PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : เรียน อ.เดฟ ขอปรึกษาความทุกข์ของผมนิดนึง



sisima
11-01-2008, 02:35 PM
คือ เรื่องมันยาวมากนะครับ ถ้ามันยาวเกินไปก็ขออภัยด้วย (นิดนึงตรงไหน - - *)

เล่าให้ฟังตั้งแต่แรกเลยนะครับ
ย้อนกลับไปช่วงที่ผมเรียนมัธยม ตอนนั้นผมมีความสนใจในเรื่องแอนิเมชั่นคอมพิวเตอร์กราฟฟิกอย่างแรงกล้า และมีความใฝ่ฝันอยากไปเรียนมหาลัยต่างจังหวัด ที่มีอากาศดีๆ เพราะร่างกายของผมสุขภาพอ่อนแอมาก

ช่วงเวลาตั้งแต่ ม.4 - ม.5 ผมได้เพียรหามหาลัยและความตั้งใจที่จะเรียนที่มหาลัยวิทยาลัยต่างจังหวัด ที่ผมเล็งไว้ก็คือ ภาคเหนือและภาคอีสาน

ม.6 ผมได้ติดต่อกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย เพื่อไปสอบเข้าเรียนต่อ โดยมีผลงานคือ ผลงานของตนเองเพื่อไปต่อสู้กับคนอื่นๆ

วันสอบสัมภาษณ์ ผมเพิ่งรู้ว่า อ. ที่มหาลัยนี่เป็นทีมงานจากกันตานามาเป็นอาจารย์สอน แถมวันนั้นก่อนผมไปสอบสัมภาษณ์ ผมได้สอนเทคนิคการทำแอนิเมชั่นกับคู่แข่งของผมไปหมดเปลือก โดยไม่สนใจเลยว่าคนที่ผมสอนจะได้เข้าหรือไม่ได้เข้าเรียนต่อ (ผมก็เป็นคนอย่างนี้นะครับ ชอบแนะนำคนอื่นๆโดยไม่สนใจตัวเอง)

แต่พอสอบสัมภาษณ์จริงๆ ผมไม่ได้เข้าเรียน เพราะผลงานของผมไม่มีได้รับรางวัลและไม่มีอันไหนเป็น 3 มิติ แต่คนที่ผมแนะนำเทคนิค ได้เข้าเรียนหมด

ต่อมาผมพยายามหาโควต้าเพื่อเข้าเรียนเลยทันทีไม่ต้องใช้คะแนนสอบ เพราะผมรู้ตัวดีว่าสอบยังไงก็ไม่มีทางเข้าได้

อ. แนะแนวตอนนั้นช่วยผมให้ผมสามารถเข้าเรียนต่อ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่ ได้ ซึ่งตอนนั้นผมบนไว้ด้วยว่า ถ้าผมสามารถเข้าแม่โจ้ได้ จะซื้อพวงมาลัยไปกราบ อาจารย์ ทุกคนในโรงเรียน

ผมได้โควต้าแม่โจ้ และทำตามสัญญาจริงๆ ซึ่งผมซื้อพวงมาลัยกราบอาจารย์หมดทั้งโรงเรียน ไม่เว้นอาจารย์ที่ไม่เคยสอน ทั้งโรงเรียนมีแต่ผมทำคนเดียว

ถามว่าในใจผมตอนนั้นทำไมผมอยากไปแม่โจ้ ? เพราะมันเป็นมหาลัยต่างจังหวัด สภาพอากาศต้องดีกว่า , ของถูก , อิสระจากที่บ้าน และ สาวๆสวยเยอะ (เนื่องจากผมเรียน ชายล้วน มาเป็นเวลา 6 ปี จึงทำให้ตื่นเต้นมาก)

วันที่ผมไปแม่โจ้ ถึงจะผิดหวังอยู่บ้างเพราะมหาลัยอยู่ในตัวเมืองเลย แทนที่จะเป็นแบบบ้านนอกๆ แต่ผมก็พอใจ

ชีวิตผมในแม่โจ้ตอนนั้นมีความสุขมาก ได้เจอเพื่อนฝูงที่ไม่เคยที่จะมาห่วงผมขนาดนี้ , และไม่กล้าแม้แต่จะแตะตัวผู้หญิง - - * (มันอายอะ สวยๆทั้งนั้น) เลยโดนเพื่อนที่รู้จักกันใหม่ๆแกล้งตลอด

