DAO
11-15-2008, 02:26 PM
http://www.amulet.in.th/forums/images/285.jpg
สมเด็จโต ฯ สมเด็จ ๕ รัชกาล
สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต เป็นชื่อที่ชาวไทยทั้งประเทศ รู้จักกันดีมาตั้งแต่ครั้งที่ท่านมีชีวิตอยู่ เกียรติศัพท์ เกียรติคุณ และเกียรติยศของท่านขจรขจายไปทั่วทิศ ไม่มีเสื่อมคลายมาจนปัจจุบัน แต่ประวัติของท่านนั้นจะมีคลาดเคลื่อนกันไปบ้าง เนื่องด้วยระยะเวลานั้นไม่มีผู้ใดบันทึกกล่าวไว้ จึงต้องมาสืบค้นกันภายหลัง ที่ได้รวบรวมไว้นี้ ยึดถือเอาจากหนังสือ ๒ เล่มคือ อนุสรณ์ครบ ๑๐๐ ปี สมเด็จพระพุฒาจารย์ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๑๕ และชีวประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต จากบันทึกของมหาอำมาตย์ตรี พระยาทิพโกษา โดยมล.พระมหาสว่าง เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา รวบรวมไว้ตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๔๗๓ เป็นหลัก เนื่องจากมีความละเอียดมาก โดยท่านได้อาศัยภาพฝาผนังโบสถ์วัดอินทรวิหารเป็นหลักในการเขียน และค้นคว้าเรียบเรียงเพิ่มเติมจากที่ต่างๆ อาจมีการคาดคะเนสันนิษฐานเอาบ้าง ในครั้งนี้จะได้ตัดตอนเอาเฉพาะเหตุการณ์ที่สำคัญเป็นหลัก และรวมทั้งวิธีการสั่งสอนเผยแพร่ธรรมปฏิบัติของท่าน มาเพื่อเป็นประโยชน์ในทางพุทธศาสนาเป็นสำคัญ
ประวัติ
เมื่อครั้งเจ้าพระยาจักรี ตั้งทัพอยู่ ณ เมืองกำแพงเพชรนั้น วันหนึ่งขณะที่ท่านลาดตระเวนอยู่นั้น ท่านชักม้า วกลัดทางเข้ามายังบ้านปลายนา ใต้เมืองกำแพงเพชร มาถึงบ้านหลังหนึ่งพบหญิงสาวเดินออกมา จึงกล่าวขอน้ำกินแก้กระหาย หญิงนั้นนำขันน้ำมาให้แต่โรยด้วยเกสรดอกบัว เมื่อท่านแม่ทัพรับเอาน้ำมาต้องคอยเป่าเกสรแหวกหาช่องน้ำดื่ม จึงจะดื่มน้ำนั้นได้ เมื่อดื่มจนหมดขันแล้ว จึงถามว่า เราอยากกระหายน้ำมาก เหตุไฉนท่านจึงแกล้งเอาเกษรบัวโรยใส่น้ำให้กิน เจ้าแกล้งทำเล่นแก่เราหรือ หญิงสาว ชื่อนางงุด จึงตอบว่า เรามิได้คิดแกล้งท่าน แต่เห็นท่านกระหายน้ำมาก ถ้ารีบดื่มจะสำลักน้ำและเป็นอันตรายได้ ท่านแม่ทัพได้ฟังก็เข้าใจ เห็นว่าพูดจาไพเราะอ่อนหวานและเฉลียวฉลาด จึงเกิดความพึงพอใจอย่างมาก ได้ไต่ถามถึงบิดามารดาของนาง เมื่อได้ความว่าไม่อยู่จึงได้รอจนเกือบตะวันตกดิน จนได้พบกับนายผล นางลา ผู้เป็นพ่อและแม่ และได้เล่าให้ฟังถึงเหตุที่รออยู่นั้น ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความรักและความปราณีต่อหญิงสาว