PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : โรคที่ดื้อยา โดย คนเดินทาง



**wan**
12-31-2009, 01:20 PM
http://www.yenta4.com/cutie/upload/843/843/46fa34b66cd8d.jpg

โรคที่ดื้อยา
โดย คนเดินทาง

--------------------------------------------------------------------------------

บ่อยครั้ง ที่เราเผชิญวิบากที่ไม่ดี..... มีการเห็นไม่ดี ....ได้ยินไม่ดี...เป็นต้นอยู่นั้น ผู้ที่เคยศึกษาธรรมะมาบ้างก็รู้วิธีที่จะโยนิโสมนสิการให้ “ ปัญญา ” เกิดขึ้น มายอมรับ เรื่องที่เป็นวิบากไม่ดีนั้นได้...เจ้าของใจจึงสามารถวางใจได้ วางใจเป็น.....

แต่ทีนี้พอเวลาต่อมาๆ ก็กลับกลายเป็นว่า จะโยนิโสฯอย่างไรๆ ใจก็หาได้เกิดปัญญาที่แท้จริงได้ไม่...หรือบ่อยครั้งที่ ปัญญานั้น ไม่สามารถรับมือกิเลสได้เลย

เป็นเรื่องพิสูจน์ว่า กำลังของกิเลสนั้นมีกำลังมากจริงๆ...แม้กำลังปัญญาที่เพียรจะเพาะบ่ม ก็ดูเหมือนกิเลสไม่หวาดกลัวเอาเสียเลย...

และสำหรับบางคน กิเลสนั้น...ยังปรากฏทำอาการเป็น “ ปัญญาเทียม ” มาเล่นงานเอาเสียด้วย...คือ รู้ช่องทางไปเสียหมด รู้ว่าเราจะโยนิโสมนสิการอย่างไร...?

แม้เจ้าตัวจะ คิดเหตุคิดผลได้คล่องแคล่ว แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล....

การวางใจได้อันเกิดจากการยอมรับจริงๆจึงเกิดขึ้นไม่ได้...ยิ่งทำให้เจ้าของใจรู้สึกกระวนกระวาย กระสับกระส่ายไปใหญ่

ถ้าจะเปรียบกิเลสเป็นเหมือนเชื้อโรค ก็กลายเป็น โรคที่ดื้อยา ไปเสียแล้ว...

เพราะไม่ว่า เจ้าตัวจะขวนขวายรับยา คือ การโยนิโสมนสิการเท่าไหร่ๆ กิเลสไม่สะเทือนเลย มิหนำซ้ำยังรู้ด้วยว่า เรื่องนี้เราจะโยนิโสฯ ว่าอย่างนั้นอย่างนี้นะ......แล้วเจ้าเชื้อโรคคือ กิเลสก็ส่งกองกำลังหนุนมารอไว้ล่วงหน้าเสียอีกเรียกว่า โยนิโสมนสิการกันอย่างไรก็ไม่ได้ผล....

นี่เป็นเหตุผลที่แสดงว่า กิเลสนั้นเขามีอำนาจต่อจิตใจเราเสียเหลือเกิน ....กำลังปัญญาของเรายังห่างชั้นกำลังกิเลสอยู่หลายขุมชนิดเทียบกันไม่ติด...

แต่ขออย่าเพิ่งท้อใจ.. พึงเอาบทเรียนเรื่องกิเลสที่คุกรุ่น ที่เฝ้าทำร้ายจิตใจของเราให้หม่นไหม้ กระสับกระส่ายนั้น มาเป็นความเพียร มาเป็นความตั้งใจที่จะสั่งสมเพาะบ่มปัญญาเข้าไว้

แม้วันนี้ เราจะเพลี่ยงพล้ำ.....ก็อย่าย้ำ อย่าเพิ่มกำลังให้กับกิเลสใหม่ ด้วยการเป็นทุกข์ใจ ผูกใจเจ็บ โกรธไม่รู้จบ

เราควรจะใส่ปัญญาให้เพิ่มขึ้นๆในใจของเรา.......สักวันหนึ่งเราก็จะเริ่มเข้มแข็ง ไม่หวั่นไหวกับกิเลส......หรือไม่ก็หวั่นไหวให้น้อยลงๆ

ขอจงเอากิเลสมาเป็นปัจจัยให้เราได้ทำกุศล..

