PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : พิจารณาอาหารในบาตร



Butsaya
11-09-2009, 09:43 AM
:D :D :D :D :D :D ::) ::) ::) ::) ::)

ใครทราบบ้างอะค่ะ
ว่าเวลาที่พระท่านฉันท์อาหารในบาตร
ท่านพิจารณาอย่างไร อะไรบ้างอะค่ะ

suwit02
11-12-2009, 04:48 PM
สวัสดีครับ

ผมเป็นสมาชิกใหม่

ผมขอเสนอ บางส่วนของ อปริหานิสูตร อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต

เพื่อตอบคำถามของกระทู้นี้ และเป็นธรรมบรรณาการแด่ท่านทั้งหลายดังต่อไปนี้

............. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะอย่างไร

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้วย่อมกลืนกินซึ่งอาหาร

มิใช่เพื่อจะเล่น มิใช่เพื่อจะมัวเมา มิใช่เพื่อประเทืองผิว มิใช่เพื่อจะตกแต่ง

เพียงเพื่อร่างกายนี้ดำรงอยู่ได้ เพื่อยังอัตภาพให้เป็นไป

เพื่อกำจัดความลำบาก เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์

ด้วยหวังว่า จักกำจัดเวทนาเก่า และจักไม่ยังเวทนาใหม่ให้บังเกิดขึ้น เพื่อความเป็นไป

เพื่อความที่ร่างกายไม่มีโทษ และ ความอยู่สำราญจักมีแก่เรา ด้วยอาการอย่างนี้

ภิกษุเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะอย่างนี้แล ...................


ขออนุโมทนาครับ

Butsaya
11-12-2009, 07:58 PM
สวัสดีค่ะ คุณสุวิท02 :D

วัดเกาะวาลุการามยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ค่ะ อิอิ.... http://www.watkoh.com/board/richedit/smileys/Happy/5.gif
ขอขอบคุณมาก ๆ เลยนะค่ะ สำหรับคำตอบที่ตอบให้
ในกระทู้นี้นะค่ะ กระจ่างล่ะค่ะ อืม... เพราะเป็นแบบนี้เอง
ตอนแรกคิดว่าจะม่ะมีใครตอบกระทู้นี้ซะแย้ววววว อิอิ... เอิ๊กๆๆๆๆ ;D

suwit02
11-13-2009, 11:05 PM
ขอบคุณครับ :D

D E V
11-14-2009, 09:37 PM
อนุโมทนากับคุณ suwit02 นะคับ
ที่ได้กรุณาอัญเชิญพระสูตรมาแสดงให้เพื่อนๆ ได้อ่าน
หากมีเวลาก็แวะมาบ่อยๆ นะคับ
ซ๊าๆๆๆๆๆ ทุ๊คับ




8) เดฟ

JoonHa
11-16-2009, 05:52 PM
ขออนุโมทนากับทุกท่านนะครับ

ยินดีต้อนรับคุณ suwit02 เข้าสู่วัดเกาะด้วยนะคับ

ปลื้มใจและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีผู้ทรงความรู้เข้ามาช่วยตอบปัญหาทางธรรมกันเยอะๆ ขออนุโมทนาครับ

rain....
12-13-2009, 04:16 PM
สาธุ อนุโมทนา กับคำถามและคำตอบ ที่ให้ความรู้-ความกระจ่างในครั้งนี้ค่ะ

pbn
03-05-2010, 07:52 PM
กินเปลือง ไม่ใช่กินเป็น

ในการฝึกเบื้องต้น พอพระเณรบวชเข้ามา ก็เริ่มฝึกการบริโภคปัจจัย ๔ ทันที

สำหรับพระเณรนั้นมีหลักอยู่แล้วว่า ให้เป็นอยู่ง่าย อาศัยปัจจัย ๔ พอเลี้ยงชีพ ต้องให้บริโภคคือฉันด้วยปัญญา เพราะฉะนั้นจึงมีบทพิจารณาให้ท่อง

