**wan**
11-02-2008, 03:45 PM
http://www.fungdham.com/images/monk-pic/ter/02.jpg
หัวใจพระพุทธศาสนา
พระธรรมเทศนา ของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม
โพสท์ในลานธรรมเสวนา หมวดชีวิตกับธรรมะ กระทู้ 15497 โดย: มุก 21 มิ.ย. 48
ด้วยงานสัปดาห์หนังสือที่ผ่านมา บังเอิญดิฉันไปแวะ ร้านหนังสือเก่า ได้หนังสือมาหลายเล่ม หนึ่งในนั้น ก็คือ เล่มนี้ค่ะ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม พระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ในยุคปัจจุบัน โครงการหนังสือ บูรพาจารย์ เล่ม ๒ เรียบเรียงและจัดพิมพ์ โดย รศ.ดร.ปฐม-รศ.ภัทรา นิคมานนท์ เลยขออนุญาตคัดลอกมาอ่านกันนะคะ (ได้ขออนุญาต ท่านผู้เรียบเรียงแล้ว ส่วนองค์หลวงปู่ ลูกขออนุญาต ณ ตรงนี้เจ้าค่ะ)
โดย: มุก 21 มิ.ย. 48 - 16:28
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
จิตดวงเดียว แสดงเป็นสี่ดวง พระโสดาปัตติมรรค ก็จิตดวงเดียว พระสกิทาคามิมรรค ก็จิตดวงเดียว พระอนาคามีมรรค ก็จิตดวงเดียว พระอรหันตมรรค ก็จิตดวงเดียวนี้แหละ
ที่ว่าเป็นสี่นี้ ว่าตามธาตุตามวิญญาณ ธาตุก็สี่ วิญญาณก็สี่ได้ชื่อว่า จิตตานุปัสสนา กับ จิต แยกออกจากกันไม่ได้ หูกับจิต ออกจากกันไม่ได้
ส่วนตาไม่ใช่จิต เรียกว่า วิญญาณตา หู ก็ไม่ใช่ จิต เรียกว่า วิญญาณหู จมูกก็ไม่ใช่จิต เรียกว่า วิญญาณจมูก ปากก็ไม่ใช่จิต เรียกว่า วิญญาณปาก
จิตเราจะไปไหน ไปทำบุญหรือทำบาป ก็ต้องอาศัยวิญญาณตา จะดูรูปก็ต้องอาศัยตา จะฟังเสียงร้องรำทำเพลงเพื่อให้เพลิดเพลิน ก็ต้องอาศัยวิญญาณหูเป็นผู้ฟัง ว่าจะเพราะพริ้งเพียงใด
จิตเป็นผู้รู้ จะดมกลิ่นเหม็นกลิ่นหอม จิตเป็นผู้รู้ จึงใส่ชื่อว่า จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานัง
ตา กับ จิต ออกจากกันไม่ได้ ตายเมื่อใดพ้นเมื่อนั้น นี้แหละ ท่านทั้งหลาย
๑. จิตไม่ฆ่าสัตว์ จิตนั้นก็เป็นพระโสดาจิต สกิทาคามิจิต ก็เป็น อนาคามิจิต อรหันตจิต ก็เป็นพระพุทโธ จิตดวงเดียว
๒. จิตนั้นไม่ลักทรัพย์ จิตนั้นก็เป็นพระโสดา เป็นพระสกิทาคา เป็นพระอนาคา เป็นพระอรหันตา
๓. จิตออกบวช ขาดจากผัวจากเมียนั้น ก็เป็นพระโสดา เป็นพระสกิทาคา เป็นพระอนาคา เป็นพระอรหันตา
๔. จิตไม่ขี้ปด ไม่กล่าวมุสาวาท จิตนั้นก็เป็นพระโสดา เป็นพระสกิทาคา เป็นพระอนาคา เป็นพระอรหันตา
๕. จิตไม่กินเหล้า จิตก็เป็นพระโสดา เป็นพระสกิทาคา เป็นพระอนาคา เป็นพระอรหันตา
อันนี้อธิบายเป็นพระสูตร ขอให้นักธรรม นักกรรมฐานทั้งหลาย จงดูทุกพระองค์เถิด
ถ้าจะอธิบายเป็นพระปรมัตถ์ อยู่ที่หัวใจของเราทุกคน
๑. จิตไม่ฆ่าสัตว์ จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่ใจของเราทุกคน ทุกพระองค์
๒. จิตไม่ลักทรัพย์ จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่ใจของเราทุกคน ทุกพระองค์
๓. จิตออกบวช ขาดจากผัวจากเมีย จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่ใจทุกคน ทุกพระองค์
๔. จิตไม่ขี้ปด (มุสาวาท) จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่ใจทุกคน ทุกพระองค์
๕. จิตไม่กินเหล้า จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่ใจทุกคน ทุกพระองค์
พุทโธ เป็น ศีล พุทโธ เป็น ฌาน พุทโธ ก็เป็นนิพพาน อยู่ที่ใจของเรา ทุกคน ทุกพระองค์
