**wan**
11-08-2008, 12:40 PM
http://www.dhammajak.net/board/files/_4_169.jpg
ศิลปะแห่งการรู้ซื่อ ๆ
หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ
วัดป่าสุคะโต อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ
โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 006003 โดยคุณ : ชูคลณ์ [ 8 ส.ค. 2545]
เนื้อความ
เป็นบทความจากวารสาร ร่มโพธิ์แก้ว ฉบับที่ 10 ปีที่ 2 พ.ศ. 2538 เป็นวารสารของกองทุนชี้ทางธรรม วัดสวนแก้ว ม.1 ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี 11140 โดยมี คุณปรีชา ก้อนทอง เป็นบรรณาธิการ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย กราบคารวะแด่ ่พระเถรานุเถระ เพื่อนสหธรรมิกทุกรูป เจริญในธรรม แด่ญาติ ิโยม สาธุชนทุก ๆ คน
เราก็มาฟังพูด ถ้าฟังแล้วจำเอา มันก็ได้ของปลอม ๆ ไป แต่การพูดการสอนนี้ ก็จำเป็น การพูดให้รู้ ให้จำมันง่าย สอนให้รู้นี่มันง่าย มีผู้สอนทั่วบ้านทั่วเมือง ที่เรานั่งอยู่นี้ก็มี แต่คนที่มีความรู้ทั้งนั้น รู้ดีรู้ชั่ว รู้ผิดรู้ถูก ทุกคนก็รู้อยู่ เช่นความโกรธ มันไม่ดี ความทุกข์ มันไม่ดี เราก็รู้อยู่ แต่เราก็ยังมีทุกข์ มีโกรธ ทีนี้ การสอนให้เป็นนี่ เราต้อง สอนตัวเราเอง สอนให้รู้เรียนจากคนอื่นได้ สอนให้จำง่าย สอนให้เป็น ต้องสอนตัวเอง
การพูดวันนี้ ก็ให้เป็นเพื่อน เป็นกัลยาณมิตรกันกับ พวกเราทุกคน แม้แต่ในเทศกาลนี้ โอกาสนี้ พวกเราก็มาเป็น กัลยาณมิตรกัน เพื่อที่จะร่วมกันทำ พากันกระทำ นี่เป็นสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง การสอนให้เป็นนี้ เราต้องสอนตัวเอง แม้แต่การฟัง การพูด ก็เป็นการกระทำอยู่ในตัวมันเอง เช่น เราเจริญสติ การเจริญสตินี้ ก็ขออย่าให้มีแนวร่วมอย่างอื่น ให้มีสติ บริสุทธิ์ มีสติซื่อ ๆ ตรง ๆ ให้มีความรู้สึกตัว ซื่อ ๆ ตรง ๆ รู้สึกที่กาย ซื่อ ๆ ตรง ๆ ให้มีสติเต็มที่ อย่าให้มีอะไรเป็น เบื้องหน้าเบื้องหลัง นั่นเรียกว่าสอนให้เป็น ให้สติมันท่องเที่ยว อยู่กับกาย กับรูป ให้สติมันเห็นจิตเห็นใจ เวลาที่มันคิดอย่า ให้มีอะไรมาขวางกั้น ให้โอกาสแก่สติเต็มที่ เกี่ยวกับกายนี้ รู้ซื่อ ๆ ตรง ๆ รู้บริสุทธิ์ วิธีใดที่เราจะมีความรู้ตัวอยู่ภายใน กาย เราก็หาโอกาสนั้น ให้มันซื่อ ๆ ตรง ๆ รู้ซื่อ ๆ แต่บาง คนไม่ใช่ บางคนและอาตมาหรือหลวงพ่อนี่ก็เหมือนกัน สมัยก่อน มันไม่รู้ซื่อ ๆ ตรง ๆ มันเผื่อมันก็ไปรู้อะไรอยู่ มันก็คิดไป ทำไมจึงทำอย่างนี้ มันเอาผิดเอาถูกเอาเหตุเอาผล ไปร่วมด้วย ทำอย่างนี้มันดี มันชอบมันไม่ชอบ ทำไมจึงทำ อย่างนี้ ถ้ารู้แล้วมันจะเป็นอย่างไร เช่น เรามีสติอยู่ เอ้..เรามี สติหรือเปล่า อันนี้เป็นสติหรือเปล่า อันรู้อยู่นี้เป็นสติหรือ ความคิดกันแน่ บางทีมันก็คิดไป ไม่รู้ว่าตัวสติมันคืออะไร มันก็เลยถูกแบ่งถูกแยกตลอดเวลา เอาเหตุเอาผลไปร่วม เอาผิดเอาถูกไปร่วมกับการกระทำ มันก็เลยไม่เต็มที่
รู้ รู้ รู้ รู้ รู้ รู้สึกตัว
ทำใหม่ ๆ นี้ อย่าเพิ่งไปเอาเหตุเอาผล ไปเอาผิดเอา ถูกจากความคิด อย่าไปเอาอย่างนั้น วิธีใดที่จะมีสติรู้กาย วิธีใดที่จะมีสติรู้จิตใจ ให้ตรงเข้าไป ตรงเข้าไป อย่าเพิ่งไป เอาผิดเอาถูก ถูกก่อนถูก ผิดก่อนผิด เป็นก่อนเป็น เห็นก่อนเห็น ไม่ใช่ มันจะผิดต่อเมื่อมันผิด มันจะถูกต่อเมื่อมันถูก มันจะเป็นต่อเมื่อมันเป็น มันจะเห็นต่อเมื่อมันเห็น ให้มีสติซื่อๆ อย่าเพิ่งไปเอาเหตุเอาผล อย่าเพิ่งไปคิด ต่อไปมันไม่ต้องคิดดอก เมื่อมีสติเห็นกาย มีสติเห็นจิตใจอยู่นาน ๆ มันจะเห็นเอง เขาไม่เรียกว่าคิดดอก เขาเรียกว่าธรรมวิจย เรียกว่า โยนิโสมนสิกการ มันแยกมันแยะ มันเกิดญาณ เกิดปัญญา ขึ้นเอง นี่เรียกว่าทำซื่อ ๆ เช่น เรายกมือ พลิกมือ ก็ให้รู้ซื่อ ๆ ไปก่อน ให้รู้สึกว่ายกมือขึ้น รู้สึกว่าพลิกมือขึ้น รู้สึกว่า ไหวไปไหวมา ที่จริงวิธีที่เราทำอยู่นี้ แต่ก่อนเขามีรูปแบบ แบบหนึ่ง เขาไม่ได้ทำเหมือนกับเราทุกวันนี้ ต่อมา หลวงพ่อเทียนได้มาประยุกต์ขึ้น สมัยก่อนเรียกว่า วิธีไหว-นิ่ง เช่น เอามือวางไว้บนเข่า พลิกมือขึ้น ก็ว่า ไหว-นิ่ง ไหว-นิ่ง ไหว-นิ่ง เขาบริกรรมไปด้วย มีคำบริกรรมมันไม่ซื่อ ๆ มันไม่ตรงมันยังมีคำบริกรรมมาขวางกั้นอยู่ หลวงปู่เทียน ก็เลยมาพัฒนาให้ไม่ต้องบริกรรม ให้รู้สึกเฉย ๆ รู้สึกตัวรู้สึก ก็ไม่ต้องว่านะ ให้รู้สึกเฉย ๆ รู้สึก ที่จริงมันก็รู้รู้ มันรู้ ลักษณะของความรู้สึกนี่มันรู้เฉพาะ มันไม่ใช่รู้จี้นะ มัน รู้ รู้ รู้ (หลวงพ่อยกมือทำตัวอย่างประกอบ) รู้ รู้ รู้อย่างนี้นะ ไม่ใช่จี้นะ แต่บางคนรู้จี้ไป รู้จี้ไป จี้ไป ตามไป ตามไป มันยาว ถ้าอย่างนั้นมันจะกลายเป็นสมถะไป บางทีก็อึดอัดขัดเคือง บางทีก็แน่น บางที่ก็ง่วง บางทีก็เครียดไปเลย รู้ซื่อ ๆ นี่ รู้อย่างยิ้มแย้มแจ่มใสนะ รู้ รู้ ถ้าจะนับ ดูก็มี หนึ่งรู้ สองรู้ สามรู้ สี่รู้ ห้ารู้ หกรู้ เจ็ดรู้ แปดรู้ เก้ารู้ สิบรู้ สิบเอ็ดรู้ สิบสองรู้ สิบสามรู้ สิบสี่รู้ มันรู้ เป็นรู้ เป็นรู้ นี่เป็นรู้อย่างบริสุทธิ์ อย่ามีอะไรเป็นแยก เป็นแยะ ให้ตัวรู้สัมผัสกับตัวกายจริง ๆ ให้สัมผัสกันจริง ๆ เมื่อมันรู้อย่างนี้มันจะชำนาญ มันจะต้อง ชำนาญแน่นอน ถ้ามันสัมผัส สัมผัส สัมผัส เหมือนกับมือที่เรา สัมผัสกับอะไรบ่อย ๆ มันก็ต้องชำนาญอย่างแน่นอน