เรารู้ ...... เราเข้าใจ ....ว่าเป็นเรื่องของอกุศลวิบากที่เราต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง เกี่ยวพันกับคนไม่มีศีล เป็นคนเอารัดเอาเปรียบ หรืออื่นๆที่ไม่ดี.......โดยที่เราผู้ประสบ ต้องพบ ต้องเจออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.....

แม้บางครั้ง.......วิบากนั้น ก็ยังบีบบังคับให้เราเป็นผู้เสียสละ....หากเป็นเช่นนี้เราจะวางใจอย่างไร..?

เราไม่อยากให้........ก็ต้องให้ ......

ไม่อยากสละ......ก็ต้องสละ......

ไม่อยากอภัย แต่เราต้องให้อภัย...เพราะมิฉะนั้น เราเองนั่นแหละจะโดนกิเลสของเราทำร้าย ทำลายจนหมดความสุข ......เรื่องนี้ เป็นโจทย์ที่ยากและสูงขึ้นไปอีกขั้น...

เพราะเหตุใดหรือ?

ตอบว่า........ เพราะตามปกตินั้น หากเราไม่เคยได้ยินคำสอน แม้การให้ทานนั้นก็เกิดขึ้นได้แสนยาก...นี้เป็นเพียงกิเลสขั้นต้นที่เราต้องต่อสู้กับเขา..

หากเมื่อฟังธรรมแล้ว จิตใจที่เคยแข็งกระด้าง ก็กลับอ่อนโยน การให้ทานจึงเกิดขึ้นได้..เราจึงเกิดศรัทธาในการถวายทาน หรือในการที่จะหยิบยื่นอะไรๆบางอย่างให้ผู้อื่นได้...

ทีนี้ ทานที่เราพึงให้ก็มีแก่พระภิกษุสงฆ์ เป็นต้น หรือเราอาจจะบริจาคช่วยเหลือผู้ตกยากได้บ้าง ช่วยเหลือมูลนิธิต่างๆที่กระทำความดีบ้าง อย่างนี้ เรามีศรัทธา มีฉันทะที่จะทำทาน...

แต่กับคนที่เบียดเบียนเรานั้นเล่า..?...ใจเรานั้น ... ยากเหลือเกินที่จะให้ได้....

จริงอยู่ว่า โดยปกติเราคงไม่มีโอกาสไปหยิบยื่นให้เขาเพื่อไมตรี ในกรณีที่เขาเป็นคนที่ “ เหลือเกิน ” หรือว่า “ เหลือรับ ” .....คือ......เป็นคนที่ยิ่งกว่าที่ใจจะรับได้..

แต่ทราบไหมว่า เวลาอกุศลวิบากที่ทำให้เราต้องเกี่ยวพันกับคนอย่างนี้แหละ..จะทำให้เราสามารถก้าวขึ้นสู่กุศลที่สูงขึ้นได้

จะเรียกว่า ตาต่อตา ฟันต่อฟันกับกิเลส ก็ได้

หากอกุศลวิบากนั้นต้องทำให้เรา “ ให้ ” กับคนที่เราไม่พอใจ ใจนั้นต้องต่อสู้กับโทสะภายในใจของเราเองอย่างมากมาย......

เพราะเรารู้สึกว่าเขาเป็นคนไม่ดี......ก็ยากเหลือเกินที่ใจเราจะยอมรับได้...

ดังนั้นความไม่พอใจก็จะเกิดขึ้นกับเราครั้งแล้วครั้งเล่า...

ครั้น ยามอกุศลวิบากบังคับให้เราต้องสละ..ลองคิดดูเถิดว่า เราต้องเจอกับกองทัพกิเลสที่น่ากลัวมากมายเพียงใด....

เราก็จะหวงแหน เพราะเหตุผลที่ว่า เขาเป็นคนไม่ดี..

