PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ วัดดอยธรรมเจดีย์



DAO
11-14-2008, 01:58 PM
http://www.amulet.in.th/forums/images/1467.jpg


หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร

ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย

หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ เดิมชื่อ กงมา วงศ์เครือสอน เกิดวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๓ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีชวด ณ บ้านโคก ตำบลตองโขบ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร เป็นบุตรคนสุดท้องของนายบู่ นางนวล วงศ์เครือสอน ซึ่งมีพี่ร่วมท้องเดียวกัน ๖ คน ในวัยหนุ่มมีร่างกายกำยำล่ำสันสูงใหญ่ใบหน้าคมคาย เป็นนักต่อสู้ชีวิต แบบเอางานเอาการ สมัยหนึ่งได้เป็นนายฮ้อยต้อนวัว ควาย หมู เที่ยวขายตามจังหวัด ใกล้เคียงกับบ้านเกิด จนต่อมาได้รับหน้าที่เป็นหัวหน้านายฮ้อย พาคณะนายฮ้อยต้อน สัตว์ไปขายถึงกรุงเทพฯ โดยอาศัยการเดินทางด้วยเท้ารอนแรมหลายเดือน การเป็นหัวหน้านายฮ้อยได้แสดงถึงความสามารถเฉพาะตัวของท่าน เช่น จดจำ ชำนาญ รู้ทิศทางดีหนึ่ง มีความสามารถอาจหาญป้องกันภัยอันตรายที่จะเกิด กับลูกน้องหนึ่ง มีคุณธรรมมีศีลธรรม รักษาคำสัตย์ มีความยุติธรรมหนึ่ง เป็นต้น การที่ท่านได้ท่องเที่ยวค้าขายไปในต่างถิ่นหลายที่ มีประสบการณ์นำความเจริญ เข้าสู่หมู่บ้าน จนเป็นที่นับหน้าถือตาของคนในตำบล เป็นที่เชิดหน้าชูตาของพ่อแม่ เมื่อถึงกาลอันควรพ่อแม่จึงได้ไปสู่ขอ นางสาวเลา จัดพิธีแต่งงานให้มีครอบครัว

เมื่อท่านอายุได้ ๒๕ ปี (๒๔๖๘) ครั้นนางเลาตั้งครรภ์แล้ว ได้เกิดป่วยอย่างหนัก สุดที่จะรักษาชีวิตไว้ได้ ในที่สุดนางเลาพร้อมบุตรในครรภ์ได้เสียชีวิตลง การสูญเสียภรรยาสุดที่รักพร้อมลูกในครรภ์ครั้งนี้ ทำให้ท่านรู้สึกว่าได้หมดสิ้น ทุกอย่างที่เคยหวังและตั้งใจ เพราะตลอดเวลาได้ตรากตรำทำงานหนักเพื่อเมียและลูก นี้เองเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านนึกถึงพระพุทธศาสนา มีผู้เฒ่าผู้แก่บอกอยู่เสมอว่า "ไม่มีอะไรดีเท่ากับการบวชพระ" การออกบวชเป็นพระ จึงอยู่ในจิตสำนึกตลอดมา ด้วยจิตอันแน่วแน่ได้ตัดสินใจไปกราบลาพ่อแม่ ญาติพี่น้อง พร้อมแจกจ่ายสมบัติ ทั้งหลายบรรดามีให้แก่ญาติพี่น้อง ทุกคนได้เห็นใจและไม่คัดค้านลูกคนสุดท้องคนนี้ ทรัพย์สมบัติที่ท่านมอบให้ครั้งนี้ก็จะเก็บรักษาไว้ เมื่อวันใด ท่านสึกออกมาก็จะคืนให้ ทุกคนต่างคิดว่า การออกบวชเป็นทางออกที่ดีสำหรับบุคคลที่ประสบ เคราะห์กรรมเช่นนี้

ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรมและปฏิปทา

เมื่ดท่านตัดสินใจออกบวช สิ่งแรกที่ท่านคิดถึง คือ เสี่ยวฮัก ชื่อมี ขณะนั้นไปบวชเป็นสามเณรอยู่กับอาจารย์วานคำ วัดบ้านบึงทวย อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร สามเณรมี (ภายหลังได้บวชเป็นพระ) ก็ได้ฟังเรื่องราวชีวิต ของเสี่ยวกงมา แล้วแนะนำให้เข้ามาบวช ในที่สุดท่านจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ มหานิกาย มีอาจาย์โท เป็นพระปุปัชฌาย์ (ไม่ทราบวันเดือนปีที่บวช) เมื่อบวชแล้วพระภิกษุกงมาก็เดินทางกลับไปจำพรรษาที่วัดบ้านตองโขบ ซึ่งไม่มีการศึกษาเล่าเรียน ไม่มีการปฏิบัติ ได้แค่ท่องสวดมนต์ไหว้พระ ซึ่งยังไม่ถูกใจ จึงเดินทางไปจำพรรษาที่วัดบ้านบึงทวย ไปอยู่กับพระอาจารย์วานคำ ซึ่งพระมี (เสี่ยวฮัก) อยู่วัดนี้ด้วย อยู่วัดนี้ได้ไม่นานด้วยความคิดว่าตนเองไม่ได้สิ่งที่ประสงค์ จึงเข้าไปปรึกษากับพระมี ซึ่งเป็นพระเดินธุดงค์ที่หาตัวจับยาก เคยธุดงค์ไปลาว พม่า และไทยหลายแห่ง มาแล้ว พระมีได้เล่าว่า เคยได้รับข่าวจากชาวบ้าน พูดถึงเกียรติคุณของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เป็นพระที่ประพฤติดี ปฏิบัติชอบมีผู้ประพฤติปฏิบัติตามมากมาย ทำให้ พระกงมาสนใจ

ต่อมาได้มีตาปะขาว ชื่ออาจารย์เสน ซึ่งได้รับการอบรมการปฏิบัติธรรม จากหลวงปู่มั่น ได้เดินทางมาถึงบ้านคำข่า (ใกล้บ้านบึงทวย) พระกงมาจึงเดินทาง ไปพบและขอฟังธรรมที่เรียนมาจากหลวงปู่มั่น จนเกิดความซาบซึ้ง จึงถามถึงที่อยู่ของหลวงปู่ จนทราบว่าขณะนั้นท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต อยู่ที่บ้านสามผง ดงพะเนาว์ อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร ท่านตัดสินใจต้องไปพบให้ได้ จึงเดินทางกลับวัด ชวนพระมี เสี่ยวฮัก เข้ากราบลา พระอาจารย์วานคำ แห่งวัดบ้านบึงทวยผู้เป็นอาจารย์ แม้จะเสียดายศิษย์ทั้งสอง แต่จำเป็นต้องยอมอนุญาตให้ไปตามประสงค์ พระคู่เสี่ยวฮัก ออกเดินทางด้วยเท้าเปล่า ผ่านป่าดงพงพี พบสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว ทั้งสองต่างมีประสบการณ์ จึงไม่หวาดหวั่น มีจุดหมายปลายทาง คือ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เวลาผ่านไป ๒ วัน ๒ คืน ก็ลุถึงปลายทาง

ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นมากแล้ว ณ บ้านสามผง ดงพะเนาว์ มีผู้ปฏิบัติธรรม กำลังนั่งสมาธิ หลวงปู่มั่น นั่งบนอาสนะสั่งสอนอยู่พอดี ทั้งสองท่านก็หมอบเข้าไป นมัสการแล้วนั่งฟังธรรม เมื่อท่านแสดงธรรมจบ จึงได้เข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์ ขอปฏิบัติธรรม หลวงปู่มั่นได้รับตัวไว้เป็นศิษย์ตั้งแต่นั้นมาซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๒๔๖๙ เมื่อหลวงปู่มั่น รับตัวเสี่ยวฮักทั้งสองท่านไว้เป็นศิษย์ แล้ว นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๙ ที่ หมู่บ้านสามผง ดงพะเนาว์ เป็นหมู่บ้านที่อยู่กลางป่าดงดิบ เป็นป่าทึบดงใหญ มีสัตว์ร้ายชุกชุม เช่น เสือ ช้าง งูเห่า งูจงอาง หมี วัว กระทิง เป็นต้น ไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน เพราะกว่าจะผ่านดงนี้ไปได้ต้องใช้เวลาเดินถึง ๓ วัน ๓ คืน ท่านเสี่ยวฮักทั้งสองได้อยู่ปฏิบัติธรรมโดยมีพระอาจารย์มั่น เป็นผู้ชี้แนะสั่งสอน จนจวนจะเข้าพรรษา พระมี เสี่ยวของพระกงมาได้อำลากลับ ไปจำพรรษาที่ วัดบ้านบึงทวยตามเดิม ส่วนท่านกงมาก็ยังสามารถอยู่จำพรรษา ในป่าดงนี้ได้ต่อไป โดยการมาขอรับฟังโอวาทจากหลวงปู่มั่นอาทิตย์ละ ๒ ครั้ง ในขณะที่ปฏิบัติธรรมอยู่ในป่าดง ท่านมีความรู้สึกว่า พระพุทธเจ้าท่านวิเศษเหลือเกิน เพียงนึกเช่นนี้ ก็ทำให้อาจหาญ ไม่รู้สึกเกรงภัยใดๆ ได้สละชีวิตเพื่อการปฏิบัติธรรม จนเป็นเหตุให้หลวงปู่มั่นทุ่มเทความรู้ในด้านปฏิบัติให้อย่างเต็มความสามารถ ในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ พระอาจารย์กงมาได้เดินทางติดตามหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ซึ่งเดินทางไปส่งโยมมารดาที่จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อเดินทางถึงจังหวัดอุบลราชธานีแล้ว ณ วันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๑ เวลา ๑๔.๔๐ น. พระอาจารย์กงมา และ พระอาจารย์ลี ซึ่งเป็นพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกายก็ได้รับสวดญัตติ แปรมาเป็นฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ที่ วัดบูรพา อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ท่านทั้งสองได้ฉายาใหม่ว่า จิรปุญฺโญ และธมฺมธโร ตามลำดับ โดยมี พระปัญญาพิศาลเถร (หนู) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์เพ็ง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ภายหลังบวชเป็นพระธรรมยุติแล้ว ท่านพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ได้ท่องเที่ยวบำเพ็ญธรรม อบรมสั่งสอนไปตามสถานที่ต่างๆ ดังนี้ ในปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ธุดงค์ไปจำพรรษาที่บ้านหัววัว จังหวัดยโสธร ในปี พ.ศ. ๒๔๗๓ ไปจำพรรษาที่บ้านเหล่างา อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ในปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ไปจำพรรษาที่บ้านทุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ไปจำพรรษาที่ภูระงำ อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น ในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ไปจำพรรษาที่วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา และ ในปีนี้ ท่านได้สร้างวัดสว่างอารมณ์ บ้านใหม่สำโรง อำเภอสีคิ้ว จังหวัด นครราชสีมา ได้สั่งสอนชาวบ้าน ซึ่งมักมีการลักขโมย มั่วสุมการพนัน แตกสามัคคี ฆ่าฟันกันด้วยอุบายธรรม เป็นผลให้ชาวบ้านหันหน้าเข้าหาธรรม ขจัดความเลวร้าย ทั้งหลายให้หมดไป จนชาวบ้านเลื่อมใสสร้างศาลาปฏิบัติธรรมถวาย จนกลายมาเป็น วัดสว่างอารมณ์ดังกล่าว

