PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : ระฆังเบิกบาน...ท่านว.วชิรเมธี



lek
07-24-2010, 05:00 AM
ระฆังเบิกบาน


หนังสือ : ระฆังเบิกบาน
เรื่องโดย : ว.วชิรเมธี
ภาพโดย : ชีวัน วิสาสะ
http://upic.me/i/4n/11855823951.jpg (http://upic.me/show.php?id=ff0bf019026628aade4baabe6c17eb96)

เรื่องราวระหว่างเณรน้อย กับ ระฆัง
เณรน้อยผู้ทำหน้าที่เคาะระฆังในทุกเช้า

ทุกๆเช้า ทุกๆวัน
เสียงระฆังดังก้องกังวานไกล

เสียงไก่ขัน
พระอาทิตย์สาดแสง
และผู้คนจิตใจเบิกบาน

จนวันหนึ่งระฆังเบื่อแล้วกับการส่งเสียงก้องกังวาน

“เณรน้อย หยุดเคาะระฆังเถอะ”

เณรน้อยหยุดเคาะระฆัง
แล้วโลกรอบตัวก็พลันหม่นสลด
ไก่ไม่ขัน พระอาทิตย์ไม่สาดแสงแรงจ้า
ผู้คนจิตใจห่อเหี่ยว

ในที่สุดระฆังก็ขอร้องให้เณรน้อยเคาะระฆังอีกครั้ง
แล้วความเบิกบานก็กลับคืนมา


................................


เรื่องราวชวนคิดจากคำบอกเล่าของท่าน ว.วชิรเมธี
บวกกับภาพอันน่ารักสดใสจากฝีมือการทำภาพประกอบของครูชีวัน วิสาสะ
ทำให้เนื้อเรื่องอันเรียบง่าย กลายเป็นเรื่องชวนคิดและน่าตรึกตรองตาม



...................................



ในห้องผมมีระฆังอันเล็กๆที่ผมซื้อมาจากร้านขายของเก่า
ผมวางไว้บนโต๊ะทำงาน
ชอบเคาะระฆังเล็กๆนี้ ให้เสียงมันดัง “แก๊ง”

เหมือนเราได้เรียก “สติ” ให้กลับมาสู่ “ปัจจุบันขณะ”

บ่อยครั้งเพียงใดที่คนเรานั่งอ่านหนังสือพร้อมกับเปิดทีวีไปด้วย
บางคนเปิดคอมพิวเตอร์ ฟังเพลง แถมยังพูดคุยกับเพื่อนพร้อมกัน 5 คน

โลกแห่งความเร่งร้อน บีบอัดให้เราคิดแล้วพูด พูดแล้วทำ โดยมิอาจผ่อนพัก
หลายครั้งในชีวิต ผมคิดว่าเราไม่ได้เดินไปตามจังหวะของโลกเลย
หากแต่รีบเร่ง และพยายามมุ่งไปสู่โลกแห่งความเร็ว

แล้วเรากลับพบว่า เราใช้ชีวิตเหมือนกับหนูถีบจักร
ที่วิ่งวนอยู่กับที่และไม่อาจพบช่วงเวลานิ่งๆที่ทำให้ใจเราสงบเงียบได้เลย

เราแทบหาเวลาในชีวิตเพื่อ “นิ่ง” และ “ฟังเสียงพูดของตัวเอง” ไม่ได้เลย

เราเอาแต่โทรศัพท์พูดคุยกันนานเป็นชั่วโมง เพื่อจบลงตรงความว่างเปล่าและได้ทำอะไรฆ่าเวลาบ้าง

เราคุยออนไลน์กับเพื่อนพร้อมกัน 5 คน
แล้วมันก็จบลงแบบ “ไม่มีอะไรค้างคาใจให้จดจำ”
แค่ได้ทำอะไรเพลินๆ แก้เบื่อ แก้เซ็งไปวันวัน



เราทุกคนมี “ระฆัง” ในใจ
แต่เราไม่เคย “หยุด”
เพื่อเคาะระฆัง เรียก “สติ” ให้กลับมาสู่ปัจจุบันขณะเลย

lek
07-24-2010, 05:01 AM
http://upic.me/i/bl/1211039495.jpg (http://upic.me/show.php?id=f9dca876b865f69cac2dc7ed752df696)
.................................



