DAO
10-16-2009, 08:32 PM
การทำแท้งบาปมากน้อยแค่ไหน?
การแพทย์สมัยใหม่ได้อธิบายขั้นต้อนวิวัฒนาการของชีวิตในครรภ์มารดาไว้อย่างน่าสนใจ เริ่มตั้งแต่ตัวสเปิร์มในอสุจิของคุณพ่อประมาณ ๒,๐๐๐ ล้านตัวสามารถเจาะเข้าไปภายในไข่ของคุณแม่ที่สุกเต็มที่ได้เพียงตัวเดียว ต่อจากนั้นวิวัฒนาการของชีวิตจึงเริ่มขึ้นจนกลายมาเป็นตัวเราในปัจจุบันนี้
ศาสตร์อันนี้ หาใช่เพิ่งค้นพบเมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้ไม่ แต่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ก่อนแล้วเมื่อ ๒๕๙๐ ปีก่อน และมีรายละเอียดบางอย่างที่การแพทย์สมัยใหม่ไม่สามารถบอกได้ มีอธิบายดังนี้
เมื่อวิญญาณเข้าถือปฏิสนธิในไข่ที่ผสมเชื้อไว้แล้วความเป็นคนก็ถือกำเนิดขึ้น วิญญาณที่เกิดสืบต่อ(ภวังควิญญาณ) ก็ทำหน้าที่สร้างสรรและหล่อเลี้ยงชีวิตให้วิวัฒนาการขึ้น ตามลำดับ
พระพุทธเจ้าตรัสถึงวิวัฒนาการของชีวิตในครรภ์มารดาไว้ดังนี้
รูปนี้เป็นกลละก่อน จากกลละเป็นอัพพุทะ จากอัพพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเป็นฆนะ จากฆนะเกิดเป็น ๕ ปุ่ม ต่อจากนั้นก็มีผม ขนและเล็บเกิดขึ้น มารดาของสัตว์ในครรภ์บริโภค ข้าว น้ำ โภชนาหารอย่างใด สัตว์ผู้อยู่ในครรภ์ก็เลี้ยงอัตภาพอยู่ด้วยอาหารอย่างนั้น
อ้างอิง...พระไตรปิฎก(มจร.) เล่มที่ ๑๑ หน้า๑๐๗ , เล่มที่ ๑๕ หน้า ๒๓๘
คัมภีร์อรรถกถา อธิบายเพิ่มเติมว่า
ระยะแรกที่ยังเป็นกลละนั้น หมายความว่า สัตว์ที่เกิดใน ครรภ์มารดา อวัยวะทุกส่วนมิใช่เกิดพร้อมกันทีเดียว แท้ที่ จริงแล้วค่อยๆวิวัฒนาการขึ้นทีละน้อยตามลำดับ โดยระยะ แรกอยู่ในสภาพเป็น กลละ ก่อน
กลละ คือ น้ำใสๆ มีสีคล้ายเนยใสขนาดเท่าหยาดน้ำ มันงาซึ่งติดอยู่ที่ปลายด้ายที่ทำจากขนแกะแรกเกิด ในกลละนั้น มีเค้าโครงของกายภาพอยู่ด้วยแล้ว ๓ อย่าง
๑. กายทสกะ (โครงสร้างทางร่างกาย) ๒. วัตถุทสกะ (โครงสร้างทางสมอง)
๓. ภาวทสกะ (โครงสร้างเพศ)
โครงสร้างทั้ง ๓ นี้ปรากฏรวมอยู่แล้วในกลละ
กลละ มีลักษณะเป็นก้อนกลมใสมีขนาดเท่าหยดน้ำมัน งาซึ่งติดอยู่ที่ปลายขนแกะแรกเกิด ๑ เส้น
จากกลละมาเป็นชิ้นเนื้อ(จากน้ำใสๆมาเป็นน้ำขุ่นๆ) ครั้งเป็นกลละได้ ๗ วัน กลละนั้นก็วิวัฒนาการเป็นน้ำขุ่นข้น มีสีคล้ายน้ำล้างเนื้อ เรียกว่า อัพพุทะ
จากอัพพุทะมาเป็นชิ้นเนื้อ(จากน้ำขุ่นๆเป็นชิ้นเนื้อ) ครั้งเป็นอัพพุทะได้ ๗ วัน อัพพุทะเกิดการแข็งตัวกลาย เป็นชิ้นเนื้อสีแดง มีลักษณะคล้ายเนื้อแตงโมบด
จากชิ้นเนื้อมาเป็นก้อนเนื้อ ครั้นเป็นชิ้นเนื้อได้ ๗ วัน ชิ้นเนื้อนั้นก็เกิดการแข็งตัวขึ้นกลายเป็นก้อนเนื้อทรงกลม คล้ายไข่ไก่
จากก้อนเนื้อก็เป็น ๕ สาขา สัปดาห์ที่ ๕ (วันที่๒๙) ก้อนเนื้อมีปุ่มเกิดขึ้น ๕ ปุ่ม ปุ่มเหล่านั้นจะเป็นศีรษะ ๑ แขน ๒ และ ขา๒
สัปดาห์ที่ ๖ เกิดเค้าโครงตา (จักขุทสกะ) สัปดาห์ที่ ๗ เกิดเค้าโครงหู (โสตทสกะ)
สัปดาห์ที่ ๘ เกิดเค้าโครงจมูก(ฆานทสกะ) สัปดาห์ที่ ๙ เกิดเค้าโครงลิ้น (ชิวหาทสกะ)
ตั้งแต่แรกถือปฏิสนธิ จนกระทั่งถึงเวลาเกิดอวัยวะ คือ ตา หู จมูก รวมเวลาทั้งสิ้น ๙ สัปดาห์
จากสัปดาห์ที่ ๙ ไปจนถึงสัปดาห์ที่ ๔๒ องค์อวัยวะ ต่างๆ เกิดขึ้นครบ คือ ผม ขน เล็บ หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า
ในขณะที่องคาพยพต่างๆเกิดขึ้นนั้น อวัยวะปลีกย่อย ต่างๆ ของร่างกายก็เกิดขึ้นพร้อมกันด้วย
ทันทีที่จุติจิต(ตาย)เกิดขึ้น ปฏิสนธิจิตเกิดติดต่อกัน ทันทีไม่ขาดสาย เหมือนน้ำที่ไหลติดต่อกันในลำธารไม่มี อะไรมาคั่นกลาง แม้ว่าจะตายที่กรุงเทพฯแล้วไปเกิดใหม่ ที่New Yock จิตขณะจุติและปฏิสนธิก็จะเกิดดับติดต่อกัน ไม่ขาดสาย เพราะจิตเกิดดับรวดเร็ว เพียงชั่ววินาทีเดียวจิต เกิด-ดับถึงแสนโกฏิขณะ
ฉะนั้นทันทีที่จุติจิตกิดขึ้น จิตที่สืบติดต่อกันนั้นก็ต้องเป็นปฏิสนธิจิตด้วยอำนาจของกรรมเป็นตัวสั่งการ เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นแล้วดับไป ภวังคจิตเกิดขึ้นสืบต่อทันที ต่อไปจนถึงภวังคจลนะ จากนั้นก็ภวังคุปปัจเฉทะตัดกระแสภวังค์เดิมเพื่อรับอารมณ์ใหม่ต่อไปอีก
ตั้งแต่ปฏิสนธิเป็นต้นไป ทั้งๆที่ไม่สามารถมองเห็นหรือ ส่องกล้องดูได้ เพราะยังเป็นน้ำใสคือเป็นกลละอยู่ แต่สัตว์ นั้นก็มีจิต เจตสิก รูปอยู่พร้อมเพรียง อารมณ์ก็เกิดได้ แต่เป็น อารมณ์ที่อ่อนมาก เพราะเพิ่งจะได้ตั้งต้น พลังงานของกรรม เพิ่งเริ่มวางรากฐาน อารมณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนกับเรา หลับๆ ตื่นๆ หรือฝันไปดีบ้างร้ายบ้าง ไปตามอำนาจของกรรมที่ได้ สั่งสมมา ตื่นขึ้นก็เล่าความฝันไม่ค่อยถูก เวลานี้ผู้ใดได้ ประหารเด็กในครรภ์ก็ได้ชื่อว่าฆ่ามนุษย์แล้วโดยสมบูรณ์ เรียกว่า ทำแท้ง
ฉะนั้น ความเข้าใจของนักวิชาการทั่วไปโดยเฉพาะนัก วิชาการที่ได้รับความรู้มาจากฝรั่ง ชาวตะวันตกที่เข้าใจกัน ว่า ชิ้นเนื้อในครรภ์ที่มีอายุไม่ถึง๒-๓เดือนยังไม่มีชีวิต เป็น ความเข้าใจที่ผิด ไม่ถูกต้อง! เพราะทันทีที่ตัวอสุจิจากพ่อ เข้าผสมกับไข่ของแม่และมีจุติวิญญาณ ชีวิตมนุษย์ก็เกิด ขึ้นทั้นที โดยไม่ต้องรอให้มีรูปร่างเหมือนอย่างที่นักวิชา การทั่วไปเข้าใจกัน
ถาม ผู้ทำแท้ง บาปมากน้อยแค่ไหน ?
