แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต

กระทู้: แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. รูปส่วนตัว DAO

    DAO said:

    แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต




    แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต


    จากบทความเรื่อง

    "นักธรรม" โลกมายา Grow Inner

    เรื่อง : มนสิกุล โอวาทเภสัชช์
    ภาพ : ณัฐพงศ์ จีรังสวัสดิ์

    ที่มา : นสพ.กรุงเทพธุรกิจ วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2548

    คัดลอกจาก โฮมเพจบ้านธรรมรัตน์ http://www.anamai.moph.go.th/occmed/...f%20wisdom.doc

    ให้ธรรมะนำหน้า แล้วแม่ก็จะเป็นตัวตนเล็กๆ เหมือนเดิม คนจะรู้จักแม่มาก ก็เพราะแม่ทำงานมาก แต่ตัวตนแม่ต้องเล็กลงนะ แล้วงานจะยิ่งใหญ่ นั่นคือเป้าหมาย และคือการอุทิศชีวิตของแม่

    แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต


    "มนุษย์ไม่ได้เป็นเหยื่อของอารมณ์"

    นี่คือ Talk of the town สารคดีชีวิตรางวัล Santa Barbary Film Festival 2005 ในฮอลลีวู้ดต้นปีนี้

    'A Walk of Wisdom' หรือ ก้าวย่างแห่งปัญญา กลายเป็นหนังที่ชาวโลกมายาต้องหลั่งน้ำตาให้ด้วยความปีติ ไม่เว้นแม้แต่สตีเฟน ไซมอน ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง What Dreams May Come และ Somewhere in Time เขาได้กล่าวว่า แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุตเปรียบดั่งดวงประทีปที่ฉายแสงแห่งความหวังมาสู่ผู้คนบนโลก งดงาม อ่อนโยน และไพเราะดังบทกวี ....

    และเมื่อค่ำวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาชาวไทยส่วนหนึ่งก็ได้ร่วมชมหนังเรื่องดังกล่าวเช่นกัน เนื่องจากเป็นวันครบ 25 ปีแห่งการเดินทางด้านในของแม่ชีศันสนีย์

    แม่ชีศันสนีย์กล่าวในวันแถลงข่าว 'A Walk of Wisdom' ในโรงหนังอีจีวี สยามดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์เมื่อค่ำวันนั้นว่า ...วันนี้เป็นวันบวชของข้าพเจ้าเมื่อ 25 ปีก่อน เวลาเย็นๆ ค่ำๆ อย่างนี้เป็นวันแรกที่เราต้องฝึกนอนอย่างชนิดที่ต้องทิ้งความสะดวกสบายของบ้านเรือน มีหลายอย่างที่ทำให้ชีวิตของเราได้เรียนรู้และเข้มแข็ง

    "ข้าพเจ้าบวชตั้งแต่อายุ 27 ปี เวลาที่ถอดเมคอัพออกจากหน้าจะซีดเหมือนจิ้งจก มันดูเหมือนเด็กมาก จนหลวงพ่ออุปัชฌาย์เรียกแม่ชีว่า "แม่ชีคุณหนู " แล้วท่านก็จะอดทนต่อความดื้อดึง โต้แย้งของเรามาตลอดระยะเวลา 7 ปีแรกของการบวช ขณะที่เราดื้อ หลวงพ่อจะสอนเราเสมอว่า เราไม่ได้ทุกข์เพราะคนอื่นทำนะ แต่เราทุกข์เพราะเราคิดผิดอย่างไร"

    และก่อนที่หลวงพ่อของแม่ชีจะมรณภาพ แม่ชีเล่าว่า ท่านวางแผนให้เราทำงานในแผ่นดินที่ว่างเปล่า โดยบอกเราว่า ที่ตรงนี้ดีนะ คุณหนู คิดว่ามันจะเป็นประโยชน์อะไรได้ไหม

    "เราก็บอกท่านว่า ท่านสอนว่าสมบัติเป็นทุกข์ไม่ใช่หรือเจ้าคะ แล้วจะให้ซื้อสมบัติทำไม ท่านบอกว่า ถ้ามีปัญญาสมบัติจะไม่ทุกข์ หลังจากนั้นเราฝึกว่า สิ่งที่เราได้มาคือสมบัติของคนตายจาก ..."

    หลังจากนั้น 'เสถียรธรรมสถาน' ก็เกิดขึ้นจากสมบัติของคนตายจาก ซึ่งได้ช่วยลูกผู้หญิงที่ถูกทำร้าย และเพื่อนร่วมทุกข์อีกเป็นแสนๆ คนในช่วงเวลา 18 ปีที่ผ่านมา

    ทั้งนี้ แม่ชีศันสนีย์ไม่เคยลืมที่จะกล่าวถึงชายผู้หนึ่งซึ่งเคยอยู่เคียงข้าง และปัจจุบันยังเป็นกำลังอันสำคัญที่ทำให้เสถียรธรรมสถานดำรงอยู่ได้ และในวันแถลงข่าว....

    "ต้องขอบคุณ คุณเสถียร เมื่อ 25 ปีที่แล้ว คุณเสถียรอนุญาตให้เรามาบวช ทำให้เรารู้สึกว่า เราได้อยู่บนหนทางของความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ทำให้วันนี้คุณเสถียรก็อยู่ในโรงภาพยนตร์นี้ ปรบมือให้คุณเสถียรด้วยค่ะ เพราะถ้าเธอไม่ยกความรักของเธอให้อยู่เหนือเงื่อนไขของความเห็นแก่ตัว เราก็ไม่สามารถทำงานใน 25 ปีนี้อย่างสะดวกใจ"

    และสุดท้าย A Walk of Wisdom จะไม่สามารถปรากฏบนจอภาพยนตร์ได้ ถ้าไม่มีการพบกับวิคตอเรีย โฮลท์ เธอเปรียบเหมือนน้องสาวทางธรรมของแม่ชีศันสนีย์ ธรรมะจัดสรรให้ทั้งคู่ได้มาเจอกันในงานประชุมผู้นำสตรีทางศาสนาและจิตวิญญาณเพื่อสินติภาพโลกที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และหลังจากนั้นสารคดีชีวิตลูกผู้หญิงคนหนึ่งก็ถูกเปิดเผยขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนกลายเป็นเรื่องราวที่จะออกฉายพร้อมกันใน 60 ประเทศทั่วโลกในไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้






    สัมภาษณ์....วิคทอเรีย โฮลท์ ผู้กำกับ และผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์สารคดี A Walk of Wisdom เกี่ยวกับประวัติของแม่ชี ศันสนีย์ เสถียรสุต และการนำหลักคำสอนในพุทธศาสนามาใช้แก้ปัญหาให้กับเด็กและผู้หญิงในเมืองไทย ซึ่งทั้งคู่เดินทางมาบันทึกเทปโทรทัศน์ในรายการสัมภาษณ์บุคคลที่สถานีโทรทัศน์ไอพีทีวี (สหรัฐอเมริกา) เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2548

    ภาพจาก www.maithaimagazine.com



    คุณแม่เคยเล่าว่า ถนัดในการใช้สื่อแสดงธรรม ตอนนี้คุณแม่ใช้ภาพยนตร์เป็นสื่ออย่างไร จากสมมติไปจนถึงวิมุตติ คือสามารถใช้มายาเพื่อให้เราก้าวข้ามไปหาความจริง

    ก่อนอื่นแม่ต้องขอบคุณที่หนูตั้งคำถามที่ดีมากคำถามหนึ่ง ในการทำงานเพื่อพระธรรม เพราะการที่เราเห็นสมมติเพื่อการวิมุตติ คือเรารู้จักใช้สมมติเพื่อการหลุดพ้น เราไม่ใช้สมมติบัญญัติเพื่อความยึดมั่นถือมั่นอันนำมาซึ่งความทุกข์ แต่เราจะอยู่ในโลกอย่างไร อย่างไม่เปื้อนโลก ถ้าเราเข้าใจโลก ถ้าเรารู้เท่าทันโลก อยู่กับโลกอย่างคนที่มีพัฒนาการภายในจิตใจ ที่จะมองเห็นสิ่งสมมติบัญญัติตามความเป็นจริงว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้น และใช้สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เพื่อการเป็นอิสระจากความยึดมั่นถือมั่น กระบวนการหลังเรียกว่าปัญญา คือเห็นธรรมชาติ เข้าใจกฎของธรรมชาติว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และจบลง

    ไม่ว่าเราจะมองธรรมชาติอย่างคนที่ถูกใจเราก็เพลินชอบ ถ้าไม่ถูกใจเราก็เพลินชัง เพราะฉะนั้นธรรมชาติที่เรามองเห็นตามความเพลินชอบ เพลินชังเป็นการมองธรรมชาติตามกิเลส แต่ถ้าเรามองธรรมชาติอย่างเข้าใจธรรมชาติ เราก็จะเห็นว่า ทั้งชอบทั้งชัง อนิจจังทั้งคู่ เพราะฉะนั้นการที่เราเห็นสมมติบัญญัติอย่างคนที่เข้าใจว่า ขันธ์ทั้ง 5 เป็นของหนักเน้อ ถ้ายึดมั่นถือมั่น แต่ถ้าเผื่อขันธ์ทั้ง 5 คือชีวิตของเราที่ใช้ไปในโลกนี้อย่างไม่ยึดมั่นถือมั่น เราก็จะใช้ชีวิตนี้อย่างคนที่เกิดมาเพื่อให้โลกภายใน ใช้การเกิดคราวนี้เพื่อการไม่เกิดอีกที่เรียกว่าทุกข์ ทำให้ชีวิตที่สงบเย็นภายในเป็นประโยชน์อย่างกว้าขวาง ไม่เลือกปฏิบัติ หมายความว่า ความเห็นเฉพาะตัวอันคับแคบที่เป็นความเห็นแก่ตัวจะไม่มี นี่คือการใช้สมมติบัญญัติเพื่อการเดินทางไปสู่การวิมุตติคือหลุดพ้นได้

    สมมติบัญญัติที่ว่าคืออะไรบ้างคะ

    ตัวเราของเรา ทุกๆ อย่างที่เรายึดไว้ แม่จึงใช้ความสนุกสนานทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นการสนทนาระหว่างคนสองคนคือโทรศัพท์มือถือจะสนทนาให้เกิดสติปัญญาได้อย่างไร หรือการสื่อสารออนไลน์ เวบไซต์ วิทยุ ไปจนถึงการสนทนาโดยผ่านกล้องทีวี ดาวเทียม ผ่านฟิล์มภาพยนตร์ ผ่านไมโครโฟนที่ใช้บทเพลง ผ่านการเคลื่อนไหวกายและใจต้องตั้งมั่นรู้ตื่นและเบิกบานอยู่ในกระบวนการสร้างความสนุกสนานทางปัญญาที่ใช้มีเดีย ใช้เครื่องมือสื่อสารเป็นยุทธวิธีที่นำไปสู่ความสนุกสนาน แม่เรียกว่าโลกเป็นมายา แต่เราสามารถใช้โลกมายา ใช้กระบวนการของสื่อนี้เข้าไปนำเสนอเป็นกลยุทธ์ที่มียุทธศาสตร์ที่จะทำให้คนรอดพ้นจากความทุกข์

    แล้วแม่ก็จะชวนให้รัฐบาลสนับสนุน Spiritual Entertainment ที่แม่วางแผนอยู่ แล้วแม่ก็เชื่อว่า นายกฯ ซื้อความคิดของแม่นะ แม่อาสาทำงานออกมาให้ดูก่อนเลยว่า A Walk of Wisdom ที่เขียนบท กำกับการแสดง และอำนวยการสร้างโดยวิคตอเรีย โฮลท์ ชนะการประกวดในงาน Santa Barbara Film Festival 2005 เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2548 ที่ผ่านมา เป็นหนังเรื่องเดียวที่ฮอลลีวู้ดเขาพูดเลยว่าใน 20 ปีของการประกวดหนัง ไม่มีใครดูล้นหลามเท่ากับเรื่อง A Walk of Wisdom เลย

    แทบจะเกิดการจลาจลเลยว่าทำไมซื้อตั๋วแล้วไม่ได้ดู เพราะคนฮอลลีวู้ดเข้าไปดูกว่าครึ่งโรงแล้ว เขาจึงต้องเปิดรอบพิเศษ เพราะไม่ได้เป็นหนังที่ดูแล้วจบ แต่การดำเนินเรื่องในชีวิตไม่จบ จิตใจของคนดูกลับมาที่ตัวเอง กลับมาเดินทางอย่างมีสติปัญญามากขึ้น เพราะได้แรงบันดาลใจจากหนังเรื่องนี้ที่จะทำให้ตัวเองมีย่างก้าวแห่งปัญญาต่อไป