และใคร่ขอสมัครตัวเป็นลูกเขย ทั้งสองฝ่ายเจรจากันอยู่นาน จนสุดท้าย สองตายายก็ตกลงใจยกลูกสาวให้แก่ท่านแม่ทัพ และมีการรดน้ำส่งตัวมอบหมายฝากฝังกันตามธรรมเนียมในค่ำคืนนั้นเอง โดยมีกระท่อมโรงนาของนายผลนางลานั้นเองเป็นเรือนหอ อยู่มาได้ประมาณเดือนเศษ นางงุดก็ตั้งครรภ์ แต่ท่านแม่ทัพได้รับราชการให้นำกองทัพกลับกรุงธนบุรี นางงุดเมื่อยังมีครรภ์อ่อนๆได้ปรึกษากับบิดามารดาที่จะทำการค้าขายระหว่างเมืองเหนือและกรุงธนบุรี จึงได้รวบรวมเงินจัดการซื้อเรือและสินค้าบรรทุกเต็มลำ ล่องมายังกรุงธนบุรี จนถึงบ้านบางขุนพรหมฝั่งตะวันออก ทำการจำหน่ายสินค้าจนหมดก็ได้จัดซื้อสินค้าจากบางกอกและสินค้าเมืองปักษ์ใต้ขึ้นไปขายทางเมืองเหนืออยู่หลายเที่ยว จนมีกำไรมากพอแก่การปลูกเรือน จึงได้ปลูกเรือนแพในถิ่นบางขุนพรหมนี้เอง เพื่อใช้เป็นที่พักสินค้าและอาศัย ให้นางงุดคลอดลูก เมื่อได้กำหนด ในวันพุธ เดือนหก ปีวอก พ.ศ.๑๑๓๘ นางงุดได้คลอดบุตรชายให้ชื่อว่าโต มีลักษณะแตกต่างจากเด็กอื่นๆ ทำให้ญาติมิตรพากันทักทายกันไปต่างๆนานา จนนางงุดไม่สบายใจ ในวันหนึ่งจึงนำทารกน้อยไปฝากตัวต่อพระอาจารย์แก้ววัดบางลำพูบน ที่มีคนนับถือมาก พระอาจารย์แก้วตรวจพิจารณาดูก็รู้ว่าแด็กคนนี้มีปัญญาสามารถ ทั้งเฉลียวฉลาดในการร่ำเรียน จะเป็นบุคคลที่เปรื่องปราชญ์อาจหาญ เชี่ยวชาญวิทยาคม ฯลฯ
เมื่อเด็กชายโตอายุได้ ๗ ขวบ นางงุดได้พาไปถวายตัวต่อท่านพระครูใหญ่ ที่เมืองพิจิตร ให้เป็นศิษย์เรียนหนังสือจนถึงอายุ ๑๓ ขวบ เมื่อปีวอก พ.ศ.๒๓๓๑ จึงได้บรรพชาเป็นสามเณร สามเณรโตเป็นผู้ตั้งใจเล่าเรียน เอาใจใส่ปรนนิบัติพระอุปัชฌาย์ และกิจการงานในหน้าที่อย่างยิ่ง ได้เล่าเรียนคัมภีร์มูละกัจจายนะปกรณ์ เรียนบาลีไวยากรณ์ คัมภีร์มูลทั้งสิ้น จนจบบริบูรณ์ อีกทั้งเวทมนต์ต่างๆ พระครูใหญ่ก็สอนให้จนหมดสิ้น จนถึงปีจอ สามเณรโตอายุได้ ๑๕ ปี ก็เริ่มอยากเรียนคัมภีร์ปริยัติธรรมอีก แต่ท่านพระครูใหญ่ไม่สามารถตอบสนองได้ เนื่องด้วยตั้งแต่ครั้งพม่าเข้ามาตีกรุงนั้น สมบัติของวัดวาอารามเสียหายหมดไปถึง ๒ ครั้ง จึงไม่มีตำราที่จะเล่าเรียนกัน เป็นเรื่องสุดวิสัย ท่านจึงได้แนะนำให้ไปเรียนกับพระครูเมืองชัยนาท สามเณรโตจึงได้กลาบลาท่านพระครูใหญ่ มาขออนุญาตมารดาไปศึกษาพระปริยัติต่อ และได้เดินทางมาฝากตัวเป็นศิษย์พระครูวัดเมืองไชยนาท เล่าเรียนพระบาลี พระไตรปิฎกธรรม จนจบด้วยความตั้งใจสม่ำเสมอ สิ่งใดที่ไม่รู้ก็จะถาม รู้เท่าไม่ถึงความก็จะซัก ที่ตรงไหนขัดข้องไม่ต้องกัน ก็หารือ ดังนี้ จนอายุย่างได้ ๑๘ ปี ก็คิดจะมาเรียนต่อในกรุงเทพฯอีก ซึ่งตาผลก็ได้นำสามเณรโตกลับมาถวายตัวต่อพระอาจารย์แก้ว ว้ดบางลำภูบน (วัดสังเวชวิศยารามในปัจจุบัน) นั้นเอง แต่พระอาจารย์แก้วได้นำสามเณรโตไปให้พระโหราธิบดี และพระวิเชียรช่วยสั่งสอนในเรื่องพระปริยัติธรรมทั้ง ๓ ปิฎก ซึ่งสามเณรโตก็หมั่นเพียรร่ำเรียนธรรมอย่างเอาใจใส่ จนสามารถเทศนาได้เป็นที่เลื่องลือ เทศน์มหาชาติทั้ง ๑๓ กัณฑ์นั้น สามารถเทศน์ได้ถูกต้อง ทั้งการเทศน์ก็มีวิธีทำเสียงเล็กแหลมบ้าง ทำเสียงหวานแจ่มใสบ้าง ทำเสียงโฮกฮากบ้าง เป็นกลเม็ดประจำตัว แต่สามเณรโต ก็มิได้มัวเมาหลงใหลด้วยอุปัฏฐากมาก เอาใจใส่แต่การเรียนการปฏิบัติ เพลิดเพลินเจริญสมณธรรม จนเป็นที่รักใคร่ของท่านโหราธิบดี และคณะโยมอุปัฏฐาก ทั่งหมดจึงได้ปรึกษากันแล้วเห็นพร้อมกันว่า ควรจะนำสามเณรโตถวายตัวต่อสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ต่อมาจึงได้นำสามเณรโตเข้ามาที่ท้องพระโรง ในพระราชวังเดิม ณ ฝั่งธนบุรี
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรเมื่อทรงเห็นและได้ซักถามจากสามเณรโตแล้ว ทรงพระปราโมทย์เอ็นดูสามเณรยิ่งนักทรงสั่งว่าพระโหราธิบดีนำช้างเผือกเข้ามาถวายและจะเป็นผู้อุปถัมภ์บำรุงสามเณรเอง โดยให้มาอยู่กับสมเด็จพระสังฆราชมี วัดนิพพานาราม (วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ในปัจจุบัน)
บรรพชา
จนเมื่อสามเณรโตอายุได้ ๒๑ ปีบริบูรณ์ สมเด็จพระลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร จึงโปรดให้บวชสามเณรโตที่วัดตะไกร เมืองพิษณุโลกโดยอาราธนาสมเด็จพระวันรัต วัดระฆังให้ขึ้นไปเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์แก้วเป็นพระกรรมวาจาจารย์ ทำการบวชนาคหลวง การบวชครั้งนี้กระทำอย่างใหญ่โตเอิกเกริก ในวันพุธขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปี มะเส็ง พ.ศ.๒๓๔๐จากนั้นมาพระภิกษุโตก็ได้กลับมาจำพรรษาอยู่ ณ วัดนิพพานาราม โดยมีสมเด็จวันรัตเป็นอาจารย์สอนต่อมา
ไม่ต้องการสมณศักดิ์
