PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : มะเร็งจิสต์ โรคใหม่ แต่เป็นภัยใกล้ตัว "



terryh
11-02-2009, 01:57 PM
มะเร็งจิสต์ โรคใหม่ แต่เป็นภัยใกล้ตัว "

มะเร็งจิสต์ โรคใหม่ แต่เป็นภัยใกล้ตัว\\
ในปัจจุบันโรคมะเร็ง ถือเป็นโรคร้ายแรงที่คร่าชีวิตมนุษย์เป็นลำดับต้นๆ โดยโรคมะเร็งนั้นสามารถเป็นได้กับทุกส่วนของร่างกาย และด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้มีการค้นพบการเกิดมะเร็งของระบบทางเดินอาหารชนิดหนึ่งที่มีโอกาสพบได้ ไม่บ่อยนัก ที่เรียกว่า "มะเร็งของเนื้อเยื่อในระบบทางเดินอาหาร" (Gastrointestinal Stromal Tumor) หรือมะเร็งจิสต์ (GIST) ซึ่งมีสถิติพบในต่างประเทศประมาณ 3.5 เปอร์เซ็นต์ ของโรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหารทั้งหมด โดยในประเทศสหรัฐอเมริกาพบประมาณ 85,000 รายต่อปี

ผศ.นพ.วิเชียร ศรีมุนินทร์นิมิต สาขาวิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องโรคมะเร็งจิสต์ว่า "ในส่วนของประเทศไทยยังไม่มีสถิติที่แน่ชัด เนื่องจากโรคมะเร็งนี้ เพิ่งพบในประเทศไทยไม่นานนัก จึงถือเป็นโรคมะเร็งชนิดใหม่ที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุใด อีกทั้งในอดีตมักถูกวินิจฉัยผิดว่า เป็นมะเร็งชนิดที่เรียกว่ามะเร็งกล้ามเนื้อเรียบ แต่ต่อมาด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ มีการวินิจฉัยโดยการย้อมพิเศษ ทำให้ทราบถึงกลไกการเกิดขึ้นของมะเร็งเนื้อเยื่อขึ้น โดยพบในส่วนของระบบทางเดินอาหารเป็นส่วนมาก

โดยสามารถพบมะเร็งจิสต์นี้ได้ตั้งแต่ระดับหลอดอาหารไปจนถึงลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย แต่ตำแหน่งที่พบบ่อยที่สุดคือ กระเพาะอาหาร ประมาณ 40-60 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือ ลำไส้เล็ก ประมาณ 20-40 เปอร์เซ็นต์ มักพบในเพศชายและเพศหญิงในอัตราส่วนเท่าๆ กัน อายุเฉลี่ยที่พบประมาณ 60 ปี ส่วนอายุต่ำกว่า 40 ปี ค้นพบค่อนข้างน้อย"

จิสต์จึงจัดเป็นโรคมะเร็งชนิดหนึ่งที่ยากต่อการวนิจฉัยและการรักษา เนื่องจากในช่วงแรกจะตรวจพบเนื้องอกอยู่บริเวณใดบริเวณหนึ่งในช่องท้อง และมักจะไม่แสดงอาการให้เห็น เช่น ที่กระเพาะอาหาร ซึ่งจิสต์ที่ยังคงอยู่บริเวณเดิมนั้น เราเรียกว่าการเกิดเนื้องอกเฉพาะที่ (Local Tumor) และเมื่อจิสต์เกิดการลุกลามขึ้น จะเกิดการแพร่กระจายของโรคไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย จนกลายเป็นจิสต์ระยะแพร่กระจาย ซึ่งบ่อยครั้งที่จิสต์เจริญเติบโตจนมีขนาดใหญ่ ก่อนที่จะถูกตรวจพบและเกิดการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ เช่น ตับ และเยื่อบุช่องท้อง

สาเหตุของการเกิดจิสต์ คุณหมอเล่าว่า "เกิดจากความผิดปกติของโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Kit ที่อยู่บนผิวของเซลล์ ซึ่งโปรตีนที่ผิดปกตินี้จะส่งสัญญาณคงที่ต่อไปเรื่อยๆ จนทำให้เซลล์ปกติเกิดการเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นเซลล์มะเร็ง ซึ่งเซลล์มะเร็งจิสต์นี้จะมีชีวิตอยู่รอดได้ดี และเจริญเติบโตได้เร็วกว่า โดยมีชีวิตอยู่ได้นานกว่าเซลล์ปกติที่อยู่ล้อมรอบ ซึ่งหากเซลล์มะเร็งมีชีวิตที่ยืนยาวเท่าไร ก็จะยิ่งมีอันตรายมากขึ้นเท่านั้น และยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการแพร่กระจายของโรค โดยที่ผู้ป่วยบางรายอาจไม่พบอาการแสดงใดๆ ให้ทราบเลย แต่มาพบโดยบังเอิญ หรือในกลุ่มที่มีอาการแสดงนั้น มีอาการที่พบบ่อย 3 ประการ คือ ปวดท้องในระดับรุนแรงมาก การคลำพบก้อนเนื้อบริเวณท้อง หรือมีเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร โดยขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เกิดก้อนเนื้อ เช่น ในตำแหน่งของกระเพาะอาหาร อาจจะมีอาการแสดง คืออาการอาเจียนเป็นเลือด ซีด เป็นต้น"