ธัมโม เป็น ศีล ธัมโม เป็น ฌาน ธัมโม เป็น นิพพาน อยู่ที่ใจของเรา ทุกคน ทุกพระองค์
สังโฆ เป็น ศีล สังโฆ เป็น ฌาน สังโฆ เป็น นิพพาน อยู่ที่ใจของเรา ทุกคน ทุกพระองค์
เมตตา เป็น ศีล เมตตา เป็น ฌาน เมตตา เป็น นิพพาน อยู่ที่ใจของ เราทุกคน ทุกพระองค์
กรุณา เป็น ศีล กรุณา เป็น ฌาน กรุณา เป็น นิพพาน อยู่ที่ใจของเรา ทุกคน ทุกพระองค์
มุทิตา เป็น ศีล มุทิตา เป็น ฌาน มุทิตา เป็น นิพพาน อยู่ที่ใจของเรา ทุกคน ทุกพระองค์
จิตมีรูป จิตไม่รักรูป จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็น นิพพาน อยู่ที่ใจของเราทุกคน ทุกพระองค์
จิตมีเวทนา จิตไม่รักเวทนา จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่ใจของเราทุกคน ทุกพระองค์
จิตมีสัญญา จิตไม่รักสัญญา จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่ใจของเราทุกคน ทุกพระองค์
จิตมีสังขาร จิตไม่รักสังขาร จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่ใจของเราทุกคน ทุกพระองค์
พระองค์เจ้าพระคุณคือใคร? เจ้าพ่อของเรา เจ้าแม่ของเรา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทุกคน เกิดจากเจ้าคุณพ่อ หมายถึง พระเจ้าสุทโธทนะ เจ้าคุณแม่ หมายถึง พระนางเจ้าสิริมหามายา เป็นที่เกิดธรรมะอันประเสริฐ สูงสุด วิเศษสุด อยู่ที่ใจของเรา อันเกิดจากพระบิดา พระมารดา
ถ้าใครไม่เชื่อ เอาหมูมาเป็นเมีย ปีกุน แปลว่า หมู หมูดีกว่ามนุษย์ มนุษย์สู้หมูไม่ได้
หมูดีกว่ามนุษย์ ขาหมู มนุษย์ก็กิน แต่ขามนุษย์ไม่มีใครกิน หำหมูมนุษย์กิน แต่หำมนุษย์ไม่มีใครกิน หีหมู มนุษย์กิน หีมนุษย์ไม่มีใครกิน หีหมู คนปากไม่ชัด คือ ลิ้นไก่สั้นพูดอ้อแอ้ กินแล้วจะดีขึ้น
น้ำมันหมูเป็นสินค้าทั่วราชอาณาจักรไทย เป็นอาหารทั่วไป ไม่เลือกชาติไหน กินกันทั้งนั้น แต่น้ำมันมนุษย์ ไม่มีใครกิน
ขี้หมูเอามาทำปุ๋ยใส่นา ใส่ผัก ใส่สวน ได้ทั้งนั้น แต่ขี้มนุษย์ ไม่มีใครต้องการ
หัวหมู ตับหมู มนุษย์กิน หัวคนตายไม่มีใครกิน หัวหมู จมูกหมู ลิ้นหมู มันสมองหมู ต้มกินได้ทุกชาติ ปากคน ลิ้นคน มันสมองคน หัวคน ไม่มีใครกิน
ไส้หมู ทำเป็นไส้กรอกกินได้ ตับหมู พุงหมู กินได้ แต่ตับคน ไส้คน ไม่มีใครกิน
ขาหมูเป็นสินค้า ทำแปรงทาสีได้ทั่วไป แต่ ขน ผม ของมนุษย์ ตัดทิ้งเสียเปล่าๆ ไม่มีใครต้องการ
ผมของอุบาสก ต้องตัดเดือนละครั้งสองครั้ง เสียเงินครั้งละ ๔-๕ บาท ยิ่งเป็นผมของเจ้านายก็แพงขึ้นไปกว่านี้ แล้วก็ค่าน้ำมัน เดือนละขวด
เมื่อจะหมดบุญก็ต้องเสียเงินหลายพันบาท เมื่อตายไปไฟกินหมด
นี่แหละนักธรรมกรรมฐานทั้งหลาย ข้าพเจ้า พระอาจารย์ตื้อ หรือ หลวงปู่ตื้อ ขอถวาย ปัญญาวิปัสสนาญาณ ไว้ แสดงให้ ทั่วถึงกัน มีเจ้านาย ข้าราชการ อุบาสก อุบาสิกา เป็นต้น
ถ้าไม่จริงอย่างหลวงปู่ว่า ขอให้อมขี้มาเป่าหน้าเถิด
หนึ่ง ผู้เจริญฌานให้รู้จักฌาน ถ้าไม่รู้จักฌานจะนั่งเอาฌาน จนเอวหัก ก็ไม่ได้นิพพาน ตามความปรารถนา เมื่อจะหมดบุญก็ต้อง เสียเงินหลายพันบาท เมื่อตายไปไฟกินหมด
นี่แหละนักธรรมกรรมฐานทั้งหลาย ข้าพเจ้า พระอาจารย์ตื้อ หรือ หลวงปู่ตื้อ ขอถวาย ปัญญาวิปัสสนาญาณ ไว้ แสดงให้ ทั่วถึงกัน มีเจ้านาย ข้าราชการ อุบาสก อุบาสิกา เป็นต้น
ถ้าไม่จริงอย่างหลวงปู่ว่า ขอให้อมขี้มาเป่าหน้าเถิด
หนึ่ง ผู้เจริญฌานให้รู้จักฌาน ถ้าไม่รู้จักฌานจะนั่งเอาฌาน จนเอวหัก ก็ไม่ได้นิพพาน ตามความปรารถนา