จนกระทั่งเหตุการณ์รับน้อง 7 วัน ผมไม่สามารถอธิบายได้หมดเพราะเป็นความลับของมหาลัย แต่จะเล่าให้คร่าวๆ

เนื่องจากผมสุขภาพอ่อนแอ เลยโดนเด้งไปอยู่โซนผู้ป่วย

1 - 2 วันแรกผมเอาแต่นอน แต่วันที่ 3 ผมเริ่มเบื่อและหงุดหงิด เพราะไม่ได้ทำอะไร วันๆเอาแต่นอน แถมอากาศก็ร้อนและเต็มไปด้วยเชื้อโรค

วันที่ 3 ผมติดเชื้อหวัด ทำให้จิตใจผมแย่เข้าไปอีก ความคิดที่จะอยากออกจากมหาลัยมีมากขึ้นทุกทีๆ

วันที่ 4 มีรุ่นพี่มาเล่าให้ฟังว่าเคยมีคนแอบหนีจากการรับน้องกลับบ้านสำเร็จ ซึ่งตอนนั้นก็เกือบทำจริงๆ

วันที่ 7 วันสุดท้าย ซึ่งที่มหาลัยเรียกว่า "วันคลอด" ผมโดนรับน้องจนคิดว่าไม่อยากทนต่อ เลยแกล้งทำเป็นสลบ (ซึ่งมันก็หน้ามืดและหมดแรงจริงๆ) แล้วผมก็โดนหามไปห้องพยาบาล

พอไปถึง ผมเจอกับผู้หญิงอีกคนที่อาการหนักกว่าผมอีก ยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดไปอีก

พอผมกลับมาที่พัก รุ่นพี่ในคณะเดียวกันมาหาด้วยความเป็นห่วง เขาบอกว่า ในมหาลัยต้องทำกิจกรรม ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้รุ่น ดังนั้นให้ผมไม่ต้องเอารุ่น เอาแต่เกียรติบัตรเฉยๆ แต่ตอนนั้นผมอยากกลับบ้านมาก และไม่อยากอยู่ต่อ คิดอย่างเดียว เราเรียนรามก็ได้

พอได้รับโทรศัพท์กลับมาจากรุ่นพี่ (7 วันรับน้องโดนยึดหมด) พ่อผมซึ่งก็บอกว่า ถ้าไม่ไหวก็กลับ ซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าพ่อผมตามใจผม

หลังจากนั้นครึ่งเดือน ผมก็อยู่ในฐานะนักศึกษาแม่โจ้ ซึ่งยอมรับว่าระหว่างนั้นก็เจอกิจกรรมต่อเนื่องซึ่งวทำให้ผมกลัวและไม่อยากอยู่ต่อก็ตามที

หลังจากนั้น ผมก็เก็บของออกจากแม่โจ้ และขึ้นรถกลับ กรุงเทพฯ

หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็กลับมาเปิดร้านเนต โดยการ ยืนเงิน จากพ่อผม และทำการผ่อนคืนไปเรื่อยๆ โดยตอนนั้นมีคอมแค่ 2 เครื่อง

ตอนนั้นผมได้ไปสมัครเป็นนักเขียนเกมบนเว็บไซด์โดยทำเป็นพาร์ททาม (ทำที่บ้านก็ได้) และได้เลื่อนระดับเป็นนักเขียนเกมลงนิตรสาร

ร้านเนตผมก็พัฒนาเรื่อยๆ

ช่วงชีวิตที่ผ่านมา ผมได้พัฒนาและปรับปรุงร้านตนเอง และก็ไปเรียนที่มหาลัยแบบอ่านหนังสืออยู่กับบ้าน ประกอบกับศึกษาข่าวสารและเทคนิคเกมเพื่อเขียนลงนิตรสารในฐานะ พาร์ททาม

