PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : รุกขเทพรอฟังครูบาอาจารย์สนทนา/หลวงตาบัว



*8q*
11-03-2008, 05:15 PM
เทศน์อบรมฆราวาส ณวัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช๒๕๕๐

รุกขเทพรอฟังครูบาอาจารย์สนทนาธรรมะกัน

จากกรุงเทพไปนครนายกจากนครนายกก็ไปถ้ำสาริกา ที่ได้ไปทางนู้นบ่อยๆก็เกี่ยวกับพ่อแม่ครูจารย์มั่นอยู่ที่ถ้ำสาริกาถ้ำสาริกาเป็นถ้ำที่พ่อแม่ครูจารย์มั่นจำพรรษาดูเหมือน ๓ พรรษาละมังอย่างนั้นละท่านอยู่ ไปหาอยู่ซอกแซกซิกแซ็กที่โลกเขาไม่ปรารถนา ท่านไปอยู่งูเหลือมกับท่านรู้สึกจะเป็นเหมือนว่าเป็นเพื่อนกันเลย คู่พึ่งเป็นพึ่งตายกันงูเหลือมใหญ่ถ้ำสาริกา ท่านเล่าให้ฟังว่าท่านกำลังนั่งฉันจังหันอยู่นี้งูเหลือมมันก็ออกมาข้างหลังท่าน ตอนฉันจังหันนะงูเหลือมตามธรรมดามันไม่ออกเที่ยวกลางวัน แต่ที่ถ้ำสาริกามันไปได้ทุกเวลา เลื้อยมาท่านนั่งอยู่นี่ พวกคนเขาตื่นเต้นกัน งูๆ งูเหลือมใหญ่ๆ ช่างหัวมันซิท่านว่าเราก็อยู่ของเรา เขาก็ไปของเขา เขาเลื้อยไปข้างหลังท่านนั่นแหละตอนจังหันอย่างนั้นนะ สัตว์มันก็ยังรู้จักที่น่ากลัวไม่น่ากลัว

ถ้ำสาริกา ทราบว่าท่านจำพรรษาที่นั่น ๓พรรษา เหมาะสมมากาเชียว ท่านไปอยู่ที่ไหนเป็นอย่างนั้นโลกเขาไม่ปรารถนาแต่ท่านไปอยู่ท่านไปได้ความแปลกประหลาดอัศจรรย์หลายอย่างนะอยู่ถ้ำสาริกาจิตรวมใหญ่เป็นครั้งแรกก็ถ้ำสาริกา กว่าจะขึ้นไปท่านถามทางที่จะขึ้นเขาพวกโยมแถวนั้นเขาห้ามไม่ให้ขึ้น ว่าถ้ำสาริกาพระตายได้ ๔ องค์แล้ว ท่านจะขึ้นไปทำไมเขาว่างั้น ท่านพูดถ่อมตนเสมอว่าจะขอขึ้นไป จนกระทั่งเขาว่านี่ท่านจะตายเป็นองค์ที่ห้าหรือ

องค์ที่เท่าไรก็ไม่ว่าแหละแต่ขอให้ขึ้นไปดูเสียก่อน น่าอยู่ก็อยู่ ไม่น่าอยู่ก็ลงเสีย ท่านว่าสุดท้ายเขาก็เลยต้องไปส่ง เพราะยังไงท่านก็จะขึ้นท่าเดียวเขาถามว่าท่านจะไปตายเป็นองค์ที่ห้าเหรอ องค์ที่เท่าไรก็ตามความเป็นกับความตายอยู่กับเราทุกคนนั่นแหละ ขอขึ้นไปดูเสียก่อนขึ้นไปเลยท่านอยู่เสีย ๓ พรรษา ท่านไม่เห็นเป็นองค์ที่ห้านั่นละที่ว่าผีใหญ่แบกตะบองมาจะฆ่า มาตีท่าน อยู่บนเขาลูกนั้นภายหลังมาถวายตัวเป็นศิษย์ ภูเขาแถวนี้ บริเวณของผีใหญ่ตัวนี้ครอบหมด นครราชสีมานครนายก เขาเป็นเจ้าอำนาจ เขาเป็นนายพวกผีทั้งหลาย

เวลาเข้ามาจะมาตีหลวงปู่มั่น เลยมาหมอบที่นั่นคืนนั้นไม่มีอะไรชนะธรรมได้ ธรรมเลิศเลอ จะเข้ามาตีท่านก็เลยอบรมสั่งสอนเลยยอมรับกราบเป็นลูกศิษย์ ทีนี้ลูกศิษย์ลูกหาที่อยู่ในเขตโคราชนครนายกที่ไหนบริเวณนั้น เขาเป็นใหญ่ทั้งหมดเมื่อเขาเป็นลูกศิษย์แล้วผีทั้งหลายก็เป็นลูกศิษย์ทั้งหมดท่านเล่าให้ฟังเองหลวงปู่มั่น