นอกจากนี้อาจจะพบอาการข้างเคียงอื่นๆ ได้ในระดับอ่อนถึงปานกลาง เช่น ภาวะน้ำคั่ง (Fluid Retention) หรือบวมน้ำที่บริเวณใต้ตา หนังตาบนหรือรอบดวงตา ท้องเสีย คลื่นไส้ อ่อนเพลีย ปวดเกร็งกล้ามเนื้อ ปวดท้อง ผื่นผิวหนังมีอาการคัน เป็นรอยปื้นแดงเล็กน้อย แต่โอกาสพบค่อนข้างน้อย ในอดีตที่ผ่านมาโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งเนื้อเยื่อในระบบทางเดินอาหาร (GIST) ถือว่ามีน้อยมาก

เนื่องจากโรคนี้มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อการรักษาด้วยเคมีบำบัดค่อนข้างน้อย รวมถึงการถูกวินิจฉัยผิดพลาด เนื่องจากเป็นโรคที่ถูกค้นพบไม่นาน ทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้อง แต่ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ปัจจุบัน การวินิจฉัยด้วยวิธีย้อมพิเศษ โดยการนำชิ้นเนื้อไปตรวจเพื่อดูผลว่าย้อมติด CD-117 หรือ C-Kit เป็นผลบวกหรือไม่ รวมถึงการมีโอกาสได้รับยาอิมมาตินิบในการรักษาได้ทันที ซึ่ง ณ ปัจจุบันจากผลการศึกษาทางคลินิกพบว่า จำนวนครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาอิมมาตินิบสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวมากกว่า 5 ปี ซึ่งการมีชีวิตที่ยืนยาวของผู้ป่วยนี้ถือเป็นคำตอบสุดท้ายที่ผู้ป่วยจิสต์ทุกคนปรารถนา





ข้อมูลจาก
วารสารสุขภาพ

ลด ละ เลิกปัจจัยเสี่ยง งดบริโภคเนื้อสัตว์ ต้นเหตุของโรคมะเร็งร้ายกว่า 10 ชนิด

ข้อมูลเพิ่มเติมจากเวป

http://www.budpage.com/forum/view.php?id=5357

jokerzero
09-29-2010, 03:41 PM
คุณควรเตรียมตัวอย่างไร หากคุณจะต้องกลับไปทำงานหลังจากที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง

http://women.sanook.com/story_picture/b/30237_002.jpg
สำหรับหลายๆ คนการกลับไปทำงานน่าจะเป็นการเยียวยาจิตใจที่ดีห ลังจากที่ตนเองป่วยหรือได้รับการรักษาโรคมะเร็ง เนื่องจากคุณจะได้ใช้เวลาว่างให้หมดไปกับการทำงานซึ่งดีกว่านั่งคิดมากอยู่กับบ้าน ซึ่งการที่ได้กลับไปทำงานหลังจากหยุดพักยาวๆนั้น อาจจะทำให้งานที่ทำมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถช่วยทำให้คุณลืมเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง และทำให้คุณได้พบกับกลุ่มคนที่ห่วงใยคุณอีกกลุ่ม ซึ่งก็คือเพื่อนร่วมงานของคุณนั่นเอง อย่างไรก็ตาม...การที่คุณจะกลับไปทำงานหลังจากพักผ่อนหรือได้รับการรักษาโรคมะเร็งนั้น คุณควรเตรียมตัวและใจให้พร้อมที่จะพบกับอุปสรรคและปัญหาต่างๆมากมายในที่ทำงานของคุณ ซึ่งวันนี้สำลีตรารถพยาบาลมีวิธีการง่ายๆในการเตรียมตัวให้พร้อม สำหรับการกลับไปทำงานอย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพ และวิธีที่ดีที่สุดนั่นก็คือ คุณจะต้องรู้ว่าจะมีเหตุการณ์ใด เกิดขึ้นบ้าง เพื่อคุณจะได้เตรียมตัวรับมือกับมันอย่างไร้กังวล สิ่งแรกที่คุณจะต้องตัดสินใจคือ...คุณจะบอกใครหรือไม่ว่าคุณเป็นมะเร็ง คุณจะต้องตัดสินใจว่าคุณต้องการให้เพื่อนร่วมงานของคุณรู้ว่าคุณป่วยเป็นมะเร็งหรือ ไม่... การไม่บอกไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดหรือถูก สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวคุณเอง ซึ่งคุณอาจจะบอกพวกเขาเหล่านั้นด้วยตัวคุณเองหรืออาจจะให้หัวหน้าของคุณเป็น คนบอกเพื่อนร่วมงานของคุณแทนก็อาจเป็นได้ คุณไม่จำเป็นจะต้องบอกกับคนทุกคนว่าคุณเป็นอะไรเพราะนั่นเป็นสิทธิส่วนบุคคล ของคุณ แต่ตามหลักแล้วการที่คุณบอกหัวหน้าของคุณอาจจะเป็นผลดีในการสร้างความเข้าใจ ระหว่างกัน เพราะหากวันใดที่คุณต้องการพักผ่อน หรือต้องการลางานไปพบแพทย์ เจ้านายของคุณคงอยากจะรู้สาเหตุของการลานั้นอย่างแน่นอนที่สุด สิ่งที่สองที่คุณจะต้องเตรียมรับมือนั่นก็คือ...ปฎิกิริยาในรูปแบบต่างๆจากเพื่อนร่วมงานของคุณ แต่ละคนมีปฎิกิริยาตอยสนองกับโรคมะเร็งที่ แตกต่างกัน และแน่นอนเพื่อนร่วมงานของคุณย่อมมีคำถามมากมายที่จะถามคุณเกี่ยวกับโรคที่ คุณเป็น บางคนอาจจะรังเกียจคุณ...บางคนอาจจะตื่นตูมกับอาการของคุณมากจนเกินไป... หรือแม้กระทั่งอาจคิดว่าโรคมะเร็งเป็น โรคติดต่อ ซึ่งความคิดต่างๆเหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณจะต้องคอยรับมือและคอยตอบคำถาม เพราะพวกเขาเหล่านั้นพร้อมที่จะเรียงคิวกันเข้ามาถามคำถามคุณกันจนหายสงสัย วิธีที่ดีที่สุดหากเกิดปัญหาความไม่เข้าใจหรือความเข้าใจผิดของเพื่อนร่วม งานเกี่ยวกับตัวคุณหรือโรคที่คุณเป็นก็คือ เดินเข้าไปคุยกับเขาเหล่านั้นอย่างเปิดอก แต่หากไม่เป็นผลสำเร็จ คุณควรจะปรึกษาหัวหน้าของคุณเพื่อหาข้อยุติปัญหาต่างๆเหล่านั้น สิ่งที่สามที่คุณควรจะทำนั่นคือ...คุยตกลงเรื่องงานกับหัวหน้าคุณก่อนเริ่มทำงานจริง เรื่องนี้จะคุยตกลงกันก่อนหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับตัวของคุณเองมากกว่า หากคุณคิดว่าคุณต้องการคนช่วยเหลือหรือ แบ่งเบาภาระงานที่คุณทำอยู่ คุณควรจะพูดคุยหรือตกลงกับหัวหน้าของคุณก่อนที่จะเริ่มงาน ยกตัวอย่างเช่น ในบางครั้งคุณจำเป็นจะต้องหยุดงานในวันใดวันหนึ่งในทุกๆอาทิตย์เพื่อไปพบ แพทย์ หรือแม้กระทั่งการที่คุณต้องหยุดพักหลักจากการผ่าตัดหรือฉายรังสีซึ่งจะต้อง ทำติดต่อกันหลายครั้งในช่วงที่คุณทำงาน เรื่องเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่สำคัญ คุณควรจะพูดคุยกับหัวหน้าของคุณอย่างตรงไปตรงมา เพื่อช่วยกันหาทางออกที่ดีที่สุดในการทำงานของคุณซึ่งคุณไม่ควรมองข้ามเด็ด ขาด เรื่องที่สี่ที่คุณควรจะทราบ หรือหาข้อมูลเพิ่มเติมนั่นคือ...เรื่องสิทธิต่างๆของคุณที่คุณควรจะได้รับ ในแต่ละเมืองหรือในแต่ละประเทศที่คุณอยู่ย่อมมีกฎหมายแรงงานที่ตราขึ้นเพื่อ ความยุติธรรมต่อพนักงานแตกต่างกันออกไป คุณควรศึกษาให้ทราบถึงสิทธิต่างๆที่พึงได้รับทั้งจากทางรัฐบาลและจากบริษัท ที่คุณทำงานอยู่ ซึ่งวิธีง่ายๆในการหาข้อมูลเหล่านี้ก็คือ เดินเข้าไปคุยกับฝ่ายบุคคลของบริษัทคุณเพื่อรับทราบข้อมูลหรือสอบถามข้อมูล เกี่ยวกับสิทธิที่คุณพึงจะได้รับทั้งจากทางรัฐบาลและทางบริษัท ในกรณีที่เกิดความขัดแย้งหรือข้อสงสัย คุณสามารถสอบถามข้อมูลเบื้องต้นต่างๆจากกระทรวงแรงงาน แต่หากเกิดข้อขัดแย้งต่างๆที่คุณไม่สามารถแก้ไขได้ วิธีที่อยากจะแนะนำก็คือ คุณควรจะนำเรื่องเหล่านี้ไปปรึกษากับหัวหน้างานของคุณเพื่อให้ท่านช่วยแก้ไข ปัญหาเหล่านั้นแทนคุณก็อาจเป็นได้ สิ่งที่ห้า สิ่งสุดท้ายที่คุณควรจะทำก็คือ...มอบความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคมะเร็งให้กับเพื่อนร่วมงานของคุณ หลายคนยังมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคมะเร็ง ซึ่งการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคมะเร็งรวม ทั้งการบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวคุณเอง แบ่งปันต่อเพื่อนร่วมงานฟัง อาจทำให้เขาเหล่านั้นเข้าใจและรู้จักวิธีการหลีกเลี่ยงการเป็นโรคมะเร็งได้ ซึ่งถือเป็นวิทยาทานทางความรู้อย่างหนึ่งที่คุณสามารถให้กับเพื่อนร่วมงานของคุณได้ หากคุณสามารถเตรียมตัวให้พร้อมที่จะรับมือกับปัญหา ต่างๆ โดยเฉพาะกับปัญหา 5 ข้อที่กล่าวไปแล้วในข้างต้นนั้น คุณจะพบว่าการกลับไปทำงานของคุณ จะไม่เป็นปัญหาใหญ่ที่จะทำให้คุณกลุ้มใจอีกต่อไป... ด้วยความปรารถนาดีจาก
http://women.sanook.com/story_picture/b/30237_003.gif
สนับสนุนเนื้อหา http://btgsf1.fsanook.com/weblog/category/1/5291/sanook-women-2.gif