เราจะไม่ให้......เพราะเขาไร้เหตุผล..

เราจะไม่ยอม เพราะเขาไม่ยอมเรา เขาเป็นคนแห้งแล้งน้ำใจ...อะไรต่างๆนานา

เห็นหรือไม่ว่า....... เหตุผลทางโลกที่กิเลสเราเอาขึ้นมาขวางกั้นใจเรามีรอบทิศทาง..และโดยปกติทุกคนก็เป็นอย่างนั้น...

ทีนี้พออกุศลวิบากบังคับเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้..ใจเราก็จะหมองเพราะโทสะของเราเอง .... เมื่อเราไม่ชอบ เราก็ไม่อยากให้ ไม่อยากสละ เพราะเราเกลียดคนไม่ดี...เราจะกลัดกลุ้ม เพราะความยึดถือใน เรื่องดี ไม่ดี.... เรื่องความถูกต้องและความไม่ถูกต้อง.....เรื่องมีเหตุผลและความไม่มีเหตุผล เรื่องความดี ความชั่ว

คราวนี้ แม้เรื่อง “ ความถูกต้อง ” ...หากใจเราเข้าไปยึดถือเสียแล้ว ก็กลายเป็นเรื่อง

“ ไม่ถูกต้อง ” ไปเสียได้ เพราะความถูกต้องนั้นกลับทำให้เราเป็นทุกข์เหลือเกิน

แม้ใจที่บอกว่า “ อย่าไปยึดมั่นถือมั่น... ” หากแต่ใจที่ไม่ทันกิเลส ก็เข้าไปยึด “ ความไม่ยึดมั่นถือมั่น “ นั่นแหละ.....ทุกข์เรื่องผิด เรื่องถูก...... เรื่องยึดมั่นถือมั่น หรือไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็กลับนำความทุกข์มาสู่ใจเราโดยไม่รู้ตัว.......

กุศลที่สูงขึ้นที่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้น เป็นผู้ปรารภในธรรม หาได้ปรารภบุคคลไม่...

เราจึงให้ได้...แม้เขาจะน่าเกลียด น่าชิงชัง นิสัยเหลือรับเพียงใด.....เพราะเรารู้ว่า เราต้องรักษาใจของเรา

เราจึงให้ได้..... เพราะปรารภการรักษาใจให้เป็นกุศล....

เราจึงสละได้......เพราะเห็นคุณของการรักษาใจ...

ซึ่งการจะทำได้อย่างนี้ กำลังปัญญาต้องมีกำลังมากมหาศาล..

ต้องเป็นผู้ยิ่งในศรัทธา ความเชื่อในเรื่องกรรม และวิบาก ต้องมีศรัทธามั่นคงหนักแน่นในองค์ตรัสรู้ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า.... จึงจะสามารถทำให้เราก้าวข้ามผ่านความชิงชังของเราไปได้...

เราจึงอภัยได้เพราะ......เราเพียรรักษาศีล เรารู้ว่าเราต้องรักษาความดีของใจเรา...

องค์ธรรมของกุศลตรงนั้น มีกำลังมากมาย คนที่จะทำอย่างนี้ย่อมปรารภการไม่เกิด การสิ้นทุกข์ ดังนั้น เยื่อใยต่างๆที่กิเลสร้อยรัดไว้ ย่อมไม่คณากำลังปัญญาของเขาเลย.....

เขาย่อมกระทำอะไรๆโดยล่วงพ้นความชอบ ไม่ชอบไปได้..เพราะเขาปรารภใจที่เป็นบุญ สงวนรักษาใจที่เป็นกุศลไว้..

เขาย่อมถือว่า..บรรดาทรัพย์ทั้งหลายที่นับวันรังแต่จะต้องหมดไปนั้นหาสาระอะไรไม่ได้ เขาย่อมจะเอามาแลกกับพระนิพพาน..... มาแลกเป็นอริยทรัพย์ที่มีคุณค่ายิ่งนัก......