สอง ผู้เจริญฌานให้รู้จักฌาน จึงจะได้นิพพาน เพราะฌาน กับนิพพานเป็นคู่กัน จะแยกออกจากกันไม่ได้ เหมือนเดือนกับ ดาว เดือนอยู่ที่ไหนดาวอยู่ที่นั่น
ที่ว่าการไม่รู้จักฌาน ไม่รู้จักนิพพาน เป็นอาการของจิต เรียกว่า โลกิยจิต
โลกุตตรจิต จิตจะรู้ฌาน เพราะ
โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผลเป็นฌานที่ ๑
พระสกิทาคามิมรรค พระสกิทาคามิผลเป็นฌานที่ ๒
พระอนาคามิมรรค พระอนาคามิผล เป็นฌานที่ ๓
พระอรหันตมรรค พระอรหันตผล เป็นฌานที่ ๔
ฌานเป็นที่อยู่ของพระพุทธเจ้า พระนิพพานได้แก่ใจของพระอรหันตเจ้า นั้นแล
ฌาน เหมือนเค้าต้นของผม นิพพาน เหมือนเส้นผม จึงจะ สมกันนะ
ที่หนึ่ง บริกรรม พุทโธ พุทโธ เป็น ศีล พุทโธ เป็นฌาน พุทโธเป็นนิพพาน
ที่สอง อุปจาระเป็นที่อยู่ของจิต ธัมโม เป็น ศีล ธัมโม เป็น ฌาน ธัมโม ก็เป็นนิพพาน
ที่สาม สังโฆ เป็น ศีล สังโฆ ก็เป็น ฌาน สังโฆ เป็น นิพพาน
ที่สี่ อนุโลมญาน จงดูลมหายใจเข้าออก โทสะ ทิฏฐิ ใจขี่โมหะ ทิฏฐิก็หมดไป ใจขี่โทสะ ใจเป็นอรหันต์ ใจขี่โมหะใจเป็นอรหันต์ ใจขี่ทิฏฐิ ใจนี้เป็นอรหันต์
ที่ห้า โคตระ อยู่ในรูปไม่ผิดรูป อยู่ในเวทนา ไม่ผิดเวทนา อยู่ในสัญญา ไม่ผิดสัญญา อยู่ในสังขาร ไม่ผิดสังขาร อยู่ในวิญญาณไม่ผิดวิญญาณ ใจเราก็เป็นพระนิพพาน
ที่หก โสดาปัตติมรรคก็ใจ โสดาปัตติผลก็ใจ สกิทาคามิมรรคก็ใจ สกิทาคามิผลก็ใจ อนาคามิมรรคก็ใจ อนาคามิผลก็ใจ อรหันตมรรคก็ใจ อรหันตผลก็ใจ
ละ อุปาทิเสสะนิพพาน กิเลสขาดจากสันดานหมดไป โมหะหมดไป ทิฏฐิกิเลสหมดไป ยังเหลือแต่ใจสะอาด ปราศจากกิเลส ขาดจาก สันดานหมด พระจันทร์เดินอยู่บนท้องฟ้านภากาศ ไม่มีอะไรทำลายได้
วาโยธาตุ แปลว่า ลม จากทิศทั้ง ๔ จะทำลายพระจันทร์ไม่ได้ ลมก็เป็นลม พระจันทร์ไม่แตกไม่ดับ พระจันทร์ก็อยู่อย่างนั้นแหละ
อาโปธาตุ แปลว่า น้ำ ฝนตกลงมา เม็ดเล็กเม็ดน้อยใหญ่ จะทำลายพระจันทร์ไม่ได้ เปรียบเหมือนที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ดังเช่น เปรียบกันได้กับใบบอนนั้น น้ำชำแรกแทรกไปในใบบอนย่อมไม่ได้ ถึงฝนจะตกลงมา ถูกต้องใบบอนสักเพียงไร น้ำฝนก็มิอาจแทรกซึม เข้าไปในใบบอนได้ฉันนั้น เพราะใบบอนไม่ดูดเอาน้ำเข้าไปเลย
เหมือนดังกับพระจันทร์ พระจันทร์เดินไปเมืองม่าน (พม่า) พวกม่านทั้งหลาย ทั้งน้อยและใหญ่พากันกราบไหว้พระจันทร์ พระจันทร์ก็เฉยๆ ไม่รับรองลิ้นของพม่า มาเป็นสรณะแต่อย่างใด
ไปเมืองมอญ พระจันทร์ก็เฉยเสีย พวกมอญจะติฉินนินทา ด่าว่าสิ้น ทั้งบ้านเมืองมอญ พระจันทร์ก็เฉยเสีย
นี่แหละนักธรรม นักกรรมฐานเจ้าทั้งหลาย จึงเรียกได้ว่า จบพรหมจรรย์ คือ
๑. ไม่ฆ่าสัตว์ เรียกพุทธพรหมจรรย์
๒. ไม่ลักทรัพย์ พุทธพรหมจรรย์
๓. ไม่เสพกาม เรียกว่า พุทธพรหมจรรย์
๔. ไม่ขี้ปด คือ กล่าวมุสาวาท เรียกว่า พุทธพรหมจรรย์
๕. ไม่กินเหล้า - สุรา เรียกว่า พุทธพรหมจรรย์
เปรียบเสมือนดวงจันทร์นั่นแหละ พระจันทร์ไม่ฆ่าสัตว์ พระจันทร์ไม่ลักทรัพย์ พระจันทร์ไม่เสพกาม พระจันทร์ไม่กล่าวมุสาวาท พระจันทร์ไม่ดื่มสุรา เรียกว่า จบพรหมจรรย์
เสียง จันทร์ กับ จรรย์ ออกเสียงเหมือนกัน จึงเอาเปรียบเทียบ เช่นนี้
พระอรหันตเจ้าทั้งหลาย นั่งก็นั่งอยู่ในนิพพาน นอนก็นอนอยู่ใน นิพพาน เดินก็เดินอยู่ในนิพพาน กินก็กินอยู่ในนิพพาน แต่ขันธ์ห้า ที่เป็นอุปาทานยังไม่ดับ