ศิลปะศิลปิน หลวงพ่อเป็นศิลปะศิลปินในการดนตรีอยู่บ้าง เวลาเราเอานิ้วมือสัมผัสกับรูแคนรูขลุ่ย สัมผัสกับค้อน ที่ตีระนาด การสัมผัสจริง ๆ นี้ มันมีศิลปะของมันอยู่ในตัว เช่น นิ้วมือที่ไปสัมผัสรูแคนรูขลุ่ยนี้มันจะได้เสียงที่ไพเราะที่สุด ถ้าเรามีความกดกลึงเข้าไป มันจะจี้ เสียงมันจะไม่เพราะ ถ้าเราไปนับรูแคนนี้ มันจะย้อน ๆ หน่อยหนึ่ง นับรูขลุ่ย มัน จะย้อน ๆ หน่อยหนึ่ง ระหว่างนิ้วที่มันดีดพอดี ๆ กับเสียงที่เรา ต้องการพอดี ระหว่างค้อนที่มันไปถูกระนาดพอดี ๆ แทนที่จะตีเป็ง อย่างนี้ มันมีเสียงตรึง..ง เสียงมันเพราะ การมีสติสัมผัสกายซื่อ ๆ ตรง ๆ มันจะมีศิลปะของมัน ไม่ต้อง ไปหาเหตุหาผล มันจะรู้แบบบริสุทธิ์ รู้แบบสุขุม รู้แบบชัดเจน ถ้ามันได้สัมผัสกับความรู้สึกจริง ๆ มันจะเป็นศิลปะ มันจะ ชำนิชำนาญ มันจะรู้ที่ชัดเจนเข้าไป การสัมผัสกับกาย การมีความรู้สึกอยู่กับกายจริง ๆ นี้ มันไม่ใช้รู้เฉย ๆ มันก็เป็น งานพัฒนาของมันอยู่ในตัว หรืออุปมาเหมือนกับเรา ทำมาหากิน ถ้า เรารู้ไม่บริสุทธิ์ มันจะสิ้นเปลืองพลังงานมากนะ รู้แบบเอาเหตุเอาผล รู้แบบจี้ รู้แบบบังคับนั่น มันจะสิ้นเปลือง พลังงาน บางคนทำความเพียร เดินจงกรม ก็ดี นั่งสร้างจัง หวะก็ดี รู้สึกว่าหน้าตาบูดบึ้ง คร่ำเครียด มันหนักเกินไป ถ้าเรา ทำถูก ทำถูกมันไม่หนัก มันสดชื่น มันเบา มันสบาย มันลืม ลืมเวลา แต่บางคนนี้โอย.. พลิกแล้วพลิกอีกมันไปอยู่กับอะไร มันบังคับเกินไปมันไม่ซื่อ มันไม่ตรง มันจะเป็นสุข มันจะเป็น ธรรมตั้งแต่แรกแล้ว ความรู้สึกตัวนี่นะ มันจะจัดสรรของมันเอง ทำให้รู้สึกระลึกได้ชัดเจนไปตามลำดับ
อยู่ตรงกลาง ดูนอกดูใน ไม่เข้าไม่ออก
คนโบราณ เขาทำมาหากิน หลวงพ่อเคยไปกับโยมแม่ สมัยเด็ก ไปปลูกแตง ปลูกถั่ว เวลาฝนตกใหม่ ๆ เวลาโยมแม่ ่เอาเม็ดแตงเม็ดถั่วปลูกลงไป แม่จะพูดออกไปว่า คนกินเป็น บุญ นกกินเป็นทาน นกกินเป็นทาน คนกินเป็นบุญ มันสบาย ดี แต่ถ้าเราไม่รู้นะ ทำอะไรลงไป เราก็อาจจะคิดไป คิดไป จะได้ผล จะขาดทุน จะกำไร จะเสียหายอย่างไร มันสิ้นเปลือง พลังงาน บางทีก็นับวันเวลาไป เออ.. เรามาเท่านั้นเท่านี้วัน ยังไม่รู้ ไม่รู้ เป็นผู้ไม่รู้ไปแล้ว บางคนก็เป็นผู้รู้ไปแล้ว เข้าไปเป็นง่าย ๆ ถลำเข้าไปในความคิด ไปปรุงแต่ง ผลที่สุด ตัวสังขารมันปฏิบัติธรรม ตัวหลงมันปฏิบัติธรรม ปฏิบัติอยู่ก็ยังหลงอยู่ รู้แล้วไม่รู้แล้ว อยู่กับความรู้ อยู่กับความไม่รู้ อยู่กับความผิด อยู่กับความถูก ถ้าเข้าไปอยู่ มันจะเห็นได ้อย่างไร มันก็เลยอยู่ในถ้ำ หลวงปู่เทียนท่านสอนพวกเรา สมัยที่หลวงพ่อปฏิบัติใหม่ๆ หลวงปู่เทียนท่านให้เข้าไป ในกุฏิหลวงปู่เทียนก็บอกว่า เอ้า.. ปิดประตู ปิดประตู หลวงพ่อ ก็ปิดประตู ท่านก็ถาม เห็นข้าง นอกไหม เห็นข้างนอกไหม ไม่เห็นครับ ทำอย่างไร จึงจะเห็น ข้างนอกและข้างใน เปิด ประตูหลวงพ่อ เอ้า..เปิดประตูซิ ก็เปิด ประตูออกมายืน อยู่ตรง กลางประตู ระหว่างกลางประตู หลวงปู่ ู่เทียนก็ถามว่า เห็นข้าง นอกไหม เราก็บอกว่าเห็น เห็นข้างในไหม เห็น ทำอย่าง นี้นะ ให้ทำอย่างนี้นะ ว่าแล้วท่านก็หนีไป มันคืออะไร ก็คือ ให้รู้ซื่อ ๆ นี่แหละ อย่าเข้าไปอยู่ อย่าไปเอา อย่าไปเป็น เป็นผู้ผิด เป็นผู้ถูก เป็นผู้ได้ เป็นผู้ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นมัน ก็เหมือนกับมีม่านมาขวางกั้น มันไม่ซื่อมันไม่ตรง มันไม่เปิด ออก มันไม่เปิดเผย ไม่เปิดเผย
สติล้วน ๆ ไม่เอา ไม่เป็น
