PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : พระยสเถระ



DAO
11-12-2008, 09:45 AM
พระยสเถระ


ชาติภูมิ
ท่านพระยสะ เป็นบุตรเศรษฐี ในพระนครพาราณสี มีเรือนสามหลัง เป็นที่อยู่ในฤดูทั้งสาม ฯ



เหตุการณ์ก่อนออกบวช

สมัยนั้นเป็นฤดูฝน ยสกุลบุตรอยู่ในปราสาทเป็นที่อยู่ในฤดูฝน มีสตรีประโคมดนตรีบำรุงบำเรออยู่ ไม่มีบุรุษเจือปน ในคืนหนึ่งยสกุลบุตรนอนกลับก่อน หมู่ชนที่เป็นบริวารหลับทีหลัง แสงไฟยังเปิดสว่างอยู่ ยสกุลบุตรยื่นขึ้นตอนใกล้รุ่ง เห็นหมู่ชนที่เป็นบริวารนอนหลับมีอาการพิกลต่าง ๆ ไม่เป็นที่พอใจ ปรากฏแก่ยสกุลบุตรดุจซากศพที่ทิ้งอยู่ในป่าช้า ครั้นยสกุลบุตรได้เห็นแล้ว เกิดความสลดใจเบื่อหน่ายจึงเปล่งอุทานว่า “ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ” สวมรองเท้าออกประตูไป แล้วออกประตูเมืองเดินทางที่ไปสู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ในเวลานั้นจวนใกล้รุ่ง พระบรมศาสดาเสด็จจงกรมอยู่ในที่แจ้ง ทรงได้ยินเสียงยสกุลบุตรเปล่งอุทานเดินใกล้เข้ามา จึงตรัสเรียกว่า “ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง เชิญมาที่นี่เถิด เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน” ยสกุลบุตรได้ยินอย่างนั้นแล้ว จึงถอดรองเท้าเดินเข้าไปถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่สมควรแห่งหนึ่ง พระศาสดาตรัสเทศนา อนุปุพพิกถา ฟอกจิตใจยสกุลบุตรให้ห่างไกลจากความยินดีในกามแล้ว ในที่สุดทรงแสดง อริยสัจ ๔ ยสกุลบุตรได้เห็นธรรมพิเศษ ณ ที่นั้นเอง ภายหลังพิจารณาภูมิธรรมที่ตนเห็นแล้ว จิตก็พ้นจากอาสวะ ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน



ฝ่ายมารดาของยสกุลบุตร พอรุ่งเช้า ขึ้นไปเรือนไม่เห็นลูก จึงบอกแก่เศรษฐีผู้เป็นสามีให้ทราบ เศรษฐีใช้ให้คนไปตามหาในทิศทั้งสี่ ส่วนตนเองก็เที่ยวออกหาด้วย บังเอิญไปในทางที่จะไปยังอิสิปตนมฤคทายวัน ได้เห็นรองเท้าของลูกตั้งอยู่ ณ ที่นั้น จึงตามไป เมื่อเศรษฐีเข้าไปถึงแล้ว พระบรมศาสดาตรัสเทศนา อนุปุพพิกถา และ อริยสัจ ๔ ในที่สุดเทศนาเศรษฐีได้ดวงตาเห็นธรรม ทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนาแล้วแสดงตนเป็นอุบาสกว่า “ข้าพระพุทธเจ้าขอถึงพระองค์, พระธรรม, และพระภิกษุสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก ขอพระองค์จงทรงจำข้าพระพุทธเจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัย เป็นที่ระลึกตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป” เศรษฐีนั้นได้เป็นอุบาสก อ้างเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะก่อนกว่าชนทั้งปวงในโลกฯ



วิธีอุปสมบท

เศรษฐีผู้เป็นบิดายังไม่ทราบว่ายสกุลบุตรสิ้นอาสวะแล้ว จึงขอให้กลับไป เพื่อให้ชีวิตแก่มารดา เพราะมารดาโศกเศร้าพิไรรำพันนัก เมื่อทราบว่ายสกุลบุตรมีอาสวะสิ้นแล้ว ไม่ควรที่จะกลับไปครอบครองเรือนบริโภคกามคุณเหมือนแต่ก่อน จึงทูลอาราธนาสมเด็จพระบรมศาสดากับยสะเป็นปัจฉาสมณะตามเสด็จรับบิณฑบาตในเวลาเช้า พระองค์ทรงรับด้วยพระอาการนิ่งอยู่ เศรษฐีทราบว่าทรงรับจึงลุกขึ้นจากที่นั่งถวายอภิวาท กระทำประทักษิณ แล้วหลีกไป เมื่อเศรษฐีหลีกไปแล้ว ยสกุลบุตรทูลขออุปสมบท พระบรมศาสดาทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยพระวาจาว่า “ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด” ในที่นี้ไม่ตรัสว่า เพื่อจะทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ เพราะพระยสะได้ถึงที่สุดทุกข์ คือ ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว



ครั้นเวลารุ่งเช้าวันนั้น พระบรมศาสดามีพระยสะเป็นปัจฉาสมณะตามเสด็จไปรับบิณฑบาตในเรือนเศรษฐี ได้ทรงแสดงอนุปุพพิกถา และอรัยสัจ ๔ แก่สตรีทั้งสอง คือมารดา และ ภรรยาเก่าของพระยสะ ให้สตรีทั้งสองนั้นได้เห็นธรรมแล้ว แสดงตนเป็นอุบาสิกาถึงพระรัตนตรัยเป็นที่ระลึกโดยนัยหนหลัง สตรีทั้งสองนั้นได้เป็นอุบาสิกาเกิดขึ้นในโลกก่อนกว่าหญิงอื่น ครั้นเสร็จภัตกิจ ตรัสเทศนาสั่งสองชนทั้งสามแล้ว เสด็จกลับไปป่าอิสิปตนมฤคทายวันฯ



บำเพ็ญประโยชน์

การอุปสมบทของพระยสะ นับว่าอำนวยประโยชน์สุขให้แก่ชนเป็นอันมาก เพราะท่านอุปสมบทเพียงองค์เดียว ยังเป็นเหตุชักจูงผู้อื่นเข้ามาอุปสมบทด้วย เช่นสหายของท่านอีก ๕๔ คน ที่ได้เข้ามาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาก็เพราะอาศัยท่าน ท่านได้ช่วยพระบรมศาสดาในการประกาศพระศาสนาตอนปฐมโพธิกาลอีกองค์หนึ่ง เมื่อดำรงอายุสังขารอยู่พอสมควรแก่กาลแล้วก็ปรินิพพานฯ..



ขอขอบคุณที่มาคะ http://www.geocities.com/piyainta/ab06.htm