ดังนั้นผู้ที่คิดอย่างนี้ ปรารภอย่างนี้ ย่อมเป็นผู้ทำบารมีได้....เพราะเขาเอาสิ่งไม่เป็นสาระแลกกับสิ่งที่เป็นสาระ คือ “ พระนิพพาน ” นั่นเอง...

ดังนั้น หากไม่มีอารมณ์ที่ไม่ดีมา ...เราจะรู้จักกิเลสเราได้อย่างไร? ..

ถ้าอะไรๆ ก็ชอบใจถูกใจเราไปเสียหมด มีหรือที่เราจะเห็นโทษของสังสารวัฏฏ์..?

มีหรือที่เราจะเห็นคุณของพระนิพพาน? ...

มีหรือที่จะเห็นคุณของกุศล..? หากไม่มีความทุกข์ กระสับกระส่ายของอกุศลมาเป็นผู้สอน....

มีหรือที่เราจะเห็นคุณของอภัยทาน.... หรือคุณของศีล.? .....

ดังนั้น จงขอบคุณบุคคลที่ทำเราให้ไม่ชอบใจ เจ็บช้ำน้ำใจเถอะ เพราะเขามาเป็นครูสอนเรา ให้เราดียิ่ง และยิ่งขึ้นต่อไปได้...บารมีเราก็จะสูงขึ้นต่อไป

หากไม่มีกิเลส เราก็ไม่รู้จักกุศล.....

หากไม่มีคนไม่ดี เราก็ทำบารมีไม่ได้....

อย่างที่ท่านเรียกว่า ทุกข์ไม่มา ปัญญาไม่เกิด ...มารไม่มี บารมีไม่เกิด...นั่นเอง

เมื่อโกรธ เมื่อเสียใจ ก็ให้รู้โทษของโทสะ...เอาโทสะนั้นมาเป็นปัจจัย...

ดังนั้น...ต่อไปนี้ ใจเราจึงเกิด “ ขันติ ” ได้เพราะเราเคยมีโกรธ....และรู้โทษของความโกรธนั้น

ต่อไปนี้ เราจึงเห็นคุณของ การสละ คือ ทาน ที่เกิดขึ้นเพื่อดับความหวงแหนในใจเราให้เราคลายจากความยึดถือได้..... เพราะเรารู้รสชาดของความยึดถือหวงแหนว่า แสนจะเร่าร้อน ทำให้ใจเราเศร้าหมอง มืดมน เป็นที่สุด

ต่อไปนี้เรา จึง “ ให้อภัย ” ได้.... กุศลแห่งการอภัยจึงเกิดขึ้น เพราะเราเห็นโทษของความคับแค้นใจ เสียใจว่าบั่นทอนจิตใจและชีวิตเรายิ่งนัก...

เห็นหรือไม่ว่า ....... กิเลสนั้นเป็นคุณแก่ปัญญาของเราอย่างยิ่ง...

หากอกุศลวิบาก ทำให้เราต้องมีคนเอารัดเอาเปรียบมาเป็นอารมณ์ ถ้าหากว่าไม่มีคนอย่างนี้ในโลกเสียแล้ว กุศลต่างๆนั้นจะเกิดแก่เราได้อย่างไรเล่า?........

เราจะทำกุศลได้แก่กล้ายิ่งขึ้นได้อย่างไร..?

เราจะสร้างบารมีได้อย่างไร..? หากปราศจากโจทย์ปัญหามาให้เราลับคมของ “ ปัญญา ” ได้

ถ้าเปรียบเหมือนเราจะรักษาโรค ลองเอากิเลสเป็นยา เอามาสกัดทำยาดูหน่อย... ถ้าเราทำเป็น สกัดยาได้ถูก เอาเฉพาะที่มีประโยชน์ กิเลสย่อมหมดฤทธิ์ได้เหมือนกัน.....

แต่ต้องให้สกัดเอาโทษของเขาออกเสีย ลองฝึกใช้วิธีนี้ดู เราจะขอบคุณเขาที่เขามาสอนให้เราทำบารมีให้สูงขึ้นๆได้.....

ที่มา http://www.raksa-dhamma.com/topic_36.php