ความรู้ท่านพิสดารมาก เกี่ยวกับพวกเปรตพวกผีหลวงปู่มั่นเรา อันนี้คงจะเป็นลวดลายของโพธิสัตว์ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแหละติดมาทีแรกท่านปรารถนาพุทธภูมิ ท่านจะขอเป็นพระพุทธเจ้าเวลาภาวนาจิตจะเข้าด้ายเข้าเข็มเมื่อไร สายโพธิญาณจะผ่านมาพอผ่านมาท่านก็เสียดายโพธิญาณที่จะเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็ถอยเสียพอจิตจะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร สายโพธิญาณหากผ่านมาแต่ความต้องการจะพ้นทุกข์ยิ่งหนักเข้าๆ สุดท้ายก็ขอเปลี่ยนจากสายโพธิญาณไปเป็นสาวกพอเปลี่ยนแล้วจิตก็ผึงเลยท่านว่า อันนี้ยังไม่ได้รับลัทธพยากรณ์คือยังไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ใดทรงทำนายว่าผู้นี้จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในครั้งนั้นกัปนั้นๆ ท่านยังไม่ได้รับลัทธพยากรณ์จึงยังเปลี่ยนได้ ถ้าลงได้รับลัทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งองค์ใดแล้วอย่างไรก็เปลี่ยนไม่ได้ แน่ๆ


ท่านเคยปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นความรู้แปลกๆอันเป็นลวดลายของศาสดาจึงมีติดมา ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็จ้าเลยแม้เช่นนั้นก็ยังมีลวดลายติดมา ความรู้แปลกๆ ต่างๆ ท่านเห็นหมดนั่นแหละอย่างผีใหญ่แบกตะบองใหญ่มาจะมาตีท่าน ท่านยกธรรมขึ้นรับ...หมอบเลยแล้วบอกหมดบรรดาผีแถวนั้น เขาเป็นนายผี เลยยอมรับหมดเลย ท่านเห็นกระทั่งผีสอนกระทั่งผี

ผู้เชี่ยวชาญๆ ทางเปรตทางผี เทวบุตรเทวดาหลวงปู่มั่นนี่เชี่ยวชาญมากทีเดียว รองลงมาก็ท่านอาจารย์ฝั้น เก่งนะตอนนั้นท่านขึ้นไปเราเตรียมแล้วธรรมดาครูบาอาจารย์องค์ใดที่เป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่านไปกราบเยี่ยมท่านที่หนองผือเราจะจ้อตลอดเลย ครูบาอาจารย์องค์นี้ที่เป็นลูกศิษย์ของท่านๆ มาหาท่านแต่ละองค์ๆท่านจะปฏิบัติต่อท่านเหล่านี้อย่างไรบ้าง เราจะไม่หนีเลย ติดแนบ คอยสังเกตตลอดไม่ซ้ำกันนะลูกศิษย์ลูกหาองค์นี้มาท่านปฏิสันถารต้อนรับอย่างหนึ่งๆทั้งกิริยาภายนอกทั้งด้านอรรถธรรมภายในจะไม่เหมือนกัน

วันนั้นพอท่านขึ้นไปเราขึ้นไปอยู่ก่อนแล้วขึ้นไปท่านก็กราบลง พอกราบลงแล้วท่านยิ้มๆ เอ้อ มันหอมอะไรนาท่านว่างั้นนะท่านอาจารย์ฝั้น เอ มันหอมอะไรนาแต่ไม่ใช่ธูป ท่านว่างั้นทางนั้นตอบรับแล้ว เออ ใช่แล้ว นั่นเห็นไหม ท่านว่าใช่แล้ว แต่เรายังตาบอดอยู่ท่านยิ้ม เอ๊ นี่มันหอมอะไรนาแต่ไม่ใช่หอมธูป ทางนั้นท่านตอบแล้ว เออ ใช่แล้วเราก็จับเอาไว้ ได้โอกาสจะกราบเรียนถามท่าน