ตอบ พระผู้มีพระภาคตรัสโทษที่สตรีผู้ทำแท้งจะต้อง ได้รับหลังตายไว้ว่า
ขุราธารมนุกฺกมฺม ติกฺข ทุรภิสมฺภวํ
ปตนฺติ คพฺภปาตินิโย ทุคฺคํ เวตฺตรณี นทึ.
อโยมยา สิมฺพลิโย โสฬงฺคุลิกณฺฏกา
อุภโต อภิลมฺพนฺติ ทุคฺคํ เวตฺตรณึ นทึ.
แปลว่า หญิงที่ทำแท้งต้องตกนรก ย่างเหยียบบนคมมีดอันคมกริบที่ไม่น่ารื่นรมย์ แล้วตกไปในแม่น้ำชื่อว่าเวตตรณีซึ่งปีนขึ้นฝั่งได้ยาก เพราะมีต้นงิ้วที่มีหนามเป็นเหล็กห้อยย้อยปกครุมอยู่ทั้ง ๒ ฝั่ง
.อ้างอิง.... พระไตรปิฎก(มจร.)เล่มที่ ๒๘ หน้า ๓๗
นรกเป็นเช่นไร?
นรก คือ ภพที่มีแต่ความร้อนรนทุกข์ทรมานหลบหนีไม่ได้ พระเถระท่านหนึ่งกล่าวเปรียบไว้น่าฟังว่า ท่านเคยฝันร้ายที่ต้องถึงกับสะดุ้งตื่นหรือเปล่า? ความรู้สึกในนรกก็เหมือนกันกับฝันร้ายอย่างสุดๆ ต่างกันแต่ในนรกไม่มีโอกาศผวาตื่นเท่านั้นเอง! (ดูรายละเอียดได้ในพระไตรปิฎก(มจร.)เล่มที่ ๑๔ หน้า ๒๔๒)
นรกมี ๒ ประเภท คือ
๑. นรกบนดิน เช่น คุก ตาราง ซ่องบางแห่ง ค่าย กักกันนักโทษสงครามบางที่ เป็นต้น
๒. นรกหลังตาย เป็นภพของสัตว์ที่ต้องมาชดใช้กรรมชั่วที่ตนเองได้เคยทำไว้ มีแต่ความทุกข์ทรมาน และเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา หาระหว่างคั่นมิได้
ปัจจุบันเป็นยุคประชาธิปไตย คนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ และมีสิทธิเสรีภาพในการเชื่อหรือไม่เชื่อไม่มีใครมาบีบบังคับได้ หลักคำสอนในพระพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน พระพุทธเจ้าไม่อาจบังคับหรือเสกเป่าให้ใครมาเชื่อคำสอนของพระองค์ได้ พระองค์เป็นเพียงผู้ชี้ทางว่า ทางนี้เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ควรเดิน ทางนี้เป็นไปเพื่อทุกข์ เป็นทางเศร้าหมองควรละ เราจะเชื่อและปฏิบัติตามพระองค์หรือไม่เป็นสิทธิของเรา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เรื่องนรกสวรรค์ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เราไม่อาจบังคับได้ แต่ถ้าเชื่อจะมีผลดี ๒ ประการ คือ
๑. จะทำให้ชีวิตของเขามีแต่ความสุขความเจริญ เพราะไม่กล้าทำความชั่ว กลัวว่าตายแล้วจะไปตกนรก แล้วหันมามุ่งทำแต่คุณงามความดีเพื่อจะได้ไปเกิดในสวรรค์ในชาติหน้า
๒. ถ้าเกิดนรกมีจริง เขาก็ไม่ต้องไปตกนรกเพราะมุ่งทำคุณงามความดีมาโดยตลอด
แต่ถ้าไม่เชื่อจะได้รับผลเสีย ๒ ประการเช่นกัน คือ
๑. ชีวิตในชาติปัจจุบันไม่มีความสุข เพราะสร้างแต่ความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและผู้อื่นอยู่เสมอ ที่สุดก็ต้องไปอยู่ในคุก ตาราง ตกเป็นทาสของยาเสพติด
๒. ถ้าหากนรกมีจริง เขาก็จะต้องตกนรกอย่างแน่นอน
สรุปว่า ถ้าเชื่อจะมีแต่กำไรและเสมอทุน แต่ถ้าไม่เชื่อจะมีแต่ขาดทุนกับขาดทุน
ดูรายละเอียดใน พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ หน้า ๙๘
คัมภีร์พระไตรปิฎก ได้บรรทึกเรื่องนรกสวรรค์ไว้ให้พุทธศาสนิกชนหรือผู้สนใจได้ศึกษาค้นคว้าดังต่อไปนี้
๑. เทวทูตสูตร เล่มที่ ๑๔ หน้าที่ ๒๕๙
๒. นรก เล่มที่ ๑๙ หน้าที่ ๖๒๕
๔. เปรต เล่มที่ ๒๖ หน้าที่๑๖๘
๕. นรกใหญ่ ๘ ขุม เล่มที่ ๒๘ หน้าที่ ๔๗
๕. เทพบุตร เทพธิดา เล่มที่ ๒๖ หน้า ๘-๑๕๐
ถาม... ทำบุญล้างบาปได้หรือไม่
ตอบ กรรมลบล้างไม่ได้ แต่หลีกหนีผลกรรมได้ (ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่มที่ ๑๔ หน้า ๑๑)
อดีตล่วงพ้นไปแล้ว การกระทำทุกอย่างที่กระทำไปด้วยเจตนาไม่ว่าจะชั่วหรือดีก็ตาม ก็เป็นอันได้กระทำไปแล้ว และผลกรรมนั้นจะต้องย้อนกลับมาหาตัวผู้กระทำในที่สุด แต่เวลาที่กรรมให้ผลนั้นไม่แน่นอนว่าจะช้าหรือเร็ว จะเป็นปัจจุบันหรืออนาคต ถ้าหากกรรมที่ได้กระทำก่อนหน้านั้นยังให้ผลไม่หมด หรือกรรมที่กระทำในปัจจุบัน มีวิบากแรงกว่าก็จะทำให้กรรมนั้นมีผลช้า เมื่อเป็นเช่นนี้หนทางที่จะหลีกหนีผลกรรมก็พอมีทาง(ดูรายละเอียดใน พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ หน้า ๗๙) ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้กระทำเองว่า มีฝีเท้าในการหลีกหนีมากน้อยแค่ไหน มีเส้นชัยอยู่ที่อนุปาทิเสสนิพพาน(ดับขันธปรินิพพาน) ถ้าในระหว่างนี้เขามุ่งมั่นทำเฉพาะบุญกุศลอบรมสติปัญญาให้ปราดเปรื่องอยู่ตลอดเวลา จนถึงขณะจิตสุดท้าย หลังตายก็จะไปเกิดในภพดี ๆ ได้ และหากเขาทำได้เช่นนี้ทุกภพทุกชาติ ไม่มัวหลงระเริงกับความสุขเล็กๆน้อย ๆ ที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว อันเป็นผลพลอยได้จากการเร่งทำบุญ เขาก็มีโอกาสเข้าถึงเส้นชัยได้ก่อนที่บาปจะตามมาทัน
เปรียบเหมือน โจรผู้ร้ายที่ได้ก่อคดีอาญาไว้ แล้วหลบหนีการจับกุมได้ตลอด ๒๐ ปี มีความสามารถในการหลบหลีกเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่ออายุความครบ ๒๐ ปี คดีความก็เป็นอันหมด อายุไป กฎหมายไม่อาจลงโทษเขาได้อีกต่อไป บาปที่เราทำไว้ก็เช่นกัน หากเราเข้าถึงอนุปาทิเสสนิพพานได้แล้ว ก็ไม่อาจตามมาให้ผลได้อีกต่อไป(ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๔ ข้อ ๒๑๙ หน้า ๓๖๕) แต่โดยมากยากที่จะเป็นเช่นนั้น มักถูกวิบากกรรมตามมาทันเสียก่อน หลายคนหลายท่านพยายามวิ่งหนีเอาจิต รอดสุดชีวิต ต้องถึงกับผ้าผ่อนหลุดลุ่ยกว่าจะเข้าถึงอนุปาทิเสสนิพพาน เข้าสู่ที่ปลอดภัยได้
ตัวอย่างเช่น พระองคุลีมาลเถระ กว่าท่านจะฟันฝ่าอุปสัคเข้าสู่เส้นชัยได้ ถูกกรรมเก่าไล่กวดจับจวนเจียนจะทันอยู่แล้ว หรืออาจจะถูกกรรมเก่าจับติดชายผ้านุ่งแล้ว แต่ท่านก็ยังพยายามดิ้นรนเต็มที่ ถึงกับถอดผ้านุ่งออกแล้ววิ่งล่อนจ้อนต่อไป จนเข้าสู่เส้นชัยจนได้ เมื่อเข้าสู่เส้นชัยแล้ววิปากกรรมก็มิอาจส่งผลได้อีก ไม่ต้องชดใช้กรรมใดๆ อีกต่อไป(ดูรายละเอียดใน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ ข้อ ๒๓๔ หน้า ๓๙๗) กรรมที่เคยทำไว้จะกลาย เป็นอโหสิกรรมไป (ดูรายละเอียดในคัมภีร์อภิธรรมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๕ เรื่องกัมมจตุกกะ)
คัมภีร์มโนรถปูรณี อรรถกถาอังคุตรนิกาย เอกก-ติกนิบาต หน้า ๑๓๒ อธิบายว่า
ในเวลาที่กุศลกรรมให้ผล อกุศลกรรมอย่างหนึ่งจะตั้งขึ้นตัดรอนกรรมนั้นให้ตกไป ถึงในเวลาที่อกุศล กรรมให้ผลกุศลกรรมอย่างหนึ่ง ก็จะตั้งขึ้นตัดรอนกรรมนั้นแล้วให้ตกไป นี้ชื่อว่าอุปัจเฉทกกรรม ในบรรดาอุปัจเฉทกกรรมที่เป็นกุศลและอกุศล กรรมของพระองคุลิมาลเถระได้เป็นกรรมตัดรอนอกุศล
