PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : ธาตุสี่(เทสก์ เทสรังสี)



*8q*
10-30-2008, 02:39 PM
ธาตุสี่
โดย พระนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาจารย์ (เทสก์ เทสรังสี)
แสดง ณ วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
วันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๕
คัดจากหนังสือ ธรรมเทศนา ๒๕๒๕

คัดลอกจากจาก เวบ ธรรมเทศนาแนวปฏิบัติ ของหลวงปู่เทสก์
http://www.geocities.com/luangpu_tha...a/lesson07.HTM

“

เมื่อเราจะทำสมาธิภาวนา ให้ทิ้งสมมติ บัญญัติ เสียก่อน จิตจะเข้าถึงสมาธิภาวนา แล้วสมมติ บัญญัติเหล่านั้นเลยไม่มีชื่อ

นั่นแหละเป็นของจริง ของไม่มีชื่อนั่นแหละ เป็นของจริง ของมีชื่อนั้นเป็นของปลอม”
วันนี้จะเทศน์เรื่อง ธาตุ ให้ฟัง พื้นฐานของคนเราทั้งหมดมันเกิดจากธาตุ โลกทั้งหมดที่ตั้งขึ้น มาก็เกิดจากธาตุ เหตุฉะนั้นจึงจำเป็นที่สุดที่จะพูดถึงเรื่องพื้นฐานแล้วจึงค่อยพูดถึงเรื่องอื่นต่อไป ถ้า หากไม่รู้จักพื้นฐานเสียก่อนแล้วก็ลืมตัวของเรา ฟังเทศน์อยู่นี่ ก็ไม่ทราบว่าจะเอาอะไรมาเป็นหลัก ปฏิบัติก็ไม่ทราบว่าจะเอาอะไรมาเป็นหลัก มันต้องจับหลักฐานได้เสียก่อน คิดดู มนุษย์ทั้งหลายก็ดี โลกทั้งปวงหมดที่ตั้งขึ้นก็ดี มันต้องตั้งขึ้นมาจากธาตุสี่ ธาตุสี่น่ะเป็นหลักฐานของธาตุทั้งหมด พูดอย่าง นี้บางคนอาจจะไม่เข้าใจก็ได้ ที่พวกเราพูดว่า คน ๆ หรือ ชาย หญิงก็ดี พ่อตาแม่ยายก็ดี เป็นคน ให้ทิ้ง คำว่า “เป็นคน” เสียก่อน พูดของจริง คือว่าธาตุสี่ เป็นหญิง เป็นชาย เป็นผู้ เป็นคน เป็นพระ เป็นสงฆ์ ทั้งหมด พืช ต้นไม้ ภูเขา สารพัดทุกอย่าง ทุกสรรพสิ่งทั้งปวงหมด มันต้องมีธาตุสี่ออกจากธาตุสี่ทั้งนั้น ธาตุสี่นี้ตั้งขึ้นเป็นหลักแล้ว จึงค่อยแปรสภาพไปตามเรื่อง มีรูปร่างลักษณะหน้าตาต่างกัน ที่เรียกว่า รูปพรรณสัณฐานต่างกัน มีอาชีพต่างกัน มีความเป็นอยู่ต่างกัน ให้เข้าใจว่า ธาตุสี่ เป็นประธานของทุก สิ่งทั้งหมด ท่านอธิบายธาตุสี่นี้ไว้กว้างขวางมาก ที่ท่านอธิบายนั้น ก็ไม่ใช่อื่นไกล คือ ของเป็นจริงนั่น เอง ท่านมาสมมติ บัญญัติขึ้น เพื่อพูดให้ผู้ฟังเข้าใจ ถ้าหากว่าท่านไม่สมมติ บัญญัติ มันก็เป็นสภาพ ตามเดิมของมันอยู่อย่างนั้นแหละ ท่านมาเรียก ก็เลยเป็นเรื่องยืดยาวไป