ได้เห็นมุมมองใหม่ ในฐานะ เจ้าของประกอบกิจการร้านเนต และ สื่อของนักเขียนเกม

เวลาทั้งหมด ผ่านมาแล้ว 2 ปีครึ่ง

แม้ว่าผมจะมีความสุขทางกาย แต่ทางใจผมไม่ใช่ครับ

ผมกลับมาที่นี่ ไร้เพื่อน ไร้คนพูดคุย อยู่ตัวคนเดียว แม้นว่าผมจะเป็นที่รู้จักในโลกอินเตอร์เนตก็ตาม

และทุกคืน ผมต้องร้องไห้ กับความผิดพลาดของตนเอง คิดว่า ไม่น่าเลย ไม่น่าออกจากแม่โจ้เลย

แม้กระทั่งในร้านเอง ผมก็เครียดและหงุดหงิดง่าย ยิ่งมีพวกเด็กเกรียนมาแบบ โอ้ย ร้านไรเนี่ย ไม่มีแรคเถื่อนเลย ไปเล่นร้านนั้นดีกว่า

(ยอมรับว่าโมโหมากๆเรื่องเกมเถื่อน เพราะผมเคยทำเกมมาก่อน เลยรู้ดีว่าเกมกว่าจะสร้างได้มันลำบากขนาดไหน และก็มีเหตุการณ์ที่พวกนี้มันมากอปเกมไทยขายจนบริษัทเขาเกือบเจ๋ง ร้านผมขอมาถูกทุกอย่าง ลำบากเพือลูกค้า แต่ร้านพวกนี้เล่นเอาเกมเถื่อนล่อ ผมถามว่า ถูกที่ย่านร้านผมมันในซอยลึก ตำรวจไม่มา แต่ด้านศีลธรรมหละ เด็กๆหากไปเล่นเกมแย่ๆเถือนๆ จะเกิดอะไรขึ้น ? แล้วนี่เด็กมันก็เสียไปแล้ว 5 - 6 คน จากเด็กดีๆกลับแย่ไปเลย ทีนี้ถามว่าทำไมผมไม่แจ้งตำรวจ เพราะร้านนั้นมันญาติผมเอง !! บอกเขาเขาก็ไม่ฟัง อะไรที่ทำกำไรได้เขาเอาหมด ที่สำคัญ เขายัดเงินตำรวจด้วย )

และหลายครั้งที่ผมไปโพสกระทู้ตามบอร์ดเกมต่างๆ ทั้งช่วยเหลือ และ คุยเล่น ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมต้องการแต่ เรียกร้องความสนใจ เพื่อ ระบายความเหงา ที่ ผมไม่มีเพื่อนสักคน แค่นั้นเอง

ดังนั้น อ.เดฟครับ

-. ทุกคืนผมต้องทนทนมานเจ็บปวดทางใจและรู้สึกผิดกับความผิดพลาดของตนเองในอดีต
-. ทุกวันผมต้องรับมือกับพวกเด็กเกรียน รวมทั้งเรื่องราวของเซิร์ฟเกมเถื่อนด้วย

พอมีหวังที่ทำให้ผมพ้นทุกข์เรื่องพวกนี้ได้ไหมครับ ?

sisima
11-01-2008, 05:39 PM
ขอเพิ่มเติมนิดนึง

ร้านที่ผมเปิดอยู่ปัจจุบันก็ไม่ได้ขอใบฉายมา ขอแค่ใบพาณิชย์มา ซึ่งก็ถือว่าถูกกฎหมายครึ่งๆกลางๆ ซึ่งการขอใบฉายที่ลำบากก็คือต้องหาข้าราขการระดับ C4 เซ็นให้ แต่ผมไม่รู้จักใครเลย

เลยไม่จด ซึ่งจะเรียกว่าเถื่อนก็ได้ ใช่ว่าผมไม่อยากจด อยากเหมือนกัน แต่ไม่พร้อมเรื่องการเงินด้วย เปิดร้านไปเสียวมีคนแจ้งจับเหมือนกันถ้ามีคนรู ทำแบบนี้ถือว่าทำบาปไหม แต่เรื่องอบายมุขและเรื่องอะไรเลวๆชั่วๆ ในร้านผมไม่มีแน่อนครับ เพราะเด็กในร้านผมก็ถือว่าเป็นน้องๆผมนะแหละ