    คือใช้สื่อแสดงปาฏิหาริย์ที่จะทำให้คนรอดพ้นจากความทุกข์ ยุทธศาสตร์ของการใช้ภาพยนตร์ ละคร ดนตรี หรือแม้แต่เสียงคำสอน บทสวดมนต์ที่จะผ่านสื่อเทคโนโลยีที่จะทำให้คนในโลกนี้เข้าถึงกระแสของการดำเนินชีวิตที่สงบเย็น

    เพราะอิทธิพลของสื่อเข้าไปอยู่ในทุกบ้าน ทุกชุมชน ทุกพื้นที่ในโลกนี้ สื่อนำเสนออะไรคนก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นถ้าสื่อแสดงปาฏิหาริย์ที่จะทำให้คนตื่นจากอวิชชา แสดงว่าสื่อซึ่งดูเหมือนเป็นมายากำลังเข้าไปเพื่อจะทำให้คนลดละตัณหาโดยใช้กระบวนการทางมายา ความสนุกสนาน แต่เป็นความสนุกสนานทางปัญญา

    เอ็นเตอร์เทนเมนท์ มันต้องทำงานโดยผ่านเครื่องมือสื่อสาร ตอนนี้เราจะทำ Spiritual Entertainment คือความสนุกสนานทางปัญญา และนี่คืองานของเราจากนี้ไป แม่จะใช้การทำงานที่ใช้ยุทธศาสตร์ทำให้คนสนุกสนานทางปัญญา โดยใช้กระบวนการเอ็นเตอร์เทนเมนท์ทุกแขนงเลย

    เอ็นเตอร์เทนเมนท์เป็นปัจจัยที่ 5 ของมนุษย์ ความสนุกสนานเป็นปัจจัยที่ 5 ของมนุษย์ ที่จะทำให้เขามีชีวิตอย่างคนที่รู้ตื่นและเบิกบาน

    เราห้ามเด็กไม่ให้สนุกสนานไม่ได้ ถ้าเราบอกเด็กๆ ทุกอย่างต้องช้าๆ เชื่องๆ เย็นๆ เด็กๆ เขาไม่เอาหรอก โลกของเด็กเป็นโลกที่สนุกสนาน แต่ในความสนุกนั้นต้องทำให้เด็กเห็นกระบวนการในการใช้ชีวิตที่ไม่ทุกข์ด้วยนะ มันก็เป็น Spiritual Entertainment

    ทำไมการให้ธรรมะจะต้องแยกเด็กออกจากครบครัว แยกเด็กออกจากสังคม ทำไมเราไม่ทำสิ่งที่เข้าไปถึงหัวใจของคน และไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน เขาก็สามารถอยู่กับสมมติบัญญัติได้อย่างมีวิมุตติคือความหลุดพ้น นั่นคือธงของแม่ที่จะไปให้ถึง



    มีต่อคะ





    สิ้นทุกข์สุขที่แท้จึงได้พบพาน
     
  2. รูปส่วนตัว DAO

    DAO said:

    Re: แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต






    ธงของคุณแม่คืออะไรคะ

    การพ้นทุกข์ร่วมกัน นั่นหมายความว่า กระบวนการเคลื่อนธรรมะออกไป เราต้องใช้เอ็นเตอร์เทนเมนท์เป็นเครื่องมือ แม่ก็ใช้ภาพยนตร์เลย เพราะภาพยนตร์ออกไปทั่วโลก ถ้าเราบอกว่า มาแม่จะแสดงธรรม เธอมาฟังธรรม คนคงไม่สนุก แต่เป็นการง่ายมากที่แม่จะบอกไปดูหนังด้วยกันไหม แล้วในหนังเรื่องนั้น มันมีสารที่จะส่งถึงคนดูชนิดที่เรียกว่าอึ้งไปเลย แม่เห็นคนอเมริกันดูเรื่อง A Walk of Wisdom แล้วปาดน้ำตา บางทีก็มีเสียงหัวเราะ บางทีก็รื่นเริง เพราะฉะนั้นการทำหนังให้คนดูเห็นอารมณ์ของตัวเอง แล้วเข้าใจชีวิตของตนเอง ตั้งคำถามกับตัวเองใหม่ว่าเกิดมาทำไม

    ฝรั่งบางคนบอกกับแม่ว่า ดูหนังเรื่องนี้แล้วตัวตนเขาเล็กลงเลย เขาเคยคิดว่าเขาเก่ง เขาใหญ่ เขามีอำนาจ มีความพร้อมที่จะทำอะไรให้โลก พอเขาดูหนังเรื่องนี้แล้วเขาต้องถามตัวเองเลยว่า เขาต้องกลับมาสู่ความเป็นจริงของชีวิตก่อนหรือเปล่า แล้วจึงจะใช้อำนาจของเขาเป็นไปเพื่อความสงบเย็นอย่างกว้างขวาง

    ส่วนวัยรุ่นอเมริกันเขาบอกว่า เขาไม่เคยตั้งคำถามว่าเกิดมาทำไมเลย เขาดูหนังเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่าต้องตั้งคำถามอย่างนี้บ้าง บางคนมีปัญหากับครอบครัว หรือลูกที่มีปัญหากับพ่อแม่และคิดว่าพ่อแม่ไม่รัก ดูหนังเรื่องนี้แล้วต้องกลับไปกราบพ่อแม่เลย

    เป็นการดำเนินตัวอย่างชีวิตที่รักอย่างไม่มีเงื่อนไข เป็นการนำเสนอมิติทางปัญญาเกี่ยวกับความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขนั้นมีอยู่จริง

    คนไทยจะได้ดูไหมคะ

    ในไทยยังไม่ได้ดูทั่วไป แต่ในกาละที่เขาอยากทำอะไรให้แม่บ้าง เพราะแม่เสียสละให้เขามาถ่ายชีวิตเรานะ ไม่มีค่าตัว เขาก็เลยขอให้นำ A Walk of Wisdom มาฉายในเมืองไทยในวันที่แม่บวชครบ 25 ปี คือวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2548 นี้ แม่บวชในเวลาเย็นๆ ค่ำๆ อย่างนี้ เขาฉายที่เมืองไทยให้แม่เป็นรอบพิเศษที่แม่เชิญคณะรัฐบาล วุฒิสมาชิก คนทำงานด้านสังคม รวมทั้งเอ็นจีโอด้านต่างๆ รวมทั้งภาคธุรกิจมาดู

    สิ่งที่น่ารักคือ เขาไม่ได้ฉายที่เมืองไทยที่เดียว แต่ฉายที่เมือง Santa Barbara ฉลองพร้อมกันเลย พอเดือนมีนาคม หนังเรื่องนี้จะอยู่ในมือคน 60 ประเทศทั่วโลกจะได้ดูพร้อมกัน เป็นการเคลื่อนคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าผ่านวิถีชีวิตของผู้หญิงเล็กๆ ที่เรียบง่าย และมีหัวใจที่จะรักอย่างไม่มีเงื่อนไข เราจะรักอย่างที่สิ่งข้างหน้าเป็น เราจะไม่ใช้ชีวิตที่จะเกลียดชังใคร ไม่มีใครควรค่าแก่การเกลียดชังในชีวิตของแม่ จากนี้ไปแม่จะวางแผนการทำยุทธศาสตร์ของการทำ Spiritual Entertainment โดยเอาธรรมะเป็นสารที่จะส่งไปทั่วโลก

    หัวใจของ Spiritual Entertainment เป็นอย่างไรบ้าง

    ให้ธรรมะนำหน้า แล้วแม่ก็จะเป็นตัวตนเล็กๆ เหมือนเดิม คนจะรู้จักแม่มาก ก็เพราะแม่ทำงานมาก แต่ตัวตนแม่ต้องเล็กลงนะ แล้วงานจะยิ่งใหญ่ นั่นคือเป้าหมาย และคือการอุทิศชีวิตของแม่

    25 ปี เราได้โอกาสจากสังคมมามาก เราได้โอกาสจากข้าวของชาวบ้านที่เลี้ยงเรามาตั้งแต่แม่เป็นนักบวช แม่ก็ไม่ได้ซื้อข้าวกิน ชาวบ้านดูแลแม่ แล้วแม่ก็ทำหน้าที่เป็นเนื้อนาบุญที่ดีของพระศาสนา พอถึงเวลานี้ แม่รู้แล้วว่าแม่เกิดมาเพื่ออะไร และเป้าหมายของแม่ก็คือ แม่ควรจะอยู่กับสมมติอย่างคนที่เข้าสู่หนทางแห่งการวิมุตติอย่างไร โดยวิธีการใด

    แม่ต้องขอบคุณเสถียรธรรมสถานที่อยู่เบื้องหลังการทำงานของแม่ และทุกครั้งที่แม่ไปนำภาวนาทั่วโลก วันที่แม่คุยกับคุณ เป็นวันที่อเมริกาเชิญแม่ไปนำภาวนาในฮอลลีวู้ด ซึ่งจะมีคน 400 คน แล้วเป็นคนที่สนใจเรื่องงานสันติภาพ และแม่ก็จะไปนำภาวนา แต่เนื่องจากคุณพ่อของแม่เสียเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ คือแม่กลับมาเมื่อวันที่ 10 แม่เลยต้องโทรกลับไปทางอเมริกาว่า แม่คงต้องอยู่กับคุณพ่อในช่วงสุดท้าย งั้นวันที่ 17 ไปไม่ได้ แม่ยังคงทำงานร่วมกับเขา และเขาบอกว่าในงานจะนำภาวนาให้คุณพ่อของแม่ และเขาจะจัดงานให้แม่ไปนำภาวนากับคนฮอลลีวู้ดอีกทีหนึ่ง

    เพราะถ้าเผื่อแม่เปิดใจคนในฮอลลีวู้ดได้ จากนี้หนังเกี่ยวกับ Spiritual Entertainment จะออกไปทั่วโลกเลย ตอนนี้แม่ทำงานกับ สตีเฟน ไซมอน เพื่อสร้างงานนี้ร่วมกันด้วย สตีเฟนมีเครือข่ายเด็กๆ ทั่วโลกที่เขาจะทำหนังของเขากันเอง ดูกันเองในนาม Spiritual Cinema Circle

    มีคนถามแม่ว่าแล้วเสถียรธรรมสถานจะสร้างสาขา ขยายสาขาไหม แม่บอกไม่ เราจะเป็นหยดน้ำเล็กๆ ที่จะบวกกับคนในโลกนี้ เพราะเราเชื่อว่า 1+1 มันมหาศาล ก็คือการมีชีวิตที่ไม่เบียดเบียน ไม่ชั่วอีกเลย ใช้สติปัญญาของเราในการทำยุทธศาสตร์นี้ที่จะพ้นทุกข์ร่วมกันโดยใช้ความสนุกสนานนี้เป็นเครื่องมือในการพ้นทุกข์ร่วมกัน

    คุณแม่พบกับ วิคตอเรีย โฮลท์ ผู้เขียนบท กำกับ และอำนวยการสร้างหนังเรื่อง A Walk of Wisdom ได้อย่างไร

    เมื่อปี ค.ศ.2002 (พ.ศ. 2545) แม่ได้ติดตามคณะสงฆ์ไทย 11 รูปไปงานประชุมสุดยอดสันติภาพโลกที่นิวยอร์ก ซึ่งเขาเชิญผู้นำทางศาสนาทุกศาสนาเลยนะประมาณซัก 1,000 กว่าคน หนึ่งในนั้นคือแม่ แต่แม่อยู่ในชนกลุ่มน้อยของการประชุมคราวนั้น ก็คือมีผู้หญิงสัก 15% แต่ก็เป็นส่วนน้อยที่หนักแน่น แล้วก็มีความมุ่งมั่นที่จะทำงานเรื่องสันติภาพ 15% ก็รวมตัวกันไว้ในการทำงานครั้งนั้น แล้วเรานัดหมายกันว่าอีก 2 ปี เราจะทำงานกับผู้หญิงทั่วโลกที่เป็นผู้นำทางด้านศาสนาและจิตวิญญาณเพื่อสันติภาพโลก อีก 2 ปีต่อมา แม่ก็เป็นประธานร่วมจัดเลย โดยแผนงานถูกสร้างขึ้นที่เสถียรธรรมสถาน โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นผู้สนับสนุนแม่ให้นำเสียงของผู้หญิงไปรวมกันที่ตึกสันติไมตรี

    จากนั้นแม่ก็นำเสียงของผู้หญิงไปสู่เวทีโลกที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อตุลาคม ปี 2002 ในงานประชุมผู้นำสตรีทางศาสนาและจิตวิญญาณเพื่อสันติภาพโลก (The Global Peace Initiative of woman Religious and Spiritual Leaders) ซึ่งทำให้แม่ได้เจอกับวิคตอเรีย โฮลท์ เธอเป็นสื่อมวลชนชาวอังกฤษที่ต้องสัมภาษณ์ผู้หญิงที่ทำงานเรื่องสันติภาพ 30 คนซึ่งคัดผู้หญิงที่โดดเด่นจาก 500 กว่าคนใน 60 ประเทศ