เมื่ออายุได้ ๓๐ ปี มีพรรษา ๑๐ พระภิกษุโต ได้รับแต่งตั้งให้เป็น มหาโต พร้อมได้รับเรือพระที่นั่งกราบ มาไว้ใช้เทศน์โปรดญาติโยมอีกด้วย พระมหาโตได้เป็นพระของเจ้าแผ่นดิน อันเป็นองค์อุปัฏฐากมาตลอด 3 รัชกาล จนกระทั่งสมเด็จพระนั่งเกล้าเสด็จสวรรคต ข้าราชการได้ทูลอัญเชิญเสด็จทูลกระหม่อมพระราชาคณะวัดบวรนิเวศน์วิหาร ให้เสด็จนิวัติออกเถลิงราชย์เป็นพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาโตก็ออกธุดงค์หนีหายไปหลายเดือน ทรงรับสั่งให้หาตัว อย่างไรก็ไม่พบ จึงทรงกริ้วและรับสั่งว่า ท่านเหาะก็ไม่ได้ ดำดินก็ไม่ได้ แหกกำแพงจักรวาลหนี ก็ยังไปไม่ได้ และได้มีคำสั่งถึงเจ้าเมือง ทั้งฝ่ายใต้ ฝ่ายเหนือ ตะวันตก ตะวันออก ทั้งพระราชอาณาจักร นำตัวมหาโตส่งมายังเมืองหลวงให้ได้ คนทั้งหลายก็ออกค้นหา มหาโตกันอย่างโกลาหล ก็ยังไม่พบตัว กระทั่งจับพระอาคันตุกะทุกองค์ส่งไปยังศาลากลาง เมื่อพระมหาโตทราบข่าวและพิจารณาเห็นว่า คนทั้งหลายเดือดร้อน อีกทั้งพระก็ถูกจับไป อดเช้าบ้างเพลบ้าง ได้รับความลำบาก จึงแสดงตนและยอมกลับเข้ามาเฝ้าสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เมื่อได้พบมหาโตจึงมีดำรัสว่า เป็นสมัยของฉันปกครองแผ่นดิน ท่านต้องช่วยฉันพยุงพระบวรพุทธศาสนาด้วยกัน แล้วมีพระบรมราชโองการให้กรมสังฆการีวางฎีกา ตั้งพระราชาคณะตามธรรมเนียม ให้พระมหาโตเป็นพระราชาคณะที่ พระธรรมกิตติ เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม เมื่อออกจากพระบรมราชวังแล้ว ท่านเดินแบกพัดไปเองถึงบางขุนพรหมและบางลำภู บอกลาพระโหราธิบดีและคนอื่นๆ ตลอดจนพระสงฆ์ทั้งหลายที่วัดมหาธาตุแล้วจึงลงเรือกราบไปบอกพระวัดระฆังว่า จ้าวชีวิต ทรงตั้งฉันเป็นที่พระธรรมกิตติ มาเฝ้าวัดระฆัง วันนี้จ๊ะ เปิดประตูโบสถ์รับฉันเถอะจ๊ะ ฉันจะต้องเข้าจำวัดเฝ้าโบสถ์ จะเฝ้าวัดตามพระราชโองการรับสั่งจ๊ะ
พระธรรมกิตติเป็นที่เลื่อมใสของคนทั้งกรุง โดยเฉพาะเรื่องเทศนานั้น ท่านต้องเทศน์ไม่เว้นแต่ละวัน เพราะท่านรู้จักตัดทอนธรรมะให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย ไม่ต้องเสียเวลาไตร่ตรองสำนวน เพราะเทศน์อย่างคำไทยตรงๆ จะเอาข้อธรรมะอะไรแสดง ก็ง่ายต่อผู้ฟัง ถือเอาความเข้าใจของผู้ฟังเป็นเกณฑ์ ไม่ต้องร้อยกรอง บางครั้งจะยกข้อธรรมเป็นอุปมาอุปมัย เปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายขึ้น ทั้งท่านจะถูกนิมนต์เทศน์หน้าพระที่นั่งอยู่เป็นประจำ แต่ท่านมักจะแสดงเป็นปริศนาธรรมเสมอ พระเจ้าอยู่หัวทรงโปรด ได้ตรัสชมและพระราชทานรางวัลให้เป็นประจำ ต่อมาได้โปรดเลื่อนสมณศักดิ์ให้กับท่านเป็น พระเทพกวี ราชาคณะผู้ใหญ่ และเมื่อปีพ.ศ. ๒๔๐๘ ก็ทรงสถาปนาพระเทพกวี ขึ้นเป็น สมเด็จพระพุฒาจารย์ เมื่อมีชนมายุ ๗๘ พรรษา ๕๖