คำที่เกี่ยวข้อง : สุขภาพ (http://www.smilefine.com/index.php/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E.html) รอบรู้เรื่องสุขภาพ (http://www.smilefine.com/index.php/%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E.html) มะเร็ง (http://www.smilefine.com/index.php/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87.html) เมื่อยคอ (http://www.smilefine.com/index.php/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%AD.html) ปวดหลัง (http://www.smilefine.com/index.php/%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87.html) เชื้อโรค (http://www.smilefine.com/index.php/%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84.html)

terryh
10-17-2010, 09:50 PM
อันตรายอาหารเนื้อสัตว์ ก่อให้เกิดโรคมะเร็งร้ายหลาย ๆ ชนิด
----ยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญ และ ทีมคณะแพทย์ชื่อดังระดับโลกที่ ทำการศึกษาวิจัยจากผู้ ป่วยกว่า 500000 คนท่วโลก ใช้เวลากว่า 7 ปี โดยทีมนักวิทยาศาสตร์ แพทย์ กว่า 12000 คน

น่ากลัวคาดว่าจะมีผู้ป่ วยรายใหม่ ๆ เพิ่มอีกกว่า
เนื้อสัตว์ เป็นบ่อเกิด ต้นตอของนานาโรคร้ายหลากหลายชนิ ด
เช่นโรคมะเร็ง เต้านม มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
และจากการวิจัยล่าสุดโดยมหาวิ ทยาลัยแพทย์ ฮาวาด์ แห่งสหรัฐ และ
มหาลัยแพทย์ ลีด แห่ง ประเทศอังกฤษ เนื้อสัตว์ ยังเป็นต้นเหตุหลัก ๆ ของ
มะเร็งต่อมลูกหมาก และ มะเร็งรังไข่