พระมหาเถระอีกรูปหนึ่ง ท่านมีบุญบารมีมากกว่าพระองคุลีมาลหลายเท่านัก และทั้งที่สามารถเข้าถึงสอุปาทิเสสนิพพานได้แล้ว แต่ท่านก็ยังถูกกรรมเก่าตามมาทันจนได้ ท่านผู้นั้น คือ พระมหาโมคคัลลานเถระ(ดูราย ละเอียดในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๒ ข้อ ๖๐ หน้า ๓๙๐) ผู้อัครสาวกเบื้องซ้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กรรมของท่านมีพลังอำนาจถึงเพียงนี้ เนื่องจากในชาติก่อนท่านได้ฆ่าพ่อแม่ของตนเอง ซึ่งเป็นหนึ่งในอนันตริยกรรม ๕ ประการที่จัดว่าเป็นกรรมชั่วที่หนักที่สุด กรรมที่ท่านได้ทำนั้นส่งผลให้ท่านแทบเอาจิตไม่รอดทั้ง ๆ ที่ท่านสั่งสมบุญกุศลมาเป็นจำนวนมหาศาลถึงขนาดที่สามารถส่งท่านเข้าสู่พระนิพพานได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้านแรงบาปแทบไม่ไหว ท่านเข้าสู่สอุปาทิเสสนิพพานได้แล้วกรรมก็ยังตามมารังควาญอยู่ คือ ทั้งที่ท่านบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว ได้รับสรรเสริญจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เป็นผู้มีฤทธิ์กว่าพระอรหันต์ทั้งปวงก็ยังถูกพวกโจรทำร้ายทุบตีร่างกายจนแหลกละเอียด เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ก็ยังดีที่บาปตามมาทันขณะที่ท่านก้าวเข้าสู่เส้นชัยได้ครึ่งตัวแล้ว จึงทำให้ผลกรรมย่ำยีท่านได้แต่ร่างกายเท่านั้น ไม่อาจทำให้จิตท่านหวั่นไหวได้
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า บัณฑิตทั้งหลาย เรียกบุคคลผู้เป็นมุนีทางกายเป็นมุนีทางวาจา เป็นมุนีทางใจ ผู้ไม่มีอาสวะว่า เป็นมุนีผู้สมบูรณ์ด้วยโมเนยยธรรม ล้างบาปได้แล้ว
(ดูรายละเอียดใน คัมภีร์พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๙ หน้า ๗๐)
ถาม ทำไมเราต้องเข้าถึงพระนิพพาน เราแค่ทำบุญให้ทานมาก ๆ แล้วไปเกิดเป็นเศรษฐีหรือเทวดา ก็พอแล้ว
ตอบ .....ถ้ายังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ก็มีโอกาสที่จะตกนรกสูง เพราะคนที่เกิดมาแล้วไม่ทำบาปเลย ไม่มี แม้แต่คนที่ได้ไปเกิดเป็นเทวดาแล้ว เมื่อเคลื่อนจากภพ เทวดาแล้ว จะไปตกนรกเสียส่วนมาก
ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงใช้ปลายพระ นขา(เล็บ)ช้อนฝุ่นขึ้นมาเล็กน้อย แล้วตรัสถามภิกษุทั้ง หลายว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอเข้าใจความข้อนี้อย่างไร ฝุ่นที่เราใช้ปลายเล็บช้อนขึ้นมากับแผ่นดินใหญ่นี้ อย่างไหนจะมากกว่ากัน
ภิกษุทั้งหลายทูลตอบว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แผ่นดินใหญ่นี้แลมากกว่า ฝุ่นที่ปลายพระนขามีเพียงเล็ก น้อย เมื่อเทียบกับแผ่นดินใหญ่แล้ว คำนวนไม่ได้ เทียบกัน ไม่ได้ หรือไม่ถึงส่วนเสี้ยว
ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน1สัตว์ที่จุติเทวดามาเกิดในเทวดา มีจำนวนน้อย ส่วน สัตว์ที่จุติจากเทวดาแล้าไปเกิดในนรก ไปเป็นเปรตมีจำนวนมากกว่า
พวกเทพชั้นเวหัปผลาที่ไม่ได้สดับพุทธธรรมมีอายุประมาณ ๕๐๐ กัป เมื่อสิ้นอายุ ให้ ระยะเวลาที่เป็นกำหนดอายุหมดไปแล้วไปสู่นรกบ้าง ไปสู่แดนเปรตบ้าง
อ้างอิง...พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ ข้อ ๑๑๗๘ หน้า ๖๕๔ , เล่มที่ ๒๑ ข้อ ๑๒๕ หน้า ๑๙๓
เหตุที่ทำให้ตกนรก
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสถึงเหตุที่ทำให้ไปตกนรกไว้ว่า
ภิกษุทั้งหลาย ปาณาติบาต(การฆ่าสัตว์)ที่บุคคลเสพ ทำให้มากแล้ว ย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดในนรก อำนวยผลให้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน อำนวยผลให้ไปเกิดในเปรตวิสัย วิบากแห่งปาณาติบาตอย่างเบาที่สุด ย่อมอำนวยผลให้เป็นผู้มีอายุสั้นแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์
อทินนาทาน(การลักทรัพย์)ที่บุคคลเสพ ทำให้มากแล้ว ย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดในนรก อำนวยผลให้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน อำนวยผลให้ไปเกิดในเปรตวิสัย วิบากแห่งอทินนาทานอย่างเบาที่สุดย่อมอำนวยผลให้เป็นผู้เสื่อมโภคทรัพย์แก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์
กาเมสุมิจฉาจาร(การประพฤติผิดในกาม)ที่บุคคลเสพ ทำให้มากแล้วย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดในนรก อำนวยผลให้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน อำนวยผลให้ไปเกิดในเปรตวิสัย วิบากแห่งกาเมสุมิจฉาจารอย่างเบาที่สุด ย่อมอำนวยผลให้เป็นผู้มีศัตรูและเป็นผู้มีเวรแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์
มุสาวาท(การพูดเท็จ)ที่บุคคลเสพ ทำให้มากแล้ว ย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดในนรก อำนวยผลให้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน อำนวยผลให้ไปเกิดในเปรตวิสัย วิบากแห่งมุสาวาทอย่างเบาที่สุด ย่อมอำนวยผลให้ถูกกล่าวตู่ด้วยคำไม่จริงแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์
ปิสุณาวาจา(การพูดส่อเสียด)ที่บุคคลเสพ ทำให้มากแล้ว ย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดในนรก อำนวยผลให้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน อำนวยผลให้ไปเกิดในเปรตวิสัย วิบากแห่งปิสุณาวาจาอย่างเบาที่สุด ย่อมอำนวยผลให้แตกแยกจากมิตรแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์
ผรุสวาจา(การพูดหยาบคาย)ที่บุคคลเสพ ทำให้มากแล้วย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดในนรก อำนวยผลให้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน อำนวยผลให้ไปเกิดในเปรตวิสัย วิบากแห่งผรุสวาจาอย่างเบาที่สุด ย่อมอำนวยผลให้ได้ฟังเรื่องที่ไม่น่าพอใจอยู่เป็นนิจแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์
สัมผัปปลาปะ(การพูดเพ้อเจ้อ)ที่บุคคลเสพ ทำให้มากแล้ว ย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดในนรก อำนวยผลให้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน อำนวยผลให้ไปเกิดในเปรตวิสัย วิบากแห่งสัมผัปปลาปะอย่างเบาที่สุด ย่อมอำนวยผลให้มีวาจาที่ไม่น่าเชื่อถือแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์
การดื่มสุราและเมรัยที่บุคคลเสพ ทำให้มากแล้ว ย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดในนรก อำนวยผลให้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน อำนวยผลให้ไปเกิดในเปรตวิสัย วิบากแห่งการดื่มสุราและเมรัยอย่างเบาที่สุด ย่อมอำนวยผลให้เป็นผู้วิกลจริตแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์
อ้างอิง...พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต เล่ม ๒๓ ข้อ ๔๐ หน้า ๓๐๒
ชาติหน้ามีจริงหรือ?
พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งกฎธรรมชาติว่า สัตว์ทุกชีวิตเคยเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน(1) ผู้ที่ไม่เคยเกิดเป็นพ่อแม่กันมาก่อนหาได้ยาก(2) บางชาติเกิดเป็นเทวดา บางชาติเป็นมนุษย์ บางชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน บางชาติเกิดเป็นเปรต/อสุรกาย บางชาติต้องตกนรก ต้องเวียนว่ายตาย-เกิดอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ตามอำนาจบุญและบาปที่ตนเองได้ทำไว้ เหตุการณ์ทุกอย่างที่เราประสบอยู่ทุกวันนี้ไม่มีคำว่าโชคหรือบังเอิญทุกอย่างเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำของเราในอดีตทั้งสิ้น(3)
......อ้างอิง...ดูรายละเอียดใน พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงการราชิวิทยาลัย (เล่มที่ / หน้าที่ )
1. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ หน้า ๒๒๓
2. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ หน้า ๒๒๗
3. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ หน้าที่ ๓๕๐-๓๖๕
ตายแล้วไปไหน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา แปลว่า..เมื่อจิตผ่องใส สุคติเป็นอันหวังได้ เมื่อจิตเศร้าหมองทุคติเป็นอันหวังได้..
หมายความว่า ขณะที่เราตาย ถ้าจิตผ่องใสพอตายปุ๊ป จะไปเกิดในสุคติทันที จะเกิดเป็นมนุษย์เทวดาหรือพรหมตามกำลังความผ่องใสของจิตขณะสุดท้าย...แต่ถ้าขณะที่จะตายมีจิตเศร้าหมอง พอตายปุ๊ปก็จะไปเกิดในทุคติทันที จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต/อสุรกาย หรือตกนรก ตามกำลังความเศร้าหมองของจิตขณะสุดท้าย
....อ้างอิง..ดูรายละเอียดใน พระไตรปิฎก(มจร.)เล่มที่ ๑๒ หน้า ๖๓ ,และคัมภีร์อรรถกถา หน้า๑๘๐
นรกเป็นเช่นไร?
นรก คือ ภพที่มีแต่ความร้อนรนทุกข์ทรมานหลบหนีไม่ได้ พระเถระท่านหนึ่งกล่าวเปรียบไว้น่าฟังว่า ท่านเคยฝันร้ายที่ต้องถึงกับสะดุ้งตื่นหรือเปล่า? ความรู้สึกในนรกก็เหมือนกันกับฝันร้ายอย่างสุดๆ ต่างกันแต่ในนรกไม่มีโอกาศผวาตื่นเท่านั้นเอง! (ดูรายละเอียดได้ในพระไตรปิฎก(มจร.)เล่มที่ ๑๔ หน้า ๒๔๒)
นรกมี ๒ ประเภท คือ
๑. นรกบนดิน เช่น คุก ตาราง ซ่องบางแห่ง ค่าย กักกันนักโทษสงครามบางที่ เป็นต้น
๒. นรกหลังตาย เป็นภพของสัตว์ที่ต้องมาชดใช้กรรมชั่วที่ตนเองได้เคยทำไว้ มีแต่ความทุกข์ทรมาน และเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา หาระหว่างคั่นมิได้
ปัจจุบันเป็นยุคประชาธิปไตย คนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ และมีสิทธิเสรีภาพในการเชื่อหรือไม่เชื่อไม่มีใครมาบีบบังคับได้ หลักคำสอนในพระพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน พระพุทธเจ้าไม่อาจบังคับหรือเสกเป่าให้ใครมาเชื่อคำสอนของพระองค์ได้ พระองค์เป็นเพียงผู้ชี้ทางว่า ทางนี้เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ควรเดิน ทางนี้เป็นไปเพื่อทุกข์ เป็นทางเศร้าหมองควรละ เราจะเชื่อและปฏิบัติตามพระองค์หรือไม่เป็นสิทธิของเรา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เรื่องนรกสวรรค์ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เราไม่อาจบังคับได้ แต่ถ้าเชื่อจะมีผลดี ๒ ประการ คือ
๑. จะทำให้ชีวิตของเขามีแต่ความสุขความเจริญ เพราะไม่กล้าทำความชั่ว กลัวว่าตายแล้วจะไปตกนรก แล้วหันมามุ่งทำแต่คุณงามความดีเพื่อจะได้ไปเกิดในสวรรค์ในชาติหน้า
๒. ถ้าเกิดนรกมีจริง เขาก็ไม่ต้องไปตกนรกเพราะมุ่งทำคุณงามความดีมาโดยตลอด
แต่ถ้าไม่เชื่อจะได้รับผลเสีย ๒ ประการเช่นกัน คือ
๑. ชีวิตในชาติปัจจุบันไม่มีความสุข เพราะสร้างแต่ความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและผู้อื่นอยู่เสมอ ที่สุดก็ต้องไปอยู่ในคุก ตาราง ตกเป็นทาสของยาเสพติด
๒. ถ้าหากนรกมีจริง เขาก็จะต้องตกนรกอย่างแน่นอน
สรุปว่า ถ้าเชื่อจะมีแต่กำไรและเสมอทุน แต่ถ้าไม่เชื่อจะมีแต่ขาดทุนกับขาดทุน
ดูรายละเอียดใน พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ หน้า ๙๘
คัมภีร์พระไตรปิฎก ได้บรรทึกเรื่องนรกสวรรค์ไว้ให้พุทธศาสนิกชนหรือผู้สนใจได้ศึกษาค้นคว้าดังต่อไปนี้
๑. เทวทูตสูตร เล่มที่ ๑๔ หน้าที่ ๒๕๙
๒. นรก เล่มที่ ๑๙ หน้าที่ ๖๒๕
๔. เปรต เล่มที่ ๒๖ หน้าที่๑๖๘
๕. นรกใหญ่ ๘ ขุม เล่มที่ ๒๘ หน้าที่ ๔๗
๕. เทพบุตร เทพธิดา เล่มที่ ๒๖ หน้า ๘-๑๕๐
มีต่อคะ
การแพทย์สมัยใหม่ได้อธิบายขั้นต้อนวิวัฒนาการของชีวิตในครรภ์มารดาไว้อย่างน่าสนใจ เริ่มตั้งแต่ตัวสเปิร์มในอสุจิของคุณพ่อประมาณ ๒,๐๐๐ ล้านตัวสามารถเจาะเข้าไปภายในไข่ของคุณแม่ที่สุกเต็มที่ได้เพียงตัวเดียว ต่อจากนั้นวิวัฒนาการของชีวิตจึงเริ่มขึ้นจนกลายมาเป็นตัวเราในปัจจุบันนี้