D E V
11-01-2008, 10:48 PM
สายน้ำที่ไหลไป...ไม่หวลกลับ
แต่สายน้ำที่อยู่ตรงหน้า ใส หรือ ขุ่น
ถ้าน้ำนั้นขุ่นมัว ก็เป็นน้ำเสีย...ใช้การไม่ได้
แต่ถ้าน้ำที่อยู่ตรงหน้านั้นใสกระจ่าง
ก็เป็นน้ำดี...ใช้ประโยชน์ ดื่มกินได้

ฉันใด...สิ่งที่ผ่านไปแล้ว ย้อนกลับมาใหม่ไม่ได้
แต่สิ่งที่อยู่ในปัจจุบัน เราสามารถทำให้ดีหรือเลวได้...จริงมั้ยคับ

ปัจจุบัน เรามีกิจการ มีอาชีพการงานทำ หาเลี้ยงตนเองได้
ก็เป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่งแล้วใช่ป่ะคับ
และเรายังสามารถพัฒนากิจการของเราให้เจริญยิ่งขึ้นได้
รวมทั้งพัฒนาตัวเราเองให้เจริญในธรรมได้ด้วย
ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปคิดกังวลในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว
อันเป็นอุทธัจจกุกกุจจะ คือ ความฟุ้งซ่านไปด้วยอกุศล
ถ้าจะนึกถึง ก็ควรนึกถึงด้วยกุศล
คือ นึกถึงเป็นเครื่องเตือนตน...เตือนใจ
ให้ไม่วู่วาม ระมัดระวังเพื่อจะได้ไม่ผิดพลาดซ้ำอ่ะคับ

ดังนั้น เราอยู่กับปัจจุบัน
ก็ควรอยู่อย่างมีความสุขในปัจจุบัน
ไม่ใช่ไปเก็บเรื่องราวในอดีตมาทุกข์ร้อน
อันเป็นการบั่นทอนปัจจุบันให้ถดถอย
ทำให้ไม่ก้าวไปข้างหน้าอย่างที่ควรจะเป็นน่ะคับ

สำหรับการที่เราไม่เอาเกมส์เถื่อนมาลง
ก็เป็นสิ่งที่ต้องขออนุโมทนาอย่างยิ่งเลยอ่ะคับ
ที่มีความตั้งใจจริงและมั่นคงในจริยธรรมเช่นนี้

ส่วนเด็กเกรียนนั้นก็อย่าไปกังวลใจเลยนะคับ
ในเมื่อเราสรรหาสิ่งดีๆ ให้เค้าแล้ว
ทำทุกอย่าง ...อย่างดีที่สุดแล้ว
นั่นก็คือสิ่งที่เราจะทำให้เค้าได้
นอกเหนือจากนี้ ตัวเค้าเองและพ่อแม่ผู้ปกครอง
ก็ต้องรับผิดชอบในส่วนของเค้าเองน่ะคับ

ส่วนเรื่องจดทะเบียนร้านเกมส์
อันนี้ไม่มีความรู้อ่ะคับว่าต้องประกอบด้วยอย่างไรบ้าง
แต่เอาเป็นว่า...สิ่งใดที่กฎหมายกำหนด
หากเป็นไปได้...ก็ควรที่จะกระทำตามกฎหมาย
แต่สิ่งใดที่กฎหมายยินยอมให้
เราก็สามารถใช้สิทธิ์ยกเว้นได้ตามกฎหมายอ่ะคับ

สำหรับในเรื่องข้อกฎหมายร้านเกมส์
คงต้องขอความอนุเคราะห์จากผู้รู้กฎหมายที่อาจเผอิญได้เข้ามาอ่าน
ได้ช่วยให้คำแนะนำเพิ่มเติมด้วยนะคับ

ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้นะคับ
เพื่อน...มีอยู่ทุกที่...ที่เราเป็นมิตรกับทุกๆ คน
ไม่ว่าโลกภายนอก...หรือโลกไซเบอร์
เพียงเรามีความเป็นเพื่อนให้กับทุกคน
ทุกคนก็เสมือนเป็นเพื่อนของเราอ่ะคับ
รวมทั้งที่นี่...วัดเกาะฯ
ทุกคนเป็นกัลยาณมิตรที่พร้อมจะให้การต้อนรับทุกเมื่อ
ด้วยความเป็นเพื่อนอย่างจริงใจเสมอคับ