ก่อนจะบวชก็ให้ท่องบท ตังขณิกปัจจเวกขณะ คือพิจารณาในขณะนั้น ๆ เช่น เวลาจะฉัน ก็พิจารณาอาหารเพื่อให้มีสติ คือฉันโดยรู้ตัวว่า ที่ฉันนี้เพื่อสนองความต้องการที่แท้จริงของชีวิตนะ ไม่ใช่เพียงเพื่อเอร็ดอร่อย โก้เก๋

อนึ่ง เพื่อเตือนสติไว้เสมอ ๆ ท่านนิยมทำให้รู้สึกว่าเอาจริงเอาจัง โดยสวดบทพิจารณานั้นในเวลาจะเริ่มฉัน

ในบรรดาบทสวดมนต์ทั้งหลายนั้น มีบทหนึ่งที่ถือว่าสำคัญสำหรับพระเณร เรียกกันว่าบท “ ปฏิสังขาโย ” คือเรียกตามคำเริ่มต้นของบทสวดนั้น

บทปฏิสังขาโยนี่แหละภาษาทางการเรียกว่า ตังขณิกปัจจเวกขณะ คือบทที่พูดถึงเมื่อกี้

ปัจจเวกขณ์ แปลว่าการพิจารณา ตังขณิกะ แปลว่า ในขณะนั้น ๆ พิจารณาในขณะนั้น ๆ หมายถึง พิจารณาปัจจัย ๔ ในขณะที่บริโภคนั่นเอง

ถ้าพิจารณาตอนที่ฉัน ก็เป็นการพิจารณาในขณะนั้น ๆ จึงเรียกว่า ตังขณิกปัจจเวกขณะ แต่ในกรณีที่บางทีเผลอไป ก็พิจารณาย้อนหลังเป็นการทบทวนและเตือนตนเอง เรียกว่า อดีตปัจจเวกขณะ คือเปลี่ยนตังขณิกะเป็นอตีตะ แปลว่าการพิจารณาส่วนอดีต คือส่วนที่ล่วงไปแล้ว

การพิจารณาตอนเป็นอดีตนี่ ก็นิยมเอามาจัดเป็นบทสวดมนต์เช่นเดียวกัน บางวัด เวลาค่ำก็สวดบทอตีตปัจจเวกขณะนี้ด้วย

การพิจารณาปัจจัย ๔ ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคนต้องเกี่ยวเนื่องด้วยปัจจัย ๔ ท่านจึงสอนให้บริโภคใช้สอยปัจจัย ๔ ด้วยพิจารณา คือบริโภคด้วยปัญญา ไม่บริโภคด้วยตัณหา

บริโภคด้วยปัญญาต่างกับบริโภคด้วยตัณหาอย่างไร

บริโภคด้วยตัณหา ก็คือ บริโภคเพื่อเสพรส เพื่อมุ่งเอร็ดอร่อย คือสนองความรู้สึกชอบใจ ไม่ชอบใจ เอาแค่ความสุขจากการเสพ ที่ว่าสุขในเรื่องของอาหาร ก็คืออร่อยเป็นการสนองตัณหาซึ่งอยากบำรุงบำเรอตา หู จมูก ลิ้น กาย

ถ้าเป็นเครื่องนุ่งห่มก็มุ่งความสวยงาม ความโก้เก๋ ตลอดจนประกวดประชันแข่งฐานะกัน เอาอาหาร เอาเครื่องนุ่งห่ม เอาที่อยู่อาศัยเป็นเครื่องอวดแสดงฐานะ

การทำอย่างนี้ไม่เป็นการสนองความต้องการที่แท้จริงของชีวิต พูดภาษาสมัยใหม่ว่ามันไม่ได้เป็นเครื่องแสดงการมีคุณภาพชีวิต

บางคนมีฐานะเศรษฐกิจดี มีอาหารการกินอย่างดี ที่เรียกว่ามีมาตรฐานการครอบชีพสูง แต่กินอาหารแล้วไม่ได้คุณภาพชีวิต เลยกลายเป็นว่ามาตรฐานการครองชีพสูง แต่คุณภาพชีวิตเสีย เป็นการกินที่ไม่ฉลาด

