PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : คิดเป็นก็เห็นธรรม



*8q*
08-24-2010, 06:56 PM
ศิษย์ “ อาจารย์ครับเราควรมองชีวิตของเรานี้อย่างไรจึงจะทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างคุ้มค่าที่สุดครับ”

อาจารย์ “เออ วันนี้มาแปลก ถามแปลกๆ เจ้ามีอะไรในใจหรือเปล่า?”

ศิษย์ “คือว่าพออายุผมเลยวัยหนุ่มสาวมา หน้าตาก็มีริ้วรอย มีตีนกา เส้นผมก็เริ่มหงอกเริ่มบางลงทุกที ส่องกระจกทีไรใจมันหดหู่ชอบกล อยากให้อาจารย์ช่วยให้แง่คิดดีๆ เผื่อว่าจะทำให้สบายใจขึ้นสักหน่อยน่ะครับ”

อาจารย์ “มีความจริงประการหนึ่งก็คือ เราจะเห็นคุณค่าของสิ่งใด ก็ต่อเมื่อเราได้สูญเสียสิ่งนั้นไปแล้วเสมอ

ในวัยเด็กเราก็มีทุกข์บ้าง มีสุขบ้าง
ในวัยหนุ่มสาว เราก็มีทุกข์บ้าง มีสุขบ้าง
ในวัยชรา เราก็มีทุกข์บ้าง มีสุขบ้าง
ไม่มีวัยใดเลยที่เรามีแต่ความสุข
ไม่มีวัยใดเลยที่เรามีแต่ความทุกข์
แต่เพราะความเป็นคนช่างคิดช่างฝันออกไปนอกตัวเอง
จากภาพในจินตนาการที่วาดไว้ ความคาดหวังจากความไม่รู้จริง
เราจึงไม่เคยมีความสุขในปัจจุบัน

ในวัยเด็ก เราอยากเป็นผู้ใหญ่
ในวัยผู้ใหญ่เราก็อยากกลับไปเป็นเด็ก

เราจะรู้ว่าวัยเด็กสดใสเพียงใด ก็ต่อเมื่อ
เราเข้าสู่วัยหนุ่มสาว
เราจะรู้ว่าวัยหนุ่มสาว มีค่าเพียงใด
ก็ต่อเมื่อเราเข้าสู่วัยชรา
เราจะรู้ว่าวัยชรานั้นสำคัญเพียงใด
ก็ต่อเมื่อเรา ใกล้จะต้องออกเดินทางอีกครั้งหนึ่ง
เพื่อไปสู่ภพหน้าเสียแล้ว

เจ้าลองคิดดูสักนิดซิว่า จะมีประโยชน์อะไรที่จะมีความสุขมาทั้งชีวิต เพื่อที่จะต้องทุกข์ระทมในเมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตใกล้จะมาถึง
เปรียบเสมือนการสอบไล่ที่ใกล้จะมาถึง เพื่อนฝูง ความสนุกสนานเพลิดเพลินตลอดทั้งเทอม ย่อมเทียบไม่ได้กับความรู้ทั้งหมดที่จำเป็นต้องใช้ในการสอบให้ผ่าน
นี่คือวาระสำคัญที่สุดในชีวิตที่เราจะใช้ประสบการณ์การผ่านความสุขและความทุกข์ในชีวิต มาใช้ในการศึกษาธรรมเพื่อที่จะเตรียมเสบียงเพื่อเดินทางต่อ หรือจะเตรียมพละกำลังเพื่อที่จะฝ่าให้พ้นออกจากความทุกข์ในสังสารวัฏ ให้ได้ ในชาตินี่เอง
ศิษย์ “ผมเริ่มมีกำลังใจขึ้นบ้างแล้ว เริ่มรู้สึกว่าวัยชรานี่ก็สำคัญไม่น้อยเลยครับ ”
อาจารย์ “ สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการมองให้ตรงกับสภาพที่เป็นจริง ถึงบทบาทและคุณค่าที่สังคมเขามองในคนหนุ่มสาวและคนชรา

เมื่ออยู่ในวัยหนุ่มสาว สิ่งที่คนมองว่ามีคุณค่าคือรูปลักษณ์ภายนอกอันคือ หน้าตา รูปร่าง ท่าทางที่สวยงาม
เมื่อเข้าสู่วัยชรา สิ่งที่คนมองในคนๆนั้น คือ คุณค่าทางจิตใจอันได้แก่ ความเมตตา ความมีน้ำใจ และความดีที่บุคคลคนนั้น กระทำต่อคนรอบข้าง และสังคมส่วนรวม
ผู้สูงวัยแต่ไร้ความดี ย่อมไม่มีผลต่อการสร้างจิตสำนึกที่ดีของคนรุ่นหลังเพื่อที่จะจดจำเป็นเยี่ยงอย่าง และจรรโลงให้สังคมให้งดงามและร่มเย็นต่อไปจะมีคุณค่าสิ่งใดเหลืออยู่เมื่อตายจากไป

ชีวิตนี้เป็นของไม่คงทน เสมือน แม่น้ำที่มีน้ำเต็มฝั่งย่อมมีแต่จะไหลเรื่อยไปไม่ย้อนกลับชีวิตก็ล่วงจากวัยเยาว์ สู่หนุ่มสาวและแก่ชรา เสมือนหยาดน้ำค้างบนใบหญ้ายามรุ่งอรุณเมื่อพระอาทิตย์สาดแสงส่องมาก็หายไป เสมือนเกลียวคลื่นที่ทยอยกันแตกสลายเมื่อพัดเข้าสู่ฝั่ง เราไม่ควรประมาทในอายุและวัยที่ยังเหลืออยู่ว่า ยังไม่ใกล้ต่อความตาย สิ่งที่เหลือไว้ในชีวิตคนๆหนึ่งเมื่อตายจากกัน ก็มีแต่ความดีงามที่พอจะเหลือให้คนรู้จักหรือญาติสนิทมิตรสหาย ได้จดจำก่อนลืมเลือนไปตามกาลเวลาเท่านั้นเอง สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งติดตามตัวเราไปทุกภพทุกชาติที่แท้จริง ก็คือบุญกุศลและการภาวนา เมื่อเราได้ผลของการภาวนาอันนำความสุขสงบมาสู่จิตใจของเรา ชนิดไม่ต้องดิ้นรนแสวงหาความสุขจากสิ่งนอกกายอีก สิ่งนั้นแหละคือที่พึ่งที่แท้จริงในชาติปัจจุบัน เราจึงจะปล่อยวางร่างกาย อันเสมือนเรือไม้รั่วใกล้จมจากการผุพัง เพราะเราได้ขึ้นสู่เรือแห่งธรรมอันมั่นคงแน่นหนา โดยสารไปสู่ความสงบเย็นแล้วนั่นเอง

ศิษย์ “อาจารย์พูดได้ดีมากครับ ผมจะจดจำนำไปใช้เพื่อไม่ให้เสียทีที่เกิดมาแล้วชาติหนึ่ง มิได้ปล่อยวันเวลาในชีวิต ให้สูญไปโดยไร้ประโยชน์เลยครับ”


http://www.dhammathai.org/dhammastory/view.php?No=231