PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน



DAO
11-13-2008, 03:20 PM
...กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน...(ธนรัตน์ เลปนานนท์)


ข้าพเจ้าอายุ ๓๑ ปี กำลังศึกษาต่อระดับปริญาโท ที่มหาวิทยาลัยมหิดล
ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักวัดอัมพวัน และ พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญมาก่อน
แต่เป็นคนที่สวดมนต์ไหว้พระอยู่แล้ว แม้จะไม่สม่ำเสมอเท่าใด
อยากจะฝึกนั่งสมาธิมานานแล้วแต่ไม่มีโอกาส
จนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนแปลงในชีวิต

ระหว่างอายุ ๒๕ - ๒๗ ปี ข้าพเจ้าปฏิบัติงานในตำแหน่งนักกายภาพบำบัด
ที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา กรุงเทพฯ
มีผู้ป่วยมาขอบคุณที่ได้ช่วยทำกายภาพบำบัดเขาจนดีขึ้น
และได้มอบหนังสือเล่มหนึ่งให้ข้าพเจ้า
ที่หน้าปกมีรูปพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ
ข้าพเจ้ารับหนังสือนั้นมาแล้วไม่ได้สนใจจะหยิบอ่าน

หลังจากนั้นไม่นาน ข้าพเจ้าได้รู้จักและคบหากับผู้ชายคนหนึ่ง
ซึ่งภายหลังทราบว่าเขาเป็นคนมีครอบครัวแล้ว
ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจมาก จนมีผลต่ออารมณ์และจิตใจ
รวมทั้งสมาธิในการปฏิบัติงานเป็นนักกายภาพบำบัดด้วย
ไม่ทราบว่าจะจัดการกับจิตใจอย่างไรให้ดีขึ้น
ก็ได้แต่อาศัยการสวดมนต์ไหว้พระเป็นที่พึ่งทางใจ
มีผู้แนะนำให้สวดมนต์บทพาหุงฯ ด้วย
จะได้พ้นจากเรื่องทุกข์ใจ พยายามสวดมนต์มาสักระยะหนึ่ง
รู้สึกว่าจิตใจสงบขึ้น ปัญหาก็เริ่มคลี่คลายไป
แต่จิตใจยังไม่ได้รับการแก้ไขเท่าใดนัก

ปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้าพเจ้าสอบเข้าศึกษาต่อปริญญาโท
ที่มหาวิทยาลัยมหิดลได้ จึงหันมาใส่ใจกับการศึษา
ทำให้จิตใจดีขึ้นบ้าง แต่ถ้าหากอยู่คนเดียว
ก็มักจะคิดย้อนไปถึงเรื่องอดีตที่ผ่านมาอีก ทำให้ยังคงเสียใจอยู่
และคิดว่าทำไมต้องมาพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ด้วย
ข้าพเจ้ากลายเป็นคนหงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน วู่วาม
คิดจะทำอะไรอยากจะทำสิ่งใด ต้องให้ได้เดี๋ยวนั้น
บางครั้งทำไปเลยโดยไม่คิดไตร่ตรองให้รอบคอบ
ทำให้เกิดความเสียหายต่อตัวเองมาก
เวลามีเรื่องราวอะไรมากระทบจะวิตกกังวลเศร้าโศกอยู่นานหลายๆ วัน

ต่อมาประมาณปี ๒๕๔๕ - ๒๕๔๖
ข้าพเจ้าประสบปัญหาการคบกับเพื่อนชายอีกคนหนึ่ง
ความที่จิตใจของตนเองยังไม่ได้รับการแก้ไข
ยังเป็นคนหงุดหงิดง่าย เอาแต่ใจตัวเอง
มีอะไรเกิดขึ้นนิดหน่อยก็โวยวายเป็นเรื่องใหญ่โต
ทำให้มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยมาก
คุณแม่เตือนก็ไม่ค่อยเชื่อฟัง จะดื้อเงียบ
ช่วงนั้นข้าพเจ้าไม่สบายใจมากร้อนรนกระวนกระวาย
ไม่มีสมาธิในการเรียน ร้องไห้เสียใจบ่อยๆ
และนึกถึงคุณพ่อที่เสียชีวิตไปหลายปีแล้วเป็นอันมาก
จึงต้องการที่จะบวชปฏิบัติธรรมอุทิศบุญกุศลให้ท่าน
และเพื่อจิตใจของตัวเองสงบด้วย

เพื่อนพาข้าพเจ้าไปบวชเนกขัมมะปฏิบัติ ถือศีล ๘ นุ่งขาวห่มขาว
ที่วัดแห่งหนึ่งเป็นเวลา ๓ วัน
ตอนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่า ตนเองเพียงแต่เปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดปกติ
มาใส่ชุดขาวเท่านั้น ไม่ได้ความสงบของจิตใจเท่าใด
พอกลับบ้านไปอารมณ์และจิตใจก็ยังไม่ได้รับการเยียวยาแก้ไข
จนกระทั่งประมาณเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๖ คุณศุภรัตน์ ปรศุพัฒนา
เพื่อนรุ่นพี่ที่ศึกษาต่อระดับปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดล
คณะเดียวกันกับข้าพเจ้า ได้ชักชวน
ให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันเป็นเวลา ๓ วัน (ศุกร์ - เสาร์ - อาทิตย์)
ข้าพเจ้าได้วิธีการปฏิบัติกรรมฐาน
การเดินจงกรม และการนั่งสมาธิที่ถูกต้อง
ทำให้ข้าพเจ้าสามารถกำราบจิตใจของตนเอง
ที่สับสนวุ่นวายไม่สงบสุขและเศร้าหมองลงได้มาก