;D ยิ้มนิดนึงนะคับ...ฮั่นแน่ เวลายิ้มแล้วน่ารักออกคับ อิอิ



8) เดฟ

sisima
11-02-2008, 11:14 AM
ปัญหาที่ผมเจอนั้น ไม่ใช่แค่ร้านเนตอย่างเดียว แต่กับแม่เลี้ยงด้วย
พ่อกับแม่ผมหย่ากันตั้งแต่ผมอายุ 5 ขวบ แล้ว แล้วก็แต่งงานใหม่ รับแม่เลี้ยงมา
ด้วยความที่แม่เลี้ยงคนนี้เขามีนิสัยไม่เคยพอใจอะไรสักอย่าง อยากได้ทุกอย่างไม่มีวันสิ้นสุด แถมชอบคิดว่าตนเองถูกตลอดไม่ว่าเรื่องอะไรเป็นเรื่องอะไร ที่ผ่านมาผมเลยชิงชังมาก เคยคิดที่จะฆ่าหลายรอบแล้ว
ซึ่งผมจำได้เลยว่า มีตอนนึงพ่อผมมาหาผมพร้อมพินัยกรรม บอกผมว่าอย่าให้พินัยกรรมนี้ตกไปอยู่แม่เลี้ยงเด็ดขาด เพราะเขามีสิทธิตามมาฆ่าผมได้ (ต่อมาท่านเก็บไว้เอง)
และมีตอนนึงที่พ่อผมทำงานหนักมากๆแล้วแม่เลี้ยงกลับไม่ช่วย หายจ๋อยไปที่อื่น ไม่ดูแลน้องสาว (น้องสาวนี่คือแม่เป็นแม่เลี้ยง) ตอนนั้นพ่อกับแม่เลี้ยงทะเลาะกันรุนแรงมาก และเกือบจะหย่ากัน
ถ้าถามผมว่า ตอนนั้นผมสะใจไหม สะใจมาก จะได้ไม่ต้องมาเจอกับมันแล้ว
แต่จิตสำนึกของผมก็นึกถึงน้องสาว ที่ตอนนั้นอายุเพียง 5 - 6 ขวบ และยังเล็กๆ หากพ่อผมหย่าจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้น
ผมเลยเดินไปห้ามพ่อผม ไม่ให้หย่า เพราะถือว่าเห็นแก่น้องสาว เพราะผมเจอมาแล้ว ว่าถ้าพ่อผมหย่าจริงๆ น้องสาวจะเติบโตมาสภาพจิตใจเป็นยังไง

หลายครั้งหลายราวที่เกิดขึ้นและผมก็โตขึ้น เขาก็ยังหาเรื่องผมไม่เลิกรา จนผมพยายามขี้เกียจมีเรื่อง จนกระทั่งวันนี้
ปกติแล้วที่บ้านหน้าที่การงานของผมมีเพียง 2 - 3 อย่าง คือ ตากผ้า + ล้างจาน + และทำความสะอาดบ้าน เพราะหน้าที่เฝ้าร้านทั้งวันทั้งคืนผมก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว เพราะผมไม่ได้เฝ้าร้านอย่างเดียวครับ ผมต้องดูแลเอาใจใส่ลูกค้าถึงกับต้องการข่าวสารการอัพเดตเกมตั้งเกือบ 20 เกม ในร้าน
ทีนี้ ปรากฎว่าเมื่อ 4 วันที่ผ่านมาครอบครัวไปเที่ยวกัน (ซึ่งผมก็ไม่อยากจะไปหรอก แต่ไปก็ถือว่า อาม่า กับ อากง พ่อกับแม่ของแม่เลี้ยงเขามาด้วย และพ่อผมก็อยากให้ผมไปพักผ่อนบ้าง ก็เลยไป) ผมไม่ได้ทำความสะอาดบ้านเพราะเห็นว่าพื้นบ้านมันก็สะอาดแล้ว เลยนึกว่าแม่เลี้ยงสั่งให้น้องสาวทำ ก็เลยไม่เอะใจอะไร อีกอย่าง ตอนนั้นผมต้องอดนอน 3 วันรวดเพื่อเคลียรงานของบริษัทเกมให้เสร็จเพื่อไปเที่ยวได้ เพราะติดสอบด้วยเลยทำให้ต้องมานั่งทำตอนกลางคืน)
ตอนกลับมาเมื่อวานนี้ (ที่ผมมานั่งพิมพ์อย่างที่บอก) ผมก็ต้องมานั่งเคลียรงานต่อ ทั้งในร้านและนอกร้าน เพราะแค่ 3 วัน ข่าวสารเกมอัพเดตไปเร็วมากๆจนผมต้องตามให้ทัน และต้องกู้ฐานจำนวนลูกค้าให้กลับมาเหมือนเดิมด้วย
ทีนี้ เนื่องจากงานมันเยอะ ผมเลยอาจจะลืมทำความสะอาดไปบ้าง เพราะกลับมาก็ ตี 1 ตี 2 แล้ว
ตอนเช้าผมตื่นมา ก็เห็นว่าผ้าในเครื่องซักผ้ายังไม่มีใครตาก (ปกติวันหยุดตอนเช้าพ่อผมจะให้ผมนอนพักผ่อน และให้น้องสาวไปเฝ้าร้านชั่วคราว ดังนั้นการงานตอนเช้า แม่เลี้ยงผมจะเป็นคนดูแล) ด้วยความหวังดี ถึงแม้นไม่ใช่ผ้าตัวเอง ผมก็หยิบมาตากให้
แล้วไม่นานพอผมตากเสร็จ แม่เลี้ยงก็เดินฉับๆมาบอกว่า

