PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : เรื่องโลก



chocobo
11-19-2009, 12:37 PM
กราบนมัสการพระคุณเจ้าทุกรูป สวัสดีครับมิตรธรรมทุกท่าน


วันนี้อยากทราบว่า ในพระอรรตคถา(ใช่อย่างเดียวกับพระไตรปิฏกหรือเปล่า?) มีบทใดกล่าวถึงเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่าโลกเรากลมไหมครับ เพราะเคยได้ยินมาว่าท่านทรงกล่าวว่าโลกเรานั้นกลม แต่ตั้งแต่ศึกษามาก็เคยได้ยินแค่เรื่องที่ท่านทรงอธิบายว่า โลกนั้นตั้งอยู่ที่ไหน สูงขึ้นไปยอดเขาสิเนรุมีอะไรบ้าง ข้างใต้มีอะไรบ้าง แต่ไม่เคยได้ยินว่าท่านกล่าวว่าโลกกลมเลย เลยอยากทราบว่ามีกล่าวไว้จริงๆหรือเปล่าครับผม

แล้วก็อีกเรื่องครับ อยากทราบว่าในพระไตรปิฏกมีกล่าวถึงเรื่องการอุบัติของมนุษย์ไหมครับ ว่ามนุษย์นั้นเกิดขึ้นมาจากไหน พอดีช่วงนี้อ่านเรื่องเกี่ยวกับการเกิดของมนุษย์น่ะครับ(อ่างเอาสนุกเฉยๆครับ) พวกฝรั่งเค้าก็อ้างกันตามไบเบิ้ลของเค้า เลยสงสัยว่าของเรามีกล่าวไว้หรือเปล่าครับ

ขอบคุณครับ

ขอทุกท่านจงเร่งความเพียรเพื่อบรรลุนิพพานโดยเร็ว เทอญ

D E V
11-20-2009, 01:34 PM
วันนี้อยากทราบว่า ในพระอรรตคถา(ใช่อย่างเดียวกับพระไตรปิฏกหรือเปล่า?)


พระไตรปิฎก เป็นคัมภีร์ชั้นแรกที่รวบรวมพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
อรรถกถา เป็นคัมภีร์ชั้นรองที่อธิบายความในพระไตรปิฎกอีกทีน่ะคับ



8) เดฟ

D E V
11-20-2009, 01:44 PM
ทรงแสดงถึงทิฏฐิ อันถือเอาที่สุดว่า โลกมีที่สุด


[๓๔๐] ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า โลกมีที่สุด ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๕ เป็นไฉน ฯ
บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำสีเขียวแผ่ไปสู่โอกาสนิดหน่อย
เขามีความเห็นอย่างนี้ว่าโลกนี้มีที่สุดกลม
ดังนี้ เขาจึงมีความสำคัญว่าโลกมีที่สุด
ทิฐิ คือความลูบคลำด้วยความถือผิดว่า ที่ที่แผ่ไปนั้นเป็นวัตถุและเป็นโลก
เครื่องที่แผ่ไปนั้นเป็นตนและเป็นโลก
ทิฐินั้นถือเอาที่สุดเช่นนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อันตคาหิกทิฐิ
ทิฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุไม่ใช่ทิฐิ ทิฐิเป็นอย่างหนึ่ง วัตถุเป็นอย่างหนึ่ง
ทิฐิและวัตถุ นี้เป็นทิฐิอันถือเอาที่สุดว่าโลกมีที่สุดที่ ๑ อันตคาหิกทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ
เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำสีเหลืองแผ่ไป ทำสีแดงแผ่ไป
ทำสีขาวแผ่ไป ทำแสงสว่างแผ่ไป สู่โอกาสนิดหน่อย
เขามีความคิดอย่างนี้ว่า โลกนี้มีที่สุดกลม ดังนี้ เขาจึงมีความสำคัญว่าโลกมีที่สุด
ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดว่า ที่ที่แผ่ไปนั้นเป็นวัตถุและเป็นโลก
เครื่องที่แผ่ไปนั้นเป็นตนและเป็นโลก
ทิฐินั้นถือเอาที่สุดเช่นนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อันตคาหิกทิฐิ ฯลฯ
ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า โลกมีที่สุด ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๕ เหล่านี้ ฯ

มหาวรรค ทิฐิกถา
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=31&A=3332&Z=4069



8) เดฟ

D E V
11-20-2009, 01:57 PM
อรรถกถาอันตคาหิกทิฏฐินิเทศ

บทว่า อนฺตคาหิกาย ทิฏฺฐิยา ทิฏฐิอันถือเอาที่สุด
เป็นการถามตามอาการในวาระที่หนึ่ง
ถือเอาตามอาการในวาระที่สอง
กล่าวแก้อาการในวาระที่สาม.

