PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : คำสอนของเกจิอาจารย์



chocobo
11-24-2009, 03:35 PM
กราบนมัสการพระคุณเจ้าทุกรูป สวัสดีมิตรธรรมทุกท่าน

วันนี้มีปัญหาข้อข้องใจอีกแล้วครับ เรื่องคำสอนของเกจิอาจารย์รูปต่างๆ เหตุใดบางท่านก็สอน (ที่ตัดสินจากปัญญาอันน้อยนิดของตัวผมเอง) แบบผิดๆ บางท่านก็ว่าคนเราตายแล้วมีวิญญาณเป็นผีรอไปเกิด บางท่านก็ว่าคนเราไปเยี่ยมนิพพานได้ บางท่านก็ว่านิพพานเป็นแดน มีพระพุทธเจ้าประทับอยู่บนนั้น ฯลฯ ซึ่งมองจากปัญญาเราแล้ว ก็เห็นชัดว่าผิดต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า อันเหตุฉะนี้ เหตุใดจึงยังมีคนนับถืออยู่มากมาย พร้อมยังยกย่องให้ท่านเป็นพระโสดาบันบ้าง พระสกิทาฯบ้าง พระอนาคาฯบ้าง และมากที่สุดคือพระอรหันต์บ้าง

แล้วอยากทราบว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้น ถึงแม้ว่าจะสอนในเรื่องเหล่านี้ผิดๆ จะมีโอกาสที่ท่านเหล่านั้นจะบรรลุธรรมแล้วหรือไม่ เพราะหากไม่มีญาณหยั่งรู้ ก็ย่อมมองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ต่อเหล่าสัตว์ในภพที่มีกายละเอียดกว่าเรา ก็ย่อมมีโอกาสจะเห็นผิดว่าคนเราตายแล้วไม่ได้เกิดเลย เพราะยึดความเชื่อผิดๆมาแต่โบราณ แต่ทั้งนี้ ตรงนี้มีผลต่อการบรรลุธรรมไหมครับ(คุ้นๆเหมือนเคยถามแล้ว ?) แล้วถ้าเรื่องความเห็นผิดเรื่องนิพพานด้วยละครับ ยังจะบรรลุธรรมได้ไหม

นี้เป็นตัวอย่างอ่ะครับที่ผมเห็นแล้ว้ของใจ จากลิ้งที่ได้จากท่านผู้สนทนาให้ห้องแชทธรรมะเมื่อวันที่สนทนาเรื่องมโนมยิติ ผมเลยลองเข้าไปดูตามลิ้งที่มีมิตรธรรมส่งให้ ก็ไปอ่านเรื่องมโนมยิธิ และไปอ่านคำสอนอื่นๆในหมวดต่างๆ อันที่เห็นแล้วข้องใจคืออันนี้ครับ