"ต่อไปนี้ไม่ต้องทำความสะอาดบ้านแล้วนะ เพราะขี้เกียจตาม เหนื่อย เบื่อ เดี๋ยวแกซักผ้าแทน แกจัดการทุกอย่างเองเลยนะ ...... ฯลฯ"

ข้างหลังคือผมเดินหนีออกจากบ้านทันที เพราะผมรู้ว่ายิ่งอยู่นานผมจะยิ่งโมโห

อารมณ์แรกที่ผมมีตอนนั้นก็คือความหงุดหงิด ยิ่งไม่ชอบหน้าแม่เลี้ยงอยู่แล้ว
1. เอางี้นะครับ ง่ายๆ ผมขอถามหน่อย ถ้าเขาไม่อยากมาตามให้ผมไปทำความสะอาดบ้าน แล้วทำไมไม่บอกให้น้องสาวมาบอกผมแทน ? พอผมรับรู้แล้วถามว่าผมมีความซื่อสัตย์ ไปทำไหม ? ก็ไปทำ
2. ผมเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ ตี 1 ตี 2 เพลีย อยากนอน เพราะเฝ้าร้านตั้งแต่ 8 โมง ยัน เที่ยงคืน ไม่ใช่แค่เฝ้าร้านนะครับ ต้องเดินไล่อัพเดตอะไรตามเครื่องด้วย
3. แม่เลี้ยงคิดเสมอว่า ไอ้งานร้านเกมที่ผมทำเนี่ย คือ การนอนตากแอร์เล่นเกมไปวันๆ (เพราะเขาไม่เคยฟังผมไงครับ)
4. ผมซักผ้าไม่เป็น ไม่ใช่จะจับแปรงมาซัดไม่เป็นนะครับ แต่ผมใช้เครื่องซักผ้าที่บ้านไม่เป็น เพราะผมไม่เคยใช้เลย แล้วงี้จะให้ผมซักผ้าอีกหรือ ?

ผมเลยสงสัยว่าพ่อผมไปพูดอะไรกับแม่เลี้ยงอีกรึเปล่า เลยเดินไปถามที่ร้านขายของ ปรากฎว่าพ่อผมไม่ได้พูดอะไร ผมเลยบอกความจริงไป แต่งวดนี้ผมยังครองสติอยู่ (ปกติผมระบายไปแล้ว) ผมเลยบอกว่า อยากให้พ่อผมมาช่วยสอนใช้เครื่องซักผ้าให้หน่อย (เพราะแค่ซักผ้า ไม่เห็นยากอะไรนิ ใช่ไหม ?)