พอได้โอกาสก็กราบเรียนถามละที่นี่ที่ท่านอาจารย์ฝั้นท่านกราบแล้วท่านยิ้มๆ ว่าหอมอะไรนาแต่ไม่ใช่หอมธูปนั่นหมายความว่ายังไง โอ๊ย พวกรุกขเทพมาเต็มอยู่นั่นจะมารอฟังเทศน์ครูบาอาจารย์สนทนาธรรมะกัน นั่นท่านตอบ...หลวงปู่มั่นน่ะที่ท่านว่าใช่แล้วคือท่านรับกันแล้ว พวกรุกขเทพเต็มเลยแถวนั้นมาคอยฟังอรรถฟังธรรมท่าน ท่านตอบกันว่าใช่แล้วทางนี้ว่าหอมอะไรนาแต่ไม่ใช่หอมธูป..ท่านอาจารย์ฝั้น ทางนั้นว่า เออ ใช่แล้วพอได้โอกาสจึงถามท่านท่านว่าพวกรุกขเทพมารอฟังเทศน์

พระอะไรที่ไปขวางพระพักตร์พระพุทธเจ้าอยู่นั้นเทวดาเขาดูถูก เขาล้อมอยู่นั้นเขาอยากเฝ้าพระพุทธเจ้า อยากเห็นพระพุทธเจ้าทางนี้ยังเก้งก้างๆ อยู่ขวางหน้า ดูว่าเป็นพระอุปวาณะ จนท่านได้ไล่หนีพวกเทพเขาดูถูก เขายกโทษว่ามาขวางหน้าทำไม ไล่พระอุปวาณะนี้ออกพวกนั้นเขารอเฝ้าพระพุทธเจ้า อยากพบอยากเห็นอยากกราบไหว้ท่านแต่พระอุปวาณะเก้งก้างๆ ขวางหน้าอยู่นั้น พระพุทธเจ้าไล่ออก ทางนี้เห็นแล้วพวกเทพทางพระอุปวาณะยังไม่ได้เรื่อง ต้องถูกขับไล่ออก ต่างกันอย่างนั้นละคนเรา


ท่านอาจารย์ชอบก็เก่งอยู่ทางพวกเทวดาพวกเปรตพวกผี หลวงปู่ชอบเก่งอยู่นะ หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ชอบหลวงปู่ฝั้นนี่เด่นมากอยู่ จากนั้นก็หลวงปู่ชอบองค์เหล่านั้นท่านก็มีบ้างแต่ท่านไม่ค่อยพูด คือเป็นตามภูมินิสัยวาสนาแต่สำหรับท่านอาจารย์มั่นนี้ยกให้เลย เก่งมากรอบด้านคิดดูซิท่านว่าท่านมาอยู่หนองผือนี้ พวกเทวดาทั้งหลายมาฟังเทศน์ไม่มากไม่เหมือนอยู่เชียงใหม่ เชียงใหม่นี่ต้อนรับแทบทุกคืน พวกเทพจากสวรรค์ ๖ ชั้นมาท้าวมหาพรหมก็มา ท่านอยู่เชียงใหม่ แต่มาอยู่หนองผือนี้พวกเทพทั้งหลายไม่ค่อยมานานๆ มาที มาเป็นกาลเป็นเวลา เช่น วันวิสาขบูชาหนึ่ง วันเข้าพรรษาหนึ่งวันออกพรรษาหนึ่ง พวกเทพทั้งหลายจึงมาแต่อยู่เชียงใหม่ไม่เลือก

ท่านอยู่ในเขาลึกๆ ต้อนรับพวกเทพทั้งนั้นกลางคืนท่านไม่ได้ว่างท่านว่า ต้อนรับพวกเทพมาฟังเทศน์ท่านที่ท่านแสดงไว้ในตำราว่าประมาณ ๖ ทุ่ม แก้ปัญหาและเทศน์สอนเทวดา...พระพุทธเจ้านะแต่เวลาท่านพูดท่านว่า อ๋อ นั่นท่านพูดเป็นส่วนกลางเอาไว้ ถ้าที่สงัดประมาณ ๔ทุ่มมาแล้วท่านว่างั้น พวกเทพมาแล้ว คือสงัดเดี๋ยวนี้มันสุดวิสัยของพวกชาวพุทธเราที่จะรู้จะเห็นและเชื่อถือได้แต่ไม่สุดวิสัยสำหรับท่านผู้ปฏิบัติ เพราะสิ่งที่จะรู้จะเห็นมันรับกันอยู่ตลอดใครมีนิสัยสามารถปรับเข้าไปมันก็เห็นเลย เพราะสิ่งเหล่านี้มีอยู่ตลอดถ้าไม่มีมันก็ไม่รู้ ไม่มีเครื่องรับ เหมือนอย่างเขารับวิทยุกันทั่วโลกเดี๋ยวนี้ถึงกันหมด แต่ก่อนก็ไม่เคยได้ยิน เดี๋ยวนี้ถึงกันหมดแล้ว เมื่อมีเครื่องรับกันก็ถึงถ้าไม่มีเครื่องรับก็เหมือนไม่มี