พระอรหันตเจ้าสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย จึงพาขันธ์ห้า ของคุณตาคุณยาย สะพายบาตรประกาศพระศาสนาอยู่ ๔๕ ปี เรียกว่า อุปาทิเสสะ เข้าพระนิพพานพ้นจากชาติกันดาร ไม่ต้องมี การเกิดอีกต่อไป
เตสัง วูปะสะโม สุโข เวทนาแตก เวทนาตาย สัญญาแตก สัญญาตาย สังขารแตก สังขารตาย วิญญาณแตก วิญญาณตาย
พระพุทธโคตมะไม่ได้ฆ่ารูป รูปก็แก่เฒ่า เวทนาก็แก่เฒ่า สัญญาก็ แก่เฒ่า วิญญาณก็แก่เฒ่า ใจเราเท่านั้นที่ไม่แก่เฒ่า
รูปัง อนิจจัง รูปเกิดขึ้นมาเป็นของไม่เที่ยง ยักย้ายผันแปรแตกต่าง กันไปมาเป็นธรรมดา จิตจะร้องขออย่างไร ก็ไม่รับฟัง
อกาลิโก อากาศธาตุ เขาเป็นอยู่อย่างนั้น
จักขุนทะริยัง ดูตาของเราซิ ตามันแตก ตามันลาย จะห้ามตาไว้ไม่ได้
โสตินทะริยัง ดูหูของเรา หูมันจะเฒ่า หูมันจะตาย ห้ามหูไว้ไม่ได้
ฆานินทะริยัง ดูรูดัง (จมูก) ของเรา จมูกจะเป็นหวัด คัดจมูก หรือ เป็นริดสีดวงจมูก เราจะห้ามไว้ก็ไม่ได้
ชิวหินทะริยัง ดูลิ้นของเรา ปากและลิ้น ก็เป็นหวัดเป็นไอ เดินก็ไอ กินข้าวก็ไอ กินน้ำก็ไอ ไอไปไอมา
อานาปานะ เป็นภาษาบาลี ภาษาไทย เรียกว่า ลม รูปก็เป็นลม เวทนาก็ลม สัญญาก็ลม สังขารก็ลม วิญญาณก็ลม หมดลมแล้ว เรียกว่า ตาย มีเงิน มีคำ มีแก้วก็ตาย ละเสียจากเงินทองเหล่านั้น มีลูกสาวก็ตายจากลูกสาว มีลูกชายก็ตายจากลูกชาย มีผัวก็ตายจากผัว มีเมียก็ตายจากเมีย มีพ่อก็ตายจากพ่อ มีแม่ก็ตายจากแม่
ถ้าเรามีเงินถึงแปดหมื่น เก้าหมื่น ก็เป็นแต่ของกลางเท่านั้น ที่มี อยู่ในโลก เราตายเสียแล้ว ก็ทิ้งหมด
ถ้าเมื่อเรายังไม่ตาย จงมาพากันสร้างบุญ สร้างกุศลให้พอ เมื่อเรา ตายไปแล้ว บุญนั้นก็จะเป็นที่พึ่งของเรา เป็นที่อาศัยแก่เรา
บุญเกิดทางกายนั้นประการใด จะขยายให้เป็นพระสูตร
อะนะวัชชานิ กัมมานิ บุคคลเกิดมาในโลกนี้ ทำการงานปราศจาก โทษ มีแต่ประโยชน์ทั้งชาตินี้และชาตหน้า เป็นปัจจัยแก่เราผู้สร้างบารมี
หนึ่ง สร้างพระพุทธรูป สร้างพระเจดีย์ สร้างวัดวาอาราม โบสถ์ วิหารไนพระศาสนา ผู้ใดหากทำได้แล้ว ผู้นั้นเป็นผู้ประเสริฐ ไม่เสียที่ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา
ฉายาวะ เปรียบเสมือนเงาที่ติดตามตัวเราตลอดเวลา ตามธรรมดา เรานั่งเงาก็นั่ง เรานอนเงาก็นอน เราเดินเงาก็เดิน บุญกุศลที่เราสร้าง เอาไว้ ก็ห่อหัวใจของเราไว้
เรารับศีลห้าไว้ เรานั่งเราก็นั่งในศีลห้า เรานอนเราก็นอนในศีลห้า เราเดินเราก็เดินในศีลห้า
เรารับศีลแปด เราจะยืน เดิน นั่ง นอน ไปไหนๆ ก็ไปด้วยศีลแปด ทั้งสิ้น ศีลสิบก็เหมือนกันนั่นแหละ
ถ้าเรารับศีล ๒๒๗ นอนก็นอนในศีล ๒๒๗ เราจะยืน เดิน นั่ง นอน ก็อยู่ในศีล
เมื่อได้ พุทโธ แล้ว นั่งก็นั่งพุทโธ นอนก็นอนพุทโธ เดินก็เดินพุทโธ
ธัมโม เมื่อได้แล้ว นั่งก็นั่งธัมโม นอนก็นอนในธัมโม เดินก็เดิน ในธัมโม
สังโฆ ก็เหมือนกัน
เตสัง ตายแล้วทิ้งหมด เกสา ผมก็ไฟไหม้ เอามันไปไม่ได้ โลมา ขนก็ไฟไหม้ นขา เล็บตีน เล็บมือ ไฟก็ไหม้หมด ทันตา เขี้ยวครกตำหมาก สากตำน้ำพริก ไฟกินหมด ตะโจ กระดูกสามร้อยท่อน กระดูกแข้ง กระดูกขา กระดูกแขน กระดูกข้าง กระดูกคอ กระดูกคาง กระดูกเขี้ยว กระโหลกหัว ไฟก็กินหมด จะเป็นของเรานั้นไม่ได้สักอย่าง
นี้แหละนักธรรม นักกรรมฐานเจ้าทั้งหลาย ผู้ชายก็นักธรรม ผู้หญิง ก็นักธรรม ให้หมั่นพิจารณาว่า ถ้าทำบุญก็ได้บุญ ทำบาปก็ได้บาป ทำนาก็ได้ข้าวกิน เอาผัวเอาเมียก็ได้ลูกชายลูกสาว ค้ำชูพระพุทธศาสนา ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้แหละ