ในบทเหล่านั้น บทว่า โลโก คือ ตัวตน.

บทว่า โส อนฺโต โลกนั้นมีที่สุด คือในที่สุดของความเที่ยงและความสูญอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
ที่สุดของความเที่ยง ในการถือว่าเที่ยงที่สุดของความสูญในการถือว่าไม่เทียง.

บทว่า ปริตฺตํ โอกาสํ สู่โอกาสนิดหน่อย คือสู่ที่เล็กน้อยเพียงกระด้งหรือชาม.

บทว่า นีลกโต ผรติ ทำสีเขียวแผ่ไป คือเป็นอารมณ์ว่าสีเขียว.

บทว่า อยํ โลโก โลกนี้ ท่านกล่าวหมายถึงตน.

บทว่า ปริวฏุโม โลกกลม คือ มีกำหนดไว้โดยรอบ.

บทว่า อนฺตสญฺญี คือ มีความสำคัญว่ามีที่สุด.

บทว่า ยํ ผรติ คือ กสิณรูปแผ่ไป.

ฯลฯ........................................................

http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31.0&i=294




8) เดฟ

D E V
11-20-2009, 02:01 PM
อันตานันติกทิฏฐิ ๔

[๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้
บัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ ๔ ประการ
ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญพวกนั้นอาศัยอะไร ปรารภอะไร
จึงมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้
บัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ ๔ ประการ.

๙. (๑) ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส
อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท
อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต
ย่อมมีความสำคัญในโลกว่ามีที่สุด เขากล่าวอย่างนี้ว่า โลกนี้มีที่สุด กลมโดยรอบ

ข้อนั้นเพราะเหตุไร?
เพราะเหตุว่าข้าพเจ้าอาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส
อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ
อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ
แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต
จึงมีความสำคัญในโลกว่ามีที่สุด.
ด้วยการบรรลุคุณวิเศษนี้ ข้าพเจ้าจึงรู้อาการที่โลกนี้มีที่สุด กลมโดยรอบ.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้เป็นฐานะที่ ๑ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว
มีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้
ย่อมบัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้.

[๓๖] ๑๐. (๒) อนึ่ง ในฐานะที่ ๒
สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไร
จึงมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้
บัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้
อาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น
อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท
อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต
จึงมีความสำคัญในโลกว่าไม่มีที่สุด
เขากล่าวอย่างนี้ว่า โลกนี้ไม่มีที่สุด หาที่สุดรอบมิได้
สมณพราหมณ์พวกที่พูดว่า โลกนี้มีที่สุดกลมโดยรอบนั้นเท็จ
โลกนี้ไม่มีที่สุด หาที่สุดรอบมิได้

ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะเหตุว่า ข้าพเจ้าอาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส
อาศัยความเพียรเป็นที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ
อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ
แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต
จึงมีความสำคัญในโลกว่าหาที่สุดมิได้
ด้วยการบรรลุคุณวิเศษนี้ ข้าพเจ้าจึงรู้อาการที่โลกนี้ไม่มีที่สุด หาที่สุดรอบมิได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้เป็นฐานะที่ ๒ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว
มีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้
ย่อมบัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้.


พรหมชาลสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=9&A=0&Z=1071&pagebreak=0




8) เดฟ

D E V
11-20-2009, 02:04 PM
บทว่า อนฺตานนฺติกา
ความว่า มีวาทะว่า โลกมีที่สุดและไม่มีที่สุด.

อธิบายว่า มีวาทะเป็นไปปรารภโลกว่า มีที่สุดก็มี ไม่มีที่สุดก็มี
บางทีมีที่สุดและไม่มีที่สุด มีที่สุดก็ไม่ใช่ ไม่มีที่สุดก็ไม่ใช่.

บทว่า อนฺตสญฺญี โลกสฺมึ วิหรติ
ความว่า สมณะหรือพราหมณ์มิได้ขยายปฏิภาคนิมิตไปถึงขอบจักรวาล
ยึดถือเอาขอบจักรวาลนั้นว่าเป็นโลก จึงมีความสำคัญในโลกว่า มีที่สุดอยู่.
แต่ในกสิณที่ขยายออกไปถึงขอบจักรวาล มีความสำคัญว่า โลกไม่มีที่สุด.

อนึ่ง มิได้ขยายไปด้านบนและด้านล่างขยายไปแต่ด้านขวาง
จึงมีความสำคัญในโลกว่าด้านบนและด้านล่างมีที่สุด
มีความสำคัญในโลกว่าด้านขวางไม่มีที่สุด.