ลิ้ง : http://www.larnbuddhism.com/grammathan/toppanha3.html

เรื่องจิตลอยไปตัดใจไปนิพพาน

ผู้ถาม หนูนั่งกรรมฐานที่ ซอยสายลม บ้าน เจ้ากรมเสริม ปรากฏว่าน้ำตาไหลและดวงจิตล่องลอยออกไปไม่ค่อยจะกลับมา เลยตัดสินใจว่าตายวันนี้ขอไปนิพพานทันที อย่างนี้พอมีโอกาสไปได้ไหมคะ เพราะตอนนั้นใจมันลอยไปแล้ว ...?
หลวงพ่อ ใจมันลอยไป แล้วใครมันนึกล่ะ ใจลอยไปมันหมายความว่ายังไง เอาล่ะไม่เป็นไร ถือว่าตัดสินใจถูกดีกว่า นั้นแหละถูกต้องนะ อย่างนั้นแน่นอน ถ้าตายเวลานั้นไปนิพพานจริง ๆ เอาอย่างนี้ดีกว่า ง่ายดี !
ผู้ถาม ไม่ต้องลงทุนอะไรเลยหรือครับหลวงพ่อ...?
หลวงพ่อ ก็ลงทุนเยอะ ลงมุนต้องทิ้งบ้านมา ต้องเสียค่ารถมา ต้องเสียความสุขที่อยู่ที่บ้าน เสียความสุขที่อยู่โรงหนัง เสียความสุขในโรงเหล้า โอ๊ะ ! ลงทุนมาก โดยเฉพาะลงทุนหนักก็ตือ ต้องลงทุนทำลายกิเลส เวลานั้นจิตบริสุทธิ์จริง ๆ ขณะที่จิตลอยออก จิตนึกถึงพระนิพพานนี่ จะต้องถือว่าจิตบริสุทธิ์มาก ถ้าตายเวลานั้นไปทันที ตัดใจไปนิพพานก่อนตาย
ผู้ถาม หนูฟังในที่หลายแห่งของหลวงพ่อว่า จิตสุดท้ายใกล้จะตาย บุญมันจะรวมตัวกันและสามารถไปนิพพานได้ แต่ถ้าหากว่าตอนนั้น ตัดได้บ้าง ตัดไม่ได้บ้างโดยเฉพาะตอนสามีมายั่ว รู้สึกว่าตัดไม่ได้สักที เกิดในตอนนั้น จะไปนิพพานได้หรือเปล่าเจ้าคะ...?
หลวงพ่อ เอ...มายั่วว่ายังไง ยั่วท่าไหน ตอนที่ป่วยหนัก ๆ ไม่มีใครเขาเข้ามายุ่งหรอก ตอนป่วยหนัก ๆ จริง ๆ นะ อารมณ์มันก็วางอยู่แล้ว วางความรักในระหว่างเพศนะ มันไปไม่ไหวแล้ว ความต้องการความร่ำรวยมันก็ไม่ต้องการแล้ว วางความโกรธ คิดจะไปตีกับใครมันก็ไม่มีแล้ว ตอนนั้นมันวางอยู่แล้ว อีตอนที่ยังไม่เครียดซิ วางไม่ได้นะ
ผู้ถาม มีข้อแม้เหมือนกันนะ
หลวงพ่อ มีข้อแม้ แต่ว่าเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าหากว่าได้ มโนยิทธิ ตอนเช้ามืดขึ้นไปนิพพานให้จิตสบาย แล้วก็ตัดสินใจว่า ตายเมื่อไรขอมาที่นี่เมื่อนั้น อันนี้ไม่พลาดแน่ เอาง่าย ๆ ดีกว่านะ
ผู้ถาม ครับ ๆ

อันนี้เรื่องเกี่ยวกับศีลข้อ 1 ลิ้ง : http://www.larnbuddhism.com/grammathan/toppanha.html

ฆ่าผัวตาย

ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างยิ่ง กระผมข้องใจเรื่องศีลข้อ ปาณาติบาต กับข้อ คุณธรรม เรื่องจริงเป็นอย่างนี้ขอรับ สามีป่วยหนักด้วยโรคร้ายทรมานเป็นอย่างมาก บอกเมียฆ่าให้ตาย เพราะทรมานเหลือเกิน เมียด้วยความเตตาผัวก็เลยดึงสายอ๊อกซิเจนออก ปรากฏว่าผัวเรียบร้อยทันที
ทีนี้ผลจะพึงได้ คือเมียถูกข้อหาว่า เจตนาฆ่าผัวให้ตาย แต่ที่จะถามก็คือว่าอย่างนี้ ทำด้วยจิตเมตตาธรรมกับเขา อย่างนี้จะมีผลบุญผลบาปกับภรรยาอย่างไรหรือเปล่าครับ?
หลวงพ่อ เขาไม่มีโทสะนะ เขาไม่โกรธ ผลบาปที่เป็นปาณาติบาตไม่มี เจตนาในการฆ่าไม่มี ศีลจะขาดได้ต้องตั้งใจเพื่อฆ่า และฆ่าได้สมหวัง ฉะนั้นไม่ขาดจริงข้อนี้นะ
ผู้ถาม มีเมียอย่างนี้ก็ชื่นใจนะ แป๊บ...เมื่อไรก็จัดการ ชักใจไม่ค่อยดีเสียแล้วซิ
หลวงพ่อ เราไม่ได้สั่งไม่เป็นไร อย่าไปแกล้งพูดประชดเขานะ เขาเอาจริงๆนะ (ให้อ่านหัวข้อ ช่วยสงเคราะห์กระต่าย เปรียบเทียบด้วย-ผู้พิมพ์)

ทั้ง 2 ข้อนี้ผมดูอย่างไรก็ผิดทั้งคู่ หรือนี่จะเป็นกุศโลบายของท่านหนอ แต่ยังมีอีกเรื่องครับ กล่าวถึงตัวเราตายแล้วมีผีออกจากร่าง แล้วเขาไปหาลูก ลูกก็ท้องอยู่ แต่เด็กในท้องจิตหลุดไปแล้ว คนเป็นพ่อเลยเข้าไปเกิดในร่างทารกแทนที่ของจิตทารกที่หลุดออกจากร่างไป แล้วพอคลอด เด็กก็ระลึกชาติได้ เรียกแม่ว่า ลูก บอกว่าตนเป็นพ่อ จะให้เรียกแม่ได้ยังไง เรื่องนี้เหมือนเคยออกรายการตีสิบไปแล้ว ไม่แน่ใจ