&&&&& ต่อตอน 2
หัวใจพระพุทธศาสนา
พระธรรมเทศนา ของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม
โพสท์ในลานธรรมเสวนา หมวดชีวิตกับธรรมะ กระทู้ 15497 โดย: มุก 21 มิ.ย. 48
ด้วยงานสัปดาห์หนังสือที่ผ่านมา บังเอิญดิฉันไปแวะ ร้านหนังสือเก่า ได้หนังสือมาหลายเล่ม หนึ่งในนั้น ก็คือ เล่มนี้ค่ะ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม พระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ในยุคปัจจุบัน โครงการหนังสือ บูรพาจารย์ เล่ม ๒ เรียบเรียงและจัดพิมพ์ โดย รศ.ดร.ปฐม-รศ.ภัทรา นิคมานนท์ เลยขออนุญาตคัดลอกมาอ่านกันนะคะ (ได้ขออนุญาต ท่านผู้เรียบเรียงแล้ว ส่วนองค์หลวงปู่ ลูกขออนุญาต ณ ตรงนี้เจ้าค่ะ)
โดย: มุก 21 มิ.ย. 48 - 16:28
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
จิตดวงเดียว แสดงเป็นสี่ดวง พระโสดาปัตติมรรค ก็จิตดวงเดียว พระสกิทาคามิมรรค ก็จิตดวงเดียว พระอนาคามีมรรค ก็จิตดวงเดียว พระอรหันตมรรค ก็จิตดวงเดียวนี้แหละ
ที่ว่าเป็นสี่นี้ ว่าตามธาตุตามวิญญาณ ธาตุก็สี่ วิญญาณก็สี่ได้ชื่อว่า จิตตานุปัสสนา กับ จิต แยกออกจากกันไม่ได้ หูกับจิต ออกจากกันไม่ได้
ส่วนตาไม่ใช่จิต เรียกว่า วิญญาณตา หู ก็ไม่ใช่ จิต เรียกว่า วิญญาณหู จมูกก็ไม่ใช่จิต เรียกว่า วิญญาณจมูก ปากก็ไม่ใช่จิต เรียกว่า วิญญาณปาก
จิตเราจะไปไหน ไปทำบุญหรือทำบาป ก็ต้องอาศัยวิญญาณตา จะดูรูปก็ต้องอาศัยตา จะฟังเสียงร้องรำทำเพลงเพื่อให้เพลิดเพลิน ก็ต้องอาศัยวิญญาณหูเป็นผู้ฟัง ว่าจะเพราะพริ้งเพียงใด
จิตเป็นผู้รู้ จะดมกลิ่นเหม็นกลิ่นหอม จิตเป็นผู้รู้ จึงใส่ชื่อว่า จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานัง
ตา กับ จิต ออกจากกันไม่ได้ ตายเมื่อใดพ้นเมื่อนั้น นี้แหละ ท่านทั้งหลาย
๑. จิตไม่ฆ่าสัตว์ จิตนั้นก็เป็นพระโสดาจิต สกิทาคามิจิต ก็เป็น อนาคามิจิต อรหันตจิต ก็เป็นพระพุทโธ จิตดวงเดียว
๒. จิตนั้นไม่ลักทรัพย์ จิตนั้นก็เป็นพระโสดา เป็นพระสกิทาคา เป็นพระอนาคา เป็นพระอรหันตา
๓. จิตออกบวช ขาดจากผัวจากเมียนั้น ก็เป็นพระโสดา เป็นพระสกิทาคา เป็นพระอนาคา เป็นพระอรหันตา
๔. จิตไม่ขี้ปด ไม่กล่าวมุสาวาท จิตนั้นก็เป็นพระโสดา เป็นพระสกิทาคา เป็นพระอนาคา เป็นพระอรหันตา
๕. จิตไม่กินเหล้า จิตก็เป็นพระโสดา เป็นพระสกิทาคา เป็นพระอนาคา เป็นพระอรหันตา
อันนี้อธิบายเป็นพระสูตร ขอให้นักธรรม นักกรรมฐานทั้งหลาย จงดูทุกพระองค์เถิด
ถ้าจะอธิบายเป็นพระปรมัตถ์ อยู่ที่หัวใจของเราทุกคน
๑. จิตไม่ฆ่าสัตว์ จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่ใจของเราทุกคน ทุกพระองค์
๒. จิตไม่ลักทรัพย์ จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่ใจของเราทุกคน ทุกพระองค์
๓. จิตออกบวช ขาดจากผัวจากเมีย จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่ใจทุกคน ทุกพระองค์
๔. จิตไม่ขี้ปด (มุสาวาท) จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่ใจทุกคน ทุกพระองค์
๕. จิตไม่กินเหล้า จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่ใจทุกคน ทุกพระองค์
พุทโธ เป็น ศีล พุทโธ เป็น ฌาน พุทโธ ก็เป็นนิพพาน อยู่ที่ใจของเรา ทุกคน ทุกพระองค์
ธัมโม เป็น ศีล ธัมโม เป็น ฌาน ธัมโม เป็น นิพพาน อยู่ที่ใจของเรา ทุกคน ทุกพระองค์