ลองทำดูซิ ให้รู้ซื่อ ๆ ก้าวไปทีละก้าว ก็รู้ซื่อ ๆ อย่าไป เอาผิดเอาถูก อย่าไปเอาได้ อย่าไปเอาเสีย ไม่มีเสีย ไม่มีได้ ไม่มีผิด ไม่มีถูก ถ้าเป็นสติล้วน ๆ นะ มันไม่มีถูก ไม่มีผิด มันไม่รู้ มันไม่มีไม่รู้ มันจะมีแต่สติล้วน ๆ ให้สติมีโอกาส เต็มที่ เหมือนกับเราปลูกข้าว ถ้าปลูกไม่เป็น มันก็ไม่ค่อยขึ้น เหมือนกันนะ ถ้าปลูกข้าว ปลูกพริก ปลูกมะเขือ ปลูกผล หมากรากไม้ นี้ถ้าปลูกไม่เป็นมันก็ขึ้นยาก รากมันก็ไม่ค่อย งอกง่าย ถ้าเราปลูกเป็นนี้มันเหมาะ มันเหมาะเจาะ มันเหมาะ สม มันสมดุล มันก็ออกราก ตั้งต้นดี ถ้าเราปลูกไม่เป็น มันก็ ็ขาด พอจะแตกรากออกมา เดี๋ยวก็รากขาด ลมพัดง่อนแง่น คลอนแคลนอยู่เรื่อย ตั้งต้นใหม่ ตั้งต้นใหม่อยู่เสมอ ผลที่สุด ก็ไม่งอกงาม นี่ให้เราทำดู นี่สอนให้ทำ ไม่ใช่สอนให้รู้ สอนให้ทำนะ พวกเรามาอยู่กันที่นี่ ต้องพยายามทำ ทำซื่อ ๆ ตรง ๆ มีตัวอย่าง สมัยหนึ่ง หลวงพ่อกลับจากสิงคโปร์ มาแวะที่หาดใหญ่ก็มีคนนำฝรั่งคนหนึ่งเข้าไปหา ฝรั่งคนนั้นก็บอกกับ หลวงพ่อเลยว่า อย่าสอนผมนะ หลวงพ่ออย่าสอนผมนะ หลวงพ่อสั่งให้ผมทำดีกว่า ผมรู้มามากแล้ว อย่าสอนผม ให้ผม ทำดีกว่า ดูซิ ฝรั่งเขาพูด หลวงพ่อก็รู้สึกว่า โอ..ดี เหมือนกัน ก็บอกเขา ให้เขาเริ่มต้นแบบนี้แหละ กรรม กรรมคือการกระทำ ให้รู้สึก พลิกมือขึ้นรู้ไหม รู้ ยกมือขึ้น รู้ไหม รู้ รู้นะ รู้ ก็ให้เขา ทำอยู่นั่นราว 30 นาที ต่อจากนั้นก็พาเขาเดิน เดินก้าวไปให้ รู้นะ เขาก้าวไปทีใด หลวงพ่อก็เอามือเคาะแขนเขา รู้อย่างนี้นะ รู้อย่างนี้นะ ก้าวไป ก็ให้รู้อย่างนี้นะ รู้ รู้ รู้สึก ให้เดินดูสัก 30 นาที ก็เรียกเขามานั่ง ให้เขายกมือสร้างจังหวะอีก เขาได้สัมผัส กับความรู้สึก ตัวสัมผัสกับสติอยู่กับกาย ก็ถามเขาว่า เมื่อกี้นี้คุณมีสติอยู่กับกาย จิตใจของคุณคิดไปทางอื่นไหม ไม่คิด อยู่ตรงนี้ รู้ตรงนี้ รู้ตรงนี้ ถ้ารู้อย่างนี้ คุณเคยรู้อยู่อย่าง นี้นาน ๆ ไหม 1 วันเคยไหม ไม่เคย ชั่วโมงหนึ่งเคยรู้ไหม ไม่รู้ ก็เพิ่งมารู้เดี๋ยวนี้ หลวงพ่อสอน นี่ จุดนี้เป็นจุดที่เราบก พร่องกันอยู่ ในหมู่พุทธบริษัท จุดอื่นไม่บกพร่องกันหรอก มันบกพร่องจุดนี้แหละ พุทธศาสนาเกิดขึ้นตรงนี้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็เกิดขึ้นตรงนี้ คือ คุณนั่นแหละ คือคุณธรรม ต้องให้กำเนิด ให้กำเนิดตรงนี้ ตรงนี้เป็นที่เกิด ของพุทธภาวะคือภาวะที่รู้ รู้เข้าไป อย่าทำลาย อย่าทำลายภาวะ อันนี้
เราจึงสมควรที่จะมีโอกาสอย่างนี้ มีสถานที่อย่างนี้ ไม่ใช่เราทำเป็นแฟชั่น ไม่ใช่เราโฆษณา จะทำอย่างอื่นมัน ไม่ถูก พิธีรีตอง ทำบุญ ทำทาน เข้าปริวาสอะไรต่าง ๆ มันไม่ ่ถูก วิธีที่จะให้มันถูกกับความรู้สึกจริง ๆ มันต้องทำ ทำอย่างนี้ ต้องชวนกันมาทำอย่างนี้ ต้องมาอยู่อย่างนี้ เรียกว่า กิจกรรมของ พระศาสนาต้องเริ่มด้วยวิธีนี้ เราปฏิเสธวิธีนี้ไม่ได้ ต้องมีสถานที่ ต้องมีสิ่งแวดล้อม ต้องชวนกันมา ต้องมาทำอย่างนี้ ตอนเช้า ตอนเย็น ก็พูดประกอบ มีการพูดประกอบ มีการกระทำ ประกอบ เพื่อให้มันได้สิ่งแวดล้อมที่ดี ๆ นี่ เราจึงพากันมา ทำแบบนี้ แม้แต่หลวงพ่อพูดอยู่เดี๋ยวนี้ ก็ไม่ใช่ฟังแล้วจำ แต่ให้ฟังแล้วทำ ฟังแล้วกระทำ ทำอยู่ในกายในใจของเรา สัมผัสอยู่กับตัวเรา พอหลวงพ่อพูดว่าสติ เราก็รู้ โอ.. รู้สึก รู้สึกไปกับการได้ยิน สิ่งที่หลวงพ่อพูด ก็มีอยู่กับเรา อยู่กับตัวเรา ทุกคน มันมีอยู่กับเรา คล้ายกับว่า ยิ่งหลวงพ่อพูดเรา ก็ยิ่งเห็น ตัวเรา เห็นอะไร เห็น เห็นในสิ่งที่หลวงพ่อพูด เช่น ความรู้สึก เราก็มีความรู้สึก อยู่เฉยๆ ก็มีความรู้สึก ถ้าเราชำนาญนะ อาจจะไม่ต้องยกมือเคลื่อนไหวก็ได้ นั่งอยู่เฉย ๆ ก็มีความรู้สึก กระพริบตาก็รู้สึกได้ หายใจก็รู้สึกได้ ตัวรู้ที่ไปรู้การกระพริบ ตาก็เป็นความรู้สึก คือสติ ตัวรู้ที่ไปรู้ลมหายใจ ก็เป็นความรู้สึก คือสติ ความรู้ที่กระดิกนิ้วมือ ก็เป็นความรู้สึก คือสติ อยู่เฉยๆ ก็เป็นสติ อยู่ที่ไหนก็เป็นสติ แม้แต่อยู่เฉย ๆ นั่งอยู่เฉย ๆ ก็เป็น ความรู้สึกตัว
กัลยาณมิตร บัณฑิตภายใน นำไปสู่มรรค สู่ผล
นี่ การที่หลวงพ่อพูดนี่ ขอให้เสียงนี้เป็นกัลยาณมิตรกับเรา สติก็เป็นกัลยาณมิตรกับตัวเรา ให้คบ คบกับสิ่งเหล่านี้ คบ บัณฑิต คบบัณฑิต ก็ไม่ใช่คบกับคนนั้นคนนี้ อันนั้นก็ดี เป็น บัณฑิตภายนอก แต่บัณฑิตภายในจริง ๆ ก็คือ ความรู้สึกตัวนี้ เราพยายามคบดูสิ สัก 7 วัน เราก็คบมาหลายวันแล้ว เรียกว่า คบบัณฑิตรู้ซื่อ ๆ รู้ตรง ๆ เห็นไหม ตอนที่พระพุทธองค์ แสดง ธรรมปฐมเทศนาให้ปัญจวัคคีย์ฟัง โกณฑัญญะพราหมณ์เห็นธรรม ได้ดวงตาเห็นธรรม ได้มาเป็นพระสงฆ์รูปแรก สองสาม วันต่อมา วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ อัสสชิ ก็ได้ดวงตา เห็นธรรม พอพระพุทธเจ้าแสดงธรรมปฐมเทศนา ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ก็ชี้ ก็พูดเรื่องทางกามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค เป็นทางสุดโต่งไม่ควรเดิน มัชฌิมาปฏิปทา คือทาง ทางเดินของใจ ทางเดินทางใจเรียกว่า มรรค มรรคก็คือความ รู้สึกตัวนี้ ความรู้สึกตัว ตัวดู ตัวเห็น ตัวรู้อยู่นี่ เรียกว่ามรรค ผู้ใดมีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ ผู้นั้นกำลังเดินทาง ทางใจกำลัง เป็นมรรค หรือเป็นยาน ก็กำลังนั่งอยู่บนยาน