อ่ะครับ สงสัยๆๆ

ขอบคุณครับผม

ขอทุกท่านจงเร่งความเพียรเพื่อบรรลุนิพพานโดยเร็ว เทอญ

D E V
11-24-2009, 08:44 PM
สำหรับประเด็นต่างๆ ที่โจ๋สงสัย...ไม่มีความเห็นอ่ะคับ
ขอเว้นจากการวิพากษ์วิจารณ์คำสอนของครูบาอาจารย์น่ะคับ

เอาเป็นว่า...สิ่งใดที่โจ๋เห็นว่าเป็นประโยชน์ก็น้อมนำมาประพฤติปฏิบัติละกันนะคับ
ส่วนสิ่งใดที่โจ๋เห็นว่าไม่ใช่ประโยชน์ ก็วางเอาไว้น่ะคับ

ซ๊าๆๆๆทุ๊คับ





8) เดฟ

D E V
11-25-2009, 08:11 AM
อ้าว ลืม...
ส่วนเรื่องปฏิสนธิ ลองดูลิงค์ที่เคยตอบไว้นี้นะคับ
http://www.watkoh.com/kratoo/forum_posts.asp?TID=2596&KW=%C7%D4%AD%AD%D2%B3

กรรมนำเกิดของใคร
ก็ย่อมเป็นปัจจัยให้รูปและจิตของผู้นั้นปฏิสนธิ
ไม่สามารถจะเอาจิตของอีกคนไปใส่ในรูปของอีกคนได้น่ะคับ



8) เดฟ

chocobo
11-25-2009, 08:24 AM
อ้า ขอบคุณครับท่านเดฟ

แต่ยังสงสัยอยู่อีกหน่อยอ่ะครับ แต่ขอถามโดยไม่เจาะจงไม่พาดพิงถึงเกจิอาจารย์ใดๆนะครับ ว่า

แล้วอยากทราบว่า ผู้ที่มีความเห็นผิดเรื่องการตายแล้วเกิดเลย จะมีโอกาสที่จะบรรลุธรรมได้หรือไม่ เพราะหากไม่มีญาณหยั่งรู้ ก็ย่อมมองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ต่อเหล่าสัตว์ในภพที่มีกายละเอียดกว่าเรา ก็ย่อมมีโอกาสจะเห็นผิดว่าคนเราตายแล้วไม่ได้เกิดเลย เพราะยึดความเชื่อผิดๆมาแต่โบราณ แต่ทั้งนี้ ตรงนี้มีผลต่อการบรรลุธรรมไหมครับ(คุ้นๆเหมือนเคยถามแล้ว ?) แล้วถ้าเรื่องความเห็นผิดเรื่องนิพพานด้วยละครับ ยังจะบรรลุธรรมได้ไหม

กับเรื่องถอดสายอ๊อกซีเจ้นนิดนึง ตรงนี้ย่อมเป็นบาปใช่ไหมครับ เพราะขณะจะถอด เราย่อมรู้ว่า สัตว์เบื้องหน้าย่อมตาย ไม่ว่าจะเป็นกรณีคนไข้รู้สึกตัวอยู่แล้วขอ หรือคนไข้นอนสลบอยู่แต่เราไม่อยากให้ทุกข์ต่อไป แสดงว่าจิตก็ต้องมีเจตนาจะฆ่าเป็นอารมณ์ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ดึง แต่อาจจะเป็นกตัตากรรม เพราะเจตนาไม่แน่ชัด อันนี้ผมเข้าใจถูกใช่ป่ะครับ

แล้ว เข้ามโนมยิตินี่ จิตมีโอกาสจะเห็นภาพไปเอง โดยที่ไม่ใช่ภาพของจริงหรือเปล่า เป็นแค่ภาพที่จิตนั้นแต่งขึ้นมาเอง


ส๊าธุ ครับ :D

โอย ตัวเราข้อสงสัยเยอะจริงๆ พอสงสัยแล้วมันสงสัยไม่หยุดเลย ยิ่งคิดยิ่งหนักหัว บางอย่างเรามั่นใจว่าเข้าใจแล้ว แต่พอมานั่งคิดๆอีกที ทำไมมันงงกว่าเดิมกันหนอ ???