ผมเดินไปร้านทันทีเพราะอารมณ์ยังหงุดหงิดอยู่ ซึ่งก็ไปเห็นน้องสาวเฝ้าร้านอยู่ เลยให้น้องมอบหน้าที่ให้ผมและผมดูร้านต่อ
ปกติแล้วหากผมเจอเหตุการณ์นี้ผมจะอารมณ์เสียใส่ไม่เลือกหน้า ไม่เว้นลูกค้าและน้องสาวตนเอง แต่สำหรับคราวนี้ผมระลึกในใจเสมอ (ใจเย็นๆ)
แต่ผ่านไปแปบเดียวแม่เลี้ยงเดินมาหาและให้ผมไปคุยข้างนอก

อย่างที่บอกครับ เขาคิดว่าตนเองถูกเสมอ และเวลาผมเถียงกับเขาผมจะไม่ค่อยโต้ตอบ แต่สำหรับงวดนี้ผมถึงต้องยอมให้มันใส่ผมทุกอย่าง เพราะอะไร
1. เขาฉลาด ให้ผมคุยข้างนอกที่มีคนเดินผ่านไปมาเยอะแยะ หากผมโมโหใส่เขาตอนนั้น ก็จะเข้าแผน เขา ให้ชาวบ้านมามองผมว่า นี่ไง เจ้าของร้านเกมมันเป็นคนอย่างนี้ ไม่กตัญญูต่อแม่ตนเอง ฯลฯ มีสิทธิทำให้ยอดรายได้ผมตกและทำให้ผมเป็นคนน่ารังเกียจ
2. ผมไม่อยากโมโหเพิ่ม เพราะหากผมหงุดหงิดและโกรธจนทะลุลิมิตตนเอง ผมเก็บกดมาตั้งนานแล้ว อาจจะลงมือกับเขาในนาทีนั้นเลยก็ได้ ไม่งั้นก็อาจจะไปลงกับลูกค้าในร้านต่อ

ผมกลับเข้าร้าน ทั้งร้านมองผมแบบสีหน้าหวาดกลัวกันหมด เพราะรู้ดีว่าเวลาผมโมโหผมจะทำยังไง แน่นอนว่าผมพยายามฝืนยิ้มและพูดเล่นกับลูกค้าตามปกติ เพื่อให้พวกเขาผ่อนคลายไปด้วย เพราะนี่มันเรืองส่วนตัวผม

อ.เดฟครับ ยอมรับเลยนะครับว่าแค่มองหน้าเขาผมก็โมโหขึ้นใจแล้ว เพราะทั้งชีวิตที่ผ่านมา เขาทำอะไรกับผม ผมรู้ดี แต่ผมก็ยังถือว่าเขาเป็นคนเลี้ยงผมมา ถึงจะเลี้ยงผมแบบไม่เต็มใจก็เถอะ
โชคดีที่วันนี้ผมยังระงับสติตนเอง ไม่ให้ระบายหรือระเบิดมันออกมา และดีที่ผมมานั่งพิมพ์ระบายแบบนี้ ไม่งั้นผมคงสั่งปิดร้านและนั่งอยู่ในร้านคนเดียวเพราะไม่อยากพบใครก็เป็นได้

อ.เดฟครับ ถ้าผมเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก ผมต้องทำตัวยังไงดี
บอกอีกอย่างครับ ผมเป็นคนใจร้อน อดทนน้อย แค่มองหน้าเขาผมก็โมโหแล้ว

D E V
11-03-2008, 11:56 AM
ในแต่ละครอบครัว
ก็อาจมีปัญหาเรื่องนั้นเรื่องนี้
มากบ้าง น้อยบ้าง หนักบ้าง เบาบ้าง เป็นธรรมดาน่ะคับ
ซึ่งเป็นหน้าที่ของทุกๆ คนในครอบครัว
จะร่วมช่วยกันคลี่คลายปัญหานั้นให้ทุเลาเบาบางลง

ปัญหาประการหนึ่งมักมาจากการที่แต่ละคน
มักจะต้องการให้อะไรๆ เป็นไปอย่างใจ...ถูกใจตน
จึงมักพยายามที่จะแก้ไขคนอื่น
เธอต้องเปลี่ยน...เธอต้องทำ...แบบนั้นแบบนี้ตามอย่างที่ตนต้องการ
ซึ่งพอเค้าไม่ทำตามที่ตนต้องการ
ก็เลยรู้สึกขุ่นใจ ไม่พอใจ เกิดแรงกดดัน อึดอัดขัดใจกันภายในครอบครัว
โดยแต่ละคนลืมนึกไปว่า แม้แต่การจะปรับปรุงแก้ไขตนเองก็ยังทำไม่ได้
แต่กลับไปพยายามที่จะปรับเปลี่ยนคนอื่น...ให้เป็นอย่างที่ตนต้องการ