อย่างตา ก็เรียกว่าธาตุ หูก็เรียกว่าธาตุ จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เรียกว่าธาตุ ตาเห็นรูป เรียกว่าสัมผัส การสัมผัสทางตาก็เรียกว่าธาตุ หูได้ยินเสียง เสียงนั้นก็เป็นธาตุเหมือนกัน การได้ยิน คือสัมผัสรู้ขึ้นมา ก็เรียกว่าธาตุเหมือนกัน จมูกดมกลิ่น จมูกก็เป็นธาตุ กลิ่นก็เป็นธาตุ ความสัมผัสรู้กลิ่นก็เรียกว่าธาตุ กายและโผฎฐัพพะต่างก็เป็นธาตุ ความสัมผัสรู้สึกตัวทางกาย ก็เรียกว่าธาตุ จิตและธรรมารมณ์ก็เป็น ธาตุ ความสัมผัสรู้ทางใจ ก็เรียกว่าธาตุ เลยยืดยาวออกไปเป็นธาตุสิบแปด อันนี้เป็นของจริง ท่านพูดตามหลักธรรมชาติของมัน แต่มนุษย์ชาวโลกยากที่จะจดจำกันได้ จึงสมมติว่าคน ว่าสัตว์ ว่าชาย ว่าหญิง บิดา มารดา แต่เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว เห็นแจ้งตามความจริง จึงได้บัญญัติของเหล่านั้นขึ้น เรียกว่าธาตุ เมื่อคนทั้งหลายไม่เข้าใจ พระองค์จึงเรียกตามสมมุติของโลก จึงว่าสิ่งทั้งปวงหมดจะพูดก็เป็นอยู่อย่างนั้นไม่พูดก็เป็นอยู่อย่างนั้น เมื่อเราจะทำสมาธิภาวนา ให้ทิ้งสมมติบัญญัติ เสียก่อน จิตจะเข้าถึงสมาธิภาวนา แล้วสมมุติ บัญญัติเหล่านั้นเลยไม่มีชื่อ นั่นแหละเป็นของจริง ของ ไม่มีชื่อนั่นแหละ เป็นของจริง ของมีชื่อนั้นเป็นของปลอม ตัวของเรานี้ให้ทิ้งเสีย ถึงว่ามีตนมีตัวอยู่ก็ ทิ้งเสียก่อนในการที่จะพิจารณาธาตุ ถ้าไม่อย่างนั้น ไม่เห็น ถือเป็นตน เป็นตัว จึงไม่เห็นธาตุ อย่าให้มี ตัวของเรา คือไม่มีในจิตนั่นเอง หมดธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มีในจิตจึงจะเข้าถึงของจริง
ธาตุทั้งสี่นี้เมื่อยังมีอยู่ภายในกายของเรา และคนเรายังสมมุติอยู่ตราบใด ก็จำเป็นต้องอาศัย ธาตุสี่ภายนอกกายอันนี้ มาสนับสนุนจึงจะอยู่ได้ ถ้าไม่มีธาตุสี่ของภายนอก มาสนับสนุนแล้ว ก็จะอยู่ ไม่ได้ ต้องตาย อย่างน้อยก็อยู่ทนทุกข์ทรมาน
ดังจะเห็นได้ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงธาตุปัจจเวกขณะ ให้พิจารณาปัจจัยทั้งสี่ให้เห็น เป็นแต่สักว่าธาตุ ไม่ใช่สัตว์บุคคลอะไรทั้งหมดคือผ้าผ่อนเครื่องนุ่งห่มปกปิดร่างกายอันนี้ก็ปกปิด ธาตุสี่ เพื่อปกป้องธาตุสี่ภายใน กันเย็น ร้อน หนาวเย็น และสัตว์ร้ายต่าง ๆ มี ริ้น เหลือบ ยุง เป็นต้น แล้วก็เก่า ชำรุด เปื่อย เน่าไปเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม ของเก่า อาหารการบริโภคทุกประการ เป็นต้นว่า ข้าว ขนม หมากไม้ ผลไม้และผักต่าง ๆ ที่เราบริโภค เข้าไปนี้ ก็เกิดจากธาตุ มิใช่สัตว์บุคคลเราเขา ของเหล่านี้หาชีวิตจิตใจมิได้ เป็นแต่เอาธาตุภายนอก มาพอกธาตุภายใน หรือฉาบ ทา หรือยาสิ่งที่ธาตุภายใน ขาดตกบกพร่องไว้เท่านั้น
