PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : บุพกรรมของพระพุทธเจ้า



DAO
11-02-2008, 12:17 PM
บุพกรรมของพระพุทธเจ้า




พระไตรปิฎก : พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๔ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑
อัมพฏผลวรรคที่ ๓๙ พุทธาปทานชื่อปุพพกรรมปิโลติที่ ๑๐






ว่าด้วยบุพจริยาของพระองค์เอง

[๓๙๒] พระผู้มีพระภาคผู้เป็นนายกของโลก แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก ประทับนั่งอยู่ที่พื้นหินอันเป็นรัมณียสถาน โชติช่วงด้วยแก้วต่างๆ ในละแวกป่าอันมีกลิ่นหอมต่างๆ ใกล้สระอโนดาต ตรัสชี้แจงบุรพกรรมทั้งหลายของพระองค์ ณ ที่นั้นว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังกรรมที่เราทำแล้วของเรา เราเห็นภิกษุผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่งแล้วได้ถวายผ้าเก่า (คงเพราะมีแต่ผ้าเก่า คงไม่ใช่มีผ้าใหม่แต่ถวายผ้าเก่านะครับ - ธัมมโชติ) เราปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า ในกาลนั้น ผลแห่งกรรม คือ การถวายผ้าเก่า ย่อมอำนวยผลให้เป็นพระพุทธเจ้า

ในกาลก่อน เราเป็นนายโคบาล ต้อนโคไปเลี้ยง เห็นแม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่นมัว จึงห้ามมัน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ (แม้) เราจะกระหายน้ำ ก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามความปรารถนา (ในคราวที่พระอานนท์คิดว่าน้ำในแม่น้ำยังขุ่นอยู่ เลยยังไม่ไปตักถวาย - ธัมมโชติ)

ในชาติอื่นในกาลก่อน เราเป็นนักเลงชื่อปุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้าชื่อว่าสุรภี ผู้ไม่ประทุษร้าย (ตอบ) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ได้เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส หลายพันปีเป็นอันมาก ด้วยผลกรรมอันเหลือนั้น ในภพหลังสุดนี้ เราจึงได้คำกล่าวตู่เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา

เพราะการกล่าวตู่พระเถระนามว่านันทะ สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ครอบงำอันตรายทั้งปวง เราจึงท่องเที่ยวอยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานานถึงหมื่นปี ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว ได้การกล่าวตู่เป็นอันมาก ด้วยผลกรรมที่เหลือนั้น นางจิญจมานวิกามากับหมู่ชน ได้กล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่เป็นจริง

เมื่อก่อน เราเป็นพราหมณ์ชื่อสุตวา อันชนทั้งหลายสักการะบูชา สอนมนต์ให้กับมาณพประมาณ ๕๐๐ คนในป่าใหญ่ ก็เราได้เห็นฤาษีผู้น่ากลัว ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มาก มาในสำนักของเรา เราจึงกล่าวตู่ฤาษีผู้ไม่ประทุษร้าย โดยได้บอกกะพวกศิษย์ของเราว่า ฤาษีพวกนี้มักบริโภคกาม แม้เมื่อเราบอก (เท่านั้น) พวกมาณพก็เชื่อฟัง ครั้งนั้น มาณพทั้งปวงเที่ยวไปภิกษาในสกุลๆ พากันบอกแก่มหาชนว่า ฤาษีพวกนี้มักบริโภคกาม ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ภิกษุ ๕๐๐ เหล่านี้ ได้คำกล่าวตู่ทั้งหมด เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา

ในกาลก่อน เราได้ฆ่าพี่น้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์ จับใส่ลงในซอกเขา และบด (ทับ) ด้วยหิน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระเทวทัตจึงผลักก้อนหิน ก้อนหินกลิ้งลงมากระทบนิ้วแม่เท้าของเราจนห้อเลือด

ในกาลก่อน เราเป็นเด็กเล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ใส่ไฟเผา (ดัก) ไว้ทั่วหนทาง ด้วยวิบากกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ พระเทวทัตจึงชักชวนนายขมังธนู ผู้ฆ่าคนตายมาก เพื่อให้ฆ่าเรา

ในกาลก่อน เราเป็นนายควาญช้าง ได้ไสช้างให้จับมัดพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้อุดมมุนี แม้กำลังเที่ยวบิณฑบาต ด้วยวิบากกรรมนั้น ช้างนาฬาคิรีอันดุร้าย วิ่งแล่นเข้าไปในคอก (ท้อง) เขา (วงกต) เบื้องหน้าผู้ประเสริฐ

