PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า



DAO
11-15-2008, 01:39 PM
http://www.amulet.in.th/forums/images/774.jpg



หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า

นามเดิม :- ศุข นามสกุล เกษเวช (ต่อมาลูกหลานได้ใช้ เกษเวชสุริยา ก็มี)

เกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน ๔ ขึ้น ๘ ค่ำ ปีวอก พ.ศ. ๒๓๙๐ ที่บ้านมะขามเฒ่า ( เรียกกันในสมัยนั้น ปัจจุบันเรียก บ้านปากคลอง ) ตำบลมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท

โยมบิดา - มารดา :- ชื่อ นายน่วม และนางทองดี ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลมะขามเฒ่า

มีบุตรและธิดา ด้วยกัน ๙ คน

๑. หลวงปู่ศุข

๒. นางอ่ำ

๓. นายรุ่ง

๔. นางไข่

๕. นายสิน

๖ .นายมี

๗. นางขำ

๘. นายพลอย

๙ .หลวงพ่อปลื้ม

ปัจจุบันยังมีลูกหลานของท่านอยู่ที่บ้านใต้วัดมะขามเฒ่าอีกหลายคน หรือแม้แต่ร้านค้าขายภายในบริเวณวัดเองก็ยังมี

หลวงปู่นั้น ท่านมีลุงคนหนึ่งชื่อ แฟง ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลบางเขน จังหวัดพระนคร ( ในสมัยนั้น ) มีอาชีพ ทำสวน ไม่มีบุตรหรือธิดา จึงได้มาขอหลานจากโยมบิดามารดาหลวงปู่ศุขไปเลี้ยง โยมท่านก็อนุญาตให้เลือกเอา ลุงแฟงก็เลือกเอาคนโต หรือ เรียกว่าคนหัวปี คือ หลวงปูศุข เข้าใจว่าขณะนั้นอายุประมาณ ๑๐ ขวบ เมื่อหลวงปู่ศุขไปอยู่กับลุงแฟง เจริญเติบโตที่ตำบลบางเขน

เมื่อหลวงปู่ฯ อยู่ในวัยฉกรรจ์ ท่านได้เดินทางเข้ามากรุงเทพฯ ทำมาหากินค้าขายเล็กๆ น้อยๆ โดยยึดลำคลองบางเขน ซึ่งมีปากคลองเชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยาตอนใต้จังหวัดนนทบุรีลงมา ปัจจุบันอยู่ข้างทางเข้าวัดทางหลวง เป็นที่ทำมาหากิน

คลองบางเขนนี้ทอดขึ้นไปเชื่อมกับคลองรังสิต เมื่อก่อนนี้เป็นเส้นทางหลักในการคมนาคมทางน้ำที่สำคัญและกว้างขวางเป็นอย่างมาก เมื่อการคมนาคมทางบกเจริญขึ้น การสัญจรทางน้ำก็หมดความสำคัญลง ปัจจุบันคงจะตื้นเขินไปแล้วก็ได้ เพราะขาดการทะนุบำรุงเท่าที่ควร

หลวงปู่ฯ ท่านทำมาหากินอยู่ในคลองบางเขนอยู่ระยะหนึ่ง จนอายุได้ ๑๘ ปี ได้ภรรยาชื่อ นางสมบูรณ์ และเกิดบุตรชายคนหนึ่งชื่อ สอน เกศเวชสุริยา

หลวงปู่ฯ ท่านครองเพศฆราวาสอยู่ไม่นาน พออายุท่านครบ ๒๒ ปี ท่านได้ลาไปอุปสมบท ณ วัดโพธิ์บางเขนหรือปัจจุบันชื่อว่า วัดโพธิ์ทองล่าง ซึ่งอยู่ปากคลองบางเขนตอนล่าง ส่วนวัดโพธิ์ทองบน อยู่ตอนเหนือของปากคลองบางเขน ตอนบนบริเวณจังหวัดปทุมธานี

อุปสมบท :-

การอุปสมบทของหลวงปู่ศุขนั้น ท่านได้อุปสมบทเมื่ออายุได้ ๒๒ ปี ที่วัดโพธิ์บางเขน ( ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดโพธิ์ทองล่าง ) โดยมี พระครูเชย จนฺทสิริ วัดโพธิ์บางเขน เป็น พระอุปัชฌาย์ พระถายมเป็นพระคู่สวด การอุปสมบทนี้มีลุงแฟงเป็นผู้อุปการะทั้งสิ้น ส่วนโยมบิดามารดาไม่ได้มาร่วมพิธีด้วย เพราะการเดินทางสมัยนั้นลำบากมาก จากชัยนาทถึงกรุงเทพฯ ก็กินเวลาอย่างน้อย ๒ ถึง ๓ วัน จึงจะถึง

พระอุปัชฌาย์ของท่านชื่อ หลวงพ่อเชย จันทสิริ อดีตท่านเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทองล่าง ซึ่งเป็นพระสงฆ์ฝ่ายรามัญที่ถือเคร่งในวัตรปฏิบัติและพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลวงพ่อเชยท่านยังเป็นอาจารย์ทางฝ่ายวิปัสสนาธุระมีความรู้และความชำนาญรู้แจ้งแทงตลอด อีกทั้งทางด้านวิทยาคมก็แก่กล้าเป็นยิ่งนัก หลวงปู่ฯ ท่านได้รับถ่ายทอดวิชาความรู้จากอุปัชฌาย์ของท่านมาพร้อมกับอาจารย์เปิง วัดชินวนาราม และหลวงปู่เฒ่า วัดหงษ์ จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นศิษย์ในสายหลวงพ่อเชย วัดโพธิ์ทองล่างเหมือนกัน