แต่สิ่งเหล่านี้ท่านไม่ค่อยพูดกันนักต้องเป็นโอกาสที่ว่าเรื่องราวไปสัมผัสท่านถึงจะนำมาพูดบ้างเล็กน้อยที่ท่านพูดอย่างจริงอย่างจังก็พวกสมาธิ ปัญญา วิชชา วิมุตติท่านพูดตั้งแต่เรื่องจิตตภาวนา จิตก้าวเข้าสู่ขั้นใดภูมิใดท่านพูดแต่อย่างนี้สนทนาธรรมะกัน

*8q*
11-03-2008, 05:15 PM
วันนี้วันที่ ๒๑ ดูว่าวันที่ ๒๒ฟ้าหญิงท่านจะเสด็จ ประทับค้างคืนหนึ่ง วันที่ ๒๓ ท่านก็เสด็จกลับเราก็ไปเวียงจันทน์ ของเต็มศาลาแหละที่จะขนไปเวียงจันทน์เมื่อเช้านี้เดินผ่านเห็นเต็ม ของเขาเอามาเต็มไปหมดสงเคราะห์โลกก็สงเคราะห์อย่างนั้นแหละจะว่าอะไร มีอะไรสงเคราะห์กันไปๆเรานี่เรียกว่าแบหมดแล้ว เราไม่เอาอะไร มีแต่สงเคราะห์โลกทั้งนั้นได้มามากน้อยเท่าไรเปิดตลอดเวลา ที่จะกำอย่างนี้ไม่มี เราเองเราบอกตรงๆ เราไม่มีไปที่ไหนก็เพื่อสงเคราะห์โลกทั้งนั้นธาตุขันธ์อันนี้เมื่อยังพอเป็นไปอยู่ก็ต้องอาศัยกันเป็นธรรมดาตายไปแล้วก็ไม่ได้อาศัยคนอื่นอาศัยบุญกรรมของตัวเอง

ใครสร้างบุญสร้างกรรมไว้มากน้อยนี่ละจะเป็นที่พึ่งเป็นพึ่งตายของจิตดวงนี้ ได้ยึดได้เกาะอันนี้ละไปถ้าเป็นฝ่ายชั่วก็ดึงลงๆ ถ้าเป็นฝ่ายดีก็ฉุดขึ้นๆเพราะฉะนั้นนรกกับสวรรค์พรหมโลกนิพานจึงมีอยู่เหมือนกันทางนรกก็เป็นฝ่ายต่ำที่กิเลสฉุดลากลงไป ทำแต่ความชั่วช้าลามกตายแล้วก็ดิ่งลงเลยผู้ที่ทำความดีก็ทำแต่ความดี ตายแล้วบุญกุศลก็ฉุดขึ้นเลยเมื่อถึงที่สุดคือนิพพานก็ขาดสะบั้นไปเลยไม่มีอะไรเหลือ

นิพพานเป็นสิ่งที่สุดวิสัยแม้ที่สุดชาวมนุษย์เราชาวพุทธก็ไม่มีใครจะเชื่อ ไม่อยากเชื่อว่านิพพานว่าความพ้นทุกข์เป็นสิ่งที่สุดวิสัยไปหมดแต่ท่านผู้ปฏิบัติธรรมท่านกระหยิ่มยิ้มย่อง คว้าผิดคว้าถูกนิพพานเหมือนว่าอยู่ชั่วเอื้อมๆๆ กับผู้ปฏิบัติ มันเกี่ยวโยงถึงกัน มันดึงดูดถึงกันเพราะฉะนั้นเวลาท่านประกอบความเพียร ถึงขั้นนิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ นี้เรียกว่าเป็นความเพียรอัตโนมัติ ความเพียรอัตโนมัตินี้จะหมุนตัวไปเองแก้กิเลสแก้ไปเอง