    วิคตอเรียเล่าว่า ทันทีที่แม่เดินเข้าไปในห้อง เขาก็พบกับการเปลี่ยนแปลงของชีวิตเลย เขาบอกว่า เขาฟังการสัมภาษณ์ของแม่แล้วตกหลุมรักเลย เขาเลยคิดที่จะทำภาพยนตร์ที่จะออกอากาศในสถานีโทรทัศน์ของอเมริกาเชื่อว่า Extraordinary Woman ผู้หญิงธรรมดาที่ไม่ธรรมดา แล้วก็คัดผู้หญิง 13 คน หนึ่งในนั้นคือแม่ แล้วระหว่างการสัมภาษณ์ผู้หญิง 13 คน เธอก็ยกกองถ่ายมาถ่ายทำแม่ที่เสถียรธรรมสถาน ปรากฏว่าข้อมูลแม่เยอะ เขาก็เลยขอทำเป็นภาพยนตร์สารคดีชีวิตแม่ก่อน

    ภาพยนตร์ A Walk of Wisdom เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาที่สำเร็จ แล้วการที่เขาทำงานกับแม่ตั้งแต่ค.ศ.2002-2004 ในปี 2005 หนังก็เสร็จประกวดในปลายเดือนมกราคม เข้าตากรรมการผ่านเข้ารอบสุดท้าย 1 ใน 10 สารคดียอดเยี่ยม ในงาน Santa Barbara Film Festival 2005 ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเห็นได้ชัดคือสารจากวิคตอเรียที่เธอเขียนถึงหนังเรื่องนี้ เธอเปลี่ยนแปลงก่อนเลย คนทำได้ก่อน







    คุณวิคตอเรียเปลี่ยนแปลงอย่างไรคะ ในระหว่างการทำงานสารคดี 2 ปีกับคุณแม่

    คือวิคตอเรียต้องเก็บข้อมูลของแม่ใน 2 ปีนี้ ไม่ว่าแม่จะเดินทางที่ไหน ไม่ว่าแม่จะมีการสื่อสารกับใครในโลกนี้ เขาก็จะเห็นสิ่งนี้ โดยเฉพาะเรื่องความรักไม่มีเงื่อนไข วิคตอเรียก็มีปัญหากับคุณพ่อ แต่เขาเห็นแม่ไม่มีปัญหากับคุณพ่อเลย คือชีวิตของแม่ใน A Walk of Wisdom จะเริ่มตั้งแต่ชีวิตแรกเกิดของแม่ไปจนถึงชีวิตนานาชาติ

    วิคตอเรียเขียนสคริปท์ตามที่แม่เป็น ปรากฏว่า เขาสงสัยมากเลยว่า แม่เป็นลูกที่คุณพ่อเดินมาหาแม่ในวันที่แม่เกิดเพื่อปฏิเสธแม่ว่าไม่ใช่ลูกพ่อ แต่ทำไมปัจจุบันแม่ยังรักคุณพ่อได้อย่างไม่มีเงื่อนไข จนกระทั่งเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ คุณพ่อสิ้น แม่เป็นคนที่เข้าไปเพื่อที่จะทำให้คนในครอบครัวของเรายังมีความรักอย่างแน่นแฟ้น เธอก็สงสัย

    อาจจะเป็นเรื่องที่หลายคนก็คงจะสงสัยเช่นเดียวกับคุณวิคตอเรีย ?

    ก็เพราะคุณแม่รักเราอย่างไม่มีเงื่อนไง ผู้หญิงที่เลี้ยงแม่มาประเสริฐที่สุด เธอไม่เคยตำหนิคนที่เธอรักเพื่อให้แม่เกลียดชังเลย คือผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้หญิงบ้านที่สอง ตั้งท้องตามลำพัง ขณะที่สามีมาตรวจราชการแล้วก็แวะมาหาคุณแม่เพียงคืนเดียว ผู้หญิงคนนี้ก็ท้องขึ้นมา มันก็คงยากที่ผู้ชายจะบอกว่านี่คือลูกฉัน

    แต่แม่เข้าใจ คุณแม่อดทนมากไหมที่ไม่ทำแท้ง แล้วก็รักษาครรภ์มาอย่างดีด้วยความรัก ความปรารถนาให้ลูกสมบูรณ์ที่สุด เกิดมาแล้วแม่ก็ยังถนอมเราเหมือนเป็นจักรวาลเลย ไม่เคยทำให้ต้องรู้สึกว่าทำไมเราถึงไม่มีพ่อ ก็เพราะเรามีแม่ที่เป็นทั้งพ่อและแม่อย่างเต็มเปี่ยม ที่สำคัญก็คือ คุณแม่ไม่เคยนินทาคุณพ่อให้ได้ยิน แม่จึงรู้สึกว่ามีคุณพ่ออยู่ตลอดเวลา

    เพราะฉะนั้นผู้หญิงที่กำลังสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง เพราะว่าสามีไปมีผู้หญิงอื่นแล้วกำลังตีอกชกตัว เรียกร้องความสนใจจากลูกต้องคิดใหม่ แม่อยากให้มาดู A Walk of Wisdom จะได้เข้าใจว่า ถ้าเราทำอย่างนั้น เราทำลายสิ่งที่เรารักคือหัวใจของลูก แต่ถ้าเผื่อว่าเรายังรักลูก เราต้องไม่ทำลายตัวเรา ไม่ปล่อยให้เราอึดอัดไปกับสิ่งที่ต้องเผชิญ แต่ต้องรู้ตื่นและเบิกบานในสิ่งที่เผชิญเพื่ออะไร เพื่อเราจะได้มีโอกาสเลี้ยงลูกเราให้สมบูรณ์ที่สุด

    ตอนไหนที่สะเทือนใจที่สุดคะ

    คนร้องไห้ก็ตอนที่แม่ไปเยียวยาคุณพ่อ มีฉากหนึ่งที่แม่บอกเลยว่า พ่อมาเพื่อปฏิเสธฉัน และอีกฉากหนึ่งที่คุณพ่อขอโทษแม่

    รบกวนคุณแม่เล่าเรื่องวิคตอเรียให้คนไทยรู้จักกันหน่อย

    คือเดิมทีวิคตอเรียเป็นนางแบบของอังกฤษ ทำงานกับบริษัทโฆษณาเช่น J.Walter Thompson และ KLP Marketing International แล้วก็มาเป็นผู้เขียนบทในฮอลลีวู้ด คือเขาเก่งมากและเข้าใจคนอเมริกันและฝรั่งอย่างดี เวลาเขาเขียนบทเขาจะเก็บอารมณ์ของชีวิตในแต่ละขั้นตอนของแม่ให้เข้าไปคลุกใจคนอเมริกัน

    'คลุกใจ' เป็นอย่างไรคะ

    คือชีวิตของแม่เป็นอะไรที่เรียบง่าย วันๆ ก็เป็นอย่างนี้ แต่เขามาเอาความเรียบง่ายของแม่มาทำให้เกิดสีสัน แต่ในสีสันนั้น มันกลับกลายเป็นการสอน คือชีวิตแม่เป็นการสอนคนดูแบบไม่ต้องสอน เหมือนแม่เป็นฮีโร่ของหนัง เป็นตัวเดินเรื่อง แล้วชีวิตของแม่ในแต่ละขั้นตอนทำให้คนดูกลับไปถามตัวเอง

    สตีเฟน ไซมอน ซึ่งเป็นผู้กำกับหนังที่มีชื่อเสียงสองเรื่องคือ What Dreams May come และ Somewhere in Time เขาบอกว่า ดูหนังเรื่องนี้แล้วสามารถดูได้อีก 20 ปีก็ไม่เบื่อ แล้วทุกครั้งที่ดูจะได้สารที่ลึกขึ้นเรื่อยๆ เรียบง่ายเหมือนการภาวนา

    สตีเฟน ไซมอน เล่าว่าอย่างไรอีกคะ

    เขาบอกว่า ตอนที่เขาดูครั้งแรก เขาจมอยู่กับการย้อนกลับมาที่ตัวเองอีกนานเลย คือหนังจบแล้วแต่ตัวเขายังไม่จบ เขาบอกว่า เพลงในเรื่อง ทำให้กลับมาสู่ปัจจุบันขณะ แล้วมีความสุขเลย เพลงความสุขเล็กๆ ในใจฉัน เป็นเพลงที่ คุณผุสชากับคุณธเนส สุขวัฒน์ ช่วยแม่ แล้วเพลงนี้ไปดังทั่วโลก มุมกล้องก็มีส่วน สคริปท์ก็มีส่วน คำสอนก็มีส่วน ความสนุกก็มีส่วน

    อีกวันหนึ่งเขาเดินลงมาแล้วลูกเขาดู ก็คิดว่า จะดูแวบหนึ่ง แต่พอดูแล้วก็ดูจนจบอีกครั้งหนึ่ง เขาเลยแนะนำให้กับคนที่จะดูหนังเรื่องนี้ใน 60 ประเทศว่า ขอให้ดูหนังอย่างไม่มีเสียงโทรศัพท์รบกวนคุณ ขอให้คุณหามุมเงียบๆ แล้วดูมัน เหมือนดูละครแล้วย้อนดูตัว

    คุณแม่คิดว่าหนังเรื่องนี้ทำให้เห็นภาพของแม่ชีไทยเป็นอย่างไรคะ

    คือแม่ไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ที่แม่รู้คือว่า แม่กำลังเดินทางไปอย่างคนที่พระองค์ได้มอบมรดกไว้คือ เธอจงจาริกไปเพื่อประโยชน์และความสุขของมหาชน มันเป็นอะไรที่วิคตอเรียทำหนังเรื่องนี้ด้วยหัวใจ และเป็นการเรียนรู้ที่จะมีชีวิตเพื่อการเดินทาง

    มีคำหนึ่งที่วิคตอเรียกล่าวว่า คนอเมริกันหรือชาวตะวันตกขาดแคลนข้อมูลเกี่ยวกับพุทธศาสนา คล้ายกับที่ลูกศิษย์หลวงปู่ชาที่เป็นชาวต่างชาติหลานท่านก็บอกว่า สิ่งเดียวที่เขาสามารถรู้จักพุทธศาสนาได้คือหนังสือ จากหนังสือเขาจึงเดินทางมาเอเชีย มาอินเดีย และมาไทย ขณะที่คนไทยบางครั้งดูเหมือนว่าใกล้เกลือกินด่าง

    คือถ้าเผื่อเรามาทำงานร่วมกัน ใครถนัดอะไรก็พยายามสื่อสารในสิ่งที่ตัวเองถนัด แม่คิดว่า ปัจจุบันเรามีคนที่มีความสามารถในการเผยแผ่ธรรมะเยอะ แต่เรายังไม่ได้ทำงานร่วมกัน มันเหมือนเรายังไม่เป็นปึกแผ่นเพราะเรายังกระเด็นกันคนละที่สองที่ แม่คิดว่า A Walk of Wisdom จะเป็นพลุอันหนึ่งที่จุดขึ้นไปแล้วให้คนมองเห็นเป็นตัวอย่าง จากนี้เราคงต้องกลับมาแล้วบวกกันมากขึ้น

    พุทธศาสนาในฝ่ายเถรวาทยังไม่มีภาพยนตร์อะไรที่ออกไปได้อย่างกว้างขวาง เราก็ต้องเห็นว่า คนต้องการนะ จากนี้ไป เราจะเผยแพร่คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ต้องใช้จังหวะที่คนต้องการในเทคนิคและวิธีการที่เข้าถึงเขานะ คือใครเขียนดีก็เขียนไป ใครพูดดีก็ส่งเสียงไป ใครอยู่หน้าจอทีวีได้ก็อยู่ไป ใครที่สามารถอยู่ในภาพยนตร์ได้ก็ทำไป หรือเวบไซต์ ซึ่งแม่คิดว่า ช่องทางตอนนี้ทั่วถึง เราสามารถเข้าถึง คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทุกๆ ทาง

    แต่วิธีการหนึ่งที่ศักดิ์สิทธิ์มาก คือการทำให้ดู แม่อาจจะโชคดีที่ผ่านโลกมาก่อน เพราะฉะนั้นเวลาที่แม่ได้เรียนรู้กับชีวิตใน 25 ปี แม่ได้เห็นว่า พระพุทธเจ้าท้าทายเราว่ามนุษย์พ้นทุกข์ได้ด้วยการฝึกฝน และด้วยการพึ่งตนเอง และเมื่อเราท้าทายตัวเราอย่างที่พระองค์เคยท้าทาย แล้วเราก็เห็นว่า เมื่อเราเริ่มต้นเฝ้าสังเกต ตามดูจิต รู้จิตให้ติดต่อ มีชีวิตอย่างไม่ปรุงแต่งให้อวิชชาเข้าครอบงำ ความสงบเย็นภายในก็พอจะสัมผัสได้ เมื่อเราสัมผัสกับความสงบเย็นได้ เราก็เชื่อมั่นว่าธรรมะศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเราได้เห็นผลจากการศึกษาธรรม รู้ธรรมแล้วความทุกข์มันน้อยลงในชีวิตของเรา