กำลังพาไป ยาน ก็คือมรรค พอพูดเรื่องนี้ไป โกณฑัญญะพราหมณ์ก็ทำไปด้วย รู้ไปด้วย ในที่สุดก็แสดงถึงอนัตตลักขณสูตร รูปนี้เที่ยงไหม ไม่เที่ยงสิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็น ทุกข์ควรหรือที่จะไปยึดไปถือเอา มันไม่ใช่บอกหรอกมันเห็น สอนให้เห็น ว่าโดยความเป็นจริงก็คือ ตัวเรานั่นแหละสอน ตัวเรา สอนตัวเรา สอนให้เป็น สอนให้รู้นั้นคนอื่นสอนให้ แต่สอนให้เป็นตัวเราต้องสอนตัวเราเอง เป็นแล้วหรือยัง มีความรู้สึกไปในกายเป็นหรือยัง หัดมันไหม เราเดินอยู่รู้สึก รู้สึก บางทีมันคิดไป พอมันคิดไปเราทำอย่างไร ก็มีสติ ให้มีสติ กำหนด รู้กายที่มันเคลื่อนไหวอยู่นี้ เวลามันมีสติมันยังคิดอยู่ หรือ มันแก้ได้ไหม มันเปลี่ยนได้ไหม มันเปลี่ยนได้ พอมีสติทีใด ความคิดมันก็หยุด ก็มารู้ที่กายเคลื่อนไหวอยู่นี้ นี่ มันเป็น มันคิดไปทีหนึ่งก็รู้มาทีหนึ่ง พอรู้ นั่นก็คือการสอนตัวเรา ถูก สอนบ่อย ๆ มันคิดเท่าไรก็ยิ่งดี แต่บางคนไปเอาถูกเอาผิดกับ ความคิด พอมันคิดไป ก็ผิดแล้ว ถ้าอย่างนั้นไม่ถูก พอมันคิด เห็นมันคิด ไม่ใช่ผิดไม่ใช่ถูก มีแต่เห็น เห็นมันคิด รู้ว่ามันคิด พอรู้สึกว่ามันคิด เรื่องทุกอย่างมันก็จบ ต่อรู้ว่ามันคิด มันก็ ชำนาญขึ้น
ภาวะที่รู้ว่ามันคิดนี้ เห็นอยู่บ่อย ๆ เห็นอยู่บ่อย ๆ มันจะมี ศิลปะ เหมือนกับเราเห็นหน้าเห็นตากัน เห็นกันครั้งหนึ่ง อาจ จะลืมๆหลงๆไป ให้เห็นหลายครั้งหลายคราว หลายหน มัน ก็รู้กันหละ คุ้นเคยกัน รู้กัน ไม่ใช่รู้เฉย ๆ นะ รู้น้ำใจ รู้นิสัย เป็นเพื่อนเป็น มิตรกัน อย่างไรควรคบ ควรไม่คบอย่างไร นี่..ความรู้สึกตัวนี้เช่น บางคนเห็นความคิด ก็เข้าใจว่าตัวเองผิด พอมันคิดไป ผิดแล้ว อันนั้น เป็น เป็นผู้ผิด มันไม่ถูก เหมือน หลวงพ่อสมัยไปปฏิบัติใหม่ ๆ อยู่วัดภูเขา บ้านบุโฮม บ้าน หลวงปู่เทียน สมัยนั้นหลวงปู่เทียนท่านให้ไปอยู่ที่นั่น มีผู้ ปฏิบัติหลาย ๆ คน มีพระองค์หนึ่ง เดินจงกรมอยู่ด้วยกัน เดินไป มันเป็นภูเขา หลวงพ่อรูปนั้นเดินต่ำกว่า หลวงพ่อ ที่นั่งอยู่นี่ หลวงพ่อรูปนั้นเดินเหนื่อยก็เลยนั่ง หลวงพ่อ ก็เห็นท่านนั่ง แต่หลวงพ่อยังเดินอยู่ หลวงพ่อได้ยินเสียงแป๊ะ แป๊บ เอารองเท้ามาตีหัวตัวเอง นั่งอยู่เอารองเท้าแตะมา ตีหัวเองดัง แป๊ะ โป๊ก ก็เดินไปหา ถามว่า หลวงพ่อทำอะไร หลวงพ่อรูปนั้นก็พูดว่ามันคิดอะไร ไม่รู้ว่ามันคิดอะไรนักหนา ไอ้บ้านี่ ไอ้ห่านี่ เอารองเท้ามาตีหัวตัวเอง นั่นมันไม่ใช่เห็นแล้ว มันเป็นไปแล้ว เอาผิดกับตัวเอง ทำเท่าไรก็ไม่รู้นะ ถ้าทำอย่าง นั้นนะ มันจะไปอยู่กับอะไร พลัดถิ่นอยู่เรื่อย ๆ เหมือนกับปลูก ข้าวแล้วถอนอยู่เรื่อย ๆ รากมันก็ไม่งอก เราปลูกข้าวที่มันลอย น้ำขึ้นมา เพื่อนเขาถอดหางไก่*เขียว งามดีแล้ว* ( ข้าวถอด หางไก่ = ข้าวที่ปักดำแล้วถอดยอดใหม่ ) นี่ยังเหลืองจ๋องอยู่ มันก็ไม่เป็นผล เพราะฉะนั้นเวลามันคิด อย่าไปเอาผิดเอาถูก ให้เห็นซื่อ ๆ ความคิด ก็เป็นประโยชน์ เราจะได้เห็นมัน มันไม่ใช่ผิดอะไรดอก ความคิดเกิดขึ้นแล้ว ดี เราจะได้เห็น ภาวะรู้สึก นี่ อือ..ม์ รู้สดชื่น เห็นมันสุข เห็นมันทุกข์ ก็ อือ..ม์ เห็นมันร้อนก็ อือ..ม์ เห็นมันหนาว ก็อือ..ม์ นี่เป็นวิปัสสนาน้อย ๆ วิปัสสนาน้อย ๆ กำลังเกิดขึ้น
อย่างนี้ไม่ใช่นักกรรมฐาน
ถ้าเป็นผู้ผิด เป็นผู้ถูก มันเป็นภพเป็นชาติอยู่ มันยังหลง ถ้าจะว่าแล้ว มันยังหลงอยู่ไม่ใช่รู้ ตัวรู้นี่นะมันจะเป็นกลางที่สุด ไปประกอบกับอะไรก็ได้ มันจะเป็นกลางที่สุด เป็นธรรมที่สุด ใช้กับอะไรก็ได้ ไม่ใช่จะไปเอาผิด ผิดไม่ชอบ ถูกเราจึงชอบ รู้เราจึงชอบ ไม่รู้เราไม่ชอบ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ถ้าเป็นอย่างนั้น ตัวรู้ไม่เจริญ ถูกตัดถูกแบ่ง ถูกแยกอยู่เสมอ ตัวรู้มันไม่เจริญ เข้าใจไหมโยม ที่หลวงพ่อพูดนี่ เป็นไหม เป็นไหมโยม ที่หลวงพ่อพูดอยู่นี้ เวลามันรู้เราก็พอใจใช่ไหม เวลามันไม่รู้ ก็หน้าเง้าหน้างอ ไม่สบายใจ เวลาใดมันผิด ก็อือ..ม์ ไม่สบายใจ เวลาใดมันถูกอือ..ม์อย่างนี้ดี หลวงพ่อเคยไปถาม ไปสอบอารมณ์ สมัยก่อน ที่อยู่ป่าสุคะโต มีคนไปปฏิบัติมาก ไปถามผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นอย่างไรหนู ฮือ..วันนี้หนูแย่ ไม่รู้ว่ามันคิดอะไร มันเครียดไปหมดเลย ไม่เหมือนเมื่อวานนี้ วันนี้หนูไม่ไหว ๆ ๆ หลวงพ่อก็บอกว่า เอ้ย..พูดอย่างนี้ไม่ ใช่นักกรรมฐานหรอก พูดใหม่ดูซิ เขาก็คิด ก็พูดใหม่ว่า อือ..วันนี้หนูเห็นมันคิด เห็นมันคร่ำเครียด เออ..ถ้าพูดอย่าง นี้ใช้ได้ หนูเห็นมัน ประโยคก่อน เขาเป็น เขาก็ฉลาดขึ้นมา เขาเห็น เห็นอะไร เห็นมันเครียดเห็นมันคิด คำว่าเห็นนี่ใช้ได้ คำว่าเป็นนี่ใช้ไม่ได้ เข้าใจไหมโยม เข้าใจบ้อ..