วาทะของสมณะหรือพราหมณ์พวกตรึก พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล.
วาทะทั้ง ๔ อย่างนี้จัดเข้าในปุพพันตกัปปิกวาทะ
เพราะยึดถือด้วยทิฏฐิตามทำนองที่ตนเคยเห็นแล้วนั่นเอง.


อรรถกถา พรหมชาลสูตร
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=1



8) เดฟ

D E V
11-20-2009, 02:07 PM
ทรงเปรียบเทียบการน้อมจิตแผ่ไปในโลกธาตุ
ของ สหัสสพรหม ทวิสหัสสพรหม ติสหัสสพรหม จตุสหัสสพรหม ปัญจสหัสสพรหม
เปรียบเหมือนบุรุษมีนัยน์ตาดี วางมะขามป้อมในมือแล้วพิจารณาดูได้


[๓๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเป็นผู้ประกอบ
ด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา เธอได้ฟังว่า สหัสสพรหม มีอายุยืน
มีวรรณะ มากด้วยความสุข ดูกรภิกษุทั้งหลาย สหัสสพรหมย่อมน้อมจิตแผ่ไป
ตลอดโลกธาตุพันหนึ่งอยู่ แม้สัตว์ทั้งหลายที่เกิดแล้วในสหัสสพรหมนั้น ก็น้อม
จิตแผ่ไปอยู่ได้ เปรียบเหมือนบุรุษมีนัยน์ตาดี วางมะขามป้อมผลหนึ่งในมือแล้ว
พิจารณาดูได้ ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย สหัสสพรหมก็ฉันนั้นเหมือนกันแล
ย่อมน้อมจิตแผ่ไปตลอดโลกธาตุพันหนึ่งอยู่ แม้สัตว์ทั้งหลายที่เกิดแล้วในสหัสส-
*พรหมนั้น ก็น้อมจิตแผ่ไปอยู่ได้ เธอมีความปรารถนาอย่างนี้ว่า โอหนอ เราเมื่อ
ตายไปแล้ว พึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งสหัสสพรหมเถิด เธอจึงตั้งจิตนั้น
อธิษฐานจิตนั้น เจริญจิตนั้น ความปรารถนาและวิหารธรรมเหล่านั้น อันเธอ
เจริญแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความสำเร็จในภาวะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้มรรค นี้ปฏิปทา เป็นไปเพื่อความสำเร็จในความเป็นสหาย

[๓๒๓]......


สังขารูปปัตติสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=4497&Z=4713&pagebreak=0




8) เดฟ

D E V
11-20-2009, 02:09 PM
บทว่า อามณฺฑํ ได้แก่ ผลมะขามป้อม.
ผลมะขามป้อมนั้นย่อมปรากฏโดยประการทั้งปวงทีเดียวแก่บุรุษผู้มีตาดีฉันใด
พันแห่งโลกธาตุพร้อมทั้งสัตว์ผู้เกิดในนั้น ย่อมปรากฏแก่พรหมนั้นฉันนั้น.


อรรถกถา สังขารูปปัตติสูตร
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=318



8) เดฟ

D E V
11-20-2009, 02:16 PM
ทรงแสดงถึงกำเนิดโลกและมนุษย์

อัคคัญญสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=11&A=1703&Z=2129&pagebreak=0




8) เดฟ

chocobo
11-20-2009, 03:15 PM
สาธุ สาธุ สาธุ

ทรงกล่าวไว้มากมายจริงๆ อันที่ว่าโลกมีที่สุด และหาที่สุดมิได้ เหตุเพราะว่าเหล่าสมณพราหมณ์นั่งสมถะแล้วมีนิมิตรเห้นโลกอยู่ 2 จำพวกเช่นนั้นหรือครับ

D E V
11-21-2009, 12:10 AM
ในอรรถกถา มีอธิบายขยายความไว้น่ะคับ
ว่าต่างคนต่างก็เห็นว่าโลกมีที่สุดบ้าง ไม่มีที่สุดบ้าง
ตามแต่ปฏิภาคนิมิตของแต่ละคนที่ขยายออกไปแค่ไหนอ่ะคับ

สำหรับข้อความบางอันจะตัดออกมาเป็น intro บางส่วน
ให้ดูประกอบคู่กันไป (พระสูตรและอรรถกถา) น่ะคับ
สำหรับเนื้อหาเต็มก็คลิกดูจากลิงค์ที่ให้ไว้ได้เลยนะคับ




8) เดฟ

*8q*
11-21-2009, 05:58 PM
ซ้าๆๆๆทุ