แต่ก่อนกิเลสผูกมัดสัตว์โลก มันผูกมัดโดยอัตโนมัติของมันทุกตัวสัตว์ เอะอะกิเลสจะจูงๆทีนี้เวลาธรรมแก่กล้าด้วยการประพฤติปฏิบัติบำเพ็ญมาแล้ว ทีนี้ธรรมจะแก้นะแก้กิเลสพอถึงขั้นอัตโนมัติแล้วที่นี่แก้กิเลสเองไม่ต้องบังคับธรรมแก้กิเลสฆ่ากิเลสจะหมุนไปเองอย่างเดียวกันจนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นหมดแล้วก็ยุติเอง ให้พากันจำเอา เราพูดตรงๆเราถอดออกจากหัวใจเรามาพูดนะ เราไม่ได้โอ้ได้อวด ปฏิบัติธรรมธรรมเป็นของจริงผู้ปฏิบัติจริงทำไมจะไม่รู้จริงถ้าอย่างนั้นธรรมพระพุทธเจ้าก็เป็นโมฆะสอนโลกไม่เกิดประโยชน์ซินี่บรรดาสัตว์ทั้งหลายได้พ้นจากทุกข์เพราะธรรมพระพุทธเจ้ามีจำนวนมากขนาดไหนเมื่อเชื่อแล้วทำลงไป มันหากรู้ในตัวเองๆ

เวลากิเลสฉุดลากไปที่ไหนมีแต่กิเลสฉุดลากๆ ตะเกียกตะกายบึกบึนไปหลายครั้งหลายหน นานเข้าๆธรรมมีกำลังธรรมก็ค่อยฉุดลากละที่นี่ต่อจากนั้นไปธรรมมีกำลังมากแล้วธรรมฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ เคยได้ยินไหมคำนี้ เอ้าพูดเสียให้มันชัดถอดออกมาจากหัวใจมาพูดนะเวลาธรรมมีกำลังมากแล้วแก้กิเลสโดยอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติอยู่ที่ไหนฆ่าตลอด เหมือนกิเลสทำลายสัตว์โลกโดยอัตโนมัติของมันพอธรรมมีกำลังแก่กล้าแล้วทีนี้ฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติอยู่ที่ไหนก็ตามจะเป็นเรื่องแก้กิเลสทั้งนั้น

ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัสสัมพันธ์กับอะไรเพื่อแก้กิเลสทั้งหมด อยู่เฉยๆ ก็แก้จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดแล้วยุติเอง ธรรมจักรที่หมุนตลอดหมุนแก้กิเลสตลอดเป็นอัตโนมัติไม่มีใครบอก บางทีได้รั้งเอาไว้มันพิลึกพิลั่นมันดูดมันดื่ม ดูดดื่มที่จะพ้นจากทุกข์ ให้หลุดพ้นอย่างรวดเร็วนั่นละความเพียรเป็นอัตโนมัติ อย่างที่ท่านแสดงไว้ว่าพระโสณะท่านประกอบความเพียรจนฝ่าเท้าแตก เราเห็นในตำรา แต่เราก็ฟังเป็นธรรมดาจะว่าเชื่อก็ยังไม่ใช่ ไม่เชื่อก็ไม่แน่ใจ เวลาปฏิบัติไปๆถึงขั้นมันรับกันแล้วไม่ต้องบอกก็เชื่อเองที่ว่าพระโสณะท่านประกอบความเพียรเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก


คือฝ่าเท้านี่มันหนา หนังหนาทีนี้เดินไม่หยุดไม่ถอยก็ค่อยบางเข้าไปๆ ทะลุถึงเนื้อ นั่นเรียกว่าฝ่าเท้าแตกไม่ใช่มันแตกอย่างนี้นะ มันทะลุเข้าไป บางเข้าไปๆๆ แล้วก็ถึงเนื้อพอถึงเนื้อแล้วก็เรียกว่าฝ่าเท้าแตก เอายันกันเลยที่นี่ เราก็ไม่เคยคิดแต่ว่าเรามาเป็นในเราแล้ว เป็นอย่างนั้นนะถ้าลงได้เข้าทางจงกรมแล้วไม่รู้จักเวลาออก จนกระทั่งก้าวขาไม่ออกมันเดินเสียจนกระทั่งก้าวขาไม่ออกหมดกำลัง เอ้อ เอาละหยุด ไม่หยุดยังไงมันไปไม่ได้นั่นละเป็นเวลาหยุดเดินจงกรม จิตมันไม่ได้ออกไปนี่ มันจะหมุนอยู่ภายในฆ่ากิเลสกิเลสอยู่ภายในใจ ธรรมะอยู่ภายในใจฟัดกันอยู่ภายในใจ