แม้ได้อยู่ปฏิบัติเพียงแค่ ๓ วัน
แต่ข้าพเจ้าถือว่า ได้พบสิ่งมีค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ในขณะปฏิบัติกรรมฐานนั้น ต้องประสบกับทุกขเวทนาตลอดทั้ง ๓ วัน
เช่น เวลาเดินจงกรมก็มีอาการปวดหัวไหล่
เวลานั่งสมาธิก็ปวดขามาก มิหนำซ้ำยังมีความฟุ้งซ่านด้วย
แต่ข้าพเจ้ากับรู้สึกว่าทุกขเวทนาและความฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นนั้น
เป็นอาจารย์ที่มาสอนข้าพเจ้า
ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจสภาวะจิตใจของตนเองมากขึ้นว่า
จิตที่มีความทุกข์และความร้อนกระวนกระวายนั้น
เพราะเราคิดเราปรุงแต่และยึดมั่นถือมั่น
ต่อเมื่อเราหยุดคิดหยุดปรุงแต่ปล่อยวาง
จิตนั่นจะสงบนิ่ง และไม่หวั่นไหวต่อสิ่งต่างๆ ที่เข้ามากระทบจิตใจ
ทั้งนี้จะต้องมีสมาธิมาคอยควบคุมจิตของเราด้วย

กลับไปบ้านข้าพเจ้าสบายใจขึ้นมาก
มีสมาธิและมีสติในการเผชิญปัญหาและแก้ไขปัญหาได้ดีขึ้น
สามารถให้อภัยคนที่ตนเองเสียใจได้
ทั้งๆ ที่แต่ก่อนมีความโกรธและเกลียดเขามาก
ต่อมาในช่วงเดือนกันยายน ๒๕๔๖
ข้าพเจ้าก็ชักชวนเพื่อนอีก ๒ คนไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันอีก
เป็นครั้งที่ ๒ ระยะเวลา ๓ วันเช่นกัน
ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเวลาที่เดินจงกรมมีสติมากขึ้น
เดินไม่ค่อยเซ เวลาที่นั่งสมาธิเมื่อใดที่มีสติ
อยู่กับกาอารพองหนอ - ยุบหนอได้ดี
สามารถทนกับอาการปวดขาได้ โดยอาการปวดขาไม่ได้หายไปไหน
ยังเท่าเดินเหมือนเดิม แต่ข้าพเจ้ากลับเบาใจและอยู่กับอาการปวดขานั้นได้
ทำให้ได้รู้ว่า เมื่อจิตของเราว่างเฉย
ไม่ไปรับอารมณ์ความปวดนั้นเข้ามาปรุงแต่ง
จิตของเราก็ไม่ได้กระวนกระวายและปวดตามไปกับกายของเราด้วย

อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้ปฏิบัติกรรมฐานอย่างต่อเนื่อง
จึงทำให้จิตตก ตัวอย่างเช่น
มีวันหนึ่งน้องสาวได้พูดในทำนองล้อเล่นกับข้าพเจ้า
แต่ตอนนั้นข้าพเจ้ากลับรู้สึกเป็นจริงเป็นจังและหงุดหงิดขึ้นมา
คิดว่าน้องสาวกำลังว่าข้าพเจ้าอยู่
จึงได้ตอบสวนกลับไปอย่างมีอารมณ์โกรธ
น้องสาวก็พูดย้อยมาว่า ”อ้าว...พูดแค่นี้เอง ทำไมถึงโกรธล่ะ
ไปปฏิบัติธรรมมาแล้วนี่”
อีกคราวหนึ่งข้าพเจ้าพูดคุยกับเพื่อนคนหนึ่ง แล้วเพื่อนได้พูดขัดขึ้นมา
ข้าพเจ้าไม่พอใจถึงกับตวาดเพื่อนเสียงดัง
เพื่อนคนนั้นพูดว่า “เธอไปปฏิบัติธรรมยังไงกัน ทำไมถึงยังเป็นแบบนี้อยู่ล่ะ”
ข้าพเจ้าได้สติก็ขอโทษเพื่อนเป็นการใหญ่
พร้อมทั้งเริ่มต้นตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราเป็นอะไรนี่
ทำไมตัวเรายังเป็นแบบนี้อยู่ ไม่เห็นดีขึ้นเลย
เวลามีเรื่องราวที่ไม่สบายใจเข้ามา
ยังตามรู้ไม่ทันสภาวะอารมณ์ของตนเอง ทำให้ยิ่งหดหู่ใจเพิ่มขึ้น