ณ วัดแห่งนี้ ท่านก็ได้รับเด็กชายวิริยังค์ บุญทีย์กุล (พระอาจารย์วิริยังค์ หรือ ท่านเจ้าคุณพระญาณวิริยาจารย์ วัดธรรมมงคล ซอยปุณวิถี สุขุมวิท ๑๐๑ อำเภอพระโขนง) เป็นศิษย์ ในปี พ.ศ. ๒๔๗๙ พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ พร้อมด้วยคณะมี พระอาจารย์ปาน พระอาจารย์เงียบ สามเณรวิริยังค์ บุญทีย์กุล ออกธุดงค์ไปภาคตะวันออก เข้าพักปฏิบัติธรรมที่วัดคลองบางกุ้ง ของ พระอาจารย์ลี (วัดอโศการาม) ไม่นานก็เดินทางไปอยู่บ้านนายายอาม ตามคำนิมนต์ของ ขุนภูมิ นายอำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี หมู่บ้านดังกล่าวโจรผู้ร้ายชุกชุม คนขาดศีลธรรม นายอำเภอปราบไม่สำเร็จ ภายหลัง ท่านเข้าไปอยู่ในหมู่บ้าน ได้สั่งสอนศีลธรรมและธรรมปฏิบัติ ทำให้คนรู้จัก บาปบุญคุณโทษมีศีลธรรม มีความรักสมัครสมาน ช่วยเหลือกันและกัน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ท่านก็เดินทางกลับมายังวัดคลองบางกุ้ง ด้วยความอาลัย เสียดายของชาวบ้านนายายอามเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาชาวบ้านหนองบัว อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี ได้เห็นพ้องกันสร้าง วัดขึ้นในหมู่บ้าน พอได้ข่าวว่า พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ผู้เป็นศิษย์ของ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดคลองบางกุ้ง จึงได้แต่งตั้งตัวแทน ๕ คน เดินทางมานิมนต์ให้ท่าน ไปจำพรรษาที่บ้าน ผู้มานิมนต์คนหนึ่งในจำนวน ๕ คน ได้นมัสการท่านว่า เมื่อวันก่อนที่จะมานิมนต์นี้ ได้ฝันว่าได้ช้างเผือกที่มีรูปร่างสวยงามมาก หาที่ติมิได้เลย จำนวนสองเชื่อก ซึ่งเป็นนิมิตที่ดี พระอาจารย์กงมาได้ฟังเช่นนั้น ก็เห็นว่าเป็นมงคล จึงรับนิมนต์ ดังนั้นในวันแรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๕ ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ ท่านพร้อมด้วย สามเณรวิริยังค์ก็ได้ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านหนองบัวยังความปิติมาให้แก่ ชาวบ้านแถบนั้นยิ่งนัก ท่านได้แสดงธรรมสั่งสอนชาวบ้าน เชิญชวนให้ทุกคนนั่งสมาธิ บำเพ็ญกรรมฐาน ประชาชนต่างก็เลื่อมใสในจริยาวัตรของพระสมณะทั้งสองอย่างมาก หลั่งไหลกันมาฟังธรรม และต่างได้พร้อมใจกันสร้างเสนาสนะถวายได้ให้ชื่อว่า วัดทรายงาม

ในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ และ ๒๘๔๒ มีผู้นำเรื่องไปทูลฟ้องสมเด็จพระสังฆราช เจ้ากรมหมื่นวชิรญาณวงศ์ วัดบวรนิเวศวิหาร ว่า พระอาจารย์กงมา ปฏิบัติผิดพระวินัยหลายเรื่อง เช่น พระอาจารย์กงมาสะพายบาตรเหมือน พระมหานิกาย พระอาจารย์กงมาเทศน์แปลหนังสือผิด ไม่ถูกต้องตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้สมเด็จพระสังฆราชเจ้า พระองค์นั้น เสด็จไปทอดพระเนตรวัตรปฏิบัติของพระอาจารย์กงมาเองถึงในป่า จนประจักษ์ด้วยพระองค์เอง แล้วตรัสว่า การสะพายบาตรอย่างนี้ ก็เหมือนกับอุ้ม ไม่ผิดวินัยหรอก กลับเรียบร้อยดีด้วย ส่วนเรื่องแสดงธรรมนั้น ทรงตรัสชมเชยด้วยซ้ำว่า เทศน์เก่งกว่ามหาเปรียญ ๙ ประโยคเสียอีก นอกจากนี้ยังมีผู้ไปทูลฟ้องสมเด็จพระสังฆราชว่า เวลาไปธุดงค์ พระอาจารย์กงมา ทำตัวเป็นผู้วิเศษ แจกของขลังให้กับประชาชน หลงไปในทางผิด ทำให้สมเด็จพระสังฆราชขอออกธุดงค์กับท่านอาจารย์กงมา เพียงสองต่อสอง และทรงขอร้องไม่ให้บอกใครว่าเป็นสมเด็จพระสังฆราช จากนั้นพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ได้พาสมเด็จพระสังฆราช ออกเดินธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆ ที่ท่านเคยออกธุดงค์มาแล้ว วันหนึ่งได้ไปปักกลดพักอยู่ที่เชิงเขาสระบาป เกิดลมพายุฝนตก กลดไม่สามารถป้องกันน้ำฝนได้ อนึ่ง การปักกลดของพระธุดงค์ก็ต้องอยู่ห่างกัน พอสมควร สมเด็จพระสังฆราชทรงเปียกปอนไปหมดส่วนพระอาจารย์กงมา ก็นั่งตากฝนแต่บริขานไม่เปียก เมื่อฝนหยุด ท่านก็ครองผ้าเข้าเฝ้าสมเด็จฯ ทำให้เกิดความฉงน สมเด็จฯ จึงตรัสวถามว่า ทำไม่จึงไม่เปียก ได้รับคำตอบว่า มีคาถาดี ภายหลังเสด็จกลับ จากเดินธุดงค์สู่วัดทรายงามแล้ว สมเด็จฯ จึงตรัสถามสามเณรวิริยังค์ จึงได้ทราบว่า เมื่อเวลาฝนตก พระองค์ต้องเก็บของทั้งหมดใส่ลงไปในบาตร แล้วปิดฝาบาตรให้สนิท ถึงตอนนี้ทำให้สมเด็จฯ ทรงเข้าใจชัดว่า คาถาดีป้องกันฝนได้ นั้น คือ อย่างนี้เอง