เดินจงกรมนี่ตามืดนะเวลาเดินจงกรมไปเดินไปนี่ตามองไม่เห็น คือจิตไม่ออกมันหมุนอยู่ภายใน เดินซุ่มซ่ามๆเข้าป่า มีแต่เดินไปเฉยๆ ทางจิตกับกิเลสมันหมุนกันตลอด ฟังให้ชัดเสียนี่ถอดออกมาจากหัวใจมาพูด เวลาเดินจงกรมคนเขาไปเห็นเขาจะว่าบ้าละคือมันไม่สนใจกับร่างกาย ความเคลื่อนไหวร่างกายไปยังไงไม่สนใจมันสนใจอยู่เฉพาะระหว่างกิเลสกับจิตฟัดกันอยู่ภายในใจนั่น มันหมุนตลอดทีนี้ตามืดมัวมองไม่เห็น คือจิตเข้าข้างในแล้วตาก็ฝ้าฟางไปทีนี้เดินซุ่มซ่ามเข้าในป่า เอ้า ป่า ถอยออกมา เดินซุ่มซ่ามแล้วเข้าป่าอีกคือจิตไม่ออก มันหมุนอยู่ภายใน

นั่นละที่ว่าฝ่าเท้าแตกถ้าลงได้เข้าทางจงกรมแล้วไม่รู้จักออกจนกระทั่งก้าวขาไม่ออกนั่นละเป็นเครื่องตัดสินกัน มันเหนื่อยพอแล้วก็หยุดสักทีหนึ่งนี่ละพระโสณะท่านว่าประกอบความเพียรจนฝ่าเท้าแตกเชื่อทันทีเลยเพราะถ้าลงได้เดินจงกรมแล้วมันไม่หยุด จิตหมุนอยู่ภายในตลอดไม่สนใจกับเช้าสายบ่ายเย็นอะไร ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าไม่สนใจจนกระทั่งก้าวขาไม่ออกก็รู้ว่าเหนื่อยแล้วทีนี้วันนี้ก็เดินกลางคืนก็เดินกลางวันก็เดิน หลายวันหลายคืนมันจะไม่แตกได้ยังไงมันบางเข้าไปๆ

อันนี้ก็เราทำแล้ว แน่ะ มันเชื่อทันทีนะให้มันเป็นกับตัวเองมันเชื่อ ถ้าไม่เป็นกับตัวเองไม่เชื่อ นี่เป็นแล้ว ต้องขออภัยได้ดูฝ่าเท้านะเวลาหยุด มันเหนื่อยเต็มที่แล้วก็มานั่งมาฉันน้ำ ออกร้อนเหมือนไฟลนเอ๊ เป็นยังไงฝ่าเท้ามันแตกหรือ มองดูก็ไม่แตก แต่เอามือลูบคลำอย่างนี้ โอ๊ย เสียวเสียวเจ็บมันกำลังจะทะลุ เท่านี้ก็เป็นพยานแล้ว ฝ่าเท้าเราไม่แตกแต่ถ้ากิเลสไม่แตกมันจะแตกแน่ๆ นี่กิเลสแตกเสียก่อนฝ่าเท้าก็ฟื้นขึ้นมาท่านเอากระทั่งฝ่าเท้าแตกกิเลสยังไม่แตก อันนี้กิเลสแตกฝ่าเท้ายังไม่แตกแต่เป็นพยานกันที่ว่า มาลูบอย่างนี้มันเสียวหมด ฝ่าเท้ามันบางพอแล้ว บางที่สุดจากนั้นก็ทะลุถึงเนื้อ พอถึงเนื้อแล้วเขาเรียกว่าฝ่าเท้าแตก นี้ยังไม่ทะลุพอลูบคลำอย่างนี้เสียวเจ็บ กำลังจะแตก นี่คือความเพียรอัตโนมัติถ้าลงได้เดินจงกรมแล้วไม่รู้จักหยุดจนก้าวขาไม่ออก นั่นละตัดสินกันตรงนั้นไปไม่ได้แล้วก็พักเสียก่อน

นี่ละอำนาจของความเพียรอำนาจของธรรมถ้าลงได้ลากและจูงได้ฆ่ากิเลสแล้วไม่มีถอยเหมือนกัน เวลากิเลสมีอำนาจมันบีบหัวใจสัตว์โลกก็เหมือนกันเป็นไปทางกิเลสทั้งหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เอามาใช้เพื่อกิเลสทั้งหมดทีนี้เวลาเข้าเป็นธรรมแล้ว ธรรมมีกำลังแก่กล้า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเป็นเครื่องมือฟัดกิเลสทั้งนั้นฆ่ากิเลสทั้งหมด นั่นให้มันเห็นในเจ้าของมันก็หายสงสัยเอง ถ้าไม่รู้ไม่เห็นแล้วสงสัยอยู่นั้นแหละอย่างที่เราอ่านพระนิพพาน พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้พระนิพพานทรงแสดงเรื่องพระนิพพานออกมา ไอ้เรามีแต่หูหนวกตาบอดไปอ่านนิพพานนั้นมีพระพุทธเจ้าสอนไว้ แต่ไอ้ตาบอดนี้มันมีหรือไม่มีนาดีไม่ดีไม่มีไม่เชื่อ นั่นเห็นไหม บทเวลามันเปิดขึ้นแล้วมีมาตั้งแต่เมื่อไร นั่นมันเปิดขึ้นหัวใจมันก็ยอมรับพระพุทธเจ้า ถ้ายังไม่เปิดไม่ยอมรับ


ธรรมะพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆขอให้พี่น้องทั้งหลายปฏิบัติ ไม่มีกาลสถานที่ เวล่ำเวลา ท่านว่า อกาลิโกๆเป็นได้ทั้งฝ่ายกิเลสและฝ่ายธรรม กิเลสทำให้เกิดเมื่อไรได้ทั้งนั้นเกิดได้ธรรมจะทำให้เกิดให้มีได้ทั้งนั้น ท่านจึงเรียกว่า อกาลิโกๆไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาใดมาทำลายความเพียรของเราเพื่อความดีงามได้ทำชั่วก็ได้ชั่วตลอดไป ทำดีได้ดีตลอดไป พากันจดจำเอา เราก็ยิ่งแก่ลงไปทุกวันๆแทนที่จะห่วงตัวเองเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ เราพูดตรงๆ บอกเราไม่มี หมดโดยสิ้นเชิงแต่จิตมันอยู่กับโลก อยู่ด้วยความเมตตา เพราะฉะนั้นจึงไปโน้นไปนี้ ไปเพราะอะไรเพราะอำนาจความเมตตา มันหากดึงดูดเมตตา ไปที่นั่นไปที่นี่ช่วย เจ้าของไม่สนใจนะเป็นตายไม่สนใจ

*8q*
11-03-2008, 05:18 PM
นี่ถ้าหากว่าไม่มีประโยชน์แก่โลกแล้วไปแล้วนะนี่ จะอยู่หาอะไรอยู่แบกธาตุแบกขันธ์ พาอยู่พากินพาขับพาถ่ายพาหลับพานอนเป็นทุกข์ขนาดไหนกิเลสสิ้นจากใจแล้วใจไม่มีทุกข์ แต่มาแบกธาตุขันธ์ที่เป็นกองทุกข์รับผิดชอบอยู่นี้มันก็ทุกข์ สลัดปั๊วะเดียวไปเลย ทุกข์อะไรขาดสะบั้นลงไปเลยทุกข์ไม่มี นั่น แต่ก็ทนเอาเพราะเห็นว่าน้ำหนักที่ช่วยโลกนี้เป็นประโยชน์ยังมีอยู่ในธาตุขันธ์อันนี้ เอ้า ทนไปถ้าหากว่าธรรมดาแล้วเสมอกัน จากเสมอแล้วไปเสียดีกว่า แบกทำไมแบกธาตุขันธ์อันนี้ท่านทั้งหลายพิจารณาซิ เมื่อมันเป็นอย่างนี้ไม่ต้องไปถามใครละ มันเป็นอยู่ในใจนี้พระพุทธเจ้ากับใจดวงนี้เป็นอันเดียวกันเพราะฉะนั้นจึงว่าท่านผู้ใดได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาผางนี้อยู่ท่ามกลางแห่งพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายทันทีเลย นั่น ไม่ได้ว่าก่อนว่าหลังนะพอบรรลุธรรมปึ๋งเท่านั้นเป็นอันเดียวกันเลยไม่ว่าใครมาก่อนใครมาหลัง

ฝนตกจากฟ้าลงมหาสมุทรทะเลหลวงเป็นน้ำมหาสมุทรเหมือนกันหมดไม่มีฝนเม็ดไหนห่าไหนตกทีหลังจะตกก่อนตกหลังไม่มี เป็นแม่น้ำมหาสมุทรอย่างเดียวกันนี่จิตเมื่อเข้าถึงขั้นบริสุทธิ์แล้วก็เหมือนกัน ผางเข้าไปเท่านั้นอยู่ท่ามกลางพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายโดยถ่ายเดียว ในขณะนั้นทันทีเลยพากันจดจำเอา นั่งภาวนาสติเป็นสำคัญ อย่าปล่อยสติ เรื่องสตินี้เป็นพื้นฐานขอให้ตั้งสติรู้อยู่กับจิต เช่นเราบริกรรมพุทโธให้รู้อยู่กับพุทโธกิเลสจะเกิดไม่ได้ มันจะหนาแน่นขนาดไหนเกิดไม่ได้กิเลส สติครอบไว้หมดๆนี้เวลาสติครอบไปทุกวันทุกเวลาจิตใจไม่มีอะไรรบกวนค่อยสงบลงๆ พอสงบแล้วความสะดวกสบายปรากฏขึ้นมาจิตมีความแน่นหนามั่นคงเท่าไรความสะดวกสบายยิ่งหนาขึ้น สติยิ่งดีๆ กิเลสหมอบลงๆ สติสพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวงอย่างพระพุทธเจ้าสอนพระโมฆราชก็บอกเหมือนกัน สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทาสโต ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ ฟังซิทุกเมื่อพิจารณาโลกเป็นของสูญเปล่าถอนอัตตานุทิฏฐิความเห็นว่าเราว่าเขาซึ่งเป็นก้างขวางคอออกเสียจะพึงข้ามพ้นจากพญามัจจุราชเสียได้ นั่นให้มีสติ

