PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : พระคยากัสสปเถระ



DAO
11-12-2008, 09:53 AM
พระคยากัสสปเถระ


ชาติภูมิ - อุปสมบท
ท่านพระคยากัสสปะ เกิดในสกุลพราหมณ์กัสสปโคตรฯ เดิมชื่อว่า “กัสสปะ” ตามโคตร มีพี่ชายสองคนคือ อุรุเวลกัสสปะ และ นทีกัสสปะ เมื่อเจริญวัยขึ้นแล้วได้เรียนจบไตรเพทตามลัทธิของพวกพราหมณ์ จนมีความชำนาญ มีเกียรติยศชื่อเสียง มีบริวารถึงสองร้อยคนฯ ครั้นต่อมาพิจารณาเห็นลัทธิของตนไม่เป็นแก่นสาร จึงพร้อมด้วยพี่ชายทั้งสองและบริวารออกบวชเป็นชฎิลบำเพ็ญพรตด้วยการบูชาเพลิง ตั้งอาศรมเรียงอยู่ตามฝั่งแม่น้ำโดยลำดับกัน ส่วนท่านตั้งอาศรมอยู่ ณ ตำบลคยาสีสะ ถัดอาศรมของพี่ชายที่สองลงไปทางใต้ จึงได้ฉายาที่อยู่เติมเข้าข้างหน้าเป็น “คยากัสสปะ” เมื่อพี่ชายทั้งสองพร้อมด้วยบริวาร ลอยบริขารชฎิลเสียในแม่น้ำ แล้วพากันอุปสมบทในพระพุทธศาสนาฯ ท่านได้เห็นบริขารชฎิลลอยตามกระแสน้ำ สำคัญว่าเกิดอันตรายแก่พี่ชายทั้งสองของตน จึงพร้อมด้วยบริวารรีบพากันมา ก็ได้เห็นพี่ชายทั้งสองของตน พร้อมกับบริวารถือเพศเป็นภิกษุแล้ว ถามทราบความว่าพรหมจรรย์นี้ประเสริฐแล้ว จึงลอยบริขารของตนเสียในแม่น้ำพร้อมด้วยบริวาร แล้วเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดาทูลขออุปสมบท พระองค์ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา เช่นเดียวกับพี่ชายฯ เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จประทับอยู่ ณ ตำบลคยาสีสะ ได้ตรัสเทศนาอาทิตตปริยายสูตรโปรด ในเวลาจบเทศนาท่านพร้อมด้วยพี่ชายทั้งสองและบริวารรวมเป็น ๑,๐๐๓ องค์ ได้บรรลุพระอรหัตตผลด้วยกันทั้งหมดฯ ท่านได้ช่วยทำกิจพระศาสนาตามสติกำลังของท่าน เมื่อดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพานฯ



ข้อควรกำหนด

อาทิตตปริยายสูตร ที่ได้ชื่ออย่างนี้ ด้วยเหตุแสดงสภาวธรรมเป็นของร้อน พระบรมศาสดาตรัสเพื่อเหมาะแก่บุรพจรรยาของพวกปุราณชฎิลผู้อบรมในการบูชาเพลิง เนื้องความแห่งอาทิตตปริยายสูตรว่า ภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน อะไรเล่าชื่อว่าสิ่งทั้งปวง?



จักษุ คือ นัยน์ตา รูปวิญญาณอาศัยจักษุ สัมผัสคือความถูกต้อง อาศัยจักษุ เวทนาที่เกิดเพราะอาศัยจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์บ้าง



โสต คือ หู เสียงวิญญาณอาศัยโสต สัมผัสอาศัยโสต เวทนาที่เกิดเพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์บ้าง



ฆานะ คือ จมูก กลิ่นวิญญาณอาศัยฆานะ สัมผัสอาศัยฆานะ เวทนาที่เกิดจากฆานะสัมผัสเป็นปัจจัย สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์บ้าง



ชื่อว่าสิ่งทั้งปวง เป็นของร้อน ร้อนเพราะอะไร อะไรมาเผาให้ร้อน เรากล่าวว่า ร้อนเพราะความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศกร่ำไรรำพัน เจ็บกาย เสียใจ คับใจ ไฟกิเลส ไฟทุกข์เหล่านี้มาเผาให้ร้อน



ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหน่ายในสิ่งทั้งปวง ตั้งแต่ในจักษุจนถึงเวทนาที่เกิดเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมปราศจากความกำหนัดรักใคร่ และเมื่อปราศจากความรักใคร่ จิตก็พ้นจากความถือมั่น เมื่อจิตพ้นแล้วก็เกิดญาณรู้ว่าพ้นแล้วดังนี้ อริยสาวกนั้น ทราบชัดว่าความเกิดสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่จะต้องทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีฯ...



ชิวหา คือ ลิ้น รสวิญญาณอาศัยชิวหา สัมผัสอาศัยชิวหา เวทนาที่เกิดเพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์บ้าง



กาย โผฏฐัพพะ คือ อารมณ์ที่จะพึงถูกต้องด้วยกาย วิญญาณอาศัยกาย เวทนาที่เกิดเพราะอาศัยกายสัมผัสเป็นปัจจัย สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์บ้าง



มโน คือ ใจ ธรรมวิญญาณอาศัยมนะ สัมผัสอาศัยมนะ เวทนาที่เกิดเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์บ้าง




ขอขอบคุณที่มาคะ http://www.geocities.com/piyainta/ab13.htm