เมื่อได้อุปสมบทแล้วอยู่กับพระอุปัชฌาย์ เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยพอสมควรแล้ว ท่านก็ได้ออกเดินธุดงค์หาที่สงบฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐาน และวิชาอาคมต่าง ๆ จากสำนักที่มีชื่อเสี่ยงโด่งดังในสมัยนั้นจนชำนาญดีแล้ว จึงกราบลาอาจารย์กลับบ้านเกิดของท่าน โดยมาพักอยู่ที่วัดร้างแห่งหนึ่งข้างหมู่บ้านของท่าน ชื่อวัดอู่ทอง ปัจจุบันนี้เรียกว่า วัดปากคลอง ชาวบ้านแถวนั้นมีความศรัทธาเลื่อมใสจึงนิมนต์ให้ท่านจำพรรษาอยู่ที่นั้น เพื่อที่ว่าจะได้สร้างวัดขึ้นมาใหม่ ดังนั้นท่านจึงได้อยู่ ณ ที่นั้นมาจนท่านมรณภาพ ในระหว่างที่ท่านมีชีวิตอยู่นั้น ได้เริ่มพัฒนาในท้องถิ่นให้เจริญรุ่งเรืองด้วยจากวัดร้างที่ไม่มีอะไรเลย จนถึง พุทธาวาส ธรรมาวาส และสังฆาวาส เป็นวัดที่สมบูรณ์แบบจนถึงทุกวันนี้ ยังมีพระอุโบสถและมณฑป ปรากฏให้เห็นอยู่ ส่วนการอบรมสั่งสอนนั้นท่านได้แนะแนวการประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ให้เห็นคุณและโทษของผลการปฏิบัติตนในทางที่ดีหรือไม่ดีอย่างไร จนประชาชนแถวนั้นมีความประพฤติดีมีศีลธรรมเป็นส่วนมาก

หลวงปู่ฯ ท่านเพลินอยู่ในธรรมเสียหลายปี จนกระทั่งมารดาท่านที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ได้ชราภาพลงตามอายุขัย และความเจ็บไข้มาเยือนอยู่บ่อยครั้ง ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยในบิดามารดาของท่านจึงได้เดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาเดิม และได้อยู่จำพรรษาปีแรกๆ ที่วัดอู่ทองปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่โบราณที่อยู่ลึกเข้าไปในคลองมะขามเฒ่า หรือบริเวณต้นแม่น้ำท่าจีนในปัจจุบัน แต่ทว่าสภาพของวัดอู่ทองขณะนั้นได้เกิดการชำรุดทรุดโทรมลงตามสภาพ เกินกว่าที่จะบูรณปฏิสังขรณ์ให้กลับคืนมาสู่สภาพที่ดีได้ต่อไป ท่านจึงได้ขยับขยายออกมาที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และได้สร้างกุฏิขึ้นครั้งแรกหนึ่งหลังพอเป็นที่อยู่อาศัยไปพลางก่อน

สืบต่อมามารดาของหลวงปู่ๆ ได้ถึงแก่กรรมและได้จัดการฌาปนกิจศพ และในงานนี้เอง หลวงปู่ฯ ท่านได้สร้างวัตถุมงคลในรูปพระพิมพ์สี่เหลี่ยมซุ้มรัศมีออกแจกเป็นของที่ระลึกเป็นครั้งแรก เมื่อผู้ที่ได้รับแจกพระเครื่องจากท่านไปได้ปรากฏอภินิหารทางอยู่ยงคงกระพัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกันเขี้ยวงา คือสุนัขกันไม่เข้า ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่บังเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะบ้านนอกอย่างในชนบทสมัยก่อนนั้นไม่ค่อยจะมีรั้วรอบขอบชิดเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็ได้อาศัยสุนัขที่เลี้ยงไว้เป็นยามเฝ้าบ้าน ฉะนั้นการที่จะแวะเวียนไปบ้านหนึ่งบ้านใดนั้นจะต้องระวังเรื่องสุนัขลอบกัดให้ดี มิฉะนั้นท่านจะถูกสุนัขกัดเอาง่ายๆ พระของหลวงปู่ฯ จึงมีชื่อเรื่องสุนัขกันไม่เข้า เป็นปฐมเหตุก่อน จึงบังเกิดความนิยมไปขอท่านมาแขวนคอบุตรหลานเพื่อกันเขี้ยวงาและภยันตรายต่างๆ สมัยก่อนพระวัดปากคลอง เนื้อตะกั่ว จะมีแขวนอยู่ในคอเด็กในท้องถิ่นเกือบจะทุกคน แล้วถ้าจะไปขอพรหลวงปู่ศุข ท่านมักจะถามว่า “เอ็งมีลูกกี่คน?” ท่านจะให้ครบทุกคน

กิตติศัพท์ในความขลังประสิทธิในพระพิมพ์สี่เหลี่ยมของท่านจึงค่อยๆ เผยแพร่จากปากหนึ่งไปสู่อีกปากหนึ่ง ในเวลาไม่ช้าไม่นาน คุณวิเศษของท่านจึงค่อยๆ โด่งดังขจรขจายไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอันเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลัก การขนส่งสินค้า ตลอดจาการทำมาค้าขาย จะขึ้นล่องจะต้องอาศัยสายน้ำเจ้าพระยาเพียงแห่งเดี่ยวเท่านั้น เพราะในสมัยนั้นถนนหนทางทางบกยังทุรกันดาร พอตกเพลาพลบค่ำพ่อค้าแม่ขายเรือเล็กเรือใหญ่จะมาอาศัยนอนค้างแรมที่แพหน้าวัดของท่าน เพื่ออาศัยบารมีของท่านช่วยป้องกันขโมยขโจรที่จะมาประทุษร้ายต่อเลือดเนื้อชีวิตและทรัพย์สิน ถ้าจะเปรียบไปแล้วหน้าวัดของท่านจึงเป็นเสมือนหนึ่งเป็นชุมทางที่สำคัญนี่ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ช่วยเสริมส่งให้เกียรติคุณของท่านแผ่ขยายไปทั่วทุกภาคของประเทศ ชื่อเสียงของท่านจึงเป็นที่รู้จักกันดี “หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า”

เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯฝากตัวเป็นศิษย์ :-

อนึ่ง มีผู้กล่าวว่าท่านมีวิชาอาคมเวทย์มนต์เก่งมาก สามารถเสกใบไม้ให้เป็นตัวต่อ ตัวแตน เสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย เสกก้านกล้วยให้เป็นงูได้ และเรื่องอภินิหารของขลัง คงกระพันชาตรี มีอีกมากมาย อาจจะเป็นด้วย บุญกุศลของหลวงปู่ศุข กับ เสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระบิดาแห่งราชนาวี ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ นับลำดับราชสกุลวงศ์เป็นพระองค์ที่ ๒๘ และเป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่ ๑ ในเจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ได้สร้างสมกันมาแต่ชาติปางก่อน ดลบันดาลให้เสด็จในกรมฯ ซึ่งทรงศรัทธาเลื่อมใสในทางมหาพุทธาคมอยู่แล้วได้เสด็จประพาสไปในภาคเหนือ จึงเป็นเหตุให้หลวงปู่ศุขและพระองค์ท่านได้พบกัน และเป็นที่ต้องอัธยาศัยซึ่งกันและกัน จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์ – อาจารย์ เพื่อจักได้ศึกษาทางมหาพุทธาคม และปรากฏว่า พระองค์เป็นศิษย์ที่มีความรู้ความสามารถได้ศึกษาแตกฉานจนกระทั่งหลวงพ่อเองก็หมดความรู้ จึงได้ให้เสด็จในกรมฯ ไปศึกษาเคล็ดวิชากับหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จังหวัดพิจิตรต่อ ดังเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วนั้นและได้วาดภาพพุทธประวัติด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ที่อุโบสถด้านในหน้าอุโบสถ ซึ่งปรากฏจนทุกวันนี้ หลวงปู่ศุข ท่านมีเมตตามากจึงมีศิษย์เป็นอันมากที่มาเรียนวิชาเหล่านี้ ท่านได้รับสมณศักดิ์ เป็นพระครูวิมลคุณากร และเป็นเจ้าคณะแขวง ( ปัจจุบันเรียกว่าเจ้าคณะอำเภอ ) เป็นองค์แรกของอำเภอวัดสิงห์ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเมื่อใด

เมื่อหลวงปู่ศุข ท่านมีลูกศิษย์อย่างเสด็จในกรมฯ จึงเป็นกำลังสำคัญให้ท่านสามารถที่สร้างวัดปากคลองมะขามเฒ่าให้เสร็จสมบูรณ์ ถาวรวัตถุทางพุทธศาสนาที่คงเหลือเป็นประจักษ์พยานในปัจจุบันนี้ก็คือ ภาพเขียนฝีมือเสด็จในกรมฯ บนฝาผนังพระอุโบสถ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ที่ยังรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และเป็นภาพเขียนฝีมือเสด็จในกรมฯ บนฝาผนังพระอุโบสถ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ที่ยังรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และเป็นภาพเขียนสีน้ำที่ทางกรมศิลป์ยกย่องว่าเสด็จในกรมฯ ทรงฝีมือในการเขียนภาพเป็นอย่างมาก และทรงสอดแทรกอารมณ์ขันในภาพพระพุทธเจ้าชนะมาร ในกระแสน้ำที่พระแม่ธรณีบีบมวยผมทำให้เกิดอุทกธาราหลากไหลพัดพาเอาทัพพระยามารไปนั้น พระองค์ท่านเขียนเป็นภาพลิงใส่นาฬิกาและหนีบขวดวิสกี้กำลังเดินตุปัดตุเป๋ไปเลย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฤาษีปัญจวัคคีเมื่อเห็นเจ้าชายสิทธัตถะเลิกทรมานการหันมากินอาหาร ก็นึกว่าพระองค์คงจะถ้อถอยละความเพียรแล้ว จึงพากันผละหนีพระองค์ไปนั้น เสด็จในกรมฯ ท่านเขียนใบหน้าของฤาษีปัญจวัคคี โดยสอดอารมณ์ที่ยิ้มเยาะเย้ยหยันอย่างไม่อะไรไยดีต่อพระองค์ เน้นความรู้สึกได้เด่นชัดมาก

ฝีมือของเสด็จในกรมฯ อีกชิ้นหนึ่งก็คือภาพเขียนสีน้ำมันเป็นรูปหลวงปู่ศุขยืนเต็มตัวและถือไม้เท้า ภาพนี้เขียนขึ้นในขณะที่หลวงปู่มีอายุมากแล้วจึงต้องเดินสามขา

ศิลปวัตถุในพุทธศาสนาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า นอกจากพระอุโบสถแล้วยังมีมณฑปจตุรมุขประดิษฐ์บานรอยพระพุทธบาท ประตูทั้ง ๔ บานนั้นแกะด้วยไม้สัก แกะลวดลายลึกถึงสามชั้น เคยมีคนสมคบกันเอาบานประตูมณฑปจตุรมุขออกขาย เอาลงมากรุงเทพฯ เตรียมใส่เรือกระแชงในคลองมหานาคเพื่อออกต่างประเทศ ด้วยดวงวิญญาณในหลวงปู่ศุขท่านผูกพันอยู่กับศาสนาวัตถุที่ท่านสร้างเอาไว้ในบวรพุทธศาสนา ท่านจึงเข้าประทับทรงจากหิ้งบูชาจังหวัดนครสวรรค์ รับเอาท่านแม่ทัพที่นครสวรรค์ (ขออภัยผู้เขียนจำชื่อท่านไม่ได้) และมารับเอาท่านนายอำเภอประจำจังหวัดชัยนาทในขณะนั้น คือ คุณสุธี โอบอ้อม แล้วนั่งรถเข้ากรุงเทพฯ ร่างทรงหลวงปู่ฯ ได้พาคณะลดเลี้ยวเข้าครอกเข้าซอยจนมาถึงเรือกระแชงที่บรรทุกบานประตูมณฑปเตรียมขนออกนอกได้อย่างทันท่วงที ยึดเอาบานประตูทั้ง ๔ บาน คืนกลับไป ขณะนั้นยังคงเก็บรักษาไว้ที่วัดป่าพานิชวนาราม อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท และยังไม่ได้ส่งคืนวัดปากคลองมะขามเฒ่า เพราะเหตุอะไรนั้น ชาวจังหวัดชัยนาทเขาทราบกันดี