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหมื่นวชิรญาณวงศ์ ทรงตรัสชมเชยการออกธุดงค์ และการปฏิบัติกรรมฐานของพระอาจารย์กงมาว่า ได้ให้ประโยชน์อย่างมาก การออกธุดงค์และการปฏิบัติเช่นนี้ ถ้าทำกันมากๆ จะทำให้ พระศาสนาเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น พระองค์ยังได้ให้ความคุ้มครอง สรรเสริญ พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ด้วยดีโดยตลอดมา และต่อมาพระอาจารย์กงมา ได้สร้างวัดเขาน้อย ท่าแฉลบ ตามข้อชี้แนะของสมเด็จฯ ก่อนเสด็จกลับกรุงเทพฯ ปัจจุบันได้เป็นวัดที่มั่นคงถาวร ในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ท่านได้ทำการอุปสมบทแก่สามเณรวิริยังค์ บุญทีย์กุล เป็นพระภิกษุวิริยังค์ สิรินฺธโร และในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ท่านได้ชวนพระวิริยังค์ ออกธุดงค์ จากวัดทรายงาม จังหวัดจันทบุรี เพื่อไปนมัสการและศึกษาธรรมจาก หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต โดยเดินเท้าเปล่า ผ่านอำเภอบะขาม กิ่งอำเภอคำพุฒ อำเภอโป่งน้ำร้อนไปจนหมดเขตไทย แต่ละแห่งล้วนเป็นป่าดงดิบ มีสัตว์ป่าที่ดุร้าย ไข้ป่ารุนแรง มีอสรพิษมากมาย แต่ทั้งสองอาจารย์กับศิษย์ ก็สามารถผ่านพ้นป่านั้นๆ ไปได้อย่างปลอดภัย จากนั้นก็เข้าธุดงค์สู่เขตประเทศเขมร ผ่านบ่ไพลิน พระตุบอง มงคลบุรี ศรีโสภณ แล้วเข้าสู่เขตประเทศไทย ด้านอำเภออรัญประเทศ จังหวัดปราจีนบุรี (ขณะนั้นเป็นจังหวัดอรัญประเทศ) พักปักกลดที่ บ้านหนองแวง ธุดงค์ต่อมา ผ่านบ้านตาดโตน ข้ามเขาลูกใหญ่ เดิน ๑ วันเต็ม ผ่านบ้านกุดโบสถ์ ถึง ถ้ำวัวแดง กิ่งอำเภอท่าแซะ จังหวัดนครราชสีมา ถ้ำวัวแดง เป็นเทือกเขาใหญ่ ถ้ำนี้ คนโบราณเกรงกลัวมาก โดยรอบถ้ำเป็นป่าทึบ ต้นไม้ใหญ่หนาแน่น สัตว์ป่าพวกเสือร้ายชุกชุม ภายในถ้ำวัวแดงแห่งนี้ มีเสียงประหลาดน่ากลัวเกิดขึ้นอยู่เสมอ ท่านพระอาจารย์กงมาได้เล่าว่า เสียงน่ากลัวและแปลกประหลาดทั้งหลาย เกิดขึ้น มันจะมาทำลายจิต ฉะนั้น ต้องทำจิตให้เป็นสมาธิ คือ ตั้งมั่น ใน อารมรณ์เดียว ไม่แส่ส่ายไปมา ถ้าจิตไม่แน่วแน่จะเกิดความกลัวทำให้เกิดเป็นบ้าได้ เมื่อท่านอยู่ปฏิบัติธรรม ณ ถ้ำวัวแดงเป็นเวลาพอสมควรแล้ว ก็ได้เดินธุดงค์มุ่งสู่ จังหวัดสกลนครพร้อมด้วยพระวิริยังค์ผู้เป็นศิษย์ โดยผ่านดงพญาเย็น นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี จนกระทั่งถึงจุดหมาย คือ จังหวัดสกลนคร โดยใช้เวลาทั้งสิ้น ๓ เดือน จาก วัดทรายงาม จังหวัดจันทบุรี ถึง จังหวัดสกลนคร พระอาจารย์กงมา ได้นำพระวิริยังค์เข้านมัสการและฝากไว้เป็นศิษย์หลวงปู่มั่น ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ท่านได้อยู่จำพรรษากับหลวงปู่มั่นได้รับอุบายธรรม ได้รับความเมตตาเป็นพิเศษ สถานที่ปฏิบัติธรรมนั้น เดิมเป็นเพียงสำนักชั่วคราว พระอาจารย์กงมาได้สร้างขึ้นใหม่จนเป็นวัดสมบูรณ์ ตั้งชื่อว่า วัดสุทธิธรรมาราม เมื่อออกพรรษาแล้ว หลวงปู่มั่นได้ออกธุดงค์ พระอาจารย์กงมาเห็นว่า วัดสุทธิธรรมาราม มีความวิเวกน้อย ไม่เหมาะแก่การอยู่ปฏิบัติธรรม ท่านจึงไปแสวงหาที่เหมาะสมว่า ท่านได้พบถ้ำเสือ บนเทือกเขาภูพานเห็นว่า มีความสงบวิเวกดี ดังนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ท่านจึงได้ขั้นปักกลดที่ปากถ้ำเสือ บนเทือกเขาภูพาน นั้น ปฏิบัติธรรมเจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อมา จนเสือที่เคยอาศัยอยู่ ณ ถ้ำแห่งนี้ ต้องหลีกทางให้ท่านอยู่ปฏิบัติ เพราะสู้เมตตาธรรมท่านไม่ได้ สถานที่แห่งนี้ ต่อมาพระอาจารย์กงมาได้สร้างเป็นวัด ชื่อ วัดดอยธรรมเจดีย์ พุทธศาสนิกชนทั้งใกล้และไกล เมื่อได้ยินกิตติศัพท์ของท่าน ต่างหลั่งไหลมาฟังธรรม ปฏิบัติธรรม ณ สถานที่แห่งนี้ไม่ขาดสายตลอดมา ณ วันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ ได้มรณภาพด้วยอาการสงบได้นำความเศร้าโศกมาสู่บรรดาศิษยานุศิษย์และชาวพุทธเป็นอันมาก