ที่อยู่อาศัยเสนาสนะทั้งปวงเป็นต้นว่า บ้าน ตึก เรือนสองชั้น สามชั้น ทำด้วยอิฐและด้วยไม้ มุง ด้วยกระเบื้องดินเผาหรือซีเมนต์ หรือด้วยแฝกหรือจาก ล้วนแล้วแต่เกิดจากธาตุดิน คนมาประดิษฐ์ คิดปรุงแต่งให้เป็นเสนาสนะที่อยู่อาศัยขึ้นมา ของเหล่านี้ก็เป็นแต่สักว่าธาตุสี่ มิใช่สัตว์บุคคลตัวตน เราเขาอะไร ไม่มีชีวิตจิตใจอะไร มนุษย์ปรุงแต่งให้เป็นที่อยู่อาศัย ของธาตุภายใน (คือคนเรา) ให้อยู่ได้ ชั่วคราวตลอดอายุของธาตุภายนอกและธาตุภายในเท่านั้น
หยูกยาเภสัชสำหรับแก้ไข้ต่าง ๆ อันจะพึงเกิดมีแก่ร่างกายอันนี้ ร่างกายอันนี้ (คือธาตุสี่) ภาย ในวิกาล วิปริต แปรปรวนไม่ปกติ ซึ่งเกิดจากธาตุอันใดอันหนึ่ง ขาดเหลือไม่สม่ำเสมอกันเกิดขึ้น จะต้องใช้ยาภายนอก (คือธาตุภายนอก) มาบำรุงเพิ่มพูนช่วยเหลือ ยานี้ก็เป็นสักแต่ว่าธาตุสี่ (คือ เกิด จากธาตุสี่) มิใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขาอะไรทั้งสิ้น เมื่อธาตุสี่ภายใน ขาดเหลือ สิ่งใดบางอย่าง ก็จำเป็น จะต้องอาศัยภายนอก (คือธาตุสี่) บำบัดช่วยเหลือ
คนเรานั่น ไม่ใช่คนดอก ที่แท้จริงเป็นกองธาตุต่างหาก ถ้าจะ อุปมาอุปมัยคนเราเหมือนกับ ก้อนดินก้อนหนึ่ง กลิ้งไปบนพื้นแผ่นดินนี่แหละ ไปแทบทุกแห่งหน ก้อนดินไม่ใช่อะไรหรอก คนเรานี้ ต่างหาก ก้อนดินทั้งก้อน ถ้าเห็นเป็นก้อนดินแล้ว คนเราจะไม่เกิดทิฐิมานะ จะไม่ถือเนื้อถือตัวว่าตน เป็นใหญ่เป็นโต หรือว่าตนเป็นน้อยเป็นหนุ่ม หรืออาจจะเป็นเด็ก เป็นเล็ก เป็นสาวอะไรต่าง ๆ ไม่ถือทั้ง นั้น ความหนุ่มไม่มี ความสาวไม่มี ใหญ่โตไม่มี เด็กเล็กไม่มี เสมอภาคกันหมด พระพุทธเจ้าท่านสอน ให้เราพิจารณาอย่างนั้น จึงจะเห็นตามเป็นจริง ถ้าไม่เห็นอย่างนั้น ยังถือตัวถือตนอยู่ ถือเขาถือเราอยู่ ความโกรธ ความเกลียด ความรัก ความชัง เกิดขึ้นมา มันตัวเกลียด ตัวโกรธ ตัวชังนั่นแหละ ที่ตัวใจ มันเข้าไปถือ มันไม่เห็นตามเป็นจริง ถ้าเห็นตามเป็นจริงแล้ว จะไม่มีถือตัวถือตนกันเลย นั่นแหละ เป็นธรรม ถือทิฐิมานะ ถือเขาถือเรา อหังการ มมังการ ไม่เป็นธรรมเลย ธรรมแท้ต้องเห็นเป็นสักแต่ ว่าธาตุ ดังได้อธิบายมาแล้วข้างต้น ท่านว่า อาหารการกินก็ดี ผ้าผ่อนเครื่องนุ่งห่มก็ดี ที่อยู่ที่นอน ที่อาศัยก็ดี หยูกยาเภสัชต่าง ๆ ก็ดี ปัจจัยทั้งสี่นี้ เป็นเพียงสักแต่ว่าธาตุ ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคลตัวตน เราเขา สูญโญ เป็นของว่างเปล่า มันก็ว่างนะซี ไม่มีตนมีตัว ไม่ใช่ตน
มนุษย์เราอยู่ด้วยกันนี่ก็เหมือนกัน ถ้าพิจารณาเห็นเป็นสักแต่ว่าธาตุ คือว่างจากตัวตนเสีย มันก็สบาย อยู่กันด้วยความสุข สงบ ไม่อิจฉา ริษยา ไม่เบียดสีซึ่งกันและกัน ธาตุมันจะเบียดสีอะไรกัน ต่างคนต่างอยู่ ไม่มีฆ่ามีแกงกัน ไม่มีทุบตีต่อยกัน ไม่เห็นมีอะไร ไม่เห็นเจ็บเห็นปวด มันจะแตกจะดับ มันก็แปรสภาพสลายไปเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม อย่างเดิม เมื่อจะเกิดอีก ก็เอา ดิน น้ำ ไฟ ลม ของเก่า นั้นมาเกิดอีก
แท้ที่จริงมันเป็นธาตุอยู่แล้ว แต่เราพิจารณาไม่เห็นต่างหาก ตอนนั้นจะว่าปัญญาของเราไม่มี หรือ เราพิจารณาไม่เป็นก็ใช่ คือมันเป็นธาตุอยู่แล้ว แต่เราไม่เห็นมันเป็นธาตุ เรียกว่าพิจารณาไม่เป็น พิจารณาไม่ถูก เราไม่เห็นเป็นธาตุ ความที่ไม่เห็นไม่เป็นนั้นแหละ จึงเรียกว่าภาวนาไม่เป็น มันยากตรง นั้นแหละ ก็ไม่ทราบว่าจะไปสอนอย่างไรกันอีก ความจริงมันเป็นจริงอยู่แล้ว แต่ไม่เห็นตามเป็นจริง ของมันต่างหาก
เหตุฉะนั้นจึงว่า เบื้องต้นที่จะให้เกิดความรู้แจ้งเห็นชัด อย่าไปทิ้งสมาธิภาวนา หัดสมาธิให้ มันแน่วแน่เต็มที่เสียก่อน จึงค่อยพิจารณา ให้พิจารณาอานาปานสติ จนจิตมันลืมสิ่งทั้งหมด จนยัง เหลือแต่อานาปานสติอย่างเดียว มันจึงจะถึงอานาปานสติ ต่อจากนั้นมันจะค่อยพิจารณาของมันเอง เมื่อทำสมาธิภาวนาแน่วแน่เต็มที่อย่างที่ว่าแล้ว มันจะไปไหน ของมันมีอยู่ในตัวของเรานี้ทั้งหมด เป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว พระพุทธองค์ ทรงเทศนาว่า ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฏฺฐพฺพํ มันเป็น จริงอย่างไร เห็นตามเป็นจริงอย่างนั้น เมื่อหัดสมาธิภาวนาแน่วแน่เต็มที่แล้ว มันเห็นจริงของมันเอง หรอก อย่าไปเดือดร้อนกับมันเลย เรื่องพิจารณากลัวจะไม่เห็นอย่างงั้นอย่างงี้ โอ๊ย อย่าไปกังวลเกี่ยว ข้องมันเลย ไม่ได้ไปอยู่ที่อื่นดอก ชัดขึ้นมาในที่นี้เลยทีเดียว เอาละ เท่านั้นละ.
นั่งสมาธิ

ท่านอาจารย์อบรมนำก่อน