“ระฆังเบิกบาน”

สอนอะไรผม.....
หนังสือเล่มบางเล่มนี้สอนให้รู้จักหน้าที่
ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำไป ทำให้ดีที่สุด

ระฆังมีคุณค่า
ก็ต่อเมื่อมันได้ถูกเคาะตี

ระฆังที่ไร้เสียงดังกังวานจะมีค่าอันใด


ชีวิตที่ไร้ค่า คือ ชีวิตที่ถูกใช้โดยไม่เห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่
ชีวิตที่มีคุณค่า มิใช่ระฆังที่เอาแต่ส่งเสียงดังเพื่อตัวเอง
หากแต่แบ่งปันเสียงก้องกังวานอันไพเราะเสนาะหูให้กับสิ่งรอบข้าง ให้กับคนรอบตัวด้วยต่างหาก
จึงจะเรียกว่า เป็นชีวิตที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง.
http://upic.me/i/oo/11855824731.jpg (http://upic.me/show.php?id=5c1e51348ecd320165307afb12121246)
ขอบพระคุณที่มาhttp://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=5&t=31304

lek
07-28-2010, 08:00 PM
วิธีอยู่กับคนที่เราเกลียด <โดย ว.วชิรเมธี>


รู้ไหมว่า เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี

ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า

ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆตื่นๆอยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง
หมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านายใส่ไคล้ลูกน้อง
ปกป้องภาพลักษณ์ (อัตตา) กด (หัว)
คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต โดยลืมไปเลยว่าอะไรคือสิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง
คิดดูเถิดว่า เราจะขาดทุนขนาดไหน

ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า

''น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน
ฆ่าชีวาคือพร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด''

คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจ
ให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก
เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ
กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า

ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบหรือไม่ชอบใคร
หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบหรือมาชัง
แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ
เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้นหันกลับมามองตัวเองดีกว่า
ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ
นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า
เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง

คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง
ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา
จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้

เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่นก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า

บางที่คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น
เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย
เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย
วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย

ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า

คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อมหรือ เลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก
เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว
มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม

อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิดปล่อยวางเสียบ้าง
ความโกรธ ความเกลียดนั้นไม่มีคุณค่าอะไรต่อชีวิตอันแสนน้อยนิดนี้เลย
มุ่งไปข้างหน้า ไปหาสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิตดีงามดีกว่า

วิธีที่แนะนำทั้งหมดนั้น นักภาวนาเรียกว่า ''การกลับมาอยู่กับตัวเอง''
กล่าวคือ ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลก
แทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับ ความรู้สึกแย่ๆไปตลอด ก็ควรหันกลับเข้ามา ''มองด้านใน''
แก้ไขที่ตัวเอง อย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่น
เพราะยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแห
ยิ่งเราให้ความสำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใด
สภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น

วิธีที่ดีที่สุดในการอยู่กับคนที่เรารู้สึกไม่ดีหรือเป็นปฏิปักษ์ก็คือ
การดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่เราทุกขณะ
หรือถ้าเช่นนั้นก็ย้ายตัวเองออกไปเสียจาก สภาพแวดล้อมเช่นนั้นให้เร็วที่สุด
อย่าอยู่นานจนทุกข์นั้นกลัดหนองเป็นมะเร็งร้ายในอารมณ์

ปราชญ์จีนบอกว่า ''ถ้ามีขุนเขาขวางท่านอยู่ข้างหน้า อย่าเสียเวลาย้ายขุนเขา
แต่จงย้ายตัวเอง ''

ดังนั้นเราควรจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างในหรือจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างนอก?
ขอบพระคุณที่มา http://www.thaiblogonline.com/supbhumin.blog?PostID=3654