    เปรียบเทียบชีวิตก่อนบวชกับหลังบวชเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างคะ

    แม่อยู่ในโลกปัจจุบัน แม่ทำงานหนักมากกว่าตอนที่แม่บวชอีก แต่ว่าไม่หนักใจเลย แล้วแม่ก็มีความรู้สึกว่าตอนก่อนบวชทำงานเพื่อชื่อเสียงตัวเองทั้งนั้นเลย แต่ตอนนี้ทำงานอย่างคนที่ตัวตนต้องเล็กลง แต่งานกว้างขวาง และมันรักคนได้อย่างชนิดที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าเขาจะเป็นดั่งใจหรือไม่เป็นดั่งใจก็ไม่มีความเกลียดชัง แม่จึงมีความรู้สึกว่า ธรรมะเป็นรากฐานของการทำงานที่ทำให้เราหนักแน่น ยิ่งทำงานมาก ปัญหาเยอะ แต่ปัญหาไม่เป็นความทุกข์ของแม่เลยนะ แล้วเราไม่ทุกข์

    เพราะฉะนั้นเวลาเราพบตัวเราว่า เราสงบเย็นได้มากในงานที่มากขึ้นแต่ทุกข์น้อย อย่างนี้หรือเปล่าที่เรียกว่าธรรมศักดิ์สิทธิ์ ทำให้แม่ไม่กลัวอะไร ดังที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า เมื่อเธอมีเราเธอจะไม่กลัวอะไร เพราะฉะนั้นแม่ก็ระลึกถึงสภาวะแห่งพุทธะอยู่ตลอดเวลา ระลึกรู้อยู่ในปัจจุบันขณะและตื่นจากอวิชชา และทำงานไปอย่างเบิกบานเพราะความทุกข์ตามมาไม่ถึง แม่ก็ทำไปเรื่อยๆ

    ถ้าแม่วางแผนที่จะให้ A Walk of Wisdom มันยิ่งใหญ่ มันคงไม่ได้เป็นอย่างนี้ แม่ก็ทำงานแบบมีความสุขเล็กๆ ในใจ แต่มันไปตามงานของมันเอง มันไปตามความต้องการของคนในโลกนี้ คนต้องการธรรมะ แต่เทคนิคและวิธีการนำธรรมะไปหาเขามันยังไม่ใช่ เราต้องปรับเปลี่ยนยุทธวิธีตรงนี้กันหรือเปล่า

    นี่คือมิติใหม่ของสารคดีธรรมะ ?

    เราต้องมาดูเรื่องนี้กัน แล้วจะเห็นว่า มันเล็ก ๆ แต่ลงลึก มันเกิดคำถามกับผู้ดูที่จะกลับมาถามตัวเองว่า ชีวิตคืออะไร คุณเกิดมาทำไม แล้วคุณคิดว่าชีวิตมีอยู่จริงเมื่อไร ถ้าคุณบอกว่า ที่นี่และเดี๋ยวนี้ เป็นชีวิตที่คุณสัมผัสได้จริง คุณจะไม่ทอดธุระเลยที่จะเคารพธรรมชาติภายในตัวคุณ ความสุขเล็กๆ เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่คุณต้องรักษาเอาไว้ เมื่อคุณกลับมาเคารพธรรมชาติภายใน มันก็ง่ายเหลือเกินที่คุณจะได้มีโอกาสเคารพธรรมชาติภายนอก เคารพบุคคลที่อยู่รายรอบตัวคุณ เคารพธรรมชาติและสรรพชีวิตทั้งหลาย

    อีกนานไหมกว่าคนไทยจะได้ดูกัน

    ก็คงอีกระยะหนึ่ง ให้เขาจัดการเรื่องลิขสิทธิ์อะไรให้เรียบร้อยก่อน แต่ที่แน่ๆ 60 ประเทศจะได้ดูกันในไม่ช้านี้ และแม่ตั้งใจว่า เราจะนำมาฉายให้แม่ชีดู และนำเข้าฉายในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศด้วย




    มีต่อคะ





    สิ้นทุกข์สุขที่แท้จึงได้พบพาน
     
  3. รูปส่วนตัว DAO

    DAO said:

    Re: แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต




    การฟื้นฟูพระศาสนา : ภารกิจของใคร?

    บทสัมภาษณ์แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต
    คัดลอกจาก สมาคมคนน่ารัก www.khonnaruk.com คอลัมม์ ร่มไม้ริมระเบียง > สตรีทัศน์

    แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต

    บวชเมื่อ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑ ที่วัดศิริพงศ์ธรรมนิมิต เขตบางเขน กรุงเทพฯ เริ่มก่อตั้ง เสถียรธรรมสถาน ภายใต้การอนุเคราะห์จากกองทุนเสถียรธรรม เมื่อ ๒๕๓๐ ให้เป็นสถานที่ดำเนินกิจกรรม เพื่อพระธรรม คือส่งเสริมการศึกษาธรรมะ ปฏิบัติ และเผยแผ่ธรรม โดยเริ่มต้นจากงานพัฒนาคุณภาพชีวิต ของบุคคลในชุมชน เน้นชีวิตเด็ก สตรี และนักบวชสตรีผ่านโครงการโลกสวยด้วยธรรมะ โครงการโลกสวยด้วยน้ำใจ และโครงการสร้างโลกโดยผ่านเด็ก

    เสถียรธรรมสถาน : ๒๔/๕ ซ.วัชรพล (รามอินทรา ๕๕) แขวงจระเข้บัว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ ๑๐๒๓๐ โทร. ๕๑๐๔๗๕๖


    หมายเหตุ : เนื่องจากผู้สัมภาษณ์เป็นภิกษุ ผู้ให้สัมภาษณ์จึงใช้สรรพนามแทนตนเองว่า "โยม"

    เสขิยธรรม : คนชนชั้นกลางน่าจะมีบทบาทอย่างไรในเรื่องการฟื้นฟูพระศาสนา

    แม่ชีศันสนีย์ : โยมว่าทั้งสองอย่าง

    ทั้งปัจเจก… โดยส่วนตัวการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของปัจเจก ที่เราต้องดูแลตัวเองให้อยู่บนหนทางให้ได้ ถ้าเราเชื่อว่าทางอื่นไม่มี ทางนี้คือทาง ก็คือหมายถึงอริยมรรคมีองค์แปดคือหนทาง ทางอื่นไม่มีเราจะต้องอยู่บนหนทางอันนี้ให้ได้มรรคานี้ให้ได้ ต้องมีมรรคภาวนาอยู่ตลอดเวลา ต้องสำรวจตัวเองอยู่ตลอดเวลา อันนี้เป็นเรื่องของปัจเจกที่เราจะต้องดู

    แต่ผลของปัจเจกมันเป็นมหภาค จริงไหม… มีปัจเจกอย่างนี้เกิดขึ้นหลายๆ อัน และเราจะเห็นว่าถ้าตัวเราดูแลชีวิตของเราดีจะไม่มีคนเจ็บปวดเพราะเรา ผลมันออกไปที่คนอื่นที่สังคมใช่ไหม ถ้าเผื่อว่ามันเริ่มมีการศึกษา มีการให้เห็นหนทาง มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ มีการใช้ชีวิตอยู่รวมกัน มีสังฆะเกิดขึ้นอย่างมากมายที่จะดูแลชุมชนของผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ โยมว่าพลังแห่งการเรียนรู้ที่แต่ละบุคคล จะต้องศึกษาถึงสัจจธรรมในชีวิตของเรา มันก็จะออกมาเป็นมหภาค อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เริ่มต้น

    ส่วนเรื่องสังคม… ที่เรากำลังเดินอยู่นี่ก็ยังมีการเดินที่อาจจะมีความเร็วความช้า ความถูกความผิดอยู่บ้าง อะไรอย่างนี้ แต่ถ้าเผื่อว่ามีระบบโครงสร้าง หรือว่ามีวิธีการจัดการ ที่จะส่งเสริมให้เกิดย่างก้าวที่มันเอื้ออำนวยมากขึ้น ในการที่จะเดินไปด้วยกันด้วยดี หรือทิศทางที่มันเห็นชัดขึ้น มันก็ส่งเสริมใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นโดยส่วนตัวก็ต้องทำส่วนรวมก็ต้องสร้าง ต้องสร้างให้เกิดความชัดเจน ต้องสร้างให้เกิดความเข้าใจต้องสร้างวิถีชีวิตที่จะไปด้วยกันด้วยดีให้ได้ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราจะต้องมองโครงสร้างใหญ่ด้วย

    โยมคิดว่าทั้งสองเรื่องนี้เป็นสิ่งที่จะต้องเกื้อกูลให้มีมากขึ้น โดยการปฏิบัติโดยส่วนที่เป็นปัจเจก เราต้องให้ความรู้อย่างรวดเร็ว อย่ารอว่าคนจะเดินเข้ามาในวัดเท่านั้น แต่หมายถึงว่า ในระบบโครงสร้างการศึกษาก็ดี ในระบบของการจัดการที่เป็นองค์กรใหญ่ ๆ ถ้าเผื่อท่านมีเพาเวอร์ที่จะส่งเสริมให้สิ่งเหล่านี้ มีอยู่ในทุกชนชั้นทุกหมู่เหล่า ทุกการจัดการการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ เป็นอัธยาศัยหรือไม่ก็ตาม การศึกษามันเป็นบ่อเกิดของทิฐิ ถ้าการศึกษาได้ ถ้ามันมีอยู่ในวิถีชีวิตของบ้านเมืองของเราที่ทำให้เกิดสัมมาทิฐิ อย่างนี้ต้องเร่งทำ โครงสร้างใหญ่ต้องเข้าไปสนับสนุนต้องช่วยกัน

    เสขิยธรรม : อะไรน่าจะเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุดที่จะต้องเร่งทำในการฟื้นฟูพระศาสนา

    แม่ชีศันสนีย์ : ถ้าเผื่อว่าทำได้เร็วที่สุดก็คือการดูแลย่างก้าวของเราทุกคน ร้อยคนดูแลย่างก้าวของตัวเองทุกคนเลย และเราก็จะเห็นว่า โครงสร้างใหญ่ไปได้ด้วยย่างก้าวเล็ก ๆ เหล่านี้ เมื่อเราเดินได้แล้ว สมมติเราจะไม่ชั่วเราก็ต้องสร้างกระแสให้คนไม่ชั่วมากขึ้น มันจะได้พรึบพรับ เป็นการไปอย่างพรึบพรับ ถ้ามัวแต่รอ โยมว่าจะรอช้าไม่ได้

    ก้าวแรก
    คือก้าวของเรา
    และก้าวต่อไป
    คือเราต้องจัด
    โครงสร้าง
    หรือว่าชุมชน
    ที่ส่งเสริมให้เกิด
    การก้าวไปด้วยกัน
    มากขึ้น

    ก้าวแรกคือก้าวของเรา และก้าวต่อไปคือ เราต้องจัดโครงสร้าง หรือว่าชุมชนที่ส่งเสริมให้เกิดการก้าวไปด้วยกันมากขึ้น โดยอาจจะไม่ต้องไปอยู่กับชุมชนใดชุมชนหนึ่ง ทุกชุมชนเหมือนอย่างเรา ตั้ง รับกัน เป็นคนที่เคยไปวัด พอเกิดสถานการณ์อย่างนี้ทีหนึ่งไม่รู้จะไปหาวัดที่ไหนอยู่ เราก็บอกว่าทุกวัดได้ตั้งรับไว้หรือยัง ถ้าทุกวัดตั้งรับไว้อย่างดีแล้วเนี่ย มันก็จะเกิดหนทางแห่งการเรียนรู้ต่อไป เพียงแต่ว่ามันเปลี่ยนสถานที่เท่านั้นเอง

    โยมกำลังมองดูตัวเองเหมือนกัน ตอนที่เริ่มทำงานหนักมากขึ้น ในตอนหลัง เราได้เป็นเพื่อนกับบุคคลที่กำลังแสวงหา ที่จะเรียนรู้ไปกับสถานการณ์ตรงนี้ อย่างอยู่ในสถานการณ์อย่างไม่หลงอย่างไรไม่สำคัญตัวผิด แต่จะต้องมองดูอย่างคนที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ว่าจะทำให้เขามีศักยภาพ ในการที่จะเข้าไปมองเห็นตัวเขา และแข็งแรงเพราะการพึ่งตัวเขาเอง โดยวิธีการที่จะจัดการทำงานตรงนี้อย่างไรที่มันพอดี เพราะเป็นงานที่เราต้องทบทวนตัวเองอยู่ตลอดเวลา มันจะเร็วจะช้า โยมไม่ทราบแต่ในฐานะส่วนตัวก็ต้องระมัดระวังย่างก้าวของตัวเอง