สำคัญอยู่ที่สติการประกอบความเพียร ถ้าสติไม่ดีความเพียรก็ไม่ดีสติขาดปั๊บความเพียรขาดปุ๊บ ถ้าสติยังติดแนบกันอยู่กิเลสจะเกิดไม่ได้กิเลสจะหนาแน่นขนาดไหนเหนือสติไปไม่ได้ สติบีบบังคับ กิเลสมีอยู่ก็ไม่แสดงตัวต่อไปสตินี้ก็หนาแน่นขึ้นๆ กิเลสค่อยหมอบลงๆ ความสงบร่มเย็นความแน่นหนามั่นคงของใจความสุขความเจริญจะแน่นหนาขึ้นภายในใจ จากนั้นปัญญาออกกระจ่างแจ้งไปเลย คำว่าปัญญาๆพูดในแบบแผนในตำรับตำรา ถ้าเจ้าของไม่เห็นเองมันไม่ได้เชื่อสนิทใจละคนเราพูดพระนิพพานก็นิพพานเถอะน่ะ ถ้าจิตยังไม่เป็น พอจิตเป็นผางเท่านั้นหมอบราบพระพุทธเจ้านิพพานที่ไหน นั่น อยู่กับอันนี้เลย พระพุทธเจ้าองค์ใดก็ตามพระสาวกอรหันต์องค์ไหนๆ.นิพพานที่ไหนน่ะ อยู่นี้เป็นอันเดียวกันแล้ว ไปนิพพานที่ไหนนั่น พากันจำเอานะเอาละพูดเท่านั้นละเหนื่อย


(หมอสานิตย์และครอบครัว ๑,๐๐๐ บาทครับ)เอ้อ หมอสานิตย์ หมอมักจะหันเข้าสู่วัดสู่วาน้อยมากเราพูดจริงๆมันอาจจะมีอันหนึ่งแฝงอยู่ในใจ คือหมอเรียนวิชาทางสรีระศาสตร์ทางสรีระศาสตร์กับพระพุทธเจ้าวิชาไปแขนงเดียวกันแต่วิชาสรีระศาสตร์ของหมอนี้เขาเพื่อความแก้โรคแก้ภัย ประสาทส่วนต่างๆร่างกายส่วนต่างๆ อันไหนๆ ส่วนไหนทำงานยังไงๆ พวกแพทย์เขาเรียนทางนี้ส่วนพุทธศาสตร์เรียนเพื่อรู้กฎของมันโดยลำดับ ตั้งแต่อสุภะอสุภังป่าช้าผีดิบขึ้นไปถึงกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ปล่อยว่างพรึบหมดไป ต่างกันอย่างนี้คนหนึ่งเรียนเพื่อแก้กิเลส พุทธศาสนาเรียนสรีระศาสตร์เพื่อแก้กิเลสส่วนพวกหมอเขาเรียนนั้นเพื่อแก้โรคแก้ภัย ต่างกันอย่างนี้แต่ทีนี้อาจจะทะนงตัวว่าเรียนสรีระศาสตร์คล้ายกับพุทธศาสนาแล้วก็ว่าสูงไปแล้วอาจทะนงตัวก็ได้ที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับวัดกับวา ความจริงเป็นอย่างนี้ มันคนละโลกเรียนเท่าไรมากเท่าไรก็ตาม ก็เรียนเพื่อแก้โรคๆ ไม่ได้แก้กิเลสเหมือนเรียนสรีระศาสตร์ของธรรมนะต่างกันอย่างนี้



รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

http://www.luangta.com/ http://www.luangta.or.th/



ขอบคุนครับhttp://board.agalico.com/showthread.php?t=24173