สมัยก่อนนั้น คนมุ่งเน้นเรื่องมาตรฐานการครองชีพมาก อย่างที่ภาษาฝรั่งเรียกว่า standard of living คนพากันอยากมีมาตรฐานการครองชีพสูง แต่ต่อมายุคหลังเกิดมีคำใหม่เรียกว่า quality of life แปลว่าคุณภาพชีวิต การมีมาตรฐานการครองชีพสูงไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะมีชีวิตที่ดี เพราะฉะนั้นจึงต้องมาวัดกันใหม่ว่าชีวิตดีอยู่ที่อะไร ก็เลยได้ศัพท์ใหม่ว่า “ คุณภาพชีวิต ” แล้วหันมาเน้นกันที่นี่

บางคนกินอาหารแพง ๆ เป็นอยู่อย่างดี มีมาตรฐานการครองชีพสูง แต่เป็นโรคภัยไข้เจ็บเยอะ เพราะดำเนินชีวิตผิด เป็นอยู่ผิดธรรมชาติ เกิดเป็นโรค อย่างที่บางทีเรียกว่าโรคอารยธรรม ดังปรากฏว่าประเทศที่เจริญแล้วมักจะมีโรคเหล่านี้มาก เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง ซึ่งประเทศที่ยากจนกลับไม่ค่อยเป็น

ที่เป็นอย่างนี้เพราะเขาได้แค่กินเปลือง แต่กินไม่เป็น

เพราะฉะนั้น การที่ประเทศเจริญแบบนี้จึงไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะทำให้คนมีสุขภาพดี ซึ่งเป็นด้านหนึ่งของคุณภาพชีวิต



กินอย่างมีปัญญา เรียกว่ากินเป็น

หันมาดูตัวอย่างจากชีวิตของพระสงฆ์ ที่ท่านนำหลักธรรมมาปฏิบัติ

พระเก่า ๆ ก่อนฉันท่านจะว่าบทพิจารณาอาหารเตือนสติไว้ก่อน ความจริงนั้น สติต้องเป็นไปในเวลาฉันตลอดเวลา ไม่ใช่มีแค่ตอนเริ่ม แต่ที่เราว่าหรือสวดออกมาก่อน ก็เพื่อจะเตือนตัวเอง ให้มีสติตั้งใจพิจารณาตั้งแต่ตอนเริ่มฉัน โดยเอาคำบาลีที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มาว่าตอนนั้นเลย คือว่าคำพิจารณาอาหารดังนี้

ปฏิสังขา โยนิโส ปิณฑะปาตัง ปะฏิเสวามิ ข้าพเจ้าพิจารณาแล้วโดยแยบคาย คือพิจารณาโดยใช้ปัญญาไตร่ตรองอย่างดีแล้ว คำนึงถึงเหตุผลแล้ว จึงฉันอาหารบิณฑบาต

เนวะ ทะวายะ นะ มะทายะ นะ มัณฑะนายะ นะ วิภูสะนายะ (โดยรู้ตระหนักว่า) มิใช่เพื่อจะสนุกสนานเห็นแก่เอร็ดอร่อย หลงมัวเมา สวยงาม โอ่อ่า โก้เก๋

ยาวะเทวะ อิมัสสะ กายัสสะ ฐิติยา ยาปะนายะ ที่ฉันนี้ก็เพื่อให้ร่างกายนี้ดำรงอยู่ ใช้ชีวิตดำเนินไปได้

วิหิงสุปะระติยา เพื่อระงับความหิวกระหายหรือการขาดอาหาร ซึ่งเป็นภาวะที่บีบคั้นเบียดเบียนร่างกาย พรัหมจริยานุคคหายะ เพื่ออนุเคราะห์พรหมจริยะ คือเพื่อเกื้อหนุนชีวิตดีที่ประเสริฐ

ตรงนี้มาถึงจุดสำคัญ เพราะชีวิตของพระก็เพื่อประพฤติพรหมจริยะ คือดำเนินตามอริยมรรค พรหมจริยะหรือพรหมจรรย์ในที่นี้มีความหมายกว้าง

ถ้าจะป้องกันความสับสนก็พูดว่า เพื่อเกื้อหนุนการดำเนินชีวิตตามมรรคมีองค์ ๘ รวมทั้งการบำเพ็ญไตรสิกขา คือเพื่อเราจะได้มีกำลังทำกิจหน้าที่ ฝึกฝนพัฒนาชีวิตที่ดีงามของเรา