    ส่วนการทำงานในเสถียรธรรมสถาน ซึ่งถือว่าเป็นองค์กรหนึ่งชุมชนหนึ่ง ชัดเจนด้วยอย่างของเรา เราก็ดูย่างก้าวเล็ก และโครงสร้างของชุมชน และเราก็ยังต้องบวกการศึกษาอื่น ๆ ที่เข้ามา เราลองเอาโจทย์นี้เข้ามาแก้ด้วยกันซิเป็นอย่างไร มันก็จะเป็นการ ตัวเรา บ้านเราสังคมของเรามันจะต้องไปด้วยกันมันต้องไปพร้อม ๆ กัน คือว่าอย่ารอ แต่ไม่ใช่หมายความว่าก้าวอย่างหลงทางต้องมีปัญญากำกับไว้อย่าหลง อย่าสำคัญผิดอย่ากลัวว่ากลัวสมมติว่าเรารักษาตัวตนของเราว่า ไม่เอาล่ะถ้าฉันทำตรงนี้คนมันก็จะมาป้ายสีฉัน โยมว่า ขี้ขลาดอย่างนี้ก็ไม่ได้คือโยมอธิบายให้ท่านฟังเป็นภาษาปฏิบัติดีกว่า สมมติว่าแม่ชีศันสนีย์บอกว่าไม่เอาเรื่องนี้ไม่เข้าไป เพราะเรื่องนี้ถ้าเข้าไปคนเขาจะมองเราว่าเราไปเจ๋อ เดี๋ยวมีศัตรูซะเปล่า ๆ โยมเห็นว่าคิดอย่างนี้มันก็เห็นแก่ตัว โยมว่ามันเป็นหน้าที่นะ มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องใช้สติปัญญาให้มากในการทำหน้าที่ตรงนี้อย่าหลงตัว ก็แล้วกันทำไปเถอะ

    เสขิยธรรม : มองว่าอนาคตของพุทธศาสนาในประเทศไทยจะเป็นอย่างไร

    แม่ชีศันสนีย์ : โยมเข้าใจอย่างนี้นะคะท่าน ความหวังอยู่ที่การกระทำในย่างก้าวนี้ ถ้าเรายังทำอยู่นะคะถ้าเรายังทำอยู่เราหวังได้ แต่ถ้าเผื่อเราไม่ทำเราหวังไม่ได้ ความหวังอยู่ที่การกระทำของเรา ถ้าเราหวังที่จะระมัดระวังย่างก้าวนี้ของเรา ผลแห่งความหวังเราไม่ผิดหวัง แต่ที่เราหวังแล้วเราไม่ทำแล้วเราไปผิดหวังตอนเอาผล เราอย่าโทษใคร

    โยมมีความหวังกับการทำงานในย่างก้าวนี้ว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ถ้ามันยังเกิดชุมชนเล็ก ๆ ที่มีอยู่ในสังคมไทยที่ประกาศตัวเองว่า เราเป็นชุมชนแห่งธรรมเป็นชุมชนที่ใช้ธรรมะเป็นรากฐาน เป็นชุมชนที่จะเรียนรู้อยู่บนพื้นฐานแห่งการไม่เบียดเบียน ถ้ามีชุมชนเล็ก ๆ เหล่านี้ที่ยังแข็งแรงอยู่ก็ยังจะมีผู้คนที่เรียนรู้จากชุมชนเล็ก ๆ เหล่านี้ที่ยังเป็นความหวังของแผ่นดินได้ โยมยังมีหวังอยู่ในการทำงานอย่างหนักตรงนี้ ถ้าเมื่อใดที่โยมไม่ทำงานโยมไม่กล้าหวัง ฉะนั้นมันหวังอยู่ในย่างก้าวที่กำลังทำอยู่นี้ อย่าหลงทางแล้วกัน อย่าหลอกตัวเองต้องมั่นใจในตนว่าเราจะไปถึงถ้าเรายังอยู่บนทาง

    ถ้าอย่างนี้ล่ะก็โยมว่าขอให้มันมีชุมชนแห่งการเรียนรู้อย่างนี้มาก ๆ ขึ้น ส่งเสริมให้เกิดชุมชนแห่งการเรียนรู้อย่างนี้ให้มาก ๆ ขึ้น แล้วเราก็จะมีมวลที่ใหญ่ขึ้น เราอาจจะไม่ได้สร้างที่หนึ่งที่ใดให้มันใหญ่โต แต่ว่าท่านก็ทำโยมก็ทำแล้วเพื่อนของเราอีกหลาย ๆ คนก็ทำ มีแม่ชีหลายท่านที่มีกำลังอยู่ไม่หมดหวัง เรายังหวังในการทำของเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าอย่างนี้มันจะเกิดทิศทางที่ดีขึ้นแล้ว มันจะเกิดได้เร็วกว่าการไปสร้างศูนย์รวมที่หนึ่งที่ใดซะด้วยซ้ำไป เราเหมือนกับพลังเงียบ ๆ ที่มันผลักดันให้เกิดกระแสแห่งการใช้ชีวิตที่จะไม่เบียดเบียนไปเรื่อย ๆ ขึ้นอยู่กับการทำงานของกลุ่มหรือของคน ๆ นั้นที่จะถักทอหรือรังสรรค์สิ่งแวดล้อมอยู่

    อย่างโยมทำงานตรงนี้ โยมเป็นชุมชนของตรงนี้ คนในเมืองก็เป็นฐานที่เรียนรู้กับเรา คือมาเป็นเพื่อนกับเรา ที่ท่านเห็น อย่างนี้ที่ท่านเห็นรุ่งอรุณ (โรงเรียนรุ่งอรุณ) มาร่วมงานกับเรา โยมก็เหมือนกับเป็นจุดเล็ก ๆ อยู่ในเมืองใหญ่ แม่ชีท่านอื่น ๆ ก็เป็นจุดเล็ก ๆ ที่กระจายอยู่เป็นดอกเห็ดเลยในแผ่นดินของเรา ท่านลองดูว่า วันหนึ่งเราเกิดตีฆ้องขึ้นมา ว่าเรามารวมกันซิเราจะเห็นเลยว่าเราก็เป็นจุดเล็ก ๆ ที่มารวมกันเป็นน้ำในบ่อใหญ่ ๆ ได้ เป็นหยดน้ำเล็ก ๆ และไอ้หยดน้ำเล็ก ๆ ของพวกเรานี่แหละมันทำให้เกิดชีวิต ถ้ามันมีหยดน้ำเล็ก ๆ นี้มากขึ้นชีวิตมันก็เกิดมากขึ้น เมื่อใดที่มันมีหยดน้ำมันก็มีชีวิต และชีวิตที่ดีงามเหล่านี้มันจะมารวมตัวกัน ถึงแม้ว่ามันจะอยู่กันคนละที่อย่างนี้ต้องทำใช่ไหม หวังไม่ได้หวังให้คนอื่นทำไม่ได้เราต้องเป็นหยดน้ำเล็ก ๆ และโยมเป็นหยดน้ำเล็ก ๆ ตรงนั้นอย่างคนที่บอกกับตัวเองว่า เราจะไม่ปิดโอกาสแห่งการเรียนรู้ ไม่ว่าสังคมจะเปลี่ยนแปลงรุนแรงและไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในสังคมนี้ ที่มันมากระทบมาที่เราหรือว่ากระทบสังคมโดยรวมเราจะไม่ท้อถอยเลย คือเราต้องกล้าหาญเราต้องมีความอาจหาญทางด้านจริยธรรม ที่จะอยู่บนเส้นทางแห่งการไม่เบียดเบียน ถ้าจะยืนหยัดอยู่บนหนทางแห่งการไม่เบียดเบียน อย่างนี้โยมว่าเราอยู่เหนือความหวังได้

    เสขิยธรรม : ในระดับโครงสร้าง น่าจะมีโครงสร้างของสถาบันศาสนาอย่างไร

    แม่ชีศันสนีย์ : โยมว่าโครงสร้าง ก็หมายถึงบุคคลที่กำลังมารวมตัวกัน เพื่อที่จะส่งเสริมให้จุดเล็ก ๆ อย่างที่พวกเราอยู่นี่งอกงามต่อไป ถ้ามีการรวมตัวกันเพื่อที่จะพิจารณาถึงโครงสร้าง ที่จะส่งเสริมให้เกิดความอุดมในแผ่นดินของเรา

    โยมอยากให้โครงสร้างนั้นมีความมีปัญญาที่จะจัดการให้เกิดการส่งเสริม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกำลังใจ ในเรื่องของการจัดการสิ่งแวดล้อม ในเรื่องของการสนับสนุน หรือแม้แต่ในเรื่องของการมองเข้ามาเฉย ๆ แต่มองอย่างมีมุมมองที่ไม่มีอคติ แล้วก็มีปัญญาที่จะสะท้อนหรือชี้แนะที่จะทำให้จุดเล็ก ๆ เหล่านั้นเติบโตให้แข็งแรงทั้งหยั่งรากลงลึกให้มั่นคง

    แต่ถ้าหากว่าองค์กรนั้นมีไว้เพื่อบังคับเพื่อตีกรอบเพื่อระวังหรือจับผิดเท่านั้น มันไม่ส่งเสริมนี่มันอาจจะไม่เกิดประโยชน์ต่อการมีองค์กร แต่อยากจะให้สถาบันที่กำลังจะมีขึ้น เป็นเหมือนสถานบันที่รดน้ำพรวนดินเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาเหล่านี้ ให้เจริญงอกงามเติบโตให้ได้เร็ว ส่งเสริมให้ได้เร็ว คือ… เชื่อว่าการจัดตั้งองค์กรนั้นเป้าหมายหลักคือต้องการให้เกิดปัญญาร่วมกัน ฉะนั้นปัญญาก็คือการจัดการร่วมกัน ที่จะส่งเสริมให้เกิดความงดงาม ในการใช้ชีวิตบนเส้นทางพรหมจรรย์นี้ ให้ไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ และก็ช่วยทำงานกับมวลมนุษยชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ให้ส่งเสริมให้วิถีชีวิตสังคมของเราให้ดีขึ้น ให้ทันสมัย ก็คือมีปัจจุบันขณะที่ไม่ทุกข์ให้ได้

    โยมว่าถ้าอย่างนี้การจัดตั้ง อย่างนี้มันจะเป็นการจัดตั้งองค์กรที่เสริมการทำงานของจุดเล็ก ๆ ที่มันกำลังมีมากขึ้นโยมว่ามันมีมากขึ้นนะตอนนี้ เหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นกับสังคมของเรามันทำให้คนตัวเล็ก ๆ เริ่มแข็งแรงขึ้นมันเป็นประโยชน์ มันทำงานหนักมากขึ้น มันระมัดระวังมากขึ้น มันไม่ย่อท้อเพราะว่าเราถือว่าเราไม่ตายโดยคนอื่น แต่เราจะตายถ้าเราไม่ทำ เราจึงต้องทำยิ่งที่อื่นมันแสดงถึงภาพให้เราเห็นอย่างน่าหวาดกลัว เรายิ่งต้องทวนว่าเราเป็นตัวเล็ก ๆ ที่แข็งแรงนะ เรายังต้องแข็งแรงต่อไปการย่างก้าวของเราต้องมั่นคงขึ้น เราต้องตื่นจริง ๆ โดยสภาวะการปฏิบัติแล้ว เราต้องตื่นให้ได้กับการทำงานของเราเพื่อที่เราจะได้เบิกบาน

    เสขิยธรรม : ในแง่ความสัมพันธ์ พุทธบริษัททั้งสี่น่าจะสัมพันธ์กันอย่างไร ร่วมมือกันอย่างไร

    แม่ชีศันสนีย์ : โยมว่าในความสัมพันธ์นั้นต้องมีเมตตากับปัญญาเคียงกันไว้ จริง ๆ เลยคือต้องเมตตาต่อกันอย่ามองกันอย่างมีมุมมองที่เพ่งโทษ อย่างเช่นถ้ามองมาที่นักบวชผู้หญิงก็มองว่า… "นี่ทำอะไรแบบซ่าไปหรือเปล่า?" แต่ถ้ามองว่าสิ่งกำลังทำนี่มันบอกอะไร? มองอย่างมีเมตตา… เอ๊ะ! มันกำลังบอกอะไร? กำลังจะเรียนรู้อะไรด้วยกัน? มันก็จะเกิดการสัมพันธ์ของพุทธบริษัทที่ไปด้วยกันได้ ในมุมมองที่เป็นเพื่อนกันอยู่