มีต่อคะ
สมเด็จโต ฯ สมเด็จ ๕ รัชกาล
สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต เป็นชื่อที่ชาวไทยทั้งประเทศ รู้จักกันดีมาตั้งแต่ครั้งที่ท่านมีชีวิตอยู่ เกียรติศัพท์ เกียรติคุณ และเกียรติยศของท่านขจรขจายไปทั่วทิศ ไม่มีเสื่อมคลายมาจนปัจจุบัน แต่ประวัติของท่านนั้นจะมีคลาดเคลื่อนกันไปบ้าง เนื่องด้วยระยะเวลานั้นไม่มีผู้ใดบันทึกกล่าวไว้ จึงต้องมาสืบค้นกันภายหลัง ที่ได้รวบรวมไว้นี้ ยึดถือเอาจากหนังสือ ๒ เล่มคือ อนุสรณ์ครบ ๑๐๐ ปี สมเด็จพระพุฒาจารย์ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๑๕ และชีวประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต จากบันทึกของมหาอำมาตย์ตรี พระยาทิพโกษา โดยมล.พระมหาสว่าง เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา รวบรวมไว้ตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๔๗๓ เป็นหลัก เนื่องจากมีความละเอียดมาก โดยท่านได้อาศัยภาพฝาผนังโบสถ์วัดอินทรวิหารเป็นหลักในการเขียน และค้นคว้าเรียบเรียงเพิ่มเติมจากที่ต่างๆ อาจมีการคาดคะเนสันนิษฐานเอาบ้าง ในครั้งนี้จะได้ตัดตอนเอาเฉพาะเหตุการณ์ที่สำคัญเป็นหลัก และรวมทั้งวิธีการสั่งสอนเผยแพร่ธรรมปฏิบัติของท่าน มาเพื่อเป็นประโยชน์ในทางพุทธศาสนาเป็นสำคัญ
ประวัติ
เมื่อครั้งเจ้าพระยาจักรี ตั้งทัพอยู่ ณ เมืองกำแพงเพชรนั้น วันหนึ่งขณะที่ท่านลาดตระเวนอยู่นั้น ท่านชักม้า วกลัดทางเข้ามายังบ้านปลายนา ใต้เมืองกำแพงเพชร มาถึงบ้านหลังหนึ่งพบหญิงสาวเดินออกมา จึงกล่าวขอน้ำกินแก้กระหาย หญิงนั้นนำขันน้ำมาให้แต่โรยด้วยเกสรดอกบัว เมื่อท่านแม่ทัพรับเอาน้ำมาต้องคอยเป่าเกสรแหวกหาช่องน้ำดื่ม จึงจะดื่มน้ำนั้นได้ เมื่อดื่มจนหมดขันแล้ว จึงถามว่า เราอยากกระหายน้ำมาก เหตุไฉนท่านจึงแกล้งเอาเกษรบัวโรยใส่น้ำให้กิน เจ้าแกล้งทำเล่นแก่เราหรือ หญิงสาว ชื่อนางงุด จึงตอบว่า เรามิได้คิดแกล้งท่าน แต่เห็นท่านกระหายน้ำมาก ถ้ารีบดื่มจะสำลักน้ำและเป็นอันตรายได้ ท่านแม่ทัพได้ฟังก็เข้าใจ เห็นว่าพูดจาไพเราะอ่อนหวานและเฉลียวฉลาด จึงเกิดความพึงพอใจอย่างมาก ได้ไต่ถามถึงบิดามารดาของนาง เมื่อได้ความว่าไม่อยู่จึงได้รอจนเกือบตะวันตกดิน จนได้พบกับนายผล นางลา ผู้เป็นพ่อและแม่ และได้เล่าให้ฟังถึงเหตุที่รออยู่นั้น ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความรักและความปราณีต่อหญิงสาว