สังโฆ เป็น ศีล สังโฆ เป็น ฌาน สังโฆ เป็น นิพพาน อยู่ที่ใจของเรา ทุกคน ทุกพระองค์
เมตตา เป็น ศีล เมตตา เป็น ฌาน เมตตา เป็น นิพพาน อยู่ที่ใจของ เราทุกคน ทุกพระองค์
กรุณา เป็น ศีล กรุณา เป็น ฌาน กรุณา เป็น นิพพาน อยู่ที่ใจของเรา ทุกคน ทุกพระองค์
มุทิตา เป็น ศีล มุทิตา เป็น ฌาน มุทิตา เป็น นิพพาน อยู่ที่ใจของเรา ทุกคน ทุกพระองค์
จิตมีรูป จิตไม่รักรูป จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็น นิพพาน อยู่ที่ใจของเราทุกคน ทุกพระองค์
จิตมีเวทนา จิตไม่รักเวทนา จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่ใจของเราทุกคน ทุกพระองค์
จิตมีสัญญา จิตไม่รักสัญญา จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่ใจของเราทุกคน ทุกพระองค์
จิตมีสังขาร จิตไม่รักสังขาร จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่ใจของเราทุกคน ทุกพระองค์
พระองค์เจ้าพระคุณคือใคร? เจ้าพ่อของเรา เจ้าแม่ของเรา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทุกคน เกิดจากเจ้าคุณพ่อ หมายถึง พระเจ้าสุทโธทนะ เจ้าคุณแม่ หมายถึง พระนางเจ้าสิริมหามายา เป็นที่เกิดธรรมะอันประเสริฐ สูงสุด วิเศษสุด อยู่ที่ใจของเรา อันเกิดจากพระบิดา พระมารดา
ถ้าใครไม่เชื่อ เอาหมูมาเป็นเมีย ปีกุน แปลว่า หมู หมูดีกว่ามนุษย์ มนุษย์สู้หมูไม่ได้
หมูดีกว่ามนุษย์ ขาหมู มนุษย์ก็กิน แต่ขามนุษย์ไม่มีใครกิน หำหมูมนุษย์กิน แต่หำมนุษย์ไม่มีใครกิน หีหมู มนุษย์กิน หีมนุษย์ไม่มีใครกิน หีหมู คนปากไม่ชัด คือ ลิ้นไก่สั้นพูดอ้อแอ้ กินแล้วจะดีขึ้น
น้ำมันหมูเป็นสินค้าทั่วราชอาณาจักรไทย เป็นอาหารทั่วไป ไม่เลือกชาติไหน กินกันทั้งนั้น แต่น้ำมันมนุษย์ ไม่มีใครกิน
ขี้หมูเอามาทำปุ๋ยใส่นา ใส่ผัก ใส่สวน ได้ทั้งนั้น แต่ขี้มนุษย์ ไม่มีใครต้องการ
หัวหมู ตับหมู มนุษย์กิน หัวคนตายไม่มีใครกิน หัวหมู จมูกหมู ลิ้นหมู มันสมองหมู ต้มกินได้ทุกชาติ ปากคน ลิ้นคน มันสมองคน หัวคน ไม่มีใครกิน
ไส้หมู ทำเป็นไส้กรอกกินได้ ตับหมู พุงหมู กินได้ แต่ตับคน ไส้คน ไม่มีใครกิน
ขาหมูเป็นสินค้า ทำแปรงทาสีได้ทั่วไป แต่ ขน ผม ของมนุษย์ ตัดทิ้งเสียเปล่าๆ ไม่มีใครต้องการ
ผมของอุบาสก ต้องตัดเดือนละครั้งสองครั้ง เสียเงินครั้งละ ๔-๕ บาท ยิ่งเป็นผมของเจ้านายก็แพงขึ้นไปกว่านี้ แล้วก็ค่าน้ำมัน เดือนละขวด
เมื่อจะหมดบุญก็ต้องเสียเงินหลายพันบาท เมื่อตายไปไฟกินหมด
นี่แหละนักธรรมกรรมฐานทั้งหลาย ข้าพเจ้า พระอาจารย์ตื้อ หรือ หลวงปู่ตื้อ ขอถวาย ปัญญาวิปัสสนาญาณ ไว้ แสดงให้ ทั่วถึงกัน มีเจ้านาย ข้าราชการ อุบาสก อุบาสิกา เป็นต้น
ถ้าไม่จริงอย่างหลวงปู่ว่า ขอให้อมขี้มาเป่าหน้าเถิด
หนึ่ง ผู้เจริญฌานให้รู้จักฌาน ถ้าไม่รู้จักฌานจะนั่งเอาฌาน จนเอวหัก ก็ไม่ได้นิพพาน ตามความปรารถนา เมื่อจะหมดบุญก็ต้อง เสียเงินหลายพันบาท เมื่อตายไปไฟกินหมด
นี่แหละนักธรรมกรรมฐานทั้งหลาย ข้าพเจ้า พระอาจารย์ตื้อ หรือ หลวงปู่ตื้อ ขอถวาย ปัญญาวิปัสสนาญาณ ไว้ แสดงให้ ทั่วถึงกัน มีเจ้านาย ข้าราชการ อุบาสก อุบาสิกา เป็นต้น
ถ้าไม่จริงอย่างหลวงปู่ว่า ขอให้อมขี้มาเป่าหน้าเถิด
หนึ่ง ผู้เจริญฌานให้รู้จักฌาน ถ้าไม่รู้จักฌานจะนั่งเอาฌาน จนเอวหัก ก็ไม่ได้นิพพาน ตามความปรารถนา