ศาสตร์อันนี้ หาใช่เพิ่งค้นพบเมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้ไม่ แต่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ก่อนแล้วเมื่อ ๒๕๙๐ ปีก่อน และมีรายละเอียดบางอย่างที่การแพทย์สมัยใหม่ไม่สามารถบอกได้ มีอธิบายดังนี้
เมื่อวิญญาณเข้าถือปฏิสนธิในไข่ที่ผสมเชื้อไว้แล้วความเป็นคนก็ถือกำเนิดขึ้น วิญญาณที่เกิดสืบต่อ(ภวังควิญญาณ) ก็ทำหน้าที่สร้างสรรและหล่อเลี้ยงชีวิตให้วิวัฒนาการขึ้น ตามลำดับ
พระพุทธเจ้าตรัสถึงวิวัฒนาการของชีวิตในครรภ์มารดาไว้ดังนี้
รูปนี้เป็นกลละก่อน จากกลละเป็นอัพพุทะ จากอัพพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเป็นฆนะ จากฆนะเกิดเป็น ๕ ปุ่ม ต่อจากนั้นก็มีผม ขนและเล็บเกิดขึ้น มารดาของสัตว์ในครรภ์บริโภค ข้าว น้ำ โภชนาหารอย่างใด สัตว์ผู้อยู่ในครรภ์ก็เลี้ยงอัตภาพอยู่ด้วยอาหารอย่างนั้น
อ้างอิง...พระไตรปิฎก(มจร.) เล่มที่ ๑๑ หน้า๑๐๗ , เล่มที่ ๑๕ หน้า ๒๓๘
คัมภีร์อรรถกถา อธิบายเพิ่มเติมว่า
ระยะแรกที่ยังเป็นกลละนั้น หมายความว่า สัตว์ที่เกิดใน ครรภ์มารดา อวัยวะทุกส่วนมิใช่เกิดพร้อมกันทีเดียว แท้ที่ จริงแล้วค่อยๆวิวัฒนาการขึ้นทีละน้อยตามลำดับ โดยระยะ แรกอยู่ในสภาพเป็น กลละ ก่อน
กลละ คือ น้ำใสๆ มีสีคล้ายเนยใสขนาดเท่าหยาดน้ำ มันงาซึ่งติดอยู่ที่ปลายด้ายที่ทำจากขนแกะแรกเกิด ในกลละนั้น มีเค้าโครงของกายภาพอยู่ด้วยแล้ว ๓ อย่าง
๑. กายทสกะ (โครงสร้างทางร่างกาย) ๒. วัตถุทสกะ (โครงสร้างทางสมอง)
๓. ภาวทสกะ (โครงสร้างเพศ)
โครงสร้างทั้ง ๓ นี้ปรากฏรวมอยู่แล้วในกลละ
กลละ มีลักษณะเป็นก้อนกลมใสมีขนาดเท่าหยดน้ำมัน งาซึ่งติดอยู่ที่ปลายขนแกะแรกเกิด ๑ เส้น
จากกลละมาเป็นชิ้นเนื้อ(จากน้ำใสๆมาเป็นน้ำขุ่นๆ) ครั้งเป็นกลละได้ ๗ วัน กลละนั้นก็วิวัฒนาการเป็นน้ำขุ่นข้น มีสีคล้ายน้ำล้างเนื้อ เรียกว่า อัพพุทะ
จากอัพพุทะมาเป็นชิ้นเนื้อ(จากน้ำขุ่นๆเป็นชิ้นเนื้อ) ครั้งเป็นอัพพุทะได้ ๗ วัน อัพพุทะเกิดการแข็งตัวกลาย เป็นชิ้นเนื้อสีแดง มีลักษณะคล้ายเนื้อแตงโมบด
จากชิ้นเนื้อมาเป็นก้อนเนื้อ ครั้นเป็นชิ้นเนื้อได้ ๗ วัน ชิ้นเนื้อนั้นก็เกิดการแข็งตัวขึ้นกลายเป็นก้อนเนื้อทรงกลม คล้ายไข่ไก่
จากก้อนเนื้อก็เป็น ๕ สาขา สัปดาห์ที่ ๕ (วันที่๒๙) ก้อนเนื้อมีปุ่มเกิดขึ้น ๕ ปุ่ม ปุ่มเหล่านั้นจะเป็นศีรษะ ๑ แขน ๒ และ ขา๒
สัปดาห์ที่ ๖ เกิดเค้าโครงตา (จักขุทสกะ) สัปดาห์ที่ ๗ เกิดเค้าโครงหู (โสตทสกะ)
สัปดาห์ที่ ๘ เกิดเค้าโครงจมูก(ฆานทสกะ) สัปดาห์ที่ ๙ เกิดเค้าโครงลิ้น (ชิวหาทสกะ)
ตั้งแต่แรกถือปฏิสนธิ จนกระทั่งถึงเวลาเกิดอวัยวะ คือ ตา หู จมูก รวมเวลาทั้งสิ้น ๙ สัปดาห์
จากสัปดาห์ที่ ๙ ไปจนถึงสัปดาห์ที่ ๔๒ องค์อวัยวะ ต่างๆ เกิดขึ้นครบ คือ ผม ขน เล็บ หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า
ในขณะที่องคาพยพต่างๆเกิดขึ้นนั้น อวัยวะปลีกย่อย ต่างๆ ของร่างกายก็เกิดขึ้นพร้อมกันด้วย
ทันทีที่จุติจิต(ตาย)เกิดขึ้น ปฏิสนธิจิตเกิดติดต่อกัน ทันทีไม่ขาดสาย เหมือนน้ำที่ไหลติดต่อกันในลำธารไม่มี อะไรมาคั่นกลาง แม้ว่าจะตายที่กรุงเทพฯแล้วไปเกิดใหม่ ที่New Yock จิตขณะจุติและปฏิสนธิก็จะเกิดดับติดต่อกัน ไม่ขาดสาย เพราะจิตเกิดดับรวดเร็ว เพียงชั่ววินาทีเดียวจิต เกิด-ดับถึงแสนโกฏิขณะ
ฉะนั้นทันทีที่จุติจิตกิดขึ้น จิตที่สืบติดต่อกันนั้นก็ต้องเป็นปฏิสนธิจิตด้วยอำนาจของกรรมเป็นตัวสั่งการ เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นแล้วดับไป ภวังคจิตเกิดขึ้นสืบต่อทันที ต่อไปจนถึงภวังคจลนะ จากนั้นก็ภวังคุปปัจเฉทะตัดกระแสภวังค์เดิมเพื่อรับอารมณ์ใหม่ต่อไปอีก
ตั้งแต่ปฏิสนธิเป็นต้นไป ทั้งๆที่ไม่สามารถมองเห็นหรือ ส่องกล้องดูได้ เพราะยังเป็นน้ำใสคือเป็นกลละอยู่ แต่สัตว์ นั้นก็มีจิต เจตสิก รูปอยู่พร้อมเพรียง อารมณ์ก็เกิดได้ แต่เป็น อารมณ์ที่อ่อนมาก เพราะเพิ่งจะได้ตั้งต้น พลังงานของกรรม เพิ่งเริ่มวางรากฐาน อารมณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนกับเรา หลับๆ ตื่นๆ หรือฝันไปดีบ้างร้ายบ้าง ไปตามอำนาจของกรรมที่ได้ สั่งสมมา ตื่นขึ้นก็เล่าความฝันไม่ค่อยถูก เวลานี้ผู้ใดได้ ประหารเด็กในครรภ์ก็ได้ชื่อว่าฆ่ามนุษย์แล้วโดยสมบูรณ์ เรียกว่า ทำแท้ง
ฉะนั้น ความเข้าใจของนักวิชาการทั่วไปโดยเฉพาะนัก วิชาการที่ได้รับความรู้มาจากฝรั่ง ชาวตะวันตกที่เข้าใจกัน ว่า ชิ้นเนื้อในครรภ์ที่มีอายุไม่ถึง๒-๓เดือนยังไม่มีชีวิต เป็น ความเข้าใจที่ผิด ไม่ถูกต้อง! เพราะทันทีที่ตัวอสุจิจากพ่อ เข้าผสมกับไข่ของแม่และมีจุติวิญญาณ ชีวิตมนุษย์ก็เกิด ขึ้นทั้นที โดยไม่ต้องรอให้มีรูปร่างเหมือนอย่างที่นักวิชา การทั่วไปเข้าใจกัน
ถาม ผู้ทำแท้ง บาปมากน้อยแค่ไหน ?