พวกเราเป็นหรือว่าเห็น แยกตรงนี้นะ วิปัสสนาจะแยก ตรงนี้ กำลังถลุงแล้ว กำลัง ย่อยออก กำลังสลาย ย่อยออก สลายออก เป็นสุญญตา จนทำให้ไม่มีตัวไม่มีตน วิธี ที่เราจะเข้าสู่มรรค ผล ต้องไปทางนี้นะ มันมีอยู่ในตัวเรา มันบอกเส้นทางเรา มรรคก็แน่นอนอยู่แล้ว มรรค ก็คือดู คือเห็นนั่นแหละโยม มันมาให้เราดู มาให้เราเห็น เห็นไหม สิ่งที่เกิดขึ้นกับกาย ทางกายก็มี ทางใจก็มี เรื่องทางใจที่มัน มาให้เราดู เยอะแยะมันยินดี มีไหม ห้าหกวันนี้ เคยเห็นความยินดีไหม มีสุขเคยเห็นไหม มันทุกข์เคยเห็นไหม มันมาให้เรา เห็น เห็นไหม พอใจ มีไหม ไม่พอใจ มีไหม เห็นไหม นี่ มรรค ถ้าเห็นเป็นมรรค ไม่ใช่มัก*นะ ( มัก = ภาษาอีสาน เพี้ยนเสียง หมายถึง ชอบ รัก พอใจ ) ถ้าเห็น จึงจะเป็นมรรค นั่นแหละมรรค มรรค มัชฌิมาปฏิปทา ทางไปสู่มรรค ผล ก็คือตรงนี้แหละ ตรงเห็นอย่าเป็น มันมาให้เราเห็น บางคนอาจ จะเครียด เห็นไหม เห็นความเครียด บางคนอาจจะเห็นความง่วง เห็นไหม บางคนอาจจะเห็นความคิด เห็นไหม
+++++ ต่อตอน 2 +++++
ศิลปะแห่งการรู้ซื่อ ๆ
หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ
วัดป่าสุคะโต อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ
โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 006003 โดยคุณ : ชูคลณ์ [ 8 ส.ค. 2545]
เนื้อความ
เป็นบทความจากวารสาร ร่มโพธิ์แก้ว ฉบับที่ 10 ปีที่ 2 พ.ศ. 2538 เป็นวารสารของกองทุนชี้ทางธรรม วัดสวนแก้ว ม.1 ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี 11140 โดยมี คุณปรีชา ก้อนทอง เป็นบรรณาธิการ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย กราบคารวะแด่ ่พระเถรานุเถระ เพื่อนสหธรรมิกทุกรูป เจริญในธรรม แด่ญาติ ิโยม สาธุชนทุก ๆ คน
เราก็มาฟังพูด ถ้าฟังแล้วจำเอา มันก็ได้ของปลอม ๆ ไป แต่การพูดการสอนนี้ ก็จำเป็น การพูดให้รู้ ให้จำมันง่าย สอนให้รู้นี่มันง่าย มีผู้สอนทั่วบ้านทั่วเมือง ที่เรานั่งอยู่นี้ก็มี แต่คนที่มีความรู้ทั้งนั้น รู้ดีรู้ชั่ว รู้ผิดรู้ถูก ทุกคนก็รู้อยู่ เช่นความโกรธ มันไม่ดี ความทุกข์ มันไม่ดี เราก็รู้อยู่ แต่เราก็ยังมีทุกข์ มีโกรธ ทีนี้ การสอนให้เป็นนี่ เราต้อง สอนตัวเราเอง สอนให้รู้เรียนจากคนอื่นได้ สอนให้จำง่าย สอนให้เป็น ต้องสอนตัวเอง
การพูดวันนี้ ก็ให้เป็นเพื่อน เป็นกัลยาณมิตรกันกับ พวกเราทุกคน แม้แต่ในเทศกาลนี้ โอกาสนี้ พวกเราก็มาเป็น กัลยาณมิตรกัน เพื่อที่จะร่วมกันทำ พากันกระทำ นี่เป็นสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง การสอนให้เป็นนี้ เราต้องสอนตัวเอง แม้แต่การฟัง การพูด ก็เป็นการกระทำอยู่ในตัวมันเอง เช่น เราเจริญสติ การเจริญสตินี้ ก็ขออย่าให้มีแนวร่วมอย่างอื่น ให้มีสติ บริสุทธิ์ มีสติซื่อ ๆ ตรง ๆ ให้มีความรู้สึกตัว ซื่อ ๆ ตรง ๆ รู้สึกที่กาย ซื่อ ๆ ตรง ๆ ให้มีสติเต็มที่ อย่าให้มีอะไรเป็น เบื้องหน้าเบื้องหลัง นั่นเรียกว่าสอนให้เป็น ให้สติมันท่องเที่ยว อยู่กับกาย กับรูป ให้สติมันเห็นจิตเห็นใจ เวลาที่มันคิดอย่า ให้มีอะไรมาขวางกั้น ให้โอกาสแก่สติเต็มที่ เกี่ยวกับกายนี้ รู้ซื่อ ๆ ตรง ๆ รู้บริสุทธิ์ วิธีใดที่เราจะมีความรู้ตัวอยู่ภายใน กาย เราก็หาโอกาสนั้น ให้มันซื่อ ๆ ตรง ๆ รู้ซื่อ ๆ แต่บาง คนไม่ใช่ บางคนและอาตมาหรือหลวงพ่อนี่ก็เหมือนกัน สมัยก่อน มันไม่รู้ซื่อ ๆ ตรง ๆ มันเผื่อมันก็ไปรู้อะไรอยู่ มันก็คิดไป ทำไมจึงทำอย่างนี้ มันเอาผิดเอาถูกเอาเหตุเอาผล ไปร่วมด้วย ทำอย่างนี้มันดี มันชอบมันไม่ชอบ ทำไมจึงทำ อย่างนี้ ถ้ารู้แล้วมันจะเป็นอย่างไร เช่น เรามีสติอยู่ เอ้..เรามี สติหรือเปล่า อันนี้เป็นสติหรือเปล่า อันรู้อยู่นี้เป็นสติหรือ ความคิดกันแน่ บางทีมันก็คิดไป ไม่รู้ว่าตัวสติมันคืออะไร มันก็เลยถูกแบ่งถูกแยกตลอดเวลา เอาเหตุเอาผลไปร่วม เอาผิดเอาถูกไปร่วมกับการกระทำ มันก็เลยไม่เต็มที่
รู้ รู้ รู้ รู้ รู้ รู้สึกตัว
ทำใหม่ ๆ นี้ อย่าเพิ่งไปเอาเหตุเอาผล ไปเอาผิดเอา ถูกจากความคิด อย่าไปเอาอย่างนั้น วิธีใดที่จะมีสติรู้กาย วิธีใดที่จะมีสติรู้จิตใจ ให้ตรงเข้าไป ตรงเข้าไป อย่าเพิ่งไป เอาผิดเอาถูก ถูกก่อนถูก ผิดก่อนผิด เป็นก่อนเป็น เห็นก่อนเห็น ไม่ใช่ มันจะผิดต่อเมื่อมันผิด มันจะถูกต่อเมื่อมันถูก มันจะเป็นต่อเมื่อมันเป็น มันจะเห็นต่อเมื่อมันเห็น ให้มีสติซื่อๆ อย่าเพิ่งไปเอาเหตุเอาผล อย่าเพิ่งไปคิด ต่อไปมันไม่ต้องคิดดอก เมื่อมีสติเห็นกาย มีสติเห็นจิตใจอยู่นาน ๆ มันจะเห็นเอง เขาไม่เรียกว่าคิดดอก เขาเรียกว่าธรรมวิจย เรียกว่า โยนิโสมนสิกการ มันแยกมันแยะ มันเกิดญาณ เกิดปัญญา ขึ้นเอง นี่เรียกว่าทำซื่อ ๆ เช่น เรายกมือ พลิกมือ ก็ให้รู้ซื่อ ๆ ไปก่อน ให้รู้สึกว่ายกมือขึ้น รู้สึกว่าพลิกมือขึ้น รู้สึกว่า ไหวไปไหวมา ที่จริงวิธีที่เราทำอยู่นี้ แต่ก่อนเขามีรูปแบบ แบบหนึ่ง เขาไม่ได้ทำเหมือนกับเราทุกวันนี้ ต่อมา หลวงพ่อเทียนได้มาประยุกต์ขึ้น สมัยก่อนเรียกว่า วิธีไหว-นิ่ง เช่น เอามือวางไว้บนเข่า พลิกมือขึ้น ก็ว่า ไหว-นิ่ง ไหว-นิ่ง ไหว-นิ่ง เขาบริกรรมไปด้วย มีคำบริกรรมมันไม่ซื่อ ๆ มันไม่ตรงมันยังมีคำบริกรรมมาขวางกั้นอยู่ หลวงปู่เทียน