ปัจจุบันชาวจังหวัดชัยนาทผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ได้ร่วมกันสร้างรูปหุ่นขี้ผึ้งไว้ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า เพื่อจะได้ทำการสักการบูชาโดยทั่วกัน กรมทหารเรือเห็นความสำคัญ จึงได้ทำการบูรณะซ่อมแซมมณฑป เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๕ ทำให้ประชาชนทั้งใกล้และไกลต่างจังหวัด หลั่งไหลมาสักการะบูชาทุก ๆ วันมิได้ขาด วัดปากคลองมะขามเฒ่า จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของจังหวัดชัยนาทต่อไป

เรื่องทรงเจ้าเข้าผีนี้ จะไม่เชื่อก็ไม่ได้ แต่ที่ทรงจริงๆ นั้นมันมีน้อย อย่างในกรณีดวงวิญญาณหลวงปู่ศุขประทับทรงแล้วซอกแซกลงมาจากนครสวรรค์ถึงกรุงเทพฯ เกือบ ๓๐๐ กม. แล้วยังพาคณะเข้าครอกตรอกซอยจนถึงเรือกระแชงที่จอดลอยลำอยู่ในคลองมหานาคนั้นมันเป็นการเดินทางที่สลับวับซ้อนและวกวนน่าดู แต่ร่างทรงก็พาคณะไปจนพบและยึดบานประตูกลับคืนมาได้นั้น มันเป็นเหตุการณ์อันมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง และบานประตูมณฑปทั้ง ๔ บานดังกล่าวแล้วนั้น ทั้งเสด็จในกรมฯ และหลวงปู่ศุขได้ช่วยกันสร้างเป็นชิ้นสุดท้าย ระบุปี พ.ศ. ๒๔๖๕ อยู่ที่ซุ้มหน้ามณฑปอีกด้วย

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์นอกจากจะถูกอัธยาศัยกันเป็นยิ่งนัก จักเดินทางไปมาหาสู่กันเสมอแล้ว ถ้าเสด็จในกรมฯ ติดราชการงานเมือง หลวงปู่ก็จะลงมาหา โดยเสด็จในกรมฯ ได้สร้างกุฏิอาจารย์ไว้กลางสระที่วังนางเลิ้ง ซึ่งเต็มไปด้วยดอกบัววิคตอเรีย มีใบกลมใหญ่ขนาดถาด และรู้สึกว่ากลางใบจะมีหนามคมด้วย อันนี้ได้รับคำบอกเล่าจากลุงผล ท่าแร่ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ติดสอยห้อยตามหลวงปู่ฯ มาแต่เล็ก ท่านเป็นชาวอุตรดิตถ์หรือพิษณุโลกจำได้ไม่ถนัดนัก หลวงปู่ศุขท่านขอพ่อแม่มาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เมื่อสิ้นบุญหลวงปู่ฯ ท่านก็เลยลงหลักปักฐานได้ภริยาอยู่ที่ตำบลท่าแร่ อำเภอวัดสิงห์ ชัยนาท เลยเรียกกันติดปากว่า ลุงผล ท่าแร่

แต่อย่างไรก็ตาม ภายในกำหนด ๑ ปี หลวงปู่ศุขท่านจะต้องลงมากรุงเทพฯ ๑ ครั้งเป็นอย่างน้อย เพราะเสด็จในกรมท่านจะกระทำพิธีไหว้ครูราวๆ เดือนเมษายน งานจะจัดเป็น ๓ วัน วันแรกไหว้ครูกระบี่กระบอง วันที่สองไหว้ครูหมอยาแผนโบราณ และวันที่สามจะไหว้ครูทางวิทยายุทธ์พุทธาคมและไสยศาสตร์ จัดเป็นงานใหญ่มีมหรสพสมโภชทุกคืนกับมีการแจกพระเครื่องรางของขลังจากหลวงปู่ศุขอีกด้วย แต่ในระยะหลังๆ หลวงปู่ศุขท่านมีอายุมากแล้วสุขภาพไม่ค่อยจะสมบูรณ์เท่าใดนัก ท่านจึงไม่ค่อยจะได้ลงมา

จากการที่ผู้เขียนได้เคยศึกษาตำราอักขระเลขยันต์จากอาจารย์ท่านมหาโพธิ์ วัดคลองมอญ อำเภอวัดสิงห์ ชัยนาท ผู้สืบสายมาจากท่านใบฎีกายัง วัดหนองน้อย อำเภอวัดสิงห์ ชัยนาท ซึ่งเป็นฐานาในหลวงปู่ศุข และเป็นลูกศิษย์เอกของหลวงปู่ศุขรูปหนึ่ง ตำราอักขระเลขยันต์ซึ่งคุณหมอสำนวน ปาลวัฒน์วิไชย แห่งโรงพยาบาลประจำจังหวัดชัยนาท ซึ่งท่านได้ใช้เวลาค้นคว้าและรวบรวมพระเครื่องในหลวงปู่ศุข ตลอดจนประวัติและเรื่องราวของท่านตลอดมาเป็นเวลาหลายสิบปี ได้นำออกมาตีพิมพ์เผยแพร่เป็นหนังสือรวมเล่มขนาดหนานั้น ได้ตีพิมพ์ตำราอักขระเลขยันต์ของหลวงปู่ศุขที่สอนให้กับลูกศิษย์ของท่างลงไปด้วย และบางตอนบางหน้ายังเป็นลายมือของหลวงปู่อีกด้วย นับว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาสำหรับผู้ที่สนใจจริงๆ แต่ทว่าในตำราอักขระเลขยันต์ของท่านนั้นเป็นความรู้ขั้นพื้นฐานทั่วๆ ไป ซึ่งมีอยู่ในตำรามหาพุทธาคมที่เราได้ร่ำเรียนกันอยู่ในปัจจุบันนี้ อย่างเช่นการเรียนสูตรสนธ์จากคัมภีร์รัตนมาลา ในพระอิติปิโส ๕๖ พระคาถาห้องพระพุทธคุณ ลงเป็นยันต์เกราะเพชรหรือตาข่ายเพชร ยันต์พระไตรสรณาคมน์ตลอดจนคัมภีร์นะ ๑๐๘ และ นะพินธุ หรือ นะปฐมกัลป์ หรือ นะโมพุทธายะใหญ่ และยันต์ประจำตัวของท่านที่ท่านใช้อยู่เป็นประจำก็คือ ตัวพุทธมวันโลก ที่ท่านใช้จารลงที่หลังพระพิมพ์สี่เหลี่ยมของท่าน นอกจากนั้นยังลงด้วยยันต์สามลง มะ อะ อุ ที่ขมวดยันต์ลงหลังรูปถ่ายของท่าน เรียกว่า ยันต์เพชรหลีกน้อย นอกจากนั้นท่านจะนิยมหนุนหรือล้อมด้วยธาตุทั้ง ๔ คือ นะ มะ พะ ทะ