สาระสำคัญก็คือ ให้การรับประทานอาหารเป็นเครื่องเกื้อหนุน ช่วยให้เรามีเรี่ยวแรงกำลัง เพื่อเราจะได้ทำกิจทำหน้าที่ ศึกษาเล่าเรียน ทำงานทำการ บำเพ็ญสมณธรรม บำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญา ให้ได้ผล

พูดสั้น ๆ ว่า บริโภคอาหารเพื่อเป็นปัจจัย คือเป็นเครื่องเกื้อหนุนให้เราดำเนินชีวิตที่ดี พัฒนาตนเอง และทำสิ่งที่ดีงามได้ยิ่งขึ้นไป

อิติ ปุราณัญจะ เวทะนัง ปะติหังขามิ นะวัญจะ เวทะนัง นะ อุปปาเทสสามิ โดยการรับประทานด้วยปัญญาอย่างนี้ เราจะระงับเวทนาเก่า คือแก้ความทุกข์ร้อนกระวนกระวายเนื่องจากความหิวได้ กับทั้งจะไม่ให้เกิดเวทนาใหม่ เช่น ไม่อึดอัด แน่น จุกเสียด ท้องเสีย เป็นต้น เนื่องจากรับประทานมากเกินไป หรือกินของไม่ดี มีพิษ

ยาตรา จะ เม ภะ วิสสะติ และเราก็จะมีชีวิตดำเนินไปได้

อะนะวัชชะตา จะ พร้อมทั้งจะเป็นการบริโภคที่บริสุทธิ์ ไม่มีโทษ ปราศจากข้อเสียหาย

หมายความว่า ไม่มีโทษภัย ไร้ข้อบกพร่องเสียหายที่จะพึงตำหนิติเตียนได้ เช่น ไม่ต้องทำการแสวงหาโดยทางทุจริตผิดธรรม ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนสังคม ไม่เบียดเบียนธรรมชาติแวดล้อม ไม่เบียดเบียนทั้งภายในและภายนอก

ผาสุวิหาโร จาติ แล้วก็เป็นอยู่ผาสุกด้วย

นี่เป็นวัตถุประสงค์ของการรับประทานอาหาร ซึ่งพระจะต้องพิจารณาทุกครั้งในเวลาฉัน เพื่อให้เข้าใจและรักษาวัตถุประสงค์ของการฉันให้ถูกต้อง ตรงตามคุณค่าที่แท้ของอาหาร

นี่แหละเป็นศีลเบื้องต้นของพระ ซึ่งท่านให้ฝึกกันตั้งแต่มาอยู่วัด โดยให้ท่องบทพิจารณาไว้ แล้วเวลาฉันก็พิจารณาอย่างนี้

ถ้าเรากินด้วยปัญญาแล้ว ความรู้เข้าใจจุดมุ่งหมายในการกินก็จะมา

• จำกัดปริมาณอาหาร ให้พอดีกับความต้องการของร่างกาย

• จำกัดประเภทอาหาร ให้พอดีที่จะได้สิ่งที่มีคุณค่าเป็นประโยชน์ และได้สัดส่วน

พอถึงตอนนี้ การกินพอดีก็เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นการกินด้วยปัญญาจึงมีชื่อว่าการกินพอดี เรียกเป็นภาษาพระว่าความรู้จักประมาณในการบริโภค ภาษาบาลีว่า “ โภชเนมัตตัญญุตา ”

หลักนี้สำคัญมาก ผู้ที่บวชเข้ามาเบื้องต้นจะต้องฝึกในเรื่องโภชเนมัตตัญญุตา ให้มีความรู้จักประมาณในการบริโภค ซึ่งจะมีผลดีต่อชีวิตของตนเอง เป็นการฝึกในขั้นศีล คือเป็นการฝึกพฤติกรรมในการฉัน ในการรับประทาน หรือในการบริโภค แล้วก็ขยายไปถึงสิ่งอื่น ๆ ที่เรากินใช้บริโภคทั้งหมด เช่น เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ก็พิจารณาทำนองเดียวกัน พระสมัยก่อนนั้น เวลาจะฉันข้าว ก็ตักข้าวขึ้นมาช้อนหนึ่งเป็นตัวอย่างเพื่อเริ่มพิจารณา แล้วก็ฉันข้าวเปล่า ๆ ไปช้อนหนึ่งก่อน เดี๋ยวนี้ก็ยังมีการปฏิบัติกัน เพราะท่านที่ทำมาตั้งแต่เป็นเณรก็เคยชิน