    …ถ้าเผื่อว่าเรามองกันไปมองกันมาและก็มองกันอย่างวิพากษ์วิจารณ์พาดพิง มันจะไม่เป็นการรวมตัวกันแต่เป็นการหักล้างก้น…

    แต่ถ้ามองอย่างที่คนที่ส่งเสริมกันต้องมีเมตตามาก ถ้าไม่เข้าใจจริง ๆ ก็ต้องสร้างความเข้าใจ ไม่ใช่พอไม่เข้าใจก็ตัดสินเลย ก็ปิดโอกาสเลย ก็ไม่เกิดการส่งเสริมกัน และไม่ว่าจะเป็นระหว่างปัจเจกกับการไปรวมกับโครงสร้างในระดับใหญ่ อันนี้โยมว่าขาดไม่ได้… ต้องถักทอให้ถึงเลยเพราะจะทำให้เราไปได้อย่างได้ภาพรวมที่ชัดเจนเร็วขึ้น ตั้งแต่ระดับล่างถึงระดับบน

    โยมอยากให้พวกเราลองช่วยกันสะท้อน หรือมองอย่างการทำงานของเสถียรธรรมสถาน เราทำงานกันอย่างตัวเล็ก ๆ จากความเล็ก ๆ ของเรา เราก็รู้ว่ามีเพื่อนมากขึ้นจากงาน และพอมีเพื่อนมากขึ้นเราก็เริ่มเห็นการก้าวของเราที่ก้าวออกไปเพราะเรามีเพื่อน …เป็นการลงทุนเรื่องเพื่อนนะคะ มันก็เลยเร็วขึ้น งานก็กว้างขึ้น เหมือนงานเป็นรูปธรรมที่มองเห็นถ้าเรามัวแต่รอ มัวแต่รอเราอาจจะไม่ได้งานอย่างที่เราทำอยู่ใน ๑๒ ปีที่ผ่านมา แต่เป็นเพราะว่าเราทำไม่เป็นเราก็คลำไปเรื่อย ๆ แต่เราต้องอยู่บนเส้นทางที่เราต้องเคารพนะ คือเราเลือกเส้นทางนี้ เราต้องเคารพเส้นทางที่เราเลือกนะ โดยการทำหน้าที่ปฏิบัติดูแลจิตใจของเรา อย่าให้ขุ่นมัวในขณะที่ทำงาน และถ้ามันมีเสน่ห์ได้ในตัวของมันอย่างนี้ การบวกกับคนอื่นมันก็เป็นเรื่องของการก้าวกระโดดเดินของเรา มันก็ก้าวและกระโดดไป

    ทีนี้ถ้าเผื่อรัฐบาลเองมองเห็นว่าถ้าธรรมะไม่กลับมา… เหมือนอย่างที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์บอกว่าประชาธิปไตยมันใช้ได้กับคนที่มีธรรมะ ถ้าหมู่คนที่ไม่มีธรรมะมันจะเป็นประชาธิปตาย มันตายไปเลย เพราะฉะนั้นก่อนที่จะหว่านพืชประชาธิปไตยมันต้องหว่านพืชธรรม เมื่อรัฐบาลจับประเด็นตรงนี้ได้แล้ว ชัดเลยว่ามันต้องกู้ธรรมะกลับมาในใจของคน และให้กำลังสนับสนุนหลากหลายวิธีการ ท่านขา… คนในโลกนี้มันหลากหลายวิธีการดูวิธีการจัดการของพระพุทธเจ้าซิ พระองค์มีหลากหลายไหม ตั้งแต่โง่สุดจำไม่ได้เลยสักประโยคก็จำไม่ได้เลยแม้แต่ประโยคเดียว อย่างโยนผ้าให้ผืนหนึ่งยังเป็นพระอรหันต์ แต่นั่นเป็นเพราะอะไรคะ เพราะการจัดการที่มีปัญญาและเมตตาของพระองค์ที่เห็นกันอยู่ งั้นการที่เรารู้จักชื่นชมกันมั่ง มุทิตาจิตกันมั่ง โยมว่ามันเป็นการถักทอใช่ไหม กรุณากันบ้างเห็นคน ๆ หนึ่งผิดอยู่ยังมีโอกาสให้เขาเสมอเลยไม่ใช่ตัดโอกาส ยังมีโอกาสที่จะบอกเขาเสมอเลยเราเป็นเพื่อนร่วมทุกข์นะ ฉันเมตตากรุณาและรู้จักมุทิตาชื่นชมกันบ้างที่เขาสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ แม้แต่นิดเดียวเราก็รู้สึกแล้ว




    มีต่อคะ





    สิ้นทุกข์สุขที่แท้จึงได้พบพาน
     
  4. รูปส่วนตัว DAO

    DAO said:

    Re: แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต




    ถ้าคุณจะบอกว่า
    ธรรมะเป็นรากฐาน
    ของสังคมนี้
    คุณก็ต้องเปิดใจ
    ให้กว้างและว่างพอ
    ที่จะให้คนที่เขา
    กำลังทำงานอยู่นี่
    แสดงความคิดเห็น
    มาแลกเปลี่ยนทัศนะกัน
    แล้วอย่าปิดโอกาส
    ในการฟัง
    ส่งเสริมที่จะทำให้เกิด
    การทำงานต่อ

    เราต้องสนับสนุน ชื่นชมยินดี รดน้ำพรวนดิน ต่อไปเราก็จะไม่หวั่นไหวใช่ไหมคะมันได้ทำหน้าที่ร่วมกันแล้ว โครงสร้างใหญ่ต้องจับประเด็นให้ถูก เพราะคุณมีอำนาจคุณมีเพาเวอร์ ถ้าคุณจับประเด็นผิด คุณใช้เพาเวอร์ตรงนั้นผิด มันก็ล้มระเนระนาด เพราะฉะนั้นยิ่งมีอำนาจมากเท่าไหร่ ยิ่งต้องจับประเด็นให้ชัดว่า คุณจะเอาอย่างไร ถ้าคุณจะบอกว่า ธรรมะเป็นรากฐานของสังคมนี้ คุณก็ต้องเปิดใจให้กว้าง และว่างพอ ที่จะให้คนที่เขากำลังทำงานอยู่นี่ แสดงความคิดเห็น มาแลกเปลี่ยนทัศนะกัน แล้วอย่าปิดโอกาสในการฟัง ส่งเสริมที่จะทำให้เกิดการทำงานต่อ นอกจากจะไม่ปิดโอกาสในการฟังแล้ว ยังส่งเสริมสนับสนุนให้ความช่วยเหลือ คือมันต้องเป็นอย่างนี้ฟูมฟักขึ้นไปเรื่อย ๆ

    แต่โยมกำลังจะใช้เสียงนี้เตือนไปถึงเพื่อนที่กำลังทำงานอยู่ อย่าคอย…ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้รับการสนับสนุน ไม่ว่าเราจะเป็นคนที่ทำงานอยู่ตรงไหนก็ตาม ขอให้รู้ว่า มันมีเพื่อนอยู่ในนี้ทุกมุมโลกเลย ที่กำลังทำงานอย่างหนักขอให้… จงทำงานอย่างหนักต่อไป แล้วเราจะรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ยังมีตัวเราเองที่ดูแลตัวเราเองอยู่ เผื่อวันหนึ่งเราได้มีโอกาสมาพบกันเราจะเข้าใจกัน เพราะว่าปัจจุบันโยมเห็นเพื่อนที่เข้ามาที่นี่ที่กำลังทำงานอย่างหนัก เมื่อมาเจอกันแล้วไม่ต้องบอกเลยว่าเป็นญาติกัน เช้าเนี่ยโยมก็เจอเถรีจากวัดอมราวดีมาแวะ

    เราจะพบเลยว่าเรามีเพื่อนอยู่ทุกมุมของโลกนี้ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้อยู่ในวัฒนธรรมเดียวกัน ไม่ได้อยู่ในภาษาเดียวกัน แต่ใจของเราเหมือนกัน ก็คือเรายังใกล้ชิดพระพุทธเจ้า เรายังอยู่บนหนทาง โยมจึงอยากให้สิ่งนี้กับนักบวชผู้หญิง ขอให้ท่านแม่ชีทั้งหลาย… ท่านทำงานต่อไปเถอะ ท่านอย่าคอยว่าท่านจะต้องได้ไอ้โน่นหรือต้องเป็นไอ้นี่ ถ้าเผื่อว่าท่านสามารถทำงานได้ทั้งที่ท่านไม่ได้เป็นอะไร ท่านจะเกิดความรู้สึกเองว่าในความยากลำบากนี้มันสอนให้ท่านแกร่ง และถ้าเผื่อว่าท่านผ่านสถานการณ์นี้ไปได้โดยการพึ่งพาตัวเอง ท่านจะไม่รอคอยหรือเข้าไปสยบยอมกับอะไรเลย การที่เราไม่เข้าไป… หรือคอยที่จะต้องเข้าไปสยบยอม หรือรอว่าใครจะมาทำอะไรให้เรานั้นก็เป็นการบอกอะไรเราอย่างหนึ่ง …ว่าเราพึ่งตัวเองได้

    เสขิยธรรม : ในอนาคตสถานภาพของนักบวชสตรีจะเป็นอย่างไร โอกาสแห่งความเป็นไปได้ในการทำงาน โอกาสที่จะอยู่ในสังคมพุทธบริษัทอย่างเสมอบ่าเสมอไหล่

    แม่ชีศันสนีย์ : ที่จริงโอกาสของเรามีอยู่ตลอดเวลานะคะท่าน ถ้าโยมเป็นคนที่รู้สึกว่าไม่มีโอกาสโยมก็ด้อยโอกาสไปแล้วหละ โยมคงไม่มีโอกาสทำงานอย่างนี้หรอก โยมคิดว่ามีโอกาสตลอดเวลา โยมไม่คิดว่าตัวเองนี่ไม่มีโอกาสเลยจึงไม่เป็นบุคคลด้อยโอกาสเลย โอกาสมันอยู่ที่เราทำไป

    ส่วนกระแสของโลกตอนนี้นี่มันกำลังผลักดันเรื่องนี้มาก เพราะฉะนั้นเมื่อเราให้โอกาสตัวเราเอง และเราเป็นคนที่เมตตาตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา ทำงานอย่างหนักอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้นะคะ เราก็มีบ้านของเรามีใจของเราที่แข็งแรง มีชุมชนของเราที่แข็งแรงพอ กระแสของโลกมันมาอย่างไรนี่นะคะ มันมาถึงเราโดยที่เราพร้อมอยู่แล้ว มันปฏิเสธไม่ได้ เพราะตอนนี้กระแสของนักบวชผู้หญิงนี่เป็นกระแสของสังคมที่เป็นสากล เวลาที่โยมไปที่ไหนก็ตามคนจะมองมาที่เรานี่เหมือนอย่างมีมุทิตาจิตต่อกัน มีเมตตาต่อกัน สนับสนุนกัน เราจะเห็นเลยว่า การที่เราทำงานหนักอยู่ในบ้านเมืองของเราตอนนี้นะคะ นั่นก็คือการส่งเสริมให้เกิดกระแสของโลก ที่จะทำให้โลกนี้ ได้โอกาสจากความแข็งแรงของนักบวชผู้หญิง ที่กำลังทำหน้าที่กันอยู่

    ถ้าผู้หญิงคนหนึ่งมีสติปัญญาแข็งแรง โยมก็รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม อานิสงส์มันมี ฉะนั้นตอนนี้ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนด้อยโอกาส แต่ถ้าเผื่อว่าโครงสร้างใหญ่มองตรงนี้แล้วอยากจะตัดโอกาส… หรือไม่ตัดโอกาสโยมไม่ทราบ แต่ว่าถ้าเผื่อว่าโครงสร้างใหญ่เห็นประโยชน์ต่อการทำงานที่มากขึ้นและรวดเร็ว จากการให้โอกาสสนับสนุนผู้หญิงเหล่านี้ สังคมจะเป็นผู้ได้โอกาสเอง ถ้าโครงสร้างใหญ่ไม่สนับสนุนก็ขาดโอกาสเอง สังคมจะขาดโอกาส ไม่ใช่พวกเราขาดโอกาส สังคมจะขาดโอกาสนะคะท่าน พวกเราทำอยู่แล้วๆ เราไม่ขาดโอกาสนะคะท่าน สำหรับโยมนะ แต่ถ้าเผื่อว่าโครงสร้างใหญ่ ให้การสนับสนุนการศึกษา ที่จะทำให้ผู้หญิงคนหนึ่ง มีสติปัญญาให้ได้เร็ว อานิสงส์นี้จะเป็นต่อสังคมโดยรวมทันที แต่ถ้าเผื่อว่าไม่มีการสนับสนุนให้ผู้หญิงที่มีสติปัญญาเกิดขึ้น ไม่มีชุมชนแห่งการเรียนรู้ของผู้หญิงเกิดขึ้น คนขาดโอกาสก็คือสังคม