อนึ่งการที่ท่านทำพระเครื่องรางของขลังได้ประสิทธิมีฤทธิ์มีเดชทั้งๆ ที่ใช้อักษรเลขยันต์พื้นๆ นั้น เป็นเพราะอำนาจจิตที่ท่านได้ฝึกฝนมานั้นกล้าแกร่งยิ่งนัก โดยเฉพาะกสิณธาตุทั้ง ๔ มี ดิน น้ำ ไฟ ลม นั้นเป็นพื้นฐานที่สำคัญ เป็นบ่อเกิดแห่งอำนาจอิทธิฤทธิ์ทางใจเลยทีเดียว สำหรับการสำเร็จวิชาชั้นสูงเรียกว่า มายาการ คือความเชื่อถือ และการปฏิบัติ ที่มุ่งหมายให้เกิดผล ด้วยการใช้พลัง หรืออำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น ของขลัง พิธีกรรม หรือหลีกลี้ลับ บังคับให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ เช่น ท่านเสกใบมะขามให้เป็นตัวต่อตัวแตน เสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย ตลอดจน การผูกหุ่นพยนต์ด้วยฟางข้าว เสกคนให้เป็นจระเข้ เป็นต้น มันเป็นมายาการชั้นสูง คือการบังคับให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ แท้ที่จริงแล้วใบมะขามก็คงเป็นใบมะขาม หัวปลีก็คงเป็นหัวปลี และหุ่นฟางก็คงเป็นหุ่นฟางเหมือนเดิม เว้นแต่ด้วยอำนาจจิตของท่านทำให้เราเห็นไปเอง

จากหนังสือ “พระกฐินพระราชทาน สมาคมศิษย์อนงคาราม ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เรื่องพระใบมะขาม” ท่านผู้เขียนอดีตเป็นพระมหา มีหน้าที่ไปอุปัฏฐากหลวงปู่ศุข ขณะที่อาราธนาท่านมาปลุกเสกพระชัยวัฒน์ และพระปรกใบมะขาม (พ.ศ. ๒๔๕๙) ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า

“เมื่อข้าพเจ้าไปอุปัฏฐากหลวงพ่อแล้ว มีชาวบ้านชาววัดมาขอให้หลวงพ่อลงกระหม่อมบ้าง ลงตะกรุดพิสมรบ้าง โดยยื่นแผ่นเงิน ทอง นาก ให้ลงคาถา บางคนขอเมตตา บางคนขอการค้าขาย หลวงพ่อให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ลง

ข้าพเจ้าถามว่าการค้าขาย จะให้ลงว่ากระไร?

หลวงพ่อบอกว่า “นะชาลิติ”

บางคนขอเมตตา ข้าพเจ้าถามว่า จะให้ลงว่ากระไร?

หลวงพ่อพูดติดตลกว่า “เมตยายไม่เอาหรือ เอาแต่เมตตาเท่านั้นหรือ?”

คนขอจึงบอกขอเมตตาอย่างเดียว ข้าพเจ้าถามว่า จะให้ลงว่ากระไร?

ท่านบอกว่า “นะเมตตา โมกรุณา พุทธปราณี ธายินดี ยะเอ็นดู”

ข้าพเจ้าจึงบอกว่า “หลวงพ่อครับ ผมไม่มีความขลัง ลงไปก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไร”

หลวงพ่อบอกว่า “มันอยู่ที่ผมเสกเป่านะคุณมหา”

ข้อนี้ยืนยันว่าเป็นความจริง เพราะระหว่างนั่นข้าพเจ้าให้หลวงพ่อลงกระหม่อม แล้วท่านเสกเป่าไปที่ศีรษะตั้งหลายครั้ง เมื่อท่านเป่าที่กระหม่อมที่ไร ข้าพเจ้าขนลุกชันทั่วทั้งตัวทุกครั้ง ทั้งที่ข้าพเจ้าฝืนใจไม่ให้ขนลุกก็ลุกซู่ทุกครั้งที่ท่านเป่า ข้อนี้เป็นมหัศจรรย์จริงๆ ข้าพเจ้าคิดว่าจะเป็นแต่ข้าพเจ้าคนเดียว ไปสอบถามภิกษุอุปัฏฐากรูปอื่นๆ ก็ได้รับคำตอบเช่นเดียวกัน ข้อนี้ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า “ท่านสำเร็จสมถะภาวนาแน่ๆ”

อนึ่ง ท่านเป็นพระที่น่าเคารพนับถือ สำรวมในศีลเป็นอย่างดี ไม่ใคร่พูดจา นั่งสงบอารมณ์เฉยๆ ไม่ถามอะไร ท่านก็ไม่ตอบไม่พูด บางอย่างข้าพเจ้าถามหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ตอบเลี่ยงไปทางอื่น เช่น “เขาว่าหลวงพ่อเสกใบไม้เป็นต่อ และเสกผ้าเช็ดหน้าเป็นกระต่ายได้ และแสดงให้กรมหลวงชุมพรฯ เห็นจนยอมเป็นศิษย์”