และใคร่ขอสมัครตัวเป็นลูกเขย ทั้งสองฝ่ายเจรจากันอยู่นาน จนสุดท้าย สองตายายก็ตกลงใจยกลูกสาวให้แก่ท่านแม่ทัพ และมีการรดน้ำส่งตัวมอบหมายฝากฝังกันตามธรรมเนียมในค่ำคืนนั้นเอง โดยมีกระท่อมโรงนาของนายผลนางลานั้นเองเป็นเรือนหอ อยู่มาได้ประมาณเดือนเศษ นางงุดก็ตั้งครรภ์ แต่ท่านแม่ทัพได้รับราชการให้นำกองทัพกลับกรุงธนบุรี นางงุดเมื่อยังมีครรภ์อ่อนๆได้ปรึกษากับบิดามารดาที่จะทำการค้าขายระหว่างเมืองเหนือและกรุงธนบุรี จึงได้รวบรวมเงินจัดการซื้อเรือและสินค้าบรรทุกเต็มลำ ล่องมายังกรุงธนบุรี จนถึงบ้านบางขุนพรหมฝั่งตะวันออก ทำการจำหน่ายสินค้าจนหมดก็ได้จัดซื้อสินค้าจากบางกอกและสินค้าเมืองปักษ์ใต้ขึ้นไปขายทางเมืองเหนืออยู่หลายเที่ยว จนมีกำไรมากพอแก่การปลูกเรือน จึงได้ปลูกเรือนแพในถิ่นบางขุนพรหมนี้เอง เพื่อใช้เป็นที่พักสินค้าและอาศัย ให้นางงุดคลอดลูก เมื่อได้กำหนด ในวันพุธ เดือนหก ปีวอก พ.ศ.๑๑๓๘ นางงุดได้คลอดบุตรชายให้ชื่อว่าโต มีลักษณะแตกต่างจากเด็กอื่นๆ ทำให้ญาติมิตรพากันทักทายกันไปต่างๆนานา จนนางงุดไม่สบายใจ ในวันหนึ่งจึงนำทารกน้อยไปฝากตัวต่อพระอาจารย์แก้ววัดบางลำพูบน ที่มีคนนับถือมาก พระอาจารย์แก้วตรวจพิจารณาดูก็รู้ว่าแด็กคนนี้มีปัญญาสามารถ ทั้งเฉลียวฉลาดในการร่ำเรียน จะเป็นบุคคลที่เปรื่องปราชญ์อาจหาญ เชี่ยวชาญวิทยาคม ฯลฯ
เมื่อเด็กชายโตอายุได้ ๗ ขวบ นางงุดได้พาไปถวายตัวต่อท่านพระครูใหญ่ ที่เมืองพิจิตร ให้เป็นศิษย์เรียนหนังสือจนถึงอายุ ๑๓ ขวบ เมื่อปีวอก พ.ศ.๒๓๓๑ จึงได้บรรพชาเป็นสามเณร สามเณรโตเป็นผู้ตั้งใจเล่าเรียน เอาใจใส่ปรนนิบัติพระอุปัชฌาย์ และกิจการงานในหน้าที่อย่างยิ่ง ได้เล่าเรียนคัมภีร์มูละกัจจายนะปกรณ์ เรียนบาลีไวยากรณ์ คัมภีร์มูลทั้งสิ้น จนจบบริบูรณ์ อีกทั้งเวทมนต์ต่างๆ พระครูใหญ่ก็สอนให้จนหมดสิ้น จนถึงปีจอ สามเณรโตอายุได้ ๑๕ ปี ก็เริ่มอยากเรียนคัมภีร์ปริยัติธรรมอีก แต่ท่านพระครูใหญ่ไม่สามารถตอบสนองได้ เนื่องด้วยตั้งแต่ครั้งพม่าเข้ามาตีกรุงนั้น สมบัติของวัดวาอารามเสียหายหมดไปถึง ๒ ครั้ง จึงไม่มีตำราที่จะเล่าเรียนกัน เป็นเรื่องสุดวิสัย ท่านจึงได้แนะนำให้ไปเรียนกับพระครูเมืองชัยนาท สามเณรโตจึงได้กลาบลาท่านพระครูใหญ่ มาขออนุญาตมารดาไปศึกษาพระปริยัติต่อ และได้เดินทางมาฝากตัวเป็นศิษย์พระครูวัดเมืองไชยนาท เล่าเรียนพระบาลี พระไตรปิฎกธรรม จนจบด้วยความตั้งใจสม่ำเสมอ สิ่งใดที่ไม่รู้ก็จะถาม รู้เท่าไม่ถึงความก็จะซัก