ก็เลยมาพัฒนาให้ไม่ต้องบริกรรม ให้รู้สึกเฉย ๆ รู้สึกตัวรู้สึก ก็ไม่ต้องว่านะ ให้รู้สึกเฉย ๆ รู้สึก ที่จริงมันก็รู้รู้ มันรู้ ลักษณะของความรู้สึกนี่มันรู้เฉพาะ มันไม่ใช่รู้จี้นะ มัน รู้ รู้ รู้ (หลวงพ่อยกมือทำตัวอย่างประกอบ) รู้ รู้ รู้อย่างนี้นะ ไม่ใช่จี้นะ แต่บางคนรู้จี้ไป รู้จี้ไป จี้ไป ตามไป ตามไป มันยาว ถ้าอย่างนั้นมันจะกลายเป็นสมถะไป บางทีก็อึดอัดขัดเคือง บางทีก็แน่น บางที่ก็ง่วง บางทีก็เครียดไปเลย รู้ซื่อ ๆ นี่ รู้อย่างยิ้มแย้มแจ่มใสนะ รู้ รู้ ถ้าจะนับ ดูก็มี หนึ่งรู้ สองรู้ สามรู้ สี่รู้ ห้ารู้ หกรู้ เจ็ดรู้ แปดรู้ เก้ารู้ สิบรู้ สิบเอ็ดรู้ สิบสองรู้ สิบสามรู้ สิบสี่รู้ มันรู้ เป็นรู้ เป็นรู้ นี่เป็นรู้อย่างบริสุทธิ์ อย่ามีอะไรเป็นแยก เป็นแยะ ให้ตัวรู้สัมผัสกับตัวกายจริง ๆ ให้สัมผัสกันจริง ๆ เมื่อมันรู้อย่างนี้มันจะชำนาญ มันจะต้อง ชำนาญแน่นอน ถ้ามันสัมผัส สัมผัส สัมผัส เหมือนกับมือที่เรา สัมผัสกับอะไรบ่อย ๆ มันก็ต้องชำนาญอย่างแน่นอน
ศิลปะศิลปิน หลวงพ่อเป็นศิลปะศิลปินในการดนตรีอยู่บ้าง เวลาเราเอานิ้วมือสัมผัสกับรูแคนรูขลุ่ย สัมผัสกับค้อน ที่ตีระนาด การสัมผัสจริง ๆ นี้ มันมีศิลปะของมันอยู่ในตัว เช่น นิ้วมือที่ไปสัมผัสรูแคนรูขลุ่ยนี้มันจะได้เสียงที่ไพเราะที่สุด ถ้าเรามีความกดกลึงเข้าไป มันจะจี้ เสียงมันจะไม่เพราะ ถ้าเราไปนับรูแคนนี้ มันจะย้อน ๆ หน่อยหนึ่ง นับรูขลุ่ย มัน จะย้อน ๆ หน่อยหนึ่ง ระหว่างนิ้วที่มันดีดพอดี ๆ กับเสียงที่เรา ต้องการพอดี ระหว่างค้อนที่มันไปถูกระนาดพอดี ๆ แทนที่จะตีเป็ง อย่างนี้ มันมีเสียงตรึง..ง เสียงมันเพราะ การมีสติสัมผัสกายซื่อ ๆ ตรง ๆ มันจะมีศิลปะของมัน ไม่ต้อง ไปหาเหตุหาผล มันจะรู้แบบบริสุทธิ์ รู้แบบสุขุม รู้แบบชัดเจน ถ้ามันได้สัมผัสกับความรู้สึกจริง ๆ มันจะเป็นศิลปะ มันจะ ชำนิชำนาญ มันจะรู้ที่ชัดเจนเข้าไป การสัมผัสกับกาย การมีความรู้สึกอยู่กับกายจริง ๆ นี้ มันไม่ใช้รู้เฉย ๆ มันก็เป็น งานพัฒนาของมันอยู่ในตัว หรืออุปมาเหมือนกับเรา ทำมาหากิน ถ้า เรารู้ไม่บริสุทธิ์ มันจะสิ้นเปลืองพลังงานมากนะ รู้แบบเอาเหตุเอาผล รู้แบบจี้ รู้แบบบังคับนั่น มันจะสิ้นเปลือง พลังงาน บางคนทำความเพียร เดินจงกรม ก็ดี นั่งสร้างจัง หวะก็ดี รู้สึกว่าหน้าตาบูดบึ้ง คร่ำเครียด มันหนักเกินไป ถ้าเรา ทำถูก ทำถูกมันไม่หนัก มันสดชื่น มันเบา มันสบาย มันลืม ลืมเวลา แต่บางคนนี้โอย.. พลิกแล้วพลิกอีกมันไปอยู่กับอะไร มันบังคับเกินไปมันไม่ซื่อ มันไม่ตรง มันจะเป็นสุข มันจะเป็น ธรรมตั้งแต่แรกแล้ว ความรู้สึกตัวนี่นะ มันจะจัดสรรของมันเอง ทำให้รู้สึกระลึกได้ชัดเจนไปตามลำดับ
อยู่ตรงกลาง ดูนอกดูใน ไม่เข้าไม่ออก
คนโบราณ เขาทำมาหากิน หลวงพ่อเคยไปกับโยมแม่ สมัยเด็ก ไปปลูกแตง ปลูกถั่ว เวลาฝนตกใหม่ ๆ เวลาโยมแม่ ่เอาเม็ดแตงเม็ดถั่วปลูกลงไป แม่จะพูดออกไปว่า คนกินเป็น บุญ นกกินเป็นทาน นกกินเป็นทาน คนกินเป็นบุญ มันสบาย ดี แต่ถ้าเราไม่รู้นะ ทำอะไรลงไป เราก็อาจจะคิดไป คิดไป จะได้ผล จะขาดทุน จะกำไร จะเสียหายอย่างไร มันสิ้นเปลือง พลังงาน บางทีก็นับวันเวลาไป เออ.. เรามาเท่านั้นเท่านี้วัน ยังไม่รู้ ไม่รู้ เป็นผู้ไม่รู้ไปแล้ว บางคนก็เป็นผู้รู้ไปแล้ว เข้าไปเป็นง่าย ๆ ถลำเข้าไปในความคิด ไปปรุงแต่ง ผลที่สุด ตัวสังขารมันปฏิบัติธรรม ตัวหลงมันปฏิบัติธรรม ปฏิบัติอยู่ก็ยังหลงอยู่ รู้แล้วไม่รู้แล้ว อยู่กับความรู้ อยู่กับความไม่รู้ อยู่กับความผิด อยู่กับความถูก ถ้าเข้าไปอยู่ มันจะเห็นได ้อย่างไร มันก็เลยอยู่ในถ้ำ หลวงปู่เทียนท่านสอนพวกเรา สมัยที่หลวงพ่อปฏิบัติใหม่ๆ หลวงปู่เทียนท่านให้เข้าไป ในกุฏิหลวงปู่เทียนก็บอกว่า เอ้า.. ปิดประตู ปิดประตู หลวงพ่อ ก็ปิดประตู ท่านก็ถาม เห็นข้าง นอกไหม เห็นข้างนอกไหม ไม่เห็นครับ ทำอย่างไร จึงจะเห็น ข้างนอกและข้างใน เปิด ประตูหลวงพ่อ เอ้า..เปิดประตูซิ ก็เปิด ประตูออกมายืน อยู่ตรง กลางประตู ระหว่างกลางประตู หลวงปู่ ู่เทียนก็ถามว่า เห็นข้าง นอกไหม เราก็บอกว่าเห็น เห็นข้างในไหม เห็น ทำอย่าง นี้นะ ให้ทำอย่างนี้นะ ว่าแล้วท่านก็หนีไป มันคืออะไร ก็คือ ให้รู้ซื่อ ๆ นี่แหละ อย่าเข้าไปอยู่ อย่าไปเอา อย่าไปเป็น เป็นผู้ผิด เป็นผู้ถูก เป็นผู้ได้ เป็นผู้ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นมัน ก็เหมือนกับมีม่านมาขวางกั้น มันไม่ซื่อมันไม่ตรง มันไม่เปิด ออก มันไม่เปิดเผย ไม่เปิดเผย
สติล้วน ๆ ไม่เอา ไม่เป็น