ในกาลก่อน เราเป็นนายทหารราบ (เป็นแม่ทัพ) ฆ่าบุรุษเป็นอันมากด้วยหอก ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราถูกไฟไหม้อย่างเผ็ดร้อนอยู่ในนรก ด้วยผลอันเหลือแห่งกรรมนั้น บัดนี้ ไฟนั้นยังมาไหม้ผิวหนังที่เท้าของเราทั้งสิ้น (อีก) เพราะว่ากรรมยังไม่พินาศไป

ในกาลก่อน เราเป็นเด็ก (ลูก) ของชาวประมง อยู่ในบ้านเกวัฏฏคาม เห็นคนทั้งหลายฆ่าปลาแล้ว เกิดความโสมนัส ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ที่ศีรษะ (ปวดศีรษะ) ได้มีแล้วแก่เราในเมื่อเจ้าศากยะทั้งหลายถูกเบียดเบียน พระเจ้าวิฏฏุภะฆ่าแล้ว (โปรดสังเกตว่า เพียงแค่มีความยินดีในการทำบาปของผู้อื่น ก็เป็นบาปกรรมแล้ว - ธัมมโชติ)

เราได้บริภาษพระสาวกทั้งหลาย ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่าผุสสะ ว่าท่านทั้งหลายจงเคี้ยว จงกินแต่ข้าวแดง แต่อย่ากินข้าวสาลีเลย ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราอันพราหมณ์นิมนต์แล้ว อยู่ในเมืองเวรัญชา บริโภคข้าวแดงตลอด ๓ เดือน

ในกาลนั้น เมื่อนักมวยกำลังชกกัน เราได้ห้ามบุตรนักมวยปล้ำ (ในพระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย ใช้คำว่า "เราได้เบียดเบียนบุตรนักมวยปล้ำ" - ธัมมโชติ) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ที่หลัง (ปวดหลัง) ได้มีแล้วแก่เรา

เมื่อก่อนเราเป็นหมอรักษาโรค ได้ถ่ายยาให้เศรษฐีบุตร (ตาย) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น โรคปักขันทิกาพาธ (โรคท้องร่วง - พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ โดย พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)) จึงมีแก่เรา

เราชื่อว่าโชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง (คือกล่าวตู่พระกัสสปพุทธเจ้าว่า ไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ - ธัมมโชติ) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราได้ประพฤติกรรมที่ทำได้ยากมาก (ทุกกรกิริยา) ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่นั้นจึงได้บรรลุโพธิญาณ แต่เราก็มิได้บรรลุโพธิญาณอันสูงสุดด้วยหนทางนี้ (คือด้วยทุกกรกิริยาอันยากลำบากนั้น - ธัมมโชติ) เราอันบุรพกรรมตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางที่ผิด

(บัดนี้) เราเป็นผู้สิ้นบาปและบุญ (คือไม่ทำกรรมใหม่ใดๆ แล้ว ทั้งบาปและบุญ เป็นสักแต่ว่าทำสิ่งที่ควรทำไปเท่านั้น แต่ก็ยังไม่พ้นจากผลของกรรมเก่าจนกว่าจะปรินิพพานไปแล้ว - ธัมมโชติ) เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวง ไม่มีความเศร้าโศก ไม่คับแค้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะ (กิเลสที่นอนเนื่องในขันธสันดาน - ธัมมโชติ) จักนิพพาน

พระชินเจ้าทรงบรรลุกำลังแห่งอภิญญาทั้งปวงแล้ว ทรงพยากรณ์โดยทรงหวังประโยชน์แก่ภิกษุสงฆ์ ที่สระใหญ่อโนดาต ด้วยประการฉนี้แล



ขอขอบคุณที่มาคะ http://www.geocities.com/TMCHOTE/Thumma/General/gn051.htm

*8q*
11-04-2008, 02:44 PM
http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=435711&stc=1&d=1225555533

วิบากกรรมของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ที่เกี่ยวกับเรื่องของวจีกรรม

--------------------------------------------------------------------------------

"กฎแห่งกรรม" ไม่เคยยกเว้นให้ผู้ใด

Click this bar to view the full image.

พระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกรกริยา

วิบากกรรมของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ที่เกี่ยวกับเรื่องของวจีกรรม

กรรมที่ต้องกระทำทุกรกิริยา

ในสมัยพระกัสสปะพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพราหมณ์ชื่อ โชติปาละ ไม่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทราบว่าพระกัสสปะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้กล่าวว่า "การตรัสรู้ของสมณะโล้น จักมีมาแต่ที่ไหน"

ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระโพธิสัตว์ต้องเสวยทุกข์ในอบายภูมิเป็นเวลานาน ด้วยเศษกรรมยังเหลืออยู่ แม้ในภพสุดท้ายก่อนจะได้ตรัสรู้ พระองค์ยังต้องหลงเดินทางผิด บำเพ็ญทุกรกิริยาทรมานพระองค์เองด้วยวิธีการต่างๆ อันเป็นวัตรของเดียรถีย์ มีการอดอาหาร เป็นต้น จนสรีระผอมเหลือแต่กระดูก ได้รับทุกขเวทนากล้าอันเกิดจากความเพียรเป็นเวลานานถึง ๖ ปี กว่าจะได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ

กรรมที่ทำให้ถูกกล่าวตู่

ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เกิดเป็นนักเลงสุราชื่อ มุนาลิ ได้กล่าวตู่ พระนันทะ สาวกของพระสัพพาภิภู ปัจเจกพุทธเจ้าว่า "เป็นสมณะทุศีล"

ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระโพธิสัตว์ต้องเสวยทุกข์ในอบายภูมิเป็นเวลานาน แม้ในปัจจุบันจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ด้วยเศษกรรมที่ยังเหลืออยู่ พระพุทธเจ้าจึงต้องถูกกล่าวตู่โดยนาง จิญจมาณวิกา

เรื่องมีว่าเหล่าเดียรถีย์เกิดความริษยา ที่เห็นพระพุทธเจ้ามีบุคลลเลื่อมใสศรัทธาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ลาภสักการะของพวกตนน้อยลง จึงหาทางทำลายพระเกียรติคุณของพระพุทธเจ้า ด้วยการใช้นางจิญจมาณวิกา สาวิกาของพวกตน เป็นผู้ดำเนินการตามอุบาย กล่าวคือในตอนเย็น ขณะที่เหล่าชนกำลังเดินทางกลับเข้าเมือง ก็ให้นางเดินสวนทางออกไป ตอนเช้าขณะเหล่าชนเดินทางออกจากเมือง ก็ให้นางเดินสวนทางกลับเข้ามา

ทำเช่นนี้เป็นประจำ จนชาวเมืองเกิดความสงสัย ถามว่านางออกไปนอกเมืองทุกเวลาเย็นด้วยเหตุอันใด นางตอบว่า เราออกไปตามความประสงค์ของพระสมณะโคดมผู้เป็นศาสดาของพวกท่าน และพำนักอยู่ในพระคันธกุฏีในพระเชตวัน เวลาล่วงมาหลายเดือน นางจิญจมาณวิกาจึงนำท่อนไม้มาผูกติดเอว สวมเสื้อคลุมทับไว้

ทำประหนึ่งว่าตนกำลังมีครรภ์เดินเข้าไปหาพระพุทธเจ้าในพระเชตวันวิหาร ท่ามกลางบริษัทที่กำลังพระธรรมเทศนา กล่าววาจาตู่พระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้ที่ทำให้นางตั้งครรภ์ พระพุทธเจ้ามิได้โต้ตอบแต่ประการใด ทำให้ชนบางกลุ่มในที่นั้นเกิดความสงสัย คิดว่าหากไม่เป็นความจริง นางคงมิกล้ากล่าววาจาเช่นนี้ต่อหน้ามหาชนเป็นอันมากแน่นอน

พระอินทร์ทราบความ จึงแปลงร่างเป็นหนูไปกัดเชือกที่นางผูกเอวไว้ขาดออก ท่อนไม้หลุดลงมาทับเท้าของนางจนหลังเท้าแตก เหล่าชนในพระเชตวันวิหารเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น พากันขับไล่นางออกไป เมื่อพ้นประตูวิหาร นางก็ถูกเปลวเพลิงนรกฉุดลงไปสู่อเวจีมหานรก

กรรมที่ทำให้ถูกกล่าวหา

ในอดีตกาลพระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์ ชื่อ สุตวา บวชเป็นดาบสสั่งสอนศิษย์ในป่าหิมพานต์ ต่อมามีดาบสผู้สำเร็จอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ มายังสำนักของตน ด้วยความริษยาที่เห็นว่ามีวิชาความรู้มากว่าตน จึงกล่าวหาดาบสนี้ว่า "ดาบสนี้หลอกลวง ดาบสนี้บริโภคกาม" และยังแนะให้ศิษย์ของตนกระทำตาม