ดังนั้นแล้ว แทนที่จะไปพยายามปรับเปลี่ยนคนอื่น
แต่ละคนก็ควรที่จะเริ่มที่ตนเอง
หากแต่ละคนเริ่มปรับปรุงที่ตนเองได้
ก็จะไม่ทุกข์เดือดร้อนใจไปกับคนอื่นเลย

ต้องขออนุโมทนากับคุณ sisima ด้วยนะคับ
ที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
คุณ sisima มีความอดกลั้น ยับยั้งชั่งใจไว้ได้
ไม่แสดงสิ่งที่รุนแรงเกินไป ไม่เหมาะสม กับบุคคลในครอบครัว
นี่ก็แสดงว่า คุณ sisima ได้เริ่มที่ตนเองแล้วน่ะคับ

อย่างไรก็ตาม
ทุกอย่างก็คงต้องค่อยเป็นค่อยไปน่ะคับ
ใช่ว่าการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเองนั้นจะกระทำได้ในชั่วข้ามคืน
อย่างน้อยคุณ sisima ก็ทราบอุปนิสัยของตนเองดี
และที่ผ่านมาก็ได้พยายามอย่างเต็มที่ในขณะนั้นๆ แล้ว
ก็ต้องค่อยๆ ฝึกฝนพยายามต่อไป
ในการที่จะมีสติระลึกรู้อกุศล (โทสะ) ที่เกิดขึ้นในใจ
ที่แม้เพียงเห็นหน้าก็โกรธซะแล้ว

การที่เราขุ่นข้องเคืองใจ...แม้เพียงเห็นหน้า
เพราะความเก็บกดที่สั่งสมมานาน
จดจำเรื่องราวที่ไม่ดีต่างๆ เอาไว้ด้วยความยึดมั่น
ไม่ได้ปล่อยวางในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว
คือเอาทุกเรื่องมาสั่งสมรวมกันไว้...ไม่ได้ปล่อยจบไปเป็นเรื่องๆ
แต่ถ้าเราวางลงได้ทีละเรื่อง ๆๆๆๆๆ
ความโกรธที่คุกรุ่นอยู่ในใจก็จะเบาบางลงได้บ้างอ่ะคับ

ไฟโทสะที่เกิดขึ้นในใจใคร
ก็ย่อมแผดเผาใจคนนั้นเอง...จริงมั้ยคับ
คนที่เรากำลังโกรธ...เค้าไม่ได้มารู้สึกรู้สาอะไรด้วย
แต่ใจเรานั้นเองที่รุ่มร้อนหมกไหม้ ทุรนทุราย
ซึ่งถ้าสั่งสมโทสะนั้นจนมีกำลังมากขึ้น...จะไม่ใช่แค่อยู่ในใจ
แต่จะมีการไหวกาย ไหววาจา ออกมาเพื่อประทุษร้ายคนอื่น
ก็เป็นการสร้างอกุศลกรรมต่อกันไม่มีที่สิ้นสุดน่ะคับ

ดังนี้แล้ว แทนที่เราจะสร้างอกุศลกรรมกับผู้อื่น...ซึ่งมีแต่โทษ
ก็เปลี่ยนเป็นการเจริญเมตตาต่อผู้อื่นเป็นเนืองนิจ...เมื่อสติระลึกได้
นี้เองที่จะเป็นการขัดเกลาโทสะออกจากจิตใจทีละน้อยๆๆๆๆ
และสั่งสมเมตตาซึ่งเป็นกุศลจิตเพิ่มขึ้นๆๆๆๆ แทนที่อกุศลจิตนั่นเอง
สวรรค์ หรือ นรก...สุข หรือ ทุกข์ ที่ปรากฏตรงหน้าในขณะนี้
ก็อยู่ที่ใจเรานี้เองอ่ะคับ



8) เดฟ

sisima
11-03-2008, 07:38 PM
ขอบคุณมากครับ อ.เดฟ