ถวายเพลิงศพท่านในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ ณ วัดดอยธรรมเจดีย์ เทือกเขาภูพาน จังหวัดสกลนครสิริรวมอายุได้ ๖๐ ปี ๑๑ เดือน ๑๑ วัน

ธรรมโอวาท

หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ เป็นพระปฏิบัติธรรมตามแนวของหลวงปู่มั่น ธรรมโอวาทมีดังนี้
๑.คำว่าทุกข์ แม้จะนิดเดียวก็ไม่เคยมีสัตว์โลกรายใดรัก ชอบ และปรารถนา ต่างก็กลัวและขยะแขยงกันมาแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว แต่หากจะมีก็อาจได้พบเห็นในสมัย ปัจจุบัน เพราะศีลธรรมที่เคยให้ความร่มเย็นแก่โลกตลอดมากำลังถูกตำหนิ ลบล้างด้วยความคิดของคนในปัจจุบัน โดยเห็นว่า ศีลธรรมที่ร่มเย็นเป็นของเก่าก่อน กลับคร่ำครึ ล้าสมัย ความสุขที่เคยได้รับเป็นสันดาร จนลืมทุกข์ทรมานแต่ก่อนเก่าไปสิ้น
๒. เราจะกลัวเสือ หรือ เราจะกลัวกิเลส กิเลสมันทำให้เราตาย นับภพนับชาติไม่ถ้วน แต่เสือตัวนี้ มันทำให้เราตายได้หนเดียว
๓. อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา... อนิจจัง...ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่สามารถจะอยู่ยงคงทนต่อไปได้ ย่อมดับย่อมสลายไปตามกาล พระพุทธองค์ตรัสว่า ไม่เที่ยงแท้แน่นอนไปได้... ทุกขัง...เมื่อมีสิ่งที่เกิดขึ้นมาในโลก แล้วเข้าไปยึดถือว่าเป็นตัวตนของเรา ของเขา ยามจากไป ยามดับไปสลายสิ้น สิ่งที่รักที่พอใจนั่นแหละ พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นทุกข์อย่างยิ่ง... อนัตตา...ความจริงในโลกนี้ มันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของมันเอง ไม่มีใครไปต่อเสริมเติมแต่งได้ ถึงอย่างไรก็ยังเป็นธรรมชาติ แม้ร่างกายเรานี้จะยึดตัวตน ว่า เป็นของเราของเขาไม่ได้ เพราะเขาเป็นเพียงธาตุๆ หนึ่งที่ประชุมกันเข้าเท่านั้น พระพุทธองค์ตรัสว่า ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขาทั้งสิ้น
๔. การประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อความบริสุทธิ์ หรือ ไม่บริสุทธิ์ เป็นของเฉพาะตน คนอื่นทำให้ไม่ได้ เราต้องปฏิบัติให้รู้ยิ่ง เราต้องอาศัยในสิ่งเหล่านี้ เพื่อจิตเข้าสู่สมาธิ จิตสงบอยู่ในอารมณ์ มาเป็นพยานขององค์วิปัสสนา ให้เห็นชัดแจ้ง เป็นความสว่างของ ปัญญา ผู้บริสุทธิ์ได้ ต้องอาศัยปัญญานี่เอง ทั้งนี้ วิปัสสนาปัญญา จึงต้องยึดเอาตัว สังขารเรานี้เป็นพยานในการปฏิบัติ จึงจะรู้แจ้ง อย่ามองไปนอกตัว เหตุอยู่ที่นี่
๕. ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ ล้วนเป็นเพื่อเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน ทั้งหมดทั้งสิ้น ทุกชีวิตเกิดมามีกรรมเป็นของๆ ตน