ด้วยวิบากแห่งกรรมที่กล่าวหาผู้อื่นโดยไม่เป็นจริง พระโพธิสัตว์และเหล่าศิษย์ต้องเสวยทุกข์ในอบายภูมิเป็นเวลานาน แม้ในปัจจุบันด้วยเศษกรรมที่ยังเหลืออยู่ พระพุทธเจ้าและสงฆ์สาวก จึงถูกกล่าวหาว่าร่วมกันฆ่านางสุนทรี

เรื่องมีว่า เหล่าเดียรถีย์ยังคิดที่จะทำลายพระเกียรติคุณของพระพุทธเจ้า ต่อมา จึงใช้ให้นางสุนทรี สาวิกาของพวกตนอีกคนหนึ่งไปดำเนินการ ตามวิธีเช่นเดียวกับนางจิญจมาณวิกา จากนั้นได้ว่าจ้างเหล่าโจรให้ฆ่านาง นำศพไปหมกไว้ใกล้พระเชตวันวิหาร แล้วส่งคนของตนไปร้องเรียนต่อพระราชาว่า สาวิกาผู้หนึ่งของพวกตนหายไป พระราชาจึงมีรับสั่งให้ค้นหา พบศพหมกอยู่ใกล้พระเชตวันวิหาร เหล่าเดียถีย์จึงนำศพวางบนแคร่หาม ออกเดินประกาศไปทั่วพระนครว่า "เหล่าศากยะสมณะร่วมกันฆ่านาง" พระอานนท์ทูลความให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ พระพุทธองค์ตรัสว่า อีก ๗ วัน เรื่องนี้จะปรากฏความจริง

ฝ่ายพระราชา แม้จะมีหลักฐานปรากฏเช่นนั้นก็ยังไม่แน่พระทัย รับสั่งให้เจ้าพักงานออกทำการสืบสวนหาความจริง เจ้าพนักงานไปพบกับเหล่าโจรซึ่งกำลังเมามาย ต่างก็อวดตัวว่าเป็นคนฆ่านางสุนทรี จึงคุมตัวไปเฝ้าพระราชา ทรงสอบถามจนได้ความจริงว่า เหล่าเดียรถีย์เป็นผู้ว่าจ้างพวกตน พระราชามีรับสั่งให้จับเหล่าเดียรถีย์คุมตัวไปเดินประจานไปทั่วพระนคร พร้อมทั้งให้ร้องประกาศว่า "พวกตนเป็นผู้สั่งให้ฆ่านาง มิใช่เป็นการกระทำของเหล่าศากยสมณะ" จากนั้นจึงนำตัวไปลงโทษสถานหนักทั้งหมด

ชื่อว่า กรรม แม้จะเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม เมื่อถึงวาระที่กรรมนั้นให้ผล แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุดในไตรภพ ก็ยังมิอาจหลีกเลี่ยงให้พ้นไปได้ด้วยประการฉะนี้

ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๓ อรรถกถาพุทธวรรค พุทธาปทาน, ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓

ที่มา http://www.gumara.com/node/228
ขอบคุนครับhttp://board.agalico.com/showthread.php?t=24176

ทั่นยาย
02-12-2009, 03:26 PM
อนุโมทนาสาธุค่ะป้าดาว อ่านแล้วทำให้นึกถึงตัวเองค่ะ
ทั่นยายก็มีกรรมจากมโนกรรมและวจีกรรมที่ได้เคยปรามาส
ผู้ทรงศีลเช่นกันค่ะ อตีดชาตินั้นเท่าที่รู้ (มีผู้รู้บอกมาค่ะ ) ว่าเคย
กล่าววาจาปรามาสพระคุรเจ้าเอาไว้ มาชาตินี้ก็มีมโนกรรมที่นึกปรามาส
หลวงปู่กองวัดสระมณฑลเอาไว้อีก นึกแล้วใจหายค่ะ เพราะความโง่เขลา
ของเราโดยแท้จึงหลงผิดสร้างเวรกรรมไว้มากมายขนาดนี้ ได้แต่สำนึกผิดค่ะ
ไม่ทราบจะทำอะไรได้มากไปกว่านี้ค่ะ เจียมตัวเจียมตนรอรับโทษสถานเดียวค่ะ แหะ แหะ