ตอบ พระผู้มีพระภาคตรัสโทษที่สตรีผู้ทำแท้งจะต้อง ได้รับหลังตายไว้ว่า
ขุราธารมนุกฺกมฺม ติกฺข ทุรภิสมฺภวํ
ปตนฺติ คพฺภปาตินิโย ทุคฺคํ เวตฺตรณี นทึ.
อโยมยา สิมฺพลิโย โสฬงฺคุลิกณฺฏกา
อุภโต อภิลมฺพนฺติ ทุคฺคํ เวตฺตรณึ นทึ.
แปลว่า หญิงที่ทำแท้งต้องตกนรก ย่างเหยียบบนคมมีดอันคมกริบที่ไม่น่ารื่นรมย์ แล้วตกไปในแม่น้ำชื่อว่าเวตตรณีซึ่งปีนขึ้นฝั่งได้ยาก เพราะมีต้นงิ้วที่มีหนามเป็นเหล็กห้อยย้อยปกครุมอยู่ทั้ง ๒ ฝั่ง
.อ้างอิง.... พระไตรปิฎก(มจร.)เล่มที่ ๒๘ หน้า ๓๗
นรกเป็นเช่นไร?
นรก คือ ภพที่มีแต่ความร้อนรนทุกข์ทรมานหลบหนีไม่ได้ พระเถระท่านหนึ่งกล่าวเปรียบไว้น่าฟังว่า ท่านเคยฝันร้ายที่ต้องถึงกับสะดุ้งตื่นหรือเปล่า? ความรู้สึกในนรกก็เหมือนกันกับฝันร้ายอย่างสุดๆ ต่างกันแต่ในนรกไม่มีโอกาศผวาตื่นเท่านั้นเอง! (ดูรายละเอียดได้ในพระไตรปิฎก(มจร.)เล่มที่ ๑๔ หน้า ๒๔๒)
นรกมี ๒ ประเภท คือ
๑. นรกบนดิน เช่น คุก ตาราง ซ่องบางแห่ง ค่าย กักกันนักโทษสงครามบางที่ เป็นต้น
๒. นรกหลังตาย เป็นภพของสัตว์ที่ต้องมาชดใช้กรรมชั่วที่ตนเองได้เคยทำไว้ มีแต่ความทุกข์ทรมาน และเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา หาระหว่างคั่นมิได้
ปัจจุบันเป็นยุคประชาธิปไตย คนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ และมีสิทธิเสรีภาพในการเชื่อหรือไม่เชื่อไม่มีใครมาบีบบังคับได้ หลักคำสอนในพระพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน พระพุทธเจ้าไม่อาจบังคับหรือเสกเป่าให้ใครมาเชื่อคำสอนของพระองค์ได้ พระองค์เป็นเพียงผู้ชี้ทางว่า ทางนี้เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ควรเดิน ทางนี้เป็นไปเพื่อทุกข์ เป็นทางเศร้าหมองควรละ เราจะเชื่อและปฏิบัติตามพระองค์หรือไม่เป็นสิทธิของเรา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เรื่องนรกสวรรค์ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เราไม่อาจบังคับได้ แต่ถ้าเชื่อจะมีผลดี ๒ ประการ คือ
๑. จะทำให้ชีวิตของเขามีแต่ความสุขความเจริญ เพราะไม่กล้าทำความชั่ว กลัวว่าตายแล้วจะไปตกนรก แล้วหันมามุ่งทำแต่คุณงามความดีเพื่อจะได้ไปเกิดในสวรรค์ในชาติหน้า
๒. ถ้าเกิดนรกมีจริง เขาก็ไม่ต้องไปตกนรกเพราะมุ่งทำคุณงามความดีมาโดยตลอด
แต่ถ้าไม่เชื่อจะได้รับผลเสีย ๒ ประการเช่นกัน คือ
๑. ชีวิตในชาติปัจจุบันไม่มีความสุข เพราะสร้างแต่ความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและผู้อื่นอยู่เสมอ ที่สุดก็ต้องไปอยู่ในคุก ตาราง ตกเป็นทาสของยาเสพติด
๒. ถ้าหากนรกมีจริง เขาก็จะต้องตกนรกอย่างแน่นอน
สรุปว่า ถ้าเชื่อจะมีแต่กำไรและเสมอทุน แต่ถ้าไม่เชื่อจะมีแต่ขาดทุนกับขาดทุน
ดูรายละเอียดใน พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ หน้า ๙๘
คัมภีร์พระไตรปิฎก ได้บรรทึกเรื่องนรกสวรรค์ไว้ให้พุทธศาสนิกชนหรือผู้สนใจได้ศึกษาค้นคว้าดังต่อไปนี้
๑. เทวทูตสูตร เล่มที่ ๑๔ หน้าที่ ๒๕๙
๒. นรก เล่มที่ ๑๙ หน้าที่ ๖๒๕
๔. เปรต เล่มที่ ๒๖ หน้าที่๑๖๘
๕. นรกใหญ่ ๘ ขุม เล่มที่ ๒๘ หน้าที่ ๔๗
๕. เทพบุตร เทพธิดา เล่มที่ ๒๖ หน้า ๘-๑๕๐
ถาม... ทำบุญล้างบาปได้หรือไม่
ตอบ กรรมลบล้างไม่ได้ แต่หลีกหนีผลกรรมได้ (ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่มที่ ๑๔ หน้า ๑๑)
อดีตล่วงพ้นไปแล้ว การกระทำทุกอย่างที่กระทำไปด้วยเจตนาไม่ว่าจะชั่วหรือดีก็ตาม ก็เป็นอันได้กระทำไปแล้ว และผลกรรมนั้นจะต้องย้อนกลับมาหาตัวผู้กระทำในที่สุด แต่เวลาที่กรรมให้ผลนั้นไม่แน่นอนว่าจะช้าหรือเร็ว จะเป็นปัจจุบันหรืออนาคต ถ้าหากกรรมที่ได้กระทำก่อนหน้านั้นยังให้ผลไม่หมด หรือกรรมที่กระทำในปัจจุบัน มีวิบากแรงกว่าก็จะทำให้กรรมนั้นมีผลช้า เมื่อเป็นเช่นนี้หนทางที่จะหลีกหนีผลกรรมก็พอมีทาง(ดูรายละเอียดใน พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ หน้า ๗๙) ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้กระทำเองว่า มีฝีเท้าในการหลีกหนีมากน้อยแค่ไหน มีเส้นชัยอยู่ที่อนุปาทิเสสนิพพาน(ดับขันธปรินิพพาน) ถ้าในระหว่างนี้เขามุ่งมั่นทำเฉพาะบุญกุศลอบรมสติปัญญาให้ปราดเปรื่องอยู่ตลอดเวลา จนถึงขณะจิตสุดท้าย หลังตายก็จะไปเกิดในภพดี ๆ ได้ และหากเขาทำได้เช่นนี้ทุกภพทุกชาติ ไม่มัวหลงระเริงกับความสุขเล็กๆน้อย ๆ ที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว อันเป็นผลพลอยได้จากการเร่งทำบุญ เขาก็มีโอกาสเข้าถึงเส้นชัยได้ก่อนที่บาปจะตามมาทัน
เปรียบเหมือน โจรผู้ร้ายที่ได้ก่อคดีอาญาไว้ แล้วหลบหนีการจับกุมได้ตลอด ๒๐ ปี มีความสามารถในการหลบหลีกเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่ออายุความครบ ๒๐ ปี คดีความก็เป็นอันหมด อายุไป กฎหมายไม่อาจลงโทษเขาได้อีกต่อไป บาปที่เราทำไว้ก็เช่นกัน หากเราเข้าถึงอนุปาทิเสสนิพพานได้แล้ว ก็ไม่อาจตามมาให้ผลได้อีกต่อไป(ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๔ ข้อ ๒๑๙ หน้า ๓๖๕) แต่โดยมากยากที่จะเป็นเช่นนั้น มักถูกวิบากกรรมตามมาทันเสียก่อน หลายคนหลายท่านพยายามวิ่งหนีเอาจิต รอดสุดชีวิต ต้องถึงกับผ้าผ่อนหลุดลุ่ยกว่าจะเข้าถึงอนุปาทิเสสนิพพาน เข้าสู่ที่ปลอดภัยได้
ตัวอย่างเช่น พระองคุลีมาลเถระ กว่าท่านจะฟันฝ่าอุปสัคเข้าสู่เส้นชัยได้ ถูกกรรมเก่าไล่กวดจับจวนเจียนจะทันอยู่แล้ว หรืออาจจะถูกกรรมเก่าจับติดชายผ้านุ่งแล้ว แต่ท่านก็ยังพยายามดิ้นรนเต็มที่ ถึงกับถอดผ้านุ่งออกแล้ววิ่งล่อนจ้อนต่อไป จนเข้าสู่เส้นชัยจนได้ เมื่อเข้าสู่เส้นชัยแล้ววิปากกรรมก็มิอาจส่งผลได้อีก ไม่ต้องชดใช้กรรมใดๆ อีกต่อไป(ดูรายละเอียดใน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ ข้อ ๒๓๔ หน้า ๓๙๗) กรรมที่เคยทำไว้จะกลาย เป็นอโหสิกรรมไป (ดูรายละเอียดในคัมภีร์อภิธรรมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๕ เรื่องกัมมจตุกกะ)
คัมภีร์มโนรถปูรณี อรรถกถาอังคุตรนิกาย เอกก-ติกนิบาต หน้า ๑๓๒ อธิบายว่า
ในเวลาที่กุศลกรรมให้ผล อกุศลกรรมอย่างหนึ่งจะตั้งขึ้นตัดรอนกรรมนั้นให้ตกไป ถึงในเวลาที่อกุศล กรรมให้ผลกุศลกรรมอย่างหนึ่ง ก็จะตั้งขึ้นตัดรอนกรรมนั้นแล้วให้ตกไป นี้ชื่อว่าอุปัจเฉทกกรรม ในบรรดาอุปัจเฉทกกรรมที่เป็นกุศลและอกุศล กรรมของพระองคุลิมาลเถระได้เป็นกรรมตัดรอนอกุศล