สอง ผู้เจริญฌานให้รู้จักฌาน จึงจะได้นิพพาน เพราะฌาน กับนิพพานเป็นคู่กัน จะแยกออกจากกันไม่ได้ เหมือนเดือนกับ ดาว เดือนอยู่ที่ไหนดาวอยู่ที่นั่น
ที่ว่าการไม่รู้จักฌาน ไม่รู้จักนิพพาน เป็นอาการของจิต เรียกว่า โลกิยจิต
โลกุตตรจิต จิตจะรู้ฌาน เพราะ
โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผลเป็นฌานที่ ๑
พระสกิทาคามิมรรค พระสกิทาคามิผลเป็นฌานที่ ๒
พระอนาคามิมรรค พระอนาคามิผล เป็นฌานที่ ๓
พระอรหันตมรรค พระอรหันตผล เป็นฌานที่ ๔
ฌานเป็นที่อยู่ของพระพุทธเจ้า พระนิพพานได้แก่ใจของพระอรหันตเจ้า นั้นแล
ฌาน เหมือนเค้าต้นของผม นิพพาน เหมือนเส้นผม จึงจะ สมกันนะ
ที่หนึ่ง บริกรรม พุทโธ พุทโธ เป็น ศีล พุทโธ เป็นฌาน พุทโธเป็นนิพพาน
ที่สอง อุปจาระเป็นที่อยู่ของจิต ธัมโม เป็น ศีล ธัมโม เป็น ฌาน ธัมโม ก็เป็นนิพพาน
ที่สาม สังโฆ เป็น ศีล สังโฆ ก็เป็น ฌาน สังโฆ เป็น นิพพาน
ที่สี่ อนุโลมญาน จงดูลมหายใจเข้าออก โทสะ ทิฏฐิ ใจขี่โมหะ ทิฏฐิก็หมดไป ใจขี่โทสะ ใจเป็นอรหันต์ ใจขี่โมหะใจเป็นอรหันต์ ใจขี่ทิฏฐิ ใจนี้เป็นอรหันต์
ที่ห้า โคตระ อยู่ในรูปไม่ผิดรูป อยู่ในเวทนา ไม่ผิดเวทนา อยู่ในสัญญา ไม่ผิดสัญญา อยู่ในสังขาร ไม่ผิดสังขาร อยู่ในวิญญาณไม่ผิดวิญญาณ ใจเราก็เป็นพระนิพพาน
ที่หก โสดาปัตติมรรคก็ใจ โสดาปัตติผลก็ใจ สกิทาคามิมรรคก็ใจ สกิทาคามิผลก็ใจ อนาคามิมรรคก็ใจ อนาคามิผลก็ใจ อรหันตมรรคก็ใจ อรหันตผลก็ใจ
ละ อุปาทิเสสะนิพพาน กิเลสขาดจากสันดานหมดไป โมหะหมดไป ทิฏฐิกิเลสหมดไป ยังเหลือแต่ใจสะอาด ปราศจากกิเลส ขาดจาก สันดานหมด พระจันทร์เดินอยู่บนท้องฟ้านภากาศ ไม่มีอะไรทำลายได้
วาโยธาตุ แปลว่า ลม จากทิศทั้ง ๔ จะทำลายพระจันทร์ไม่ได้ ลมก็เป็นลม พระจันทร์ไม่แตกไม่ดับ พระจันทร์ก็อยู่อย่างนั้นแหละ
อาโปธาตุ แปลว่า น้ำ ฝนตกลงมา เม็ดเล็กเม็ดน้อยใหญ่ จะทำลายพระจันทร์ไม่ได้ เปรียบเหมือนที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ดังเช่น เปรียบกันได้กับใบบอนนั้น น้ำชำแรกแทรกไปในใบบอนย่อมไม่ได้ ถึงฝนจะตกลงมา ถูกต้องใบบอนสักเพียงไร น้ำฝนก็มิอาจแทรกซึม เข้าไปในใบบอนได้ฉันนั้น เพราะใบบอนไม่ดูดเอาน้ำเข้าไปเลย
เหมือนดังกับพระจันทร์ พระจันทร์เดินไปเมืองม่าน (พม่า) พวกม่านทั้งหลาย ทั้งน้อยและใหญ่พากันกราบไหว้พระจันทร์ พระจันทร์ก็เฉยๆ ไม่รับรองลิ้นของพม่า มาเป็นสรณะแต่อย่างใด
ไปเมืองมอญ พระจันทร์ก็เฉยเสีย พวกมอญจะติฉินนินทา ด่าว่าสิ้น ทั้งบ้านเมืองมอญ พระจันทร์ก็เฉยเสีย
นี่แหละนักธรรม นักกรรมฐานเจ้าทั้งหลาย จึงเรียกได้ว่า จบพรหมจรรย์ คือ
๑. ไม่ฆ่าสัตว์ เรียกพุทธพรหมจรรย์
๒. ไม่ลักทรัพย์ พุทธพรหมจรรย์
๓. ไม่เสพกาม เรียกว่า พุทธพรหมจรรย์
๔. ไม่ขี้ปด คือ กล่าวมุสาวาท เรียกว่า พุทธพรหมจรรย์
๕. ไม่กินเหล้า - สุรา เรียกว่า พุทธพรหมจรรย์
เปรียบเสมือนดวงจันทร์นั่นแหละ พระจันทร์ไม่ฆ่าสัตว์ พระจันทร์ไม่ลักทรัพย์ พระจันทร์ไม่เสพกาม พระจันทร์ไม่กล่าวมุสาวาท พระจันทร์ไม่ดื่มสุรา เรียกว่า จบพรหมจรรย์
เสียง จันทร์ กับ จรรย์ ออกเสียงเหมือนกัน จึงเอาเปรียบเทียบ เช่นนี้
พระอรหันตเจ้าทั้งหลาย นั่งก็นั่งอยู่ในนิพพาน นอนก็นอนอยู่ใน นิพพาน เดินก็เดินอยู่ในนิพพาน กินก็กินอยู่ในนิพพาน แต่ขันธ์ห้า ที่เป็นอุปาทานยังไม่ดับ
พระอรหันตเจ้าสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย จึงพาขันธ์ห้า ของคุณตาคุณยาย สะพายบาตรประกาศพระศาสนาอยู่ ๔๕ ปี เรียกว่า อุปาทิเสสะ เข้าพระนิพพานพ้นจากชาติกันดาร ไม่ต้องมี การเกิดอีกต่อไป