ลองทำดูซิ ให้รู้ซื่อ ๆ ก้าวไปทีละก้าว ก็รู้ซื่อ ๆ อย่าไป เอาผิดเอาถูก อย่าไปเอาได้ อย่าไปเอาเสีย ไม่มีเสีย ไม่มีได้ ไม่มีผิด ไม่มีถูก ถ้าเป็นสติล้วน ๆ นะ มันไม่มีถูก ไม่มีผิด มันไม่รู้ มันไม่มีไม่รู้ มันจะมีแต่สติล้วน ๆ ให้สติมีโอกาส เต็มที่ เหมือนกับเราปลูกข้าว ถ้าปลูกไม่เป็น มันก็ไม่ค่อยขึ้น เหมือนกันนะ ถ้าปลูกข้าว ปลูกพริก ปลูกมะเขือ ปลูกผล หมากรากไม้ นี้ถ้าปลูกไม่เป็นมันก็ขึ้นยาก รากมันก็ไม่ค่อย งอกง่าย ถ้าเราปลูกเป็นนี้มันเหมาะ มันเหมาะเจาะ มันเหมาะ สม มันสมดุล มันก็ออกราก ตั้งต้นดี ถ้าเราปลูกไม่เป็น มันก็ ็ขาด พอจะแตกรากออกมา เดี๋ยวก็รากขาด ลมพัดง่อนแง่น คลอนแคลนอยู่เรื่อย ตั้งต้นใหม่ ตั้งต้นใหม่อยู่เสมอ ผลที่สุด ก็ไม่งอกงาม นี่ให้เราทำดู นี่สอนให้ทำ ไม่ใช่สอนให้รู้ สอนให้ทำนะ พวกเรามาอยู่กันที่นี่ ต้องพยายามทำ ทำซื่อ ๆ ตรง ๆ มีตัวอย่าง สมัยหนึ่ง หลวงพ่อกลับจากสิงคโปร์ มาแวะที่หาดใหญ่ก็มีคนนำฝรั่งคนหนึ่งเข้าไปหา ฝรั่งคนนั้นก็บอกกับ หลวงพ่อเลยว่า อย่าสอนผมนะ หลวงพ่ออย่าสอนผมนะ หลวงพ่อสั่งให้ผมทำดีกว่า ผมรู้มามากแล้ว อย่าสอนผม ให้ผม ทำดีกว่า ดูซิ ฝรั่งเขาพูด หลวงพ่อก็รู้สึกว่า โอ..ดี เหมือนกัน ก็บอกเขา ให้เขาเริ่มต้นแบบนี้แหละ กรรม กรรมคือการกระทำ ให้รู้สึก พลิกมือขึ้นรู้ไหม รู้ ยกมือขึ้น รู้ไหม รู้ รู้นะ รู้ ก็ให้เขา ทำอยู่นั่นราว 30 นาที ต่อจากนั้นก็พาเขาเดิน เดินก้าวไปให้ รู้นะ เขาก้าวไปทีใด หลวงพ่อก็เอามือเคาะแขนเขา รู้อย่างนี้นะ รู้อย่างนี้นะ ก้าวไป ก็ให้รู้อย่างนี้นะ รู้ รู้ รู้สึก ให้เดินดูสัก 30 นาที ก็เรียกเขามานั่ง ให้เขายกมือสร้างจังหวะอีก เขาได้สัมผัส กับความรู้สึก ตัวสัมผัสกับสติอยู่กับกาย ก็ถามเขาว่า เมื่อกี้นี้คุณมีสติอยู่กับกาย จิตใจของคุณคิดไปทางอื่นไหม ไม่คิด อยู่ตรงนี้ รู้ตรงนี้ รู้ตรงนี้ ถ้ารู้อย่างนี้ คุณเคยรู้อยู่อย่าง นี้นาน ๆ ไหม 1 วันเคยไหม ไม่เคย ชั่วโมงหนึ่งเคยรู้ไหม ไม่รู้ ก็เพิ่งมารู้เดี๋ยวนี้ หลวงพ่อสอน นี่ จุดนี้เป็นจุดที่เราบก พร่องกันอยู่ ในหมู่พุทธบริษัท จุดอื่นไม่บกพร่องกันหรอก มันบกพร่องจุดนี้แหละ พุทธศาสนาเกิดขึ้นตรงนี้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็เกิดขึ้นตรงนี้ คือ คุณนั่นแหละ คือคุณธรรม ต้องให้กำเนิด ให้กำเนิดตรงนี้ ตรงนี้เป็นที่เกิด ของพุทธภาวะคือภาวะที่รู้ รู้เข้าไป อย่าทำลาย อย่าทำลายภาวะ อันนี้
เราจึงสมควรที่จะมีโอกาสอย่างนี้ มีสถานที่อย่างนี้ ไม่ใช่เราทำเป็นแฟชั่น ไม่ใช่เราโฆษณา จะทำอย่างอื่นมัน ไม่ถูก พิธีรีตอง ทำบุญ ทำทาน เข้าปริวาสอะไรต่าง ๆ มันไม่ ่ถูก วิธีที่จะให้มันถูกกับความรู้สึกจริง ๆ มันต้องทำ ทำอย่างนี้ ต้องชวนกันมาทำอย่างนี้ ต้องมาอยู่อย่างนี้ เรียกว่า กิจกรรมของ พระศาสนาต้องเริ่มด้วยวิธีนี้ เราปฏิเสธวิธีนี้ไม่ได้ ต้องมีสถานที่ ต้องมีสิ่งแวดล้อม ต้องชวนกันมา ต้องมาทำอย่างนี้ ตอนเช้า ตอนเย็น ก็พูดประกอบ มีการพูดประกอบ มีการกระทำ ประกอบ เพื่อให้มันได้สิ่งแวดล้อมที่ดี ๆ นี่ เราจึงพากันมา ทำแบบนี้ แม้แต่หลวงพ่อพูดอยู่เดี๋ยวนี้ ก็ไม่ใช่ฟังแล้วจำ แต่ให้ฟังแล้วทำ ฟังแล้วกระทำ ทำอยู่ในกายในใจของเรา สัมผัสอยู่กับตัวเรา พอหลวงพ่อพูดว่าสติ เราก็รู้ โอ.. รู้สึก รู้สึกไปกับการได้ยิน สิ่งที่หลวงพ่อพูด ก็มีอยู่กับเรา อยู่กับตัวเรา ทุกคน มันมีอยู่กับเรา คล้ายกับว่า ยิ่งหลวงพ่อพูดเรา ก็ยิ่งเห็น ตัวเรา เห็นอะไร เห็น เห็นในสิ่งที่หลวงพ่อพูด เช่น ความรู้สึก เราก็มีความรู้สึก อยู่เฉยๆ ก็มีความรู้สึก ถ้าเราชำนาญนะ อาจจะไม่ต้องยกมือเคลื่อนไหวก็ได้ นั่งอยู่เฉย ๆ ก็มีความรู้สึก กระพริบตาก็รู้สึกได้ หายใจก็รู้สึกได้ ตัวรู้ที่ไปรู้การกระพริบ ตาก็เป็นความรู้สึก คือสติ ตัวรู้ที่ไปรู้ลมหายใจ ก็เป็นความรู้สึก คือสติ ความรู้ที่กระดิกนิ้วมือ ก็เป็นความรู้สึก คือสติ อยู่เฉยๆ ก็เป็นสติ อยู่ที่ไหนก็เป็นสติ แม้แต่อยู่เฉย ๆ นั่งอยู่เฉย ๆ ก็เป็น ความรู้สึกตัว
กัลยาณมิตร บัณฑิตภายใน นำไปสู่มรรค สู่ผล
นี่ การที่หลวงพ่อพูดนี่ ขอให้เสียงนี้เป็นกัลยาณมิตรกับเรา สติก็เป็นกัลยาณมิตรกับตัวเรา ให้คบ คบกับสิ่งเหล่านี้ คบ บัณฑิต คบบัณฑิต ก็ไม่ใช่คบกับคนนั้นคนนี้ อันนั้นก็ดี เป็น บัณฑิตภายนอก แต่บัณฑิตภายในจริง ๆ ก็คือ ความรู้สึกตัวนี้ เราพยายามคบดูสิ สัก 7 วัน เราก็คบมาหลายวันแล้ว เรียกว่า คบบัณฑิตรู้ซื่อ ๆ รู้ตรง ๆ เห็นไหม ตอนที่พระพุทธองค์ แสดง ธรรมปฐมเทศนาให้ปัญจวัคคีย์ฟัง โกณฑัญญะพราหมณ์เห็นธรรม ได้ดวงตาเห็นธรรม ได้มาเป็นพระสงฆ์รูปแรก สองสาม วันต่อมา วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ อัสสชิ ก็ได้ดวงตา เห็นธรรม พอพระพุทธเจ้าแสดงธรรมปฐมเทศนา ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ก็ชี้ ก็พูดเรื่องทางกามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค เป็นทางสุดโต่งไม่ควรเดิน มัชฌิมาปฏิปทา คือทาง ทางเดินของใจ ทางเดินทางใจเรียกว่า มรรค มรรคก็คือความ รู้สึกตัวนี้ ความรู้สึกตัว ตัวดู ตัวเห็น ตัวรู้อยู่นี่ เรียกว่ามรรค ผู้ใดมีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ ผู้นั้นกำลังเดินทาง ทางใจกำลัง เป็นมรรค หรือเป็นยาน ก็กำลังนั่งอยู่บนยาน กำลังพาไป ยาน ก็คือมรรค พอพูดเรื่องนี้ไป โกณฑัญญะพราหมณ์ก็ทำไปด้วย รู้ไปด้วย ในที่สุดก็แสดงถึงอนัตตลักขณสูตร รูปนี้เที่ยงไหม ไม่เที่ยงสิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็น ทุกข์ควรหรือที่จะไปยึดไปถือเอา มันไม่ใช่บอกหรอกมันเห็น สอนให้เห็น ว่าโดยความเป็นจริงก็คือ ตัวเรานั่นแหละสอน ตัวเรา สอนตัวเรา สอนให้เป็น สอนให้รู้นั้นคนอื่นสอนให้ แต่สอนให้เป็นตัวเราต้องสอนตัวเราเอง เป็นแล้วหรือยัง มีความรู้สึกไปในกายเป็นหรือยัง หัดมันไหม เราเดินอยู่รู้สึก รู้สึก บางทีมันคิดไป พอมันคิดไปเราทำอย่างไร ก็มีสติ ให้มีสติ กำหนด รู้กายที่มันเคลื่อนไหวอยู่นี้ เวลามันมีสติมันยังคิดอยู่ หรือ มันแก้ได้ไหม มันเปลี่ยนได้ไหม มันเปลี่ยนได้ พอมีสติทีใด ความคิดมันก็หยุด ก็มารู้ที่กายเคลื่อนไหวอยู่นี้ นี่ มันเป็น มันคิดไปทีหนึ่งก็รู้มาทีหนึ่ง พอรู้ นั่นก็คือการสอนตัวเรา ถูก สอนบ่อย ๆ มันคิดเท่าไรก็ยิ่งดี แต่บางคนไปเอาถูกเอาผิดกับ ความคิด พอมันคิดไป ก็ผิดแล้ว ถ้าอย่างนั้นไม่ถูก พอมันคิด เห็นมันคิด ไม่ใช่ผิดไม่ใช่ถูก มีแต่เห็น เห็นมันคิด รู้ว่ามันคิด พอรู้สึกว่ามันคิด เรื่องทุกอย่างมันก็จบ ต่อรู้ว่ามันคิด มันก็ ชำนาญขึ้น