พระมหาเถระอีกรูปหนึ่ง ท่านมีบุญบารมีมากกว่าพระองคุลีมาลหลายเท่านัก และทั้งที่สามารถเข้าถึงสอุปาทิเสสนิพพานได้แล้ว แต่ท่านก็ยังถูกกรรมเก่าตามมาทันจนได้ ท่านผู้นั้น คือ พระมหาโมคคัลลานเถระ(ดูราย ละเอียดในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๒ ข้อ ๖๐ หน้า ๓๙๐) ผู้อัครสาวกเบื้องซ้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กรรมของท่านมีพลังอำนาจถึงเพียงนี้ เนื่องจากในชาติก่อนท่านได้ฆ่าพ่อแม่ของตนเอง ซึ่งเป็นหนึ่งในอนันตริยกรรม ๕ ประการที่จัดว่าเป็นกรรมชั่วที่หนักที่สุด กรรมที่ท่านได้ทำนั้นส่งผลให้ท่านแทบเอาจิตไม่รอดทั้ง ๆ ที่ท่านสั่งสมบุญกุศลมาเป็นจำนวนมหาศาลถึงขนาดที่สามารถส่งท่านเข้าสู่พระนิพพานได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้านแรงบาปแทบไม่ไหว ท่านเข้าสู่สอุปาทิเสสนิพพานได้แล้วกรรมก็ยังตามมารังควาญอยู่ คือ ทั้งที่ท่านบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว ได้รับสรรเสริญจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เป็นผู้มีฤทธิ์กว่าพระอรหันต์ทั้งปวงก็ยังถูกพวกโจรทำร้ายทุบตีร่างกายจนแหลกละเอียด เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ก็ยังดีที่บาปตามมาทันขณะที่ท่านก้าวเข้าสู่เส้นชัยได้ครึ่งตัวแล้ว จึงทำให้ผลกรรมย่ำยีท่านได้แต่ร่างกายเท่านั้น ไม่อาจทำให้จิตท่านหวั่นไหวได้
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า บัณฑิตทั้งหลาย เรียกบุคคลผู้เป็นมุนีทางกายเป็นมุนีทางวาจา เป็นมุนีทางใจ ผู้ไม่มีอาสวะว่า เป็นมุนีผู้สมบูรณ์ด้วยโมเนยยธรรม ล้างบาปได้แล้ว
(ดูรายละเอียดใน คัมภีร์พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๙ หน้า ๗๐)
ถาม ทำไมเราต้องเข้าถึงพระนิพพาน เราแค่ทำบุญให้ทานมาก ๆ แล้วไปเกิดเป็นเศรษฐีหรือเทวดา ก็พอแล้ว
ตอบ .....ถ้ายังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ก็มีโอกาสที่จะตกนรกสูง เพราะคนที่เกิดมาแล้วไม่ทำบาปเลย ไม่มี แม้แต่คนที่ได้ไปเกิดเป็นเทวดาแล้ว เมื่อเคลื่อนจากภพ เทวดาแล้ว จะไปตกนรกเสียส่วนมาก
ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงใช้ปลายพระ นขา(เล็บ)ช้อนฝุ่นขึ้นมาเล็กน้อย แล้วตรัสถามภิกษุทั้ง หลายว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอเข้าใจความข้อนี้อย่างไร ฝุ่นที่เราใช้ปลายเล็บช้อนขึ้นมากับแผ่นดินใหญ่นี้ อย่างไหนจะมากกว่ากัน
ภิกษุทั้งหลายทูลตอบว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แผ่นดินใหญ่นี้แลมากกว่า ฝุ่นที่ปลายพระนขามีเพียงเล็ก น้อย เมื่อเทียบกับแผ่นดินใหญ่แล้ว คำนวนไม่ได้ เทียบกัน ไม่ได้ หรือไม่ถึงส่วนเสี้ยว
ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน1สัตว์ที่จุติเทวดามาเกิดในเทวดา มีจำนวนน้อย ส่วน สัตว์ที่จุติจากเทวดาแล้าไปเกิดในนรก ไปเป็นเปรตมีจำนวนมากกว่า
พวกเทพชั้นเวหัปผลาที่ไม่ได้สดับพุทธธรรมมีอายุประมาณ ๕๐๐ กัป เมื่อสิ้นอายุ ให้ ระยะเวลาที่เป็นกำหนดอายุหมดไปแล้วไปสู่นรกบ้าง ไปสู่แดนเปรตบ้าง
อ้างอิง...พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ ข้อ ๑๑๗๘ หน้า ๖๕๔ , เล่มที่ ๒๑ ข้อ ๑๒๕ หน้า ๑๙๓
เหตุที่ทำให้ตกนรก
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสถึงเหตุที่ทำให้ไปตกนรกไว้ว่า
ภิกษุทั้งหลาย ปาณาติบาต(การฆ่าสัตว์)ที่บุคคลเสพ ทำให้มากแล้ว ย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดในนรก อำนวยผลให้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน อำนวยผลให้ไปเกิดในเปรตวิสัย วิบากแห่งปาณาติบาตอย่างเบาที่สุด ย่อมอำนวยผลให้เป็นผู้มีอายุสั้นแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์
อทินนาทาน(การลักทรัพย์)ที่บุคคลเสพ ทำให้มากแล้ว ย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดในนรก อำนวยผลให้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน อำนวยผลให้ไปเกิดในเปรตวิสัย วิบากแห่งอทินนาทานอย่างเบาที่สุดย่อมอำนวยผลให้เป็นผู้เสื่อมโภคทรัพย์แก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์
กาเมสุมิจฉาจาร(การประพฤติผิดในกาม)ที่บุคคลเสพ ทำให้มากแล้วย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดในนรก อำนวยผลให้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน อำนวยผลให้ไปเกิดในเปรตวิสัย วิบากแห่งกาเมสุมิจฉาจารอย่างเบาที่สุด ย่อมอำนวยผลให้เป็นผู้มีศัตรูและเป็นผู้มีเวรแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์
มุสาวาท(การพูดเท็จ)ที่บุคคลเสพ ทำให้มากแล้ว ย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดในนรก อำนวยผลให้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน อำนวยผลให้ไปเกิดในเปรตวิสัย วิบากแห่งมุสาวาทอย่างเบาที่สุด ย่อมอำนวยผลให้ถูกกล่าวตู่ด้วยคำไม่จริงแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์
ปิสุณาวาจา(การพูดส่อเสียด)ที่บุคคลเสพ ทำให้มากแล้ว ย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดในนรก อำนวยผลให้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน อำนวยผลให้ไปเกิดในเปรตวิสัย วิบากแห่งปิสุณาวาจาอย่างเบาที่สุด ย่อมอำนวยผลให้แตกแยกจากมิตรแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์
ผรุสวาจา(การพูดหยาบคาย)ที่บุคคลเสพ ทำให้มากแล้วย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดในนรก อำนวยผลให้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน อำนวยผลให้ไปเกิดในเปรตวิสัย วิบากแห่งผรุสวาจาอย่างเบาที่สุด ย่อมอำนวยผลให้ได้ฟังเรื่องที่ไม่น่าพอใจอยู่เป็นนิจแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์
สัมผัปปลาปะ(การพูดเพ้อเจ้อ)ที่บุคคลเสพ ทำให้มากแล้ว ย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดในนรก อำนวยผลให้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน อำนวยผลให้ไปเกิดในเปรตวิสัย วิบากแห่งสัมผัปปลาปะอย่างเบาที่สุด ย่อมอำนวยผลให้มีวาจาที่ไม่น่าเชื่อถือแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์
การดื่มสุราและเมรัยที่บุคคลเสพ ทำให้มากแล้ว ย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดในนรก อำนวยผลให้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน อำนวยผลให้ไปเกิดในเปรตวิสัย วิบากแห่งการดื่มสุราและเมรัยอย่างเบาที่สุด ย่อมอำนวยผลให้เป็นผู้วิกลจริตแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์
อ้างอิง...พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต เล่ม ๒๓ ข้อ ๔๐ หน้า ๓๐๒
ชาติหน้ามีจริงหรือ?
พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งกฎธรรมชาติว่า สัตว์ทุกชีวิตเคยเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน(1) ผู้ที่ไม่เคยเกิดเป็นพ่อแม่กันมาก่อนหาได้ยาก(2) บางชาติเกิดเป็นเทวดา บางชาติเป็นมนุษย์ บางชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน บางชาติเกิดเป็นเปรต/อสุรกาย บางชาติต้องตกนรก ต้องเวียนว่ายตาย-เกิดอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ตามอำนาจบุญและบาปที่ตนเองได้ทำไว้ เหตุการณ์ทุกอย่างที่เราประสบอยู่ทุกวันนี้ไม่มีคำว่าโชคหรือบังเอิญทุกอย่างเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำของเราในอดีตทั้งสิ้น(3)
......อ้างอิง...ดูรายละเอียดใน พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงการราชิวิทยาลัย (เล่มที่ / หน้าที่ )
1. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ หน้า ๒๒๓
2. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ หน้า ๒๒๗
3. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ หน้าที่ ๓๕๐-๓๖๕
ตายแล้วไปไหน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา แปลว่า..เมื่อจิตผ่องใส สุคติเป็นอันหวังได้ เมื่อจิตเศร้าหมองทุคติเป็นอันหวังได้..
หมายความว่า ขณะที่เราตาย ถ้าจิตผ่องใสพอตายปุ๊ป จะไปเกิดในสุคติทันที จะเกิดเป็นมนุษย์เทวดาหรือพรหมตามกำลังความผ่องใสของจิตขณะสุดท้าย...แต่ถ้าขณะที่จะตายมีจิตเศร้าหมอง พอตายปุ๊ปก็จะไปเกิดในทุคติทันที จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต/อสุรกาย หรือตกนรก ตามกำลังความเศร้าหมองของจิตขณะสุดท้าย
....อ้างอิง..ดูรายละเอียดใน พระไตรปิฎก(มจร.)เล่มที่ ๑๒ หน้า ๖๓ ,และคัมภีร์อรรถกถา หน้า๑๘๐
นรกเป็นเช่นไร?
นรก คือ ภพที่มีแต่ความร้อนรนทุกข์ทรมานหลบหนีไม่ได้ พระเถระท่านหนึ่งกล่าวเปรียบไว้น่าฟังว่า ท่านเคยฝันร้ายที่ต้องถึงกับสะดุ้งตื่นหรือเปล่า? ความรู้สึกในนรกก็เหมือนกันกับฝันร้ายอย่างสุดๆ ต่างกันแต่ในนรกไม่มีโอกาศผวาตื่นเท่านั้นเอง! (ดูรายละเอียดได้ในพระไตรปิฎก(มจร.)เล่มที่ ๑๔ หน้า ๒๔๒)
นรกมี ๒ ประเภท คือ
๑. นรกบนดิน เช่น คุก ตาราง ซ่องบางแห่ง ค่าย กักกันนักโทษสงครามบางที่ เป็นต้น
๒. นรกหลังตาย เป็นภพของสัตว์ที่ต้องมาชดใช้กรรมชั่วที่ตนเองได้เคยทำไว้ มีแต่ความทุกข์ทรมาน และเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา หาระหว่างคั่นมิได้
ปัจจุบันเป็นยุคประชาธิปไตย คนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ และมีสิทธิเสรีภาพในการเชื่อหรือไม่เชื่อไม่มีใครมาบีบบังคับได้ หลักคำสอนในพระพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน พระพุทธเจ้าไม่อาจบังคับหรือเสกเป่าให้ใครมาเชื่อคำสอนของพระองค์ได้ พระองค์เป็นเพียงผู้ชี้ทางว่า ทางนี้เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ควรเดิน ทางนี้เป็นไปเพื่อทุกข์ เป็นทางเศร้าหมองควรละ เราจะเชื่อและปฏิบัติตามพระองค์หรือไม่เป็นสิทธิของเรา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เรื่องนรกสวรรค์ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เราไม่อาจบังคับได้ แต่ถ้าเชื่อจะมีผลดี ๒ ประการ คือ
๑. จะทำให้ชีวิตของเขามีแต่ความสุขความเจริญ เพราะไม่กล้าทำความชั่ว กลัวว่าตายแล้วจะไปตกนรก แล้วหันมามุ่งทำแต่คุณงามความดีเพื่อจะได้ไปเกิดในสวรรค์ในชาติหน้า
๒. ถ้าเกิดนรกมีจริง เขาก็ไม่ต้องไปตกนรกเพราะมุ่งทำคุณงามความดีมาโดยตลอด
แต่ถ้าไม่เชื่อจะได้รับผลเสีย ๒ ประการเช่นกัน คือ
๑. ชีวิตในชาติปัจจุบันไม่มีความสุข เพราะสร้างแต่ความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและผู้อื่นอยู่เสมอ ที่สุดก็ต้องไปอยู่ในคุก ตาราง ตกเป็นทาสของยาเสพติด
๒. ถ้าหากนรกมีจริง เขาก็จะต้องตกนรกอย่างแน่นอน
สรุปว่า ถ้าเชื่อจะมีแต่กำไรและเสมอทุน แต่ถ้าไม่เชื่อจะมีแต่ขาดทุนกับขาดทุน
ดูรายละเอียดใน พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ หน้า ๙๘
คัมภีร์พระไตรปิฎก ได้บรรทึกเรื่องนรกสวรรค์ไว้ให้พุทธศาสนิกชนหรือผู้สนใจได้ศึกษาค้นคว้าดังต่อไปนี้
๑. เทวทูตสูตร เล่มที่ ๑๔ หน้าที่ ๒๕๙
๒. นรก เล่มที่ ๑๙ หน้าที่ ๖๒๕
๔. เปรต เล่มที่ ๒๖ หน้าที่๑๖๘
๕. นรกใหญ่ ๘ ขุม เล่มที่ ๒๘ หน้าที่ ๔๗
๕. เทพบุตร เทพธิดา เล่มที่ ๒๖ หน้า ๘-๑๕๐
มีต่อคะ