เตสัง วูปะสะโม สุโข เวทนาแตก เวทนาตาย สัญญาแตก สัญญาตาย สังขารแตก สังขารตาย วิญญาณแตก วิญญาณตาย
พระพุทธโคตมะไม่ได้ฆ่ารูป รูปก็แก่เฒ่า เวทนาก็แก่เฒ่า สัญญาก็ แก่เฒ่า วิญญาณก็แก่เฒ่า ใจเราเท่านั้นที่ไม่แก่เฒ่า
รูปัง อนิจจัง รูปเกิดขึ้นมาเป็นของไม่เที่ยง ยักย้ายผันแปรแตกต่าง กันไปมาเป็นธรรมดา จิตจะร้องขออย่างไร ก็ไม่รับฟัง
อกาลิโก อากาศธาตุ เขาเป็นอยู่อย่างนั้น
จักขุนทะริยัง ดูตาของเราซิ ตามันแตก ตามันลาย จะห้ามตาไว้ไม่ได้
โสตินทะริยัง ดูหูของเรา หูมันจะเฒ่า หูมันจะตาย ห้ามหูไว้ไม่ได้
ฆานินทะริยัง ดูรูดัง (จมูก) ของเรา จมูกจะเป็นหวัด คัดจมูก หรือ เป็นริดสีดวงจมูก เราจะห้ามไว้ก็ไม่ได้
ชิวหินทะริยัง ดูลิ้นของเรา ปากและลิ้น ก็เป็นหวัดเป็นไอ เดินก็ไอ กินข้าวก็ไอ กินน้ำก็ไอ ไอไปไอมา
อานาปานะ เป็นภาษาบาลี ภาษาไทย เรียกว่า ลม รูปก็เป็นลม เวทนาก็ลม สัญญาก็ลม สังขารก็ลม วิญญาณก็ลม หมดลมแล้ว เรียกว่า ตาย มีเงิน มีคำ มีแก้วก็ตาย ละเสียจากเงินทองเหล่านั้น มีลูกสาวก็ตายจากลูกสาว มีลูกชายก็ตายจากลูกชาย มีผัวก็ตายจากผัว มีเมียก็ตายจากเมีย มีพ่อก็ตายจากพ่อ มีแม่ก็ตายจากแม่
ถ้าเรามีเงินถึงแปดหมื่น เก้าหมื่น ก็เป็นแต่ของกลางเท่านั้น ที่มี อยู่ในโลก เราตายเสียแล้ว ก็ทิ้งหมด
ถ้าเมื่อเรายังไม่ตาย จงมาพากันสร้างบุญ สร้างกุศลให้พอ เมื่อเรา ตายไปแล้ว บุญนั้นก็จะเป็นที่พึ่งของเรา เป็นที่อาศัยแก่เรา
บุญเกิดทางกายนั้นประการใด จะขยายให้เป็นพระสูตร
อะนะวัชชานิ กัมมานิ บุคคลเกิดมาในโลกนี้ ทำการงานปราศจาก โทษ มีแต่ประโยชน์ทั้งชาตินี้และชาตหน้า เป็นปัจจัยแก่เราผู้สร้างบารมี
หนึ่ง สร้างพระพุทธรูป สร้างพระเจดีย์ สร้างวัดวาอาราม โบสถ์ วิหารไนพระศาสนา ผู้ใดหากทำได้แล้ว ผู้นั้นเป็นผู้ประเสริฐ ไม่เสียที่ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา
ฉายาวะ เปรียบเสมือนเงาที่ติดตามตัวเราตลอดเวลา ตามธรรมดา เรานั่งเงาก็นั่ง เรานอนเงาก็นอน เราเดินเงาก็เดิน บุญกุศลที่เราสร้าง เอาไว้ ก็ห่อหัวใจของเราไว้
เรารับศีลห้าไว้ เรานั่งเราก็นั่งในศีลห้า เรานอนเราก็นอนในศีลห้า เราเดินเราก็เดินในศีลห้า
เรารับศีลแปด เราจะยืน เดิน นั่ง นอน ไปไหนๆ ก็ไปด้วยศีลแปด ทั้งสิ้น ศีลสิบก็เหมือนกันนั่นแหละ
ถ้าเรารับศีล ๒๒๗ นอนก็นอนในศีล ๒๒๗ เราจะยืน เดิน นั่ง นอน ก็อยู่ในศีล
เมื่อได้ พุทโธ แล้ว นั่งก็นั่งพุทโธ นอนก็นอนพุทโธ เดินก็เดินพุทโธ
ธัมโม เมื่อได้แล้ว นั่งก็นั่งธัมโม นอนก็นอนในธัมโม เดินก็เดิน ในธัมโม
สังโฆ ก็เหมือนกัน
เตสัง ตายแล้วทิ้งหมด เกสา ผมก็ไฟไหม้ เอามันไปไม่ได้ โลมา ขนก็ไฟไหม้ นขา เล็บตีน เล็บมือ ไฟก็ไหม้หมด ทันตา เขี้ยวครกตำหมาก สากตำน้ำพริก ไฟกินหมด ตะโจ กระดูกสามร้อยท่อน กระดูกแข้ง กระดูกขา กระดูกแขน กระดูกข้าง กระดูกคอ กระดูกคาง กระดูกเขี้ยว กระโหลกหัว ไฟก็กินหมด จะเป็นของเรานั้นไม่ได้สักอย่าง
นี้แหละนักธรรม นักกรรมฐานเจ้าทั้งหลาย ผู้ชายก็นักธรรม ผู้หญิง ก็นักธรรม ให้หมั่นพิจารณาว่า ถ้าทำบุญก็ได้บุญ ทำบาปก็ได้บาป ทำนาก็ได้ข้าวกิน เอาผัวเอาเมียก็ได้ลูกชายลูกสาว ค้ำชูพระพุทธศาสนา ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้แหละ
&&&&& ต่อตอน 2