จนกระทั่ง ข้าพเจ้าได้ไปรับการอบรมปฏิบัติธรรมที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน
จังหวัดขอนแก่น ทำให้ได้ข้อคิด และวิธีปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องมากขึ้น
ในงานทอดกฐินที่ศูนย์ฯ
พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เมตตาเทศนาอบรมผู้เข้าปฏิบัติธรรม
มีอยู่ประโยคหนึ่งที่ข้าพเจ้าจำได้จนถึงทุกวันนี้
และนึกถึงเสมอเวลาปฏิบัติกรรมฐานคือ
“อย่าไปมองคนอื่น ให้มองตัวเราเองเท่านั้น”
หลังจากปฏิบัติธรรมครั้งนี้ข้าพเจ้าได้สติสำนึกย้อนไปรู้ว่า
การกระทำและเรื่องที่ผ่านมาในชีวิตนั้น
เป็นเพราะตัวข้าพเจ้าประมาท
ขาดสติในการพิจารณาสิ่งต่างๆ ให้รอบครอบ แก้ปัญหาไม่ถูกจุด
ทำให้ตังเองเป็นทุกข์ ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ว่าการปฏิบัติกรรมฐานนั้น
เราต้องมีสติรู้ตัวตลอดเวลา เมื่อใดที่เราขาดสติกิเลสต่างๆ
จะเข้ามาในจิตใจทันที บางครั้งเพียงชั่งพริบเดียว
กิเลสทั้ง ๓ ตัวคือ โลภะ โทสะ โมหะ
ก็เข้ามาในจิตใจเราเรียบร้อยโดยไม่รู้ตัว

ในระหว่างปฏิบัติธรรมที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวันนั้น
ข้าพเจ้าได้พบคุณอนงค์ โททำ เป็นชาวนา มาจากจังหวัดมหาสารคาม
นำลูกชายอายุประมาณ ๑๐ ปีไปปฏิบัติธรรมด้วย
เธอเคยไปปฏิบัติธรรมที่ศูนย์เวฬุวันแล้ว ๒ ครั้ง
และเมื่อกลับไปบ้านก็นำเอากรรมฐานไปปฏิบัติต่อ
เธอจะตื่นแต่เช้ามืดสวดมนต์ไหว้พระ เดินจงกรม และนั่งสมาธิเสมอ
ขณะที่เดินไปยังที่นาก็กำหนดเดินจงกรมไป
หรือเวลาปลูกข้าวก็กำหนด ปลูกข้าวหนอ...ปลูกข้าวหนอ...ไปด้วย
เธอบอกว่าได้ผลดีมาก ทำให้มีสติอยู่ตลอดเวลา

ข้พเจ้าประทับใจในตัวคุณอนงค์มาก
และคิดว่าตัวข้าพเจ้าเองได้รับวิธีการปฏิบัติกรรมฐานอย่างถูกต้อง
มาจากวัดอัมพวันแล้ว แต่พอกลับไปบ้านก็ไม่ปฏิบัติให้ต่อเนื่องทำให้จิตตกอีก
พี่อนงค์มีภาระต้องทำนา ทำขนมขาย ทำงานบ้าน ดูแลครอบครัว
แต่ก็ยังมีความพากเพียรในการปฏิบัติกรรมฐานอย่างสม่ำเสมอ
ข้าพเจ้านึกถึงประโยคที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อกล่าวว่า
“เวลาเป็นสิ่งเดียวในโลกที่ทุกคนได้รับเสมอหน้ากัน
ไม่มีใครได้เปรียบเทียบหรือเสียเปรียบกัน”
ทำให้ข้าพเจ้าตั้งใจว่า
ต่อไปนี้จะพยายามปฏิบัติกรรมฐานให้สม่ำเสมอเป็นประจำ

หลังจากที่ปฏิบัติกรรมฐานสม่ำเสมอ
และพยายามกำหนดสติตามรู้ให้ทันปัจจุบัน
แม้เวลานั่งรถเมล์ กินข้าว ทำงาน
ทำให้มีสติและสมาธิในการทำงานดีขึ้น มีความสบายใจ
เห็นถึงคุณค่ามหาศาลของการปฏิบัติกรรมฐาน

ข้าพเจ้าขอน้อมกราบขอบพระคุณหลวงพ่อ
ที่เมตตาผู้เข้าปฏิบัติกรรมฐานใหม่เช่นข้าพเจ้า
กราบขอบพระคุณท่านพระครูวินัยธรรวัฒน์ ฐานุตฺตโร
พระอาจารย์ทุกท่านที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน
และญาติธรรมทุกท่านรวมทั้งมารดาบิดาของข้าพเจ้า

ขอบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญเพียรมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
โปรดส่งผลให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ และผู้มีพระคุณทุกๆ ท่าน
ประสบแต่ความสุขความเจริญเทอญ

คัดลอกจาก...หนังสือกฎแห่งกรรมธรรมปฏิบัติเล่ม 18
http://jarun.org/