ที่ตรงไหนขัดข้องไม่ต้องกัน ก็หารือ ดังนี้ จนอายุย่างได้ ๑๘ ปี ก็คิดจะมาเรียนต่อในกรุงเทพฯอีก ซึ่งตาผลก็ได้นำสามเณรโตกลับมาถวายตัวต่อพระอาจารย์แก้ว ว้ดบางลำภูบน (วัดสังเวชวิศยารามในปัจจุบัน) นั้นเอง แต่พระอาจารย์แก้วได้นำสามเณรโตไปให้พระโหราธิบดี และพระวิเชียรช่วยสั่งสอนในเรื่องพระปริยัติธรรมทั้ง ๓ ปิฎก ซึ่งสามเณรโตก็หมั่นเพียรร่ำเรียนธรรมอย่างเอาใจใส่ จนสามารถเทศนาได้เป็นที่เลื่องลือ เทศน์มหาชาติทั้ง ๑๓ กัณฑ์นั้น สามารถเทศน์ได้ถูกต้อง ทั้งการเทศน์ก็มีวิธีทำเสียงเล็กแหลมบ้าง ทำเสียงหวานแจ่มใสบ้าง ทำเสียงโฮกฮากบ้าง เป็นกลเม็ดประจำตัว แต่สามเณรโต ก็มิได้มัวเมาหลงใหลด้วยอุปัฏฐากมาก เอาใจใส่แต่การเรียนการปฏิบัติ เพลิดเพลินเจริญสมณธรรม จนเป็นที่รักใคร่ของท่านโหราธิบดี และคณะโยมอุปัฏฐาก ทั่งหมดจึงได้ปรึกษากันแล้วเห็นพร้อมกันว่า ควรจะนำสามเณรโตถวายตัวต่อสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ต่อมาจึงได้นำสามเณรโตเข้ามาที่ท้องพระโรง ในพระราชวังเดิม ณ ฝั่งธนบุรี
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรเมื่อทรงเห็นและได้ซักถามจากสามเณรโตแล้ว ทรงพระปราโมทย์เอ็นดูสามเณรยิ่งนักทรงสั่งว่าพระโหราธิบดีนำช้างเผือกเข้ามาถวายและจะเป็นผู้อุปถัมภ์บำรุงสามเณรเอง โดยให้มาอยู่กับสมเด็จพระสังฆราชมี วัดนิพพานาราม (วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ในปัจจุบัน)
บรรพชา
จนเมื่อสามเณรโตอายุได้ ๒๑ ปีบริบูรณ์ สมเด็จพระลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร จึงโปรดให้บวชสามเณรโตที่วัดตะไกร เมืองพิษณุโลกโดยอาราธนาสมเด็จพระวันรัต วัดระฆังให้ขึ้นไปเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์แก้วเป็นพระกรรมวาจาจารย์ ทำการบวชนาคหลวง การบวชครั้งนี้กระทำอย่างใหญ่โตเอิกเกริก ในวันพุธขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปี มะเส็ง พ.ศ.๒๓๔๐จากนั้นมาพระภิกษุโตก็ได้กลับมาจำพรรษาอยู่ ณ วัดนิพพานาราม โดยมีสมเด็จวันรัตเป็นอาจารย์สอนต่อมา
ไม่ต้องการสมณศักดิ์