นอกจากนี้หลักธรรมที่หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ ถือเป็นแนวทางปฏิบัติและสอนธรรมเป็นหลักธรรมที่หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้วางเอาไว้ หลวงปู่กงมา ก็จดจำได้อย่างขึ้นใจ คือ ธรรมะ ๑๑ ประการ ได้แก่
๑. การปฏิบัติทางใจ ต้องถือการถ่ายถอนอุปาทานเป็นหลัก
๒. การถ่ายถอนนั้น ไม่ใช่การถ่ายถอนโดยไม่มีเหตุ ไม่ใช่ทำเฉยๆ ให้มันถ่ายถอนเอง
๓. เหตุแห่งการถ่ายถอนนั้น ต้องสมเหตุสมผล เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตํ ตถาคโต เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุ ธรรมทั้งหลายดับไปเพราะเหตุ พระมหาสมณะมีปกติ ตรัสอย่างนี้
๔. เพื่อให้เข้าใจว่า การถ่ายถอนอุปาทานนั้น มิใช่มีเหตุ และไม่สมควรแก่เหตุ ต้องสมเหตุสมผล
๕. เหตุได้แก่สมมติบัญญาติขึ้น แล้วหลงตามอาการนั้น เริ่มต้นด้วยการสมมติ ตัวของตนก่อน พอหลงตัวของเราแล้ว ก็ไปหลงคนอื่น หลงว่าเราสวย แล้วจึงไปหลงผู้อื่นว่าสวย เมื่อหลงตัวของตัวและผู้อื่นแล้ว ก็หลงวัตถุข้างนอกจากตัว กลับกลายเป็น ราคะ โทสะ โมหะ
๖. แก้เหตุต้องพิจารณากรรมฐาน ๕ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ด้วยสามารถแห่งกำลังของสมาธิ เมื่อสมาธิชั้นต่ำ การพิจารณาก็เป็นญาณชั้นต่ำ เมื่อเป็นสมาธิชั้นสูง การพิจารณาเป็นญาณชั้นสูง แต่อยู่ในกรรมฐาน ๕
๗. การสมเหตุสมผล คือ คันที่ไหนก็ต้องเกาที่นั้น จึงจะหายคัน คนติดกรรมฐาน ๕ หมายถึง หลงหนังเป็นที่สุด เรียกว่าหลงกันตรงนี้ ถ้าไม่มีหนัง คงจะวิ่งกันแทบตาย เมื่อหลงกันที่นี้ ก็ต้องแก้กันที่นี่ คือ เมื่อกำลังสมาธิพอแล้ว พิจารณาก็เห็นความจริง เกิดความเบื่อหน่ายเป็น วิปัสสนาญาณ
๘. เป็นการเดินตามอริยสัจ เพราะเป็นการพิจารณาตัวทุกข์ ดังที่ พระพุทธองค์ ตรัสว่า ชาติปิทุกข์ ชราปิทุกข์ พยาธิปิทุกข์ มรณัมปิทุกข์ ใครเกิด ใครแก่ ใครเจ็บ ใครตาย กรรมฐาน ๕ เป็นต้น ปฏิสนธิเกิดมาแล้ว แก่แล้ว ตายแล้ว จึงได้ชื่อว่าพิจารณากรรมฐาน ๕ อันเป็นทางพ้นทุกข์ เพราะพิจารณาตัวทุกข์จริงๆ
๙. ทุกขสมุทัย เหตุเกิดทุกข์ เพราะมาหลงกรรมฐาน ๕ ยึดมั่น จึงเป็นทุกข์ เพื่อพิจารณาก็ละได้ เพราะเห็นตามความเป็นจริง สมคำว่า รูปสสมึปิ นิพฺพินฺทติ เวทนายปิ นิพฺพินฺทติ สญฺญายปิ นิพฺพินฺทติ สงฺขาเรปิ นิพฺพินฺทติ วิญญาณสฺสมึปิ นิพฺพินฺทติ เมื่อเบื่อหน่ายในรูป (กรรมฐาน ๕) เป็นต้น แล้วก็คลายความกำหนัด เมื่อเราพ้นเราก็ต้องมีญาณทราบชัดว่าเราพ้น
๑๐. ทุกขนิโรธ ดังทุกข์ เมื่อเห็นกรรมฐาน ๕ เบื่อหน่ายได้จริง ชื่อว่า ดับอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น เช่นเดียวกับท่านสามเณรสุมนะ ศิษย์ของท่านอนุราช พอปลงผมหมดศีรษะก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์
๑๑. ทุกขคามินีปฏิปทา ทางไปสู่ที่ดับ คือ การเป็นปัญญาสัมมาทิฐิ ปัญญาเห็นชอบเห็นอะไร เห็นอริยสัจ ๔ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค การเห็นจริง แจ้งประจักษ์ด้วยสามารถแห่งสัมมาทิฐิ ไม่หลงคติสุข มีสมาธิเป็นกำลัง พิจารณากรรมฐาน ๕ ก็เป็นองค์มรรค

ปัจฉิมบท

หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ เป็นนักต่อสู้ชีวิต ต่อสู้กับกิเลส เมื่อยังเป็นฆราวาส ก็เป็นฆราวาสที่มีคุณภาพ มีประสบการณ์ มีคุณธรรม เมื่อพบ เคราะห์กรรม ก็รู้จักเลือกสรรสาระให้กับชีวิต ถือเพศเป็นบรรพชิตที่น่าเคารพนับถือ ทั้งในคราบของพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกายและธรรมยุติกนิกายได้ทุ่มเทชีวิตให้กับ การประพฤติปฏิบัติจนมีความประพฤติดี ปฏิบัติชอบ มีพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ศรัทธาเลื่อมใสในปฏิปทา ทำให้เกิดวัดอันเป็นสถานปฏิบัติธรรมขึ้น ในวงของพุทธศาสนามากมาย เกิดมีผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบตามหลักโอวาท ของท่านสืบมาจนถึงทุกวันนี้โดยไม่ขาดสาย ท่านได้ชื่อว่า เป็นพระสุปฏิบัติ อุชุปฏิบัติ ญายปฏิบัติ สามีจิปฏิบัติ... และเป็นโลกปุญญเขต อย่างแท้จริง



ขอขอบคุณที่มาคะ http://www.amulet.in.th/forums/view_topic.php?t=868&sid=14f684f3a8cf142b5e86c93310e7646e