ภาวะที่รู้ว่ามันคิดนี้ เห็นอยู่บ่อย ๆ เห็นอยู่บ่อย ๆ มันจะมี ศิลปะ เหมือนกับเราเห็นหน้าเห็นตากัน เห็นกันครั้งหนึ่ง อาจ จะลืมๆหลงๆไป ให้เห็นหลายครั้งหลายคราว หลายหน มัน ก็รู้กันหละ คุ้นเคยกัน รู้กัน ไม่ใช่รู้เฉย ๆ นะ รู้น้ำใจ รู้นิสัย เป็นเพื่อนเป็น มิตรกัน อย่างไรควรคบ ควรไม่คบอย่างไร นี่..ความรู้สึกตัวนี้เช่น บางคนเห็นความคิด ก็เข้าใจว่าตัวเองผิด พอมันคิดไป ผิดแล้ว อันนั้น เป็น เป็นผู้ผิด มันไม่ถูก เหมือน หลวงพ่อสมัยไปปฏิบัติใหม่ ๆ อยู่วัดภูเขา บ้านบุโฮม บ้าน หลวงปู่เทียน สมัยนั้นหลวงปู่เทียนท่านให้ไปอยู่ที่นั่น มีผู้ ปฏิบัติหลาย ๆ คน มีพระองค์หนึ่ง เดินจงกรมอยู่ด้วยกัน เดินไป มันเป็นภูเขา หลวงพ่อรูปนั้นเดินต่ำกว่า หลวงพ่อ ที่นั่งอยู่นี่ หลวงพ่อรูปนั้นเดินเหนื่อยก็เลยนั่ง หลวงพ่อ ก็เห็นท่านนั่ง แต่หลวงพ่อยังเดินอยู่ หลวงพ่อได้ยินเสียงแป๊ะ แป๊บ เอารองเท้ามาตีหัวตัวเอง นั่งอยู่เอารองเท้าแตะมา ตีหัวเองดัง แป๊ะ โป๊ก ก็เดินไปหา ถามว่า หลวงพ่อทำอะไร หลวงพ่อรูปนั้นก็พูดว่ามันคิดอะไร ไม่รู้ว่ามันคิดอะไรนักหนา ไอ้บ้านี่ ไอ้ห่านี่ เอารองเท้ามาตีหัวตัวเอง นั่นมันไม่ใช่เห็นแล้ว มันเป็นไปแล้ว เอาผิดกับตัวเอง ทำเท่าไรก็ไม่รู้นะ ถ้าทำอย่าง นั้นนะ มันจะไปอยู่กับอะไร พลัดถิ่นอยู่เรื่อย ๆ เหมือนกับปลูก ข้าวแล้วถอนอยู่เรื่อย ๆ รากมันก็ไม่งอก เราปลูกข้าวที่มันลอย น้ำขึ้นมา เพื่อนเขาถอดหางไก่*เขียว งามดีแล้ว* ( ข้าวถอด หางไก่ = ข้าวที่ปักดำแล้วถอดยอดใหม่ ) นี่ยังเหลืองจ๋องอยู่ มันก็ไม่เป็นผล เพราะฉะนั้นเวลามันคิด อย่าไปเอาผิดเอาถูก ให้เห็นซื่อ ๆ ความคิด ก็เป็นประโยชน์ เราจะได้เห็นมัน มันไม่ใช่ผิดอะไรดอก ความคิดเกิดขึ้นแล้ว ดี เราจะได้เห็น ภาวะรู้สึก นี่ อือ..ม์ รู้สดชื่น เห็นมันสุข เห็นมันทุกข์ ก็ อือ..ม์ เห็นมันร้อนก็ อือ..ม์ เห็นมันหนาว ก็อือ..ม์ นี่เป็นวิปัสสนาน้อย ๆ วิปัสสนาน้อย ๆ กำลังเกิดขึ้น
อย่างนี้ไม่ใช่นักกรรมฐาน
ถ้าเป็นผู้ผิด เป็นผู้ถูก มันเป็นภพเป็นชาติอยู่ มันยังหลง ถ้าจะว่าแล้ว มันยังหลงอยู่ไม่ใช่รู้ ตัวรู้นี่นะมันจะเป็นกลางที่สุด ไปประกอบกับอะไรก็ได้ มันจะเป็นกลางที่สุด เป็นธรรมที่สุด ใช้กับอะไรก็ได้ ไม่ใช่จะไปเอาผิด ผิดไม่ชอบ ถูกเราจึงชอบ รู้เราจึงชอบ ไม่รู้เราไม่ชอบ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ถ้าเป็นอย่างนั้น ตัวรู้ไม่เจริญ ถูกตัดถูกแบ่ง ถูกแยกอยู่เสมอ ตัวรู้มันไม่เจริญ เข้าใจไหมโยม ที่หลวงพ่อพูดนี่ เป็นไหม เป็นไหมโยม ที่หลวงพ่อพูดอยู่นี้ เวลามันรู้เราก็พอใจใช่ไหม เวลามันไม่รู้ ก็หน้าเง้าหน้างอ ไม่สบายใจ เวลาใดมันผิด ก็อือ..ม์ ไม่สบายใจ เวลาใดมันถูกอือ..ม์อย่างนี้ดี หลวงพ่อเคยไปถาม ไปสอบอารมณ์ สมัยก่อน ที่อยู่ป่าสุคะโต มีคนไปปฏิบัติมาก ไปถามผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นอย่างไรหนู ฮือ..วันนี้หนูแย่ ไม่รู้ว่ามันคิดอะไร มันเครียดไปหมดเลย ไม่เหมือนเมื่อวานนี้ วันนี้หนูไม่ไหว ๆ ๆ หลวงพ่อก็บอกว่า เอ้ย..พูดอย่างนี้ไม่ ใช่นักกรรมฐานหรอก พูดใหม่ดูซิ เขาก็คิด ก็พูดใหม่ว่า อือ..วันนี้หนูเห็นมันคิด เห็นมันคร่ำเครียด เออ..ถ้าพูดอย่าง นี้ใช้ได้ หนูเห็นมัน ประโยคก่อน เขาเป็น เขาก็ฉลาดขึ้นมา เขาเห็น เห็นอะไร เห็นมันเครียดเห็นมันคิด คำว่าเห็นนี่ใช้ได้ คำว่าเป็นนี่ใช้ไม่ได้ เข้าใจไหมโยม เข้าใจบ้อ..
พวกเราเป็นหรือว่าเห็น แยกตรงนี้นะ วิปัสสนาจะแยก ตรงนี้ กำลังถลุงแล้ว กำลัง ย่อยออก กำลังสลาย ย่อยออก สลายออก เป็นสุญญตา จนทำให้ไม่มีตัวไม่มีตน วิธี ที่เราจะเข้าสู่มรรค ผล ต้องไปทางนี้นะ มันมีอยู่ในตัวเรา มันบอกเส้นทางเรา มรรคก็แน่นอนอยู่แล้ว มรรค ก็คือดู คือเห็นนั่นแหละโยม มันมาให้เราดู มาให้เราเห็น เห็นไหม สิ่งที่เกิดขึ้นกับกาย ทางกายก็มี ทางใจก็มี เรื่องทางใจที่มัน มาให้เราดู เยอะแยะมันยินดี มีไหม ห้าหกวันนี้ เคยเห็นความยินดีไหม มีสุขเคยเห็นไหม มันทุกข์เคยเห็นไหม มันมาให้เรา เห็น เห็นไหม พอใจ มีไหม ไม่พอใจ มีไหม เห็นไหม นี่ มรรค ถ้าเห็นเป็นมรรค ไม่ใช่มัก*นะ ( มัก = ภาษาอีสาน เพี้ยนเสียง หมายถึง ชอบ รัก พอใจ ) ถ้าเห็น จึงจะเป็นมรรค นั่นแหละมรรค มรรค มัชฌิมาปฏิปทา ทางไปสู่มรรค ผล ก็คือตรงนี้แหละ ตรงเห็นอย่าเป็น มันมาให้เราเห็น บางคนอาจ จะเครียด เห็นไหม เห็นความเครียด บางคนอาจจะเห็นความง่วง เห็นไหม บางคนอาจจะเห็นความคิด เห็นไหม
+++++ ต่อตอน 2 +++++