เมื่ออายุได้ ๓๐ ปี มีพรรษา ๑๐ พระภิกษุโต ได้รับแต่งตั้งให้เป็น มหาโต พร้อมได้รับเรือพระที่นั่งกราบ มาไว้ใช้เทศน์โปรดญาติโยมอีกด้วย พระมหาโตได้เป็นพระของเจ้าแผ่นดิน อันเป็นองค์อุปัฏฐากมาตลอด 3 รัชกาล จนกระทั่งสมเด็จพระนั่งเกล้าเสด็จสวรรคต ข้าราชการได้ทูลอัญเชิญเสด็จทูลกระหม่อมพระราชาคณะวัดบวรนิเวศน์วิหาร ให้เสด็จนิวัติออกเถลิงราชย์เป็นพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาโตก็ออกธุดงค์หนีหายไปหลายเดือน ทรงรับสั่งให้หาตัว อย่างไรก็ไม่พบ จึงทรงกริ้วและรับสั่งว่า ท่านเหาะก็ไม่ได้ ดำดินก็ไม่ได้ แหกกำแพงจักรวาลหนี ก็ยังไปไม่ได้ และได้มีคำสั่งถึงเจ้าเมือง ทั้งฝ่ายใต้ ฝ่ายเหนือ ตะวันตก ตะวันออก ทั้งพระราชอาณาจักร นำตัวมหาโตส่งมายังเมืองหลวงให้ได้ คนทั้งหลายก็ออกค้นหา มหาโตกันอย่างโกลาหล ก็ยังไม่พบตัว กระทั่งจับพระอาคันตุกะทุกองค์ส่งไปยังศาลากลาง เมื่อพระมหาโตทราบข่าวและพิจารณาเห็นว่า คนทั้งหลายเดือดร้อน อีกทั้งพระก็ถูกจับไป อดเช้าบ้างเพลบ้าง ได้รับความลำบาก จึงแสดงตนและยอมกลับเข้ามาเฝ้าสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เมื่อได้พบมหาโตจึงมีดำรัสว่า เป็นสมัยของฉันปกครองแผ่นดิน ท่านต้องช่วยฉันพยุงพระบวรพุทธศาสนาด้วยกัน แล้วมีพระบรมราชโองการให้กรมสังฆการีวางฎีกา ตั้งพระราชาคณะตามธรรมเนียม ให้พระมหาโตเป็นพระราชาคณะที่ พระธรรมกิตติ เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม เมื่อออกจากพระบรมราชวังแล้ว ท่านเดินแบกพัดไปเองถึงบางขุนพรหมและบางลำภู บอกลาพระโหราธิบดีและคนอื่นๆ ตลอดจนพระสงฆ์ทั้งหลายที่วัดมหาธาตุแล้วจึงลงเรือกราบไปบอกพระวัดระฆังว่า จ้าวชีวิต ทรงตั้งฉันเป็นที่พระธรรมกิตติ มาเฝ้าวัดระฆัง วันนี้จ๊ะ เปิดประตูโบสถ์รับฉันเถอะจ๊ะ ฉันจะต้องเข้าจำวัดเฝ้าโบสถ์ จะเฝ้าวัดตามพระราชโองการรับสั่งจ๊ะ
พระธรรมกิตติเป็นที่เลื่อมใสของคนทั้งกรุง โดยเฉพาะเรื่องเทศนานั้น ท่านต้องเทศน์ไม่เว้นแต่ละวัน เพราะท่านรู้จักตัดทอนธรรมะให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย ไม่ต้องเสียเวลาไตร่ตรองสำนวน เพราะเทศน์อย่างคำไทยตรงๆ จะเอาข้อธรรมะอะไรแสดง ก็ง่ายต่อผู้ฟัง ถือเอาความเข้าใจของผู้ฟังเป็นเกณฑ์ ไม่ต้องร้อยกรอง บางครั้งจะยกข้อธรรมเป็นอุปมาอุปมัย เปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายขึ้น ทั้งท่านจะถูกนิมนต์เทศน์หน้าพระที่นั่งอยู่เป็นประจำ แต่ท่านมักจะแสดงเป็นปริศนาธรรมเสมอ พระเจ้าอยู่หัวทรงโปรด ได้ตรัสชมและพระราชทานรางวัลให้เป็นประจำ ต่อมาได้โปรดเลื่อนสมณศักดิ์ให้กับท่านเป็น พระเทพกวี ราชาคณะผู้ใหญ่ และเมื่อปีพ.ศ. ๒๔๐๘ ก็ทรงสถาปนาพระเทพกวี ขึ้นเป็น สมเด็จพระพุฒาจารย์ เมื่อมีชนมายุ ๗๘ พรรษา ๕๖
มีต่อคะ