หลวงพ่อตอบข้าพเจ้าว่า “ลวงโลก” แล้วท่านก็นิ่งไม่ตอบว่าอะไรอีก

หลวงพ่อพูดต่อไปว่า “เวลานี้กรมหลวงชุมพรฯ ไปต่างประเทศ (เข้าใจว่าไปรับเรือพระร่วง) ถ้าอยู่ก็ต้องมาหาท่าน และปรนนิบัติท่านจนท่านกลับวัด และว่ากรมหลวงชุมพรฯนี้ตกทะเลไม่ตาย แม้จะมีสัตว์ร้ายก็ไม่ทำอันตรายได้”

หลวงพ่ออยู่ที่กุฏิสมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) พุทธสรมหาเถรเป็นเวลาสิบวันเศษ ได้ทราบว่าสมเด็จเรียนวิทยาคมกับหลวงพ่ออีกด้วย



มีต่อคะ

DAO
11-15-2008, 01:40 PM
มรณภาพ :-

ท่านมรณภาพเมื่อ เดือน ๑ ปีกุน พ.ศ. ๒๔๖๖ ไม่ปรากฏวันที่ที่แน่นอน คำนวณอายุได้ ๗๖ ปี วันสวดพระพุทธมนต์ทำศพอยู่ ๗ วัน ๗ คืน จึงประชุมเพลิง

อนึ่ง การที่เราคนรุ่นหลังจักเขียนเรื่องราวและวัตรปฏิบัติของหลวงปู่ศุข ซึ่งท่านมรณภาพล่วงไปแล้วกว่าครึ่งศตวรรษให้ได้ใกล้เคียงกับความจริงนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆ อาศัยหลักฐานทางเอกสารที่หลงเหลืออยู่บ้าง จากการไต่ถามบรรดาลูกศิษย์ลูกหาของท่านซึ่งส่วนมากจักล้มหายตายจากกันไปเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น การที่ท่านได้รับรู้จากการเขียนของ “ท่านมหา” ซึ่งเคยอุปัฏฐากหลวงปู่ ดังกล่าวแล้วนั้นคงจักทำให้ท่านมองเห็นสภาพของหลวงปู่ศุข ได้ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด

หลวงพ่อศุขลงตะกรุดสามกษัตริย์ให้เสด็จพ่อฯ
เรื่องของไสยศาสตร์ อิทธิปาฏิหาริย์ต่าง ๆ มีมาช้านานแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่สามารถให้เหตุผลได้ว่า เป็นไปได้หรือไม่จริงหรือไม่จริงเพียงไร แม้ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ จะก้าวไปไกลถึงต่างโลกต่างด้าวแล้ว ก็ ยังไม่มีใครมาอธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์ ไสยศาสตร์ให้เรารู้เรื่องแจ่มชัดได้

เรื่องของไสยศาสตร์นี้ มิใช่จะเชื่อกันเฉพาะประเทศทางแถบบ้านเราแม้ฝรั่งเองก็มีอยู่ไม่น้อย จะเห็นได้จากเรื่องราวต่าง ๆ ที่ปรากฏในหนังสือและภาพยนตร์ของเขา ทั้งเรื่องของอดีตและปัจจุบัน

ในประวัติศาสตร์พงศาวดารและเกร็ดต่าง ๆ ของไทยเราองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาสามารถ จะเป็นในทางการรบหรือในทางอื่นใดมักจะมีพระอาจารย์ที่มีวิชาแก่กล้าอาคมขลังควบคู่ไปด้วยเสมอ

แม้แต่ชีวิตละครตัวเอก ๆ ในวรรณคดีไทย จะเป็นขุนช้างขุนแผน พระอภัยมณี รามเกียรติ เกจิอาจารย์จะเข้ามามีบทบาทอยู่มากมายพอสมควร

ในปัจจุบัน เรามีอาจารย์ที่ทรงคุณวิเศษเป็นที่พึ่งอยู่มาก อย่างน้อยก็ได้ที่พึ่งทางใจเป็นปฐม ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และที่ถึงแก่มรณภาพไปแล้ว เช่น หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ ปัตตานี หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ เพชรบุรี พระครูบาศรีวิชัย เชียงใหม่ ฯลฯ

ในบรรดาคณาจารย์ดังกล่าว ผู้ที่เรามีความประสงค์อย่างยิ่งที่จะกล่าวถึงด้วยความเคารพและนับถืออย่างสูงสุด คู่ไปกับเสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯ คือ พระคุณเจ้าหลวงพ่อวัดมะขามเฒ่าพระอาจารย์เอกของศิษย์เอกกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์

หลวงพ่อวัดมะขามเฒ่า นามเดิมว่า ศุข สมณศักดิ์เป็นพระครูวิมลคุณากรจากหนังสือบางเล่มกล่าวว่า หลวงพ่อเป็นชาวสุพรรณ แต่ก็ยังมีอีกหลายเล่มรวมทั้งหนังสือป้อมปราการ ฉบับที่ 6 ประจำวันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม 2517 เรื่องพระประวัติอภินิหารพระเครื่องหลวงพ่อศุข วัดมะขามเฒ่า กรมหลวงชุมพรฯ รวบรวมโดย บุรี รัตนา ยืนยันว่าหลวงพ่อเป็นชาวอำเภอสิงห์ จังหวัดชัยนาท ในหนังสือเล่มนี้อธิบายว่า ตรงปากคลอง อำเภอวัดสิงห์ซึ่งแม่น้ำเจ้าพระยากับท่าจีนมาพบกัน ทางฝั่งเจ้าพระยาเป็นที่ตั้งของวัดปากคลองมะขามเฒ่าและบ้านของท่านอยู่ทางด้านใต้ของวัดนี้

บิดาของหลวงพ่อชื่อ น่วม มารดาชื่อทองดี เกศเวชสุริยา มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 9 คน หลวงพ่อเป็นลูกชายคนโต เมื่ออายุได้ 7 ขวบ ได้เป็นเด็กวัดมะขามเฒ่า เรียนหนังขอมและไทยได้ชัดเจน จนอายุ 18 ปี หลวงพ่อหรือนัยหนึ่ง "หนุ่มศุข" พบรักและได้อยู่กินกับสาวสวยชื่อ สมบูรณ์ เป็นชาวบางเขน กรุงเทพฯ มีบุตรชาย 1 คน ชื่อสอน เมื่อหนุ่มศุขหรือพ่อศุขอายุ 20 ปีบริบูรณ์ก็บวช จนมรณภาพในปี พ.ศ. 2466