D E V
11-25-2009, 10:44 AM
การบรรลุธรรมต้องดับสังโยชน์ไปตามลำดับ
ในชั้นต้นคือพระโสดาบัน ก็ดับเป็นสมุจเฉทซึ่ง สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
ดังนั้น การบรรลุธรรมย่อมไม่มีความเห็นผิดในสภาพธรรมทั้งหลายน่ะคับ

การจงใจกระทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต ก็เข้าในปาณาติบาต
แต่กำลังของปาณาติบาตจะมากหรือน้อยก็ย่อมต่างกันไป
ขึ้นอยู่กับ วัตถุ เจตนา ประโยค (ความพยายาม)

โดยวัตถุ คือ ฆ่าผู้มีอุปการคุณมาก ผู้มีคุณความดีมาก...ก็มีโทษมากกว่า
หรือกรณีที่เป็นสัตว์ดิรัจฉาน ฆ่าสัตว์ใหญ่ สัตว์ที่มีประโยชน์มาก...ก็มีโทษมากกว่า

โดยเจตนา คือ ฆ่าด้วยเจตนาแรงกล้า จงใจฆ่าอย่างไม่สะทกสะท้าน
ฆ่าด้วยความเคียดแค้นพยาบาท...ก็มีโทษมากกว่า

โดยประโยค คือ มีความพยายามในการฆ่ามาก หรือฆ่าด้วยความทารุณมาก...ก็มีโทษมากกว่า

และกรณีที่ตั้งขึ้นด้วยเจตนาในการฆ่าชัดเจน
อีกทั้งประกอบครบองค์ของปานาติบาต คือ

1. สัตว์นั้นมีชีวิต
2. รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต
3. มีเจตนาจะฆ่า
4. พยายามฆ่า
5. สัตว์นั้นตายเพราะเราฆ่า

ถ้าอย่างนี้ไม่ใช่กตัตตากรรมแล้วล่ะคับ


สำหรับ มโนมยิทธิ คือ ฤทธิ์ทางใจที่สามารถจะเป็นปัจจัยให้เกิดรูปกายอื่นขึ้นจากรูปกายเดิมน่ะคับ


มโนมยิทธิญาณ

[๑๓๒] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส
อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิต รูปอันเกิดแต่ใจ
คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง
ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า
นี้หญ้าปล้อง นี้ไส้ หญ้าปล้องอย่างหนึ่ง ไส้อย่างหนึ่ง ก็แต่ไส้ชักออกจากหญ้าปล้องนั่นเอง
อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักดาบออกจากฝัก เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้ดาบ นี้ฝัก
ดาบอย่างหนึ่ง ฝักอย่างหนึ่ง ก็แต่ดาบชักออกจากฝักนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษ
จะพึงชักงูออกจากคราบ เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้งู นี้คราบ งูอย่างหนึ่ง คราบอย่างหนึ่ง
ก็แต่งูชักออกจากคราบนั่นเอง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว
ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้
เธอย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ
มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์
ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.

วิชชา ๘ วิปัสสนาญาณ
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค


มโนมยิทธิ นี้เป็นความสามารถพิเศษอย่างนึงในวิชชาแปด
ที่ถามว่ามีโอกาสจะเป็นการนึกคิดปรุงแต่งไปเองมั้ย
คนทั่วไปที่ฝึกก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงน่ะคับ เพราะไม่ใช่จะกระทำกันได้ง่ายๆ
และไม่ใช่ว่าใครๆ ฝึกก็สามารถจะกระทำได้
แม้ในครั้งพุทธกาลก็ไม่ใช่ว่าจะกระทำกันได้ทั่วไปน่ะคับ




8) เดฟ

chocobo
11-25-2009, 01:04 PM
โอ้ เข้าใจแล้วครับผม

อนุโมทนาสาธุครับ

ส๊า ธุ ๆ ๆ :D

suwit02
11-27-2009, 07:31 AM
สาธุ

were
11-27-2009, 12:26 PM
สวัสดีครับ คุณเจ้าของกระทู้

ผมขอร่วมสนทนาด้วยเลยนะครับ คำสอนและแนวทางปฏิบัติใดเป็นไปเพื่อการระลึกถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ

เรากล่าวได้ว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ได้ศึกษา แต่ขั้นของการเจริญปัญญา เราควรพิจารณาเองว่าจะมีหนทางใดที่จะ

สามารถดับกิเลสได้

ดังนั้นคำสอนใดๆก็ตามหากเราโยนิโสมนสิการอย่างแยบคายก็จะไม่เป็นเหตุให้ขัดเคือง ต่อต้าน แต่กลับจะชื่นชม

และอนุโมทนาที่คำสอนนั้นเป็นไปเพื่อการนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ซึ่งเราก็พึงทราบอยู่แล้วว่าหากขัดเคือง ต่อต้าน

ในขณะนั้นเป็นกุศลหรืออกุศลจิต ซึ่งก็ต้องเป็นอกุศลจิตแน่นอนอยู่แล้ว แล้วเราควรที่จะสั่งสมกุศลจิตหรืออกุศลจิต

ซึ่งอันนี้ก็ต้องเป็นกุศลจิตอยู่แล้ว

เจริญในธรรม