ส่วนจีวรจะหยิบมาห่มก็พิจารณา ปฏิสังขา โยนิโสจีวรัง ปฏิเสวามิ ข้าพเจ้าพิจารณาแล้วโดยแยบคาย คือพิจารณาเหตุผล มองเห็นคุณค่าที่แท้ และเข้าใจความมุ่งหมายดีแล้ว จึงใช้สอยห่มจีวรนี้เพื่อจะได้กันหนาว กันร้อน กันเหลือบ ยุง ริ้น ไร เป็นต้น ตลอดจนป้องกันความละอาย

นี่ก็คือให้เข้าใจความมุ่งหมายของการใช้เครื่องนุ่งห่ม ว่าจะเอาคุณค่าที่แท้จริงของมัน ทำให้ต้องฝึกปัญญาหัดนึกคิดพิจารณาว่า เอ.. เราห่มจีวรนี้ เพื่ออะไรกันแน่ อ้อ.. จุดมุ่งหมายที่แท้จริงคือเพื่ออย่างนี้ ๆ

แต่เวลาใช้มัน เราได้ผลตามวัตถุประสงค์นี้หรือเปล่า หรือใช้เสื้อผ้าเป็นเพียงเครื่องประดับตกแต่ง มุ่งจะเอาสวยงาม โก้เก๋ อวดฐานะกัน ทำให้ใช้ของราคาแพงเกินไป ฟุ่มเฟือยสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ โดยไม่ได้คุณค่าที่แท้จริง เพราะบางทีของที่ราคาแพงกลับไม่มีคุณค่าที่แท้จริงเลย เป็นการใช้มันอย่างลุ่มหลง ไม่มีปัญญา

ต้องยอมรับว่าคนสมัยนี้ยังหลงมาก เราพูดกันไปเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ ว่าเรามีการศึกษา แต่เราไม่ได้ใช้ปัญญา แม้แต่ในการปฏิบัติต่อปัจจัย ๔ เราบริโภคด้วยความหลง ด้วยตัณหา ด้วยอวิชชา กินใช้ด้วยความไม่รู้ ไม่คิด แล้วลองคิดดูซิว่า การศึกษาจะเดินหน้าไปได้อย่างไร เพราะแม้แต่การศึกษาขั้นพื้นฐานก็ยังไม่ได้เริ่มต้นเลย

สำหรับมนุษย์ปุถุชนอย่างชาวบ้าน เรายอมให้บ้างในเรื่องความเอร็ดอร่อย สวยงาม โก้เก๋ แต่ควรจะมีหลักว่า

• ต้องให้ได้คุณค่าที่แท้จริงเป็นฐานไว้ก่อน อย่าให้เสียอันนี้เด็ดขาด ถ้าเสียก็คือดำเนินชีวิตผิด ไม่มีการศึกษา

• ส่วนที่มาประกอบเสริมในด้านคุณค่าเทียม เช่น ความอร่อย สวยงาม โก้เก๋นั้น อย่าให้เลยเถิดไปจนกลายเป็นการเบียดเบียนตน เบียดเบียนผู้อื่น ตรงนี้สำคัญมาก

• อย่าให้เบียดเบียนตน เช่น รับประทานอาหารแล้วทำให้สุขภาพร่างกายเสียไป เพราะเห็นแก่คุณค่าเทียม เช่นเห็นแก่เอร็ดอร่อย โก้เก๋ เลยกินจนอืดเฟ้อ หรือกินอาหารที่เป็นพิษ

• อย่าให้เบียดเบียนผู้อื่น เช่น ทำให้สังคมเดือดร้อน เพราะแย่งชิงเอาเปรียบกัน หรือเอาจากผู้อื่นมากโดยใช่เหตุ

• อย่าทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมาก ไม่ใช่ว่ากินก็เปลือง ขยะก็เปรอะ