เมื่อปฐมวัยเด็กชายศุขชอบกระโดดน้ำ มักว่าน้ำเกาะเรือโยงเล่นเหมือน ๆ กับเด็กชาย ลูกแม่น้ำคนอื่น ๆ จนมารดาทำโทษไม่ให้ขึ้นจากท่าน้ำ จะเป็นด้วยโกรธหรือน้อยใจมารดา ก็ไม่ทราบได้เด็กชายศุขเกาะเรือโยงขออาศัยเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ทิ้งความรักความห่วงใยของมารดาไว้เบื้องหลัง

จากเด็กชายศุขมาเป็นพระภิกษุศุข ผู้พร้อมด้วยศีลาจริยวัตรอันงดงาม ท่านเดินทางกลับบ้านวัดสิงห์ พบมารดาซึ่งป่วยเรื้อรังมานาน ทั้งคู่ต่างดีใจอย่างเหลือล้นเมื่อได้พบกัน โยมมารดาของท่านหน้าตาแช่มชื่น ท่านก็เต็มตื้นอิ่มเอิบทั้งคู่ต่างก็ปราโมทย์สุขสบายใจ

ต่อจากนั้นท่านมิได้ทิ้งมารดาและชาววัดสิงห์ไปไหนอีกเลย คงจำพรรษาอยู่ในวิหารเก่าแก่ทรุดโทรม ของวัดอู่ทอง ปากคลอง มะขามเฒ่า (อีกนัยหนึ่ง คือ วัดมะขามเฒ่า) นั่นเอง จนกระทั่งเสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯ เสด็จดั้นด้นมาพบท่านในวันหนึ่ง

เสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯ ทรงเลื่อมใสในไสยศาสตร์อยู่ก่อนแล้ว เมื่อพระองค์เจ้าวิบูลพรรณ ได้ถวายพระเครื่องซึ่งนับถือกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์เป็นยอดตกทอดมาตั้งแต่วังหน้าแด่พระองค์ หลังจากทรงทดสอบความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่องและได้ทอดพระเนตรเห็นคุณานุภาพแล้ว จึงทรงเลื่อมใสในเรื่องไสยศาสตร์ยิ่งขึ้น ต่อจากนั้นได้เสด็จไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อเสาะหาพระอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษเพื่อทรงขอศึกษาวิชาการทางด้านนี้

ครั้งหนึ่งเสด็จแปรพระราชฐานภาคเหนือกลับทางเรือล่องตามแม่น้ำเจ้าพระยาแยกออกจากท่าจีนที่ชัยนาทลงมาเรื่อย ๆ จนเข้าเขตวัดมะขามเฒ่าเรือเกิดติดขัดอยู่ตรงนั้น โดยหาสาเหตุมิได้รับสั่งให้ชะลอเรือและจอดที่ท่าวัดมะขามเฒ่านั่นเอง ที่นั่นได้ทอดพระเนตรเห็นหลวงพ่อศุขเสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย เสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯ ได้ทรงปรึกษาไต่ถามหลวงพ่อศุข ก็ทูลถึงวิธีการเสกให้ทรงทราบ มิได้ปดบังและหลังจากที่หลวงพ่อศุขได้ เสกหัวปลีให้เป็นกระต่ายแล้วยังได้เสกพลทหาร ของเสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯ (หลังจากเจ้าตัวยินยอมให้เสกแล้ว) เป็นจระเข้ให้ทอดพระเนตรอีกด้วย

เมื่อเสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯ ทอดพระเนตรเห็นอิทธิปาฎิหาริย์อันสูงสุดของหลวงพ่อศุขก็ทรงนมัสการด้วยความคารวะอย่างบริสุทธิ์ใจฝากองค์เป็นลูกศิษย์แต่นั้นเป็นต้นมา

หลวงพ่อศุข หรือนัยหนึ่งหลวงพ่อวัดมะขามเฒ่านั้น เล่ากันว่า ท่านสำเร็จธาตุ ทั้ง 4 คือ ปฐวี อาโป วาโย และเตโช สามารถจะเสกอะไรให้เป็นอะไรก็ได้ทั้งสิ้นอีกทั้งการล่องหน หายตัว กำบังกาย ระเบิดน้ำ สะเดาะโซ่ตรวนก็เชี่ยวชาญ วิชามายาศาสตร์อีกมากมายเล่าก็จัดเจน ตัวอย่างที่ยกมา กล่าวอ้างนั้นเพียงน้อยนิดอิทธิฤทธิ์ของท่านยังมีอีกมากนัก

หลวงพ่อศุขลงตะกรุดสามกษัตริย์ให้เสด็จพ่อฯ

การที่หลวงพ่อศุขพระอาจารย์ของเสด็จพ่อฯ กระทำพิธีลงตะกรุดสามกษัตริย์ให้เสด็จพ่อฯ จางวางถึกเล่าให้ฟังว่า

เมื่อเสด็จพ่อฯ ไปถึงวัดมะขามเฒ่าเป็นเวลา 12.00 น.เศษ หลวงพ่อศุขได้เชิญเสด็จพ่อฯ เสด็จขึ้นประทับบนกุฏิได้สนทนากันอยู่พักหนึ่งแล้ว หลวงพ่อศุขก็พูดกับเสด็จพ่อฯ ว่า

