ให้เก็บอีก และลงมือรับประทานก่อน
ทานอาหารกันเสร็จแล้ว กำนันก็ชวนเขาคุยต่อ เขาถามว่า เมื่อไรจะให้เรียนที่ว่าสักที กำนันตอบว่า เธอเรียนมาแล้ว ตั้งแต่อยู่ที่โต๊ะอาหารนั้นแหละ..!
คนจะเป็นเศรษฐีได้นั้น เขาต้องเริ่มที่การกินก่อน ถ้ากินไม่เป็นก็เป็นเศรษฐีได้ยาก
พูดเท่านี้เขาเข้าใจทันที พร้อมกับพูดเสริมว่า ที่คนเราส่วนมากจน ๆ ก็เพราะกินไม่เป็น ไม่รู้จักกิน กินไม่เลือกเวลา ไม่เลือกว่าจำเป็นใช่ไหมครับ ?
กำนันตอบว่า ถูกต้องที่สุด แล้วก็เรียกคนรับใช้ให้เอากระบุงที่สานค้างไว้มาสานต่อ
เขาถามว่า ท่านครับ ที่บ้านท่านมีกระบุงมากมายก่ายกองแล้วจะสานไปทำไมอีก
กำนันตอบว่า สานเอาไว้ขายเป็นรายได้พิเศษ คนเป็นเศรษฐีเขาต้องรู้จักคุณค่าของเวลาต้องทำงานหารายได้พิเศษ แม้จะเล็ก ๆน้อย ๆ ก็อย่าดูถูก เมื่อทำทุกวันก็ได้ทุกวัน ต้องใช้เวลาให้เป็นนั่งคุยกันเฉย ๆ มันเสียงานด้วย มือทำไปปากคุยไปได้ประโยน์นั่งคุยกันเฉยๆ มันเสียงานด้วย มือทำไปปากคุยไปได้ประโยชน์
เขาพยักหน้าเข้าใจ
พอมืดลง กำนันสั่งให้จุดตะเกียงทำงานกันคุยกันต่อ จนดึกได้เวลานอนก็ให้เข้านอนในห้องเดียวกัน แต่นอนคนละมุ้ง เมื่อเข้ามุ้งเสร็จเท่านั้นกำนันดับตะเกียงทันที เขาจึงถามว่า รีบดับตะเกียงทำไมครับ ผมอยากจะคุยกับท่านต่อ
กำนันตอบว่า ที่รีบดับเพราะป้องกันไฟไหม้มุ้ง เพราะบางทีเราเผลอหลับไป หากมือเท้าป่ายไปถูกตะเกียงเข้า มันจะล้มไฟจะไหม้มุ้ง ไหม้บ้านเอา อีกประการหนึ่งเป็นประการประหยัดด้วยการนอนคุยกันไม่จำเป็นจุดตะเกียง ต้องคอยประหยัดและมีสติอยู่ทุกเมื่อ
เมื่อกำนันเงียบเสียง เขาก็คิดว่ากำนันคนนี้เป็นคนรอบคอบจริง ๆ แต่ยังรู้ไม่เท่าเรา เราสิรู้มากกว่า นึกแล้วก็ทำตามที่รู้ทันที ..?
กำนันได้ยินเสียงกุกกัก ๆ จากมุ้งของเขาจังร้องทักว่า เธอทำอะไรนอนไม่หลับหรือ ?
เขาตอบว่า ธรรมดาผ้าเขามีไว้เพื่อปกปิดร่างกายและอวัยวะที่ควรปกปิดในตอนกลางวัน เพราะมีคนเห็น ตอนนี้ไม่มีใครเห็นแล้วจะนุ่งมันทำไมแก้เก็บไว้เสียมันจะได้ไม่ยับไม่เก่าง่าย ๆ ใช้ได้นานทั้งไม่เหม็นสาบด้วย ผมคิดอย่างนี้ครับจึงได้ถอดเสื้อกางเกงนอน
รุ่งขึ้น กำนันเรียกเขามาพบแต่เช้า แล้วบอกว่าเธอเรียนจบหลักสูตรแล้ว เธอรู้มากกว่าฉันเสียอีก บางอย่างฉันไม่รู้และไม่เคยทำเลย เธอกลับรู้และเป็นความจริงเสียด้วย เธอรู้ทุกอย่างดีแต่เธอขาดอย่างเดียวคือไม่ทำตามที่เธอรู้เท่านั้นเอง รู้มากแต่ไม่ทำตามที่พูด มันจะเกิดประโยชน์อะไร เวลานี้เธอเรียนจบแล้ว เธอไปได้ จงจำไว้น่ะ วิชาเศรษฐีนั้นมีเคล็ดอยู่นิดเดียวเท่านั้น คือ "รู้แล้วต้องทำตามที่รู้" เท่านั้นแหละ !

เป็นความจริง คนฉลาดนั้นย่อมเรียนรู้อะไรง่าย เข้าใจอะไรง่าย แต่ส่วนมากมักไม่ทำตามที่รู้ และคนเราส่วนมากก็มักจะรู้อะไรดี ๆ ด้วยกันทั้งนั้น การที่จะร่ำรวยมีเงินทองได้ต้องขยัน ต้องประหยัด อย่างนี้ก็รู้ การดื่มสุราไม่ดี การเที่ยวเตร่ไม่ดี เล่นการพนันไม่ดี เกียจคร้านไม่ดี อย่างนี้ก็รู้แต่ก็ยังทำกัน ทำแล่วก็เลิก เพราะไม่ยอมเลิก รู้ดีทุกอย่างว่าความชั่วเป็นอย่างไร แต่ก็ยังทำกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อย่างนี้เข้าตำรา "รู้แต่ทำไม่ได้" หรือ "รู้ดีแต่ไม่ทำดี" ผิดสูตรไปครึ่งหนึ่ง
เมื่อทำไม่ได้ จะเป็นเศรษฐีมีเงินทองตามปรารถนากันได้อย่างไร?








http://www.dhammathai.org/flowers/flower13.gifhttp://www.dhammathai.org/dhammastory/story49.php (http://www.dhammathai.org/dhammastory/story49.php)