    เสขิยธรรม : รูปแบบมีความจำเป็นเพียงไรต่อสถานภาพนักบวชสตรี เช่น เป็นแม่ชี เป็นภิกษุณี ทศสีลมาตา ฯลฯ

    ถ้าสังคม
    มองเห็นประโยชน์
    ร่วมกันว่า
    ให้โอกาสต่อผู้หญิง
    ที่เลือกเส้นทางนี้
    สังคมก็จะได้อานิสงส์
    จากการให้โอกาส
    ผู้หญิงเหล่านี้

    แม่ชีศันสนีย์ : อันนี้ต้องช่วยกันคิดค่ะ ว่า ถ้าสังคมมองเห็นประโยชน์ร่วมกันว่า ให้โอกาสต่อผู้หญิงที่เลือกเส้นทาง นี้สังคมก็จะได้อานิสงส์จากการให้โอกาสผู้หญิงเหล่านี้ และเมื่อสร้างความชัดเจนของวิถีชีวิต ก็จะเกิดศรัทธาต่อการเข้ามาใช้ชีวิตของนักบวช

    สำหรับคนที่กำลังมองอยู่นี่น่ะมันคลุมเครือ พอคลุมเครือ… เมื่อผู้หญิงจะบวชก็วิ่งไปบวชที่อื่นกันหมด ไม่บวชในประเทศไทย ไม่รู้ประเทศไทยเป็นอย่างไร ท่านนึกออกไหม คนที่เขายังต้องการภาพตรงนี้ก็มี ส่วนใหญ่พวกเราบวชกันมานานแล้ว จนเรารู้ว่าจะเป็นอะไรหรือไม่เป็นอะไรก็ช่าง ถ้าเราไม่หยุดในการที่จะรดน้ำพรวนดินใจของเราๆ ก็เดินไปได้เรื่อยๆ เราไม่รอ อย่างนี้เราก็ได้คนกลุ่มเก่า

    แต่ถ้าเผื่อจะต้องให้เกิดศรัทธาต้องสร้างวิถีชีวิตของนักบวชผู้หญิงให้ชัดเจน ให้มีโอกาสเหมือนอย่างผู้ชายที่… ถ้าจะบวชแล้ววิถีชีวิตของการบวชพระก็จะชัดเจน เป็นรูปแบบที่ชัดเจน ก็สำคัญนะคะท่านไม่ใช่ไม่สำคัญ

    เสขิยธรรม : เชื่อมั่นแค่ไหนว่า นักบวชสตรีจะเป็นกำลังของพระศาสนาได้อย่างเคียงบ่าเคียงไหล่จริง ๆ หากไม่ได้อยู่ในรูปแบบของภิกษุณีเหมือนอย่างในอดีต พูดง่าย ๆ ว่า ความเป็นเนื้อหาสาระ เหมือนอย่างที่ท่านแม่ชีว่านี่ จะทำให้นักบวชสตรีเป็นกำลังให้กับพระศาสนาในอนาคตได้จริง หรือ

    แม่ชีศันสนีย์ : โยมไม่ได้เชื่อมั่นในคนอื่นนะคะ แต่โยมจะตอบแบบคนที่เชื่อมันในตัวเองได้ไหมว่า จากการที่เราไม่รู้อะไรเลยมาบวชเพราะความทุกข์ แล้วรู้จักวิธีการวิเคราะห์ทุกข์ของเรา และเราเริ่มสำนึก… สำนึกว่าชีวิตของเรารอดมาได้เพราะพระธรรม เรามีกตัญญูต่อพระธรรม เพราะเรามีกตัญญูต่อพระธรรม เราจึงมีการช่วยเพื่อนมนุษย์ เพราะเรารู้ว่าความทุกข์มันเหมือนกัน มันเกิดความคับข้องในการที่จะใช้ชีวิตและทำให้เราก้าวย่างอย่างไม่มั่นใจ เพราะฉะนั้นถ้าถามโยมว่าเมื่อยี่สิบปีที่ผ่านมาโยมทำงานเพราะอะไร ตอบท่านอย่างมั่นใจว่าเพราะโยมกตัญญูต่อพระธรรม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของโยม ที่ทำให้โยมหยุดได้

    ถ้าผู้หญิงคนไหนก็ตามที่มองเห็นว่าตัวเองหยุดได้ และระมัดระวังย่างก้าวต่อไป เพราะมีธรรมะเป็นรากฐานเป็นคู่ชีวิตจริงไหม เราเข้ามามีธรรมะเป็นหัวใจของเรา เราขาดคน ๆ หนึ่งเรายังอยู่ได้ ถ้าเราขาดพระธรรมเราจะรู้สึกเราตายทั้งเป็น เพราะฉะนั้นเราควรจะยึดถือพระธรรมหรือยึดถือตัวบุคคล โยมเป็นเหมือนตุ๊กตาตัวเล็ก ๆ ที่จะทำให้ท่านมองเห็นภาพว่าจะมั่นใจกับระบบใหญ่อย่างไรนี่ก็อยู่ที่จุดเล็ก ๆ เหล่านี้ ว่ามั่นใจในตนหรือเปล่า ผู้หญิงเหล่านี้มั่นใจในตนบนหนทางนี้ หนทางที่จะหยุดนี่น่ะแล้วพิจารณาการใช้ชีวิตของเราในย่างก้าวต่อไป

    ส่วนอานิสงส์นั้นเกิดจากย่างก้าวต่อไป จะเป็นอะไรอยู่ที่ปัจจุบันนี้เราทำอะไร ถ้าเผื่อมีโครงสร้างใหญ่ที่สนับสนุนให้เกิดความสำนึกอย่างนี้… ที่เกิดความเชื่อมั่นในตนกับผู้หญิงมากขึ้นเท่าไร ท่านก็จะเห็นเองว่าสังคมมันได้ประโยชน์อะไรจากผู้หญิงเหล่านี้

    โยมก็เห็นนะคะว่าแม่ชีเล็ก ๆ ในชนบทท่านเป็นที่พึ่งทางจิตใจของเด็ก ๆ ของชาวบ้าน ของอะไรมากมาย ท่านอาจจะไม่มีโอกาสทำงานผ่านสื่อ แต่โยมก็รู้สึกเวลาที่โยมได้เดินทางไปในชนบท เมื่อเขามองดูเราเขามองดูเราอย่างคนที่มีศรัทธาในวิถีชีวิตของเรา และเราก็มองดูผู้หญิงทั้งหลายที่อยู่ในวัด… โยมได้ออกเยี่ยมผู้หญิงนักบวชด้วยกัน เราเคารพกันเหมือนญาติมิตรเลย ไปที่วัดหนองป่าพงโยมได้ไปเจอผู้หญิง ๓๐ พรรษาเมื่อกี้นี้ ๑๒ พรรษาจากวัดอมราวดี ได้เจอบุคคลที่อยู่แบบ.. เอ.. ถ้าแบบไม่มีความสุขมันจะอยู่ได้อย่างไรพรรษามาก ๆ อย่างนี้ท่านนึกออกไหมคะ มันต้องมีความสุขบนเส้นทางนี้สิ ถ้าเราหาความสุขบนเส้นทางพรหมจรรย์ไม่ได้แล้ว ต้องกลับไปหาความสุขทางโล กหมดแล้วสิ

    แต่นี่เราเจอ… มันเป็นกำลังใจของเรา แต่นี่เราเจอยี่สิบพรรษา ที่แต่ละคนบวชกันคนละมุมโลกก็มาเจอที่ตรงนี้แล้วเจอกันเดี๋ยวก็มากอดกันที่ตรงนี้ เอ่อ ก็เป็นกำลังใจในการที่เจอผู้หญิงที่อยู่บนหนทางธรรมตั้งมั่นอยู่อย่างไม่หวั่นไหว เป็นกำลังใจต่อเพื่อนผู้หญิงด้วยกันที่กำลังเริ่มต้นคิดเริ่มต้นแสวงหา เริ่มต้นที่จะดูแลชีวิตของตัวเองดีขึ้น โยมว่ามันเป็นการเร้ากุศลของผู้หญิงด้วยกันเอง อาจจะเป็นกำลังใจของผู้ชายด้วย ที่มองดูแล้วก็รู้สึกว่าเริ่มมีมุมมองที่เป็นเพื่อนมนุษย์ ไม่มีหญิงไม่มีชายแล้วล่ะ เป็นเหมือนโยมมองดูท่าน… โยมก็เคารพท่านโดยการทำหน้าที่ของท่าน ทุกครั้งที่เราเจอกันท่านก็ทำงานหนักโยมก็ทำงานหนัก แต่เราก็เคารพกันโดยการที่ไม่ได้มาดูใครทำมาก ใครทำน้อย ใครทำเยอะ มีใครดีไม่ดี ใครทำใช่ ใครทำไม่ใช่…

    ทุกคนก็มีวิถีชีวิตตามเหตุตามปัจจัยของแต่ละบุคคล ทุกคนมีความถนัดที่ต่างกันแต่มีจุดยืนเหมือนกัน มีความหลากหลายเพราะเราแตกต่างกันในประสบการณ์ของการใช้ชีวิต ใช่ไหมคะ ที่เหมือนกันก็คือ เราดูแลตัวเราเอง ที่จะให้การทำงานของเราทุกย่างก้าว ไม่เป็นเหตุแห่งทุกข์ใช่หรือไม่คะ …อันนี้ต่างหากที่เราเป็นเพื่อนกัน

    โยมจึงรู้สึกดีนะคะเมื่อได้เห็นนักบวชด้วยกันยังทำงานหนักอยู่ ยังรู้สึกถึงความอบอุ่นที่บางทีเราให้กันเอง ไม่ต้องรอคอยที่จะให้ท่านมาดูแลเรา ไม่ค่อยมีชีวิตเป็นเด็กลูกแหง่ที่จะต้องมีผู้ใหญ่มาดูแล แต่เราจะเข้าไปใกล้ท่านโดยการทำงานหนักของเรา

    เสขิยธรรม : ฆราวาสจะเป็นที่พึ่งที่หวังได้แค่ไหนในการทะนุบำรุงพระศาสนา หรือการฟื้นฟูพระศาสนาอย่างที่เป็นกิจจะลักษณะ

    แม่ชีศันสนีย์ : โยมว่าเป็นไปได้ ถ้าคน ๆ นั้นไม่ว่าจะเป็นนักบวชหรือฆราวาสแข็งแรงอยู่ด้วยสัมมาทิฐิ คน ๆ นั้นเป็นที่พึ่งที่หวังได้ …เป็นไปได้ค่ะ คือเราต้องมองอย่างคนใจกว้างเลยว่า สังคมในโลกปัจจุบันไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปแบบ หรือว่าไม่ได้ยึดติดอยู่กับภาพของการเป็นนักบวชหรือไม่นักบวชแล้ว ธรรมะเป็นเรื่องสากล ธรรมะเป็นเรื่องที่ไม่มีเพศใช่ไหมคะ และก็ไม่มีว่าต้องบวชหรือไม่บวช

    ฆราวาสหรือ อุบาสกอุบาสิกาจะแข็งแรงขึ้น เพราะว่าคนเริ่มสนใจธรรมมากขึ้น และก็ไม่สนใจธรรมะในรูปแบบแล้ว สนใจธรรมะในชีวิตแห่งการปฏิบัติมากขึ้น ก็เห็นว่าคนหนุ่มสาวหรือแม้แต่เด็ก ๆ เวลาเขาเข้ามาสนใจธรรมะนี่เขาจะมองหาวิธีการการที่จะไปจัดการ หรือการที่จะไปใช้ชีวิตเขาให้ดีขึ้น คนเหล่านี้อาจจะไม่ได้มาสนใจในรูปแบบว่า ต้องเป็นนักบวชหรือไม่เป็นนักบวชมากขึ้น

    คนที่เข้ามาที่นี่ อย่างงาน "สาวิกาสิกขาลัย" มาอยู่รวมกันซักหกเดือน เขาก็ไม่ได้สนใจที่จะเป็นนักบวชนะคะ พอหกเดือนแล้ว อาจจะเป็นนักบวชซักสี่คนอะไรอย่างนี้ คือไม่ได้สนใจที่จะบวชมาก่อน เราจะเห็นเลย น้อยมากที่จะสนใจเข้ามาเป็นนักบวชก่อนที่จะเข้ามาอย่างนี้ ไม่ ไม่ได้สนใจอย่างนี้