"วิชาอาคมต่าง ๆ อาตมาภาพก็ได้ประสิทธิ์ประสาทให้พระองค์ไว้มากแล้วแต่ยังขาดของสําคัญอีกสิ่งหนึ่งซึ่งพระองค์จะขาดเสียมิได้จะต้องติดไว้กับพระองค์เสมอเป็นของวิเศษมีอภินิหารมาก จะปรารถนาสิ่งใดได้ทุกประการ อาตมาได้ตระเตรียมสิ่งของที่จะทำให้พระองค์แล้วซึ่งมีแผ่นโลหะ คือเงินหนัก 1 บาท นากหนัก 1 บาท ทองคำหนัก 1 บาท ทั้งสามสิ่งนี้เรียกว่า "สามกษัตริย์" สามารถแก้อาถรรพณ์ต่าง ๆ ได้ เมื่อลงเป็นตะกรุดแล้วเอาด้ายสายสิญจน์มาเสกแล้วควั่นร้อยผูกเอวหรือคล้องคอก็ได้ ของสิ่งนี้แหละจะได้ทำถวายพระองค์เดี๋ยวนี้"

เมื่อหลวงพ่อศุขพูดจบ เสด็จพ่อฯ ก็ก้มกราบทันที แล้วตรัสว่า

"เป็นพระคุณอย่างสูงที่ท่านอาจารย์ได้กรุณาต่อหม่อมฉัน"

หลวงพ่อศุขหันหน้ามายิ้มแล้วพูดว่า

"รอเดี๋ยวเข้าที่บูชาก่อน"

พูดแล้วก็เดินเข้าห้องจุดธูปเทียน ลมพัดควันกลบออกมาข้างนอก สักครู่หนึ่งแล้วเรียกเสด็จพ่อฯ เข้าไปในห้อง พักหนึ่งหลวงพ่อศุขเดินออกมาในมือถือเหล็กจารกับแผ่นโลหะ และ ด้ายควั่นสีขาวจุดเทียนลงจากกุฎิ เสด็จพ่อฯ ก็เสด็จตามลงมา มีจางวางถึกและทหารคนสนิทเดินตามมาด้วย หลวงพ่อเดินออกไปถึงศาลาน้ำหน้าวัดแล้วหันมาบอกกับเสด็จพ่อฯ ว่า

"พระองค์รออยู่ที่นี่ เดี๋ยวอาตมาจะระเบิดน้ำลงไปทำตะกรุดที่กลางแม่น้ำเดี๋ยวนี้"

เสด็จพ่อฯ เห็นพระอาจารย์สั่งเช่นนั้น ก็มิได้ตรัสอย่างไร เสด็จพ่อฯ และบริวารยืนตรงศาลาท่าน้ำ มองไปข้างหน้าเห็นแต่น้ำท่วมขาวนองเต็มตลิ่ง หลวงพ่อถือเทียนเล่มใหญ่ที่จุดไฟลุกแดง เดินลงจากบันไดศาลาท่าน้ำจมมิดลงไปในแม่น้ำ ทำให้จางวางถึกและเสด็จพ่อฯ ที่เห็นอยู่นั้นพากันตะลึงงันทั่วทุกคน และไม่มีใครพูดว่าประการใด ทุกคนหันมามอง เสด็จพ่อฯ ที่ทรงยืนทอดพระเนตรอยู่ แล้วหันกลับไปกลางแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว ทุกคนยืนรอหลวงพ่อทำพิธีอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ หลวงพ่อศุขก็โผล่ศีรษะพ้นน้ำ เดินขึ้นจากบันไดศาลาท่าน้ำ ถือเทียนจุดลุกแดงโร่ผ้าสงบจีวรหาได้เปียกน้ำไม่ หลวงพ่อศุขหันมาสั่งเสด็จพ่อฯ ให้ขึ้นไปบนกุฏิแล้วตัวท่านเดินถือเทียนนำหน้าเสด็จพ่อฯ และบริวารเดินตามขึ้นไปบนกุฎิแล้วหลวงพ่อก็เดินเข้าไปในห้องบูชาเอาเทียนปักไว้ตรงหน้าที่บูชาจุดธูปเทียนบูชาแล้ว ออกมานั่งตรงอาสนะตรงกับเสด็จพ่อฯ แล้วหลวงพ่อก็ส่งตะกรุดสามกษัตริย์ให้เสด็จพ่อฯ พร้อมกับบอกว่า

"เก็บไว้ให้ดี ไปไหนก็ให้เอาติดตัวไปด้วยเก็บรักษาให้ดี ของสิ่งนี้ทำให้เสด็จในกรมฯ พระองค์เดียวเท่านั้น"

เสด็จพ่อฯ ทรงรับตะกรุด จากหลวงพ่อศุขแล้วก้มลงกราบแล้วตรัสถามว่า

"ท่านอาจารย์ ตะกรุดนี้เวลานำติดตัวไปมีห้ามอะไรบ้าง"

หลวงพ่อศุขตอบว่า

"ไม่มีข้อห้ามอะไร ทองคำตกอยู่ที่ไหนก็เป็นทองคำอยู่นั่นแหละ"

ต่อมาก็มีการสนทนาอีกเล็กน้อยหลวงพ่อก็เอาพระเครื่ององค์เล็กดำ ๆ มาแจกบริวารของเสด็จพ่อฯ แล้วก็ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้เสด็จพ่อฯ และบริวารทั่วทุกคน เป็นเวลา 15.30 น.เศษ เสด็จพ่อฯ ก็ขอลา เสด็จลงเรือกลับในวันนั้นเอง

นายเทียบ อุทัยเวช เล่าว่าตะกรุดสามกษัตริย์นี้ เสด็จพ่อฯ ไม่เคยเอาออกห่างจากพระองค์เลย เคยเห็นเสด็จพ่อฯ นำติดพระองค์เสมอมา ตะกรุดสามกษัตริย์นี้ไปตกอยู่กับหม่อมเจ้ารังสิยากร ที่ทราบได้ก็เพราะเวลาก่อนเสด็จพ่อฯ จะสิ้นพระชนม์พระองค์ทรงหยิบตะกรุดสามกษัตริย์ออกจากที่คาดไว้มอบให้แก่หม่อมและรับสั่งว่า

"เอาเก็บไว้ให้เจ้าตุ่น"

ตุ่นนั้น คือ หม่อมเจ้ารังสิยากรโอรสของเสด็จพ่อนั่นเอง



ขอขอบคุณที่มาคะ http://www.amulet.in.th/forums/view_topic.php?t=432&sid=1a5773a904eed38a2f942a231686ff5c