*8q*
10-29-2008, 12:50 PM
ว่ากันตามนัยของท่านอสังคะ นักปรัชญาฝ่ายพุทธศาสนาผู้ยิ่งใหญ่แห่งสมัยคริสต์ศตวรรษที่ ๔ มีลักษณะ ๓ ประการคือ
๑. ความเชื่อมั่นอันเต็มเปี่ยมและมั่นคงว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีอยู่ เป็นอยู่จริง
๒. ความอิ่มใจอันแท้จริงในคุณสมบัติที่แท้จริง
๓. ความใฝ่ฝันหรือความปราถณาที่จะได้รับความสำเร็จตามความมุ่งหมาย
ท่านจะว่าอย่างไรก็ตาม ศรัทธา หรือ ความเชื่อ ที่เข้าใจกันในศาสนาต่างๆนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาน้อยมาก
ปัญหาเรื่องความเชื่อเกิดขึ้นในเมื่อไม่มีการเห็น คือการเห็นความหมายในทุกนัยของศัพท์ ทันทีที่ท่านเห็น ปัญหาเรื่องความเชื่อก็หมดสิ้นไป ถ้าข้าพเจ้าบอกท่านว่า ข้าพเจ้ามีแก้วมณีอยู่ในมือเม็ดหนึ่งซ่อนอยู่ในกำมือของข้าพเจ้า ปัญหาเรื่องความเชื่อจะเกิดขึ้น เพราะท่านมองไม่เห็นแก้วมณีเม็ดนั้นด้วยตาของท่านเอง แต่ถ้าข้าพเจ้าแบมือออกและให้ท่านดูแก้วมณี ทีนี้ท่านก็จะเห็นด้วยตาของท่านเอง ปัญหาเรื่องความเชื่อก็ไม่เกิดขึ้น ดังข้อความในคัมภีร์พุทธศาสนาแต่โบราณซึ่งมีความว่า เห็นแจ้งเหมือนดังบุคคลมองเห็นแก้วมณี(หรือผลมะขามป้อม)ในฝ่ามือ "
สาวกรูปหนึ่งของพระพุทธเจ้ามีนามว่า มุสีละ บอกแก่ภิกษุว่า ดูกรท่านสวิตถะ ผมรู้และทราบว่าความดับไปแห่งภพ คือนิพพาน โดยไม่ต้องมีความภักดี ศรัทธา หรือเชื่อ โดยไม่ต้องมีความชอบใจหรือเอนเอียงใจ โดยไม่ต้องบอกเล่าลือ หรือการนำสืบต่อกันมา โดยไม่ต้องพิจารณาหาเหตุผลที่ปรากฏ โดยไม่ต้องมีความพอใจในความคิดเห็นที่คาดคะเนเอา (รู้โดยไม่ต้องเชื่อตามหลักกาลามสูตร)
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตกล่าวว่าการกำจัดกิเลสและอาสวะ ได้มุ่งหมายไว้สำหรับบุคคลผู้รู้เห็น หาได้มุ่งหมายไว้สำหรับบุคคลผู้ไม่รู้เห็นไม่
๑. ความเชื่อมั่นอันเต็มเปี่ยมและมั่นคงว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีอยู่ เป็นอยู่จริง
๒. ความอิ่มใจอันแท้จริงในคุณสมบัติที่แท้จริง
๓. ความใฝ่ฝันหรือความปราถณาที่จะได้รับความสำเร็จตามความมุ่งหมาย
ท่านจะว่าอย่างไรก็ตาม ศรัทธา หรือ ความเชื่อ ที่เข้าใจกันในศาสนาต่างๆนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาน้อยมาก
ปัญหาเรื่องความเชื่อเกิดขึ้นในเมื่อไม่มีการเห็น คือการเห็นความหมายในทุกนัยของศัพท์ ทันทีที่ท่านเห็น ปัญหาเรื่องความเชื่อก็หมดสิ้นไป ถ้าข้าพเจ้าบอกท่านว่า ข้าพเจ้ามีแก้วมณีอยู่ในมือเม็ดหนึ่งซ่อนอยู่ในกำมือของข้าพเจ้า ปัญหาเรื่องความเชื่อจะเกิดขึ้น เพราะท่านมองไม่เห็นแก้วมณีเม็ดนั้นด้วยตาของท่านเอง แต่ถ้าข้าพเจ้าแบมือออกและให้ท่านดูแก้วมณี ทีนี้ท่านก็จะเห็นด้วยตาของท่านเอง ปัญหาเรื่องความเชื่อก็ไม่เกิดขึ้น ดังข้อความในคัมภีร์พุทธศาสนาแต่โบราณซึ่งมีความว่า เห็นแจ้งเหมือนดังบุคคลมองเห็นแก้วมณี(หรือผลมะขามป้อม)ในฝ่ามือ "
สาวกรูปหนึ่งของพระพุทธเจ้ามีนามว่า มุสีละ บอกแก่ภิกษุว่า ดูกรท่านสวิตถะ ผมรู้และทราบว่าความดับไปแห่งภพ คือนิพพาน โดยไม่ต้องมีความภักดี ศรัทธา หรือเชื่อ โดยไม่ต้องมีความชอบใจหรือเอนเอียงใจ โดยไม่ต้องบอกเล่าลือ หรือการนำสืบต่อกันมา โดยไม่ต้องพิจารณาหาเหตุผลที่ปรากฏ โดยไม่ต้องมีความพอใจในความคิดเห็นที่คาดคะเนเอา (รู้โดยไม่ต้องเชื่อตามหลักกาลามสูตร)
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตกล่าวว่าการกำจัดกิเลสและอาสวะ ได้มุ่งหมายไว้สำหรับบุคคลผู้รู้เห็น หาได้มุ่งหมายไว้สำหรับบุคคลผู้ไม่รู้เห็นไม่