ข้อมูลโดยมหาลัยแพทย์ชื่อดั งระดับโลก
มหาลัยเทกซัส สหรัฐ
มหาลัยชิคาโก สหรัฐ
มหาลัยฮาวาย สหรัฐ
มหาลัยฮาววาด สหรัฐ
มหาลัยแพทย์ แห่งออสเตอเรีย
มหาลัยคิวเบค แห่งแคนาดา
มหาลัยออกฟอร์ด แห่งอังกฤษ
มหาลัยลีด แห่งอังกฤษ
มหาลัยแฟงค์เฟิต แห่งเยอรมัน

โดยการสนับสนุนสถาบันวิจัย โรคมะเร็ง แห่งสหรัฐ
National Cancer Research Institue - USA
สถาบันโรคมะเร็ง แห่ง WHO
The World Cancer Research Fund ( WCRF )
และวารสารสุขภาพชื่อดังระดั บโลกกว่า 100 ฉบับรวมถึง
เอกสารทางการแพทย์ จากมหาวิทยาลัยแพทย์ชื่อดังก้ องโลก

ไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วเราจะตายหรือไม่ (พุทธศาสตร์+วิทยาศาสตร์

มุมมองความเห็นจากพระสงฆ์ไทย

และจากพระ อาจารย์ พระฝรั่งชาวอังกฤษ

อดีตผู้อุปถาฐพระอาจารย์ สุเมโท พระฝรั่งตะวันตกพระลูกศิษย์ รุ่นบุกเบิก
พระอาจารย์ ชา แห่งวัดป่านานาชาติ


ได้ให้ข้อมูลว่าขณะนี้ประเทศอั งกฤษ ประชากรกว่า40% หรือเกือบ 30 ล้านคน
ได้ละเลิกการบริโภคเนื้อสัตว์ มาเป็นอาหารมังสะวิรัติ
ปลอดเนื้อสัตว์ เพื่อสุขภาพ และ หวั่นเกรงมหันตภัยโรคร้าย
จากเนื้อสัตว์ ที่เคยคุกคามฆ่าชีวิตชาวอั งกฤษเป็นจำนวนมากจากโรคมะเ ร็ง ไขมันอุดตัน โรคหัวใจ ปีละจำนวนมาก ๆ ต่อเนื่องด้วยโรควัวบ้าระบาด เมื่อ 6 ปีก่อน และอีก 3 ปีถัดมาโรคไข้หวัดนกระบาด ทำให้ชาวอังกฤษหวาดผวาภัยจากเนื ้อสัตว์

ข้อมูลที่น่าสนใจในเวปข้างล่าง

http://www.watisan.com/ wizContent.as...&txtmMenu_ID=7

http://www.watisan.com/ showdetail.asp?boardid=1080


****************************** ****************

ยังมีข้อมูลอีกมากมายนับไม่ถ้วน อาจมากกว่า 100 บทความ
ที่มีการศึกษาวิจัยอย่างกว้ างขวางทั้งในยุโรป อเมริกา แคนาดา และออสเตอเรีย
ถึงผลร้ายของการบริโภคเนื้อสั ตว์ในเชิง สุขภาพ และการระบาดของโรคมะเร็งร้าย นอกจากโรคไขมันอุดตัน โรคหัวใจ อันเป็นผลจากเนื้อสัตว์



ไม่มีการเปิดเผยข้อมูล อันน่ารู้

ที่หันหลังการบริโภคเนื้อสัตว์ มาเป็นอาหารปลอดเนื้อสัตว์

ที่แน่ ๆ การบริโภคเนื้อสัตว์ นอกจากผลดีต่อสุขภาพ ยังเป็นการละบ่วงเวรกรรม
จากการร่วมทำลายล้าง สัตว์อื่น ๆ

โรคมะเร็ง ต้นเหตหลักที่แท้จริงจากงานศึ กษา วิจัยโรคมะเร็ง สาเหตุหลัก ของการก่อตัวของโรคร้ายต่อมนุ ษย์

จากงานศึกษา วิจัยโรคมะเร็ง สาเหตุหลัก ของการก่อตัวของโรคร้ายต่อมนุ ษย์
โดยคณะนักวิทยาศาสตร์ ทีมคณะแพทย์ที่มีชื่อเสียงระดั บโลก จากหลายหลาย
มหาวิทยาลัยแพทย์ชื่อดังก้องโลก โดยทุนสนับสนุนจาก สถาบันต่อต้านโรคมะเร็งแห่งโลก (The World Cancer Research Fund (WCRF)

รายละเอียดหาอ่านได้จากข้อมู ลในเวป

http://www.dhammajak.net:80/ board/viewtopic.php?t=14583

http://www.dhammajak.net/ board/viewtopic.php?t=17241





http://board.palungjit.com/ showthread.php?t=145201