    ฉะนั้นที่ท่านถามว่า จะมีความแข็งแรงของอุบาสกอุบาสิกาเกิดขึ้นมามากขึ้น และเขาจะเป็นหลักที่จะนำพาพระศาสนาต่อไป ด้วยวิถีชีวิตประจำวันของเขา จะมีมากขึ้นหรือเปล่า โยมคิดว่าก็มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง เท่าที่มองเห็นตอนนี้ ส่วนใครก็ตามที่จะตัดสินใจเข้ามาที่จะใช้ชีวิตของนักบวช ก็ถือเป็นโอกาสพิเศษของชีวิต ที่จะเข้ามาเรียนรู้ในหนทางที่อาจจะเดินตามรอยของผู้ที่เลือกเส้นทางนี้ แล้วก็ใช้หนทางนี้เป็นไปเพื่อการทำเหตุที่ไม่ประมาทให้ถึงที่สุดของทุกข์ได้เหมือนกัน แต่คงจะมีเปอร์เซนต์ในฝ่ายของฆราวาสมาก เปอร์เซนต์ของนักบวชก็จะน้อยลง อันนี้ต้องยอมรับว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ และเราก็คงจะไม่รู้สึกหรอกนะคะว่าเราจะไม่มีเพื่อนบนเส้นทางนี้หรือไม่ เพราะโยมคิดว่าใครก็ตามที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไม่ว่าจะเป็นอะไรก็เป็นเพื่อนกัน

    โยมก็สนับสนุนนะ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้ามาในวิถีชีวิตของนักบวช เพียงเขาสนใจที่จะใช้ชีวิตอย่างคนที่ตระหนักรู้มากขึ้น เขาต้องชื่นชมยินดี และก็ต้องให้โอกาสในการที่จะเรียนรู้กับเขา อย่างเวลาเด็ก ๆ ที่เข้ามาที่นี่ป็นกลุ่มก้อน เราก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องของการใช้ชีวิตอย่างนักบวชมันวิเศษอย่างไร แต่เรามักจะแลกเปลี่ยนกับเขาให้เห็นว่านักบวชมีวิถีชีวิตอย่างไร เราต้องระมัดระวังมีข้อวัตรปฏิบัติของเราอย่างไร เราต้องมีย่างก้าวของเราที่มีสติปัญญาไว้อย่างไร

    เขาก็เหมือนกัน เขาจะเป็นนักบวชหรือไม่ก็ตาม ถ้าเผื่อว่าเขามีย่างก้าวอย่างคนที่มีสติปัญญา ระหว่างการก้าวของเขา เขาก็จะพบว่าย่างก้าวของเขามั่นคงขึ้น.



    มีต่อคะ





    สิ้นทุกข์สุขที่แท้จึงได้พบพาน
     
  5. รูปส่วนตัว DAO

    DAO said:

    Re: แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต




    กว่าจะเป็น... แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต








    http://www.thaihealth.or.th/content....ontent&id=2862

    ความสงบ เย็น และเป็นสุข คือสัมผัสแรกของผู้มีโอกาสเข้าใกล้ "แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต" แห่งเสถียรธรรมสถาน

    ทว่า จะมีสักกี่คนทราบถึงที่มาที่ไป ก่อนมาเป็นแม่ชีศันสนีย์ ณ วันนี้ ดังนั้น มนทิรา จูฑะพุทธิ จึงบรรจงร้อยเรียงชีวประวัติหญิงผู้เลือกเดินบนเส้นทางธรรมกว่า 25 ปี ไว้ในหนังสือชื่อ แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ก้าวย่างแห่งปัญญา

    เรื่องเริ่มต้นที่ แม่ชีศันสนีย์เป็นชาวบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในวัยเยาว์ชื่อ ตุ๊กตา ด.ญ.ศันสนีย์ ปัญญศิริ เป็นลูกสาวคนเล็กในจำนวนพี่น้อง 2 คน บ้านทรงไทยหลังน้อยของตุ๊กตาประกอบด้วยสมาชิกหญิงล้วน 5 คน คือ คุณยาย คุณป้า แม่ พี่สาว และตุ๊กตา ตัวป่วนประจำบ้าน

    ชีวิตตุ๊กตาเปลี่ยนไปเมื่อต้องเผชิญความสูญเสียครั้งใหญ่ยิ่งในวัย 15 ปี เนื่องจากสูญเสียมารดาอันเป็นที่รัก และเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเมื่อเธอบ่ายหน้าเข้ากรุงเทพฯ เพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี และลองเข้าประกวด 10 ยอดนางแบบระพี โรงเรียนสอนตัดเสื้อที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดในยุคนั้น ก่อนได้ตำแหน่งสมใจ และก้าวขึ้นอีกระดับ รับตำแหน่งรองมิสออด๊าซควบรางวัลนางงามบุคลิกภาพ

    ความสวยน่ารักระดับคุณภาพ ทำให้ น.ส.ศันสนีย์กลายเป็นดาวเด่นแห่งวงสังคม ในฐานะนางแบบ พิธีกรรายการโทรทัศน์ยอดนิยม และนักประชาสัมพันธ์สาวแสนฉลาดแห่งสถานออกกำลังกายและบริหารร่างกายเวิลด์คลับ เจ้าของตำรับนำสาวตุ้ยนุ้ยเข้าคอร์สลดน้ำหนักเพื่อความสมส่วน และงานรณรงค์ต่อต้านโรคอ้วน

    บุคลิกและไหวพริบปฏิภาณขั้นดีของ น.ส.ศันสนีย์สะดุดใจหนุ่มใหญ่ เสถียร เสถียรสุต มหาเศรษฐีเจ้าของเพลินจิตอาเขต ทั้งคู่สานสัมพันธ์จนเกิดเป็นความรัก ซึ่งเป็นรักแรกและรักเดียวของ น.ส.ศันสนีย์ แต่ความรักนี้กลับไม่สมหวัง เมื่อได้ทราบว่าชายที่รักมีครอบครัวอยู่แล้ว

    ความสุขระคนทุกข์นี้ กลายเป็นคำครหาของสังคมหนักข้อถึงขั้นขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หัวยักษ์ใหญ่ นี่คือสิ่งกระตุ้นให้ น.ส.ศันสนีย์ตัดสินใจเร็วขึ้นในอันที่จะกระโดดเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ที่คุ้นเคยมาแต่วัยเยาว์ สุดท้ายศันสนีย์และชายคนรักจึงตัดสินใจยุติปัญหา ด้วยการให้ศันสนีย์ทิ้งทุกอย่างแล้วเดินบนเส้นทางธรรม

    นับแต่วันเริ่มบวชเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2523 จนถึงวันนี้ นับเวลากว่า 25 ปี แม่ชีเป็นศิษย์ครูบาทางธรรมมากมาย อาทิ พระครูภาวนาภิธาน แห่งวัดศิริพงษ์ธรรมนิมิต หลวงพ่อผู้มองการณ์ไกล ปูทางจนเกิดเสถียรธรรมสถานในปัจจุบัน พระอาจารย์โพธิ์ เจ้าอาวาสแห่งสวนโมกขพลาราม และกัลยาณมิตรทางธรรม เช่นองค์ทะไลลามะที่ 14 ผู้นำประเทศและผู้นำศาสนาจากทิเบต หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ หลวงพ่อพุทธทาส อุบาสิการัญจวน อินทรกำแหง ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระธรรมปิฎก พระเวียดนาม ติช นัท ฮันห์ เป็นต้น

    พระธรรมคำสอนจากองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า และบุคคลระหว่างวิถีธรรมของแม่ชี หลอมให้แม่ชีเป็นนักบวชหญิงผู้สงบ เย็น และเป็นสุข มรดกหนึ่งซึ่งแม่ชีได้สร้างไว้คือ สถานปฏิบัติธรรม เสถียรธรรมสถาน และบ้านสายสัมพันธ์ บ้านแห่งชีวิตเกิดใหม่ของหญิงผู้ประสบปัญหาท้องไม่พร้อม

    "เสถียรธรรมสถานเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ ที่มีธรรมะเป็นหยดน้ำ ที่ทำให้ชีวิตงอกงามได้ เมื่อใดก็ตามที่มีธรรมะ เมื่อนั้นชีวิตงอกงามได้ เหมือนเมื่อใดก็ตามที่มีหยดน้ำ ชีวิตก็ปรากฏขึ้นได้" นี่คือคำอธิบายที่แม่ชีกล่าวถึงเสถียรธรรมสถาน นอกจากนี้ แม่ชียังสร้างคุณูปการอีกจำนวนมาก เช่น การให้กำลังใจผู้เดือดร้อนด้วยความสุข สงบ ในเหตุการณ์ต่างๆ เช่น ธรณีพิบัติภัยสึนามิ สงครามความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ บทบาทในเวทีผู้นำสตรีทางจิตวิญญาณเพื่อศานติภาพโลก ฯลฯ กระทั่งถูกจารึกความสุขสงบนั้นไว้ในแผ่นฟิล์มฮอลลีวู้ด เรื่อง อะ วอล์ค ออฟ วิสดอม

    "เราใช้ชีวิตทางโลกมา 27 ปี ทำดีบ้างชั่วบ้างก็ในระยะเวลา 27 ปี เราบวชมาแล้ว 25 ปี ถ้าเผื่ออีก 2 ปี เราตาย ก็เท่ากับชีวิตทางโลกกับชีวิตทางธรรมเราเท่ากัน แต่ชีวิตทางธรรมของเราเป็นชีวิตที่ไม่ทำชั่ว แล้วก็มีโอกาสได้ทำสิ่งที่ดีงามด้วย สรุปแล้ว ถ้าหากเรามีโอกาสมีชีวิตได้อีกยาวนาน ชีวิตทางธรรมของเรามากกว่าชีวิตทางโลก"

    "เส้นทางข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น เราไม่รู้ แต่เมื่อมาถึงวันนี้แล้ว เรารู้แต่ว่า... เราแน่ใจเลยว่า เราจะไม่ออกจากร่มกาสาวพัสตร์" "เราจะขอตายอยู่บนหนทาง ทางอื่นไม่มีสำหรับเรา" นี่คือความมุ่งมั่นของแม่ชีผู้เป็นดั่งน้ำใสเย็นลูบหัวใจคน

    แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต

    **หมายเหตุ รายได้จากการจำหน่ายหนังสือทั้งหมดจะมอบให้แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต เพื่อใช้ในการทำงานของเสถียรธรรมสถานเพื่อพระธรรมสืบไป

    ที่มา

    หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ปีที่ 28 ฉบับที่ 9887 วันอังคาร ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2548 หน้า 12

    ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต



    มีต่อคะ





    สิ้นทุกข์สุขที่แท้จึงได้พบพาน
     
  6. รูปส่วนตัว DAO

    DAO said:

    Re: แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต




    WALK of WISDOM รอยชีวิตพลิก ฮอลลีวูด...

    รอยเท้าธรรม แม่ชีศันสนีย์

    หนัง "ธรรมะ" ของฮอลลีวู๊ด.. A walk of wisdom

    รายงานโดย ภัทรพรรณ ขุนทอง
    ที่มา : นสพ.ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2548 ปีที่ 28 ฉบับที่ 3666 (2866)



    โพสท์ในลานธรรมเสวนา หมวดชีวิตกับธรรมะ กระทู้ 14278 โดย: ตรงประเด็น 28 ก.พ. 48

    ไม่น่าเชื่อว่าบทสนทนาเล็กๆ ในสวนป่าของ วัดอภัยคีรี ซานฟรานซิสโก อเมริกา (เป็นสาขาหนึ่งของวัดหนองป่าพง ที่เคยมีเพื่อนสมาชิกลงประกาศบอกบุญการสร้างกุฏิพระ) ระหว่าง แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุตกับ วิคตอเรีย โฮลท์ จะจุดประกายให้เกิดพลังบางอย่างที่สั่นสะเทือนวงการฮอลลีวูด ถึงขนาดทำให้ผู้สร้างหนังเริ่มเปลี่ยนจุดยืน โดยหันมาสร้างความบันเทิงทางสติปัญญา (spiritual entertainment) !

    แม่ชีศันสนีย์ : "คุณรู้ไหม ที่คุณเดินอยู่ตลอดชีวิตของคุณนี่ คุณเดินเพื่ออะไร ?"

    วิคตอเรียหยุดเดิน แล้วตอบกลับแม่ชีศันสนีย์ว่า : "ตลอดชีวิตฉัน ฉันเดินเพื่อไปตลอด"

    แม่ชีศันสนีย์ : "แล้วคุณเดินอย่างมีความสุขอย่างที่ได้เดินหรือเปล่า หรือคุณรอว่าคุณเดินไปถึงแล้ว คุณถึงจะมีความสุข...ถ้าคุณเดินอย่างมีความสุขที่ได้เดินแล้วละก็ คุณกำลังเดินอยู่บนหนทางแห่งปัญญานะ"


    หนทางแห่งปัญญา หรือ a WALK of WISDOM ที่วิคตอเรีย โฮลท์ มืออาชีพด้านการเขียนบทและการสร้างภาพยนตร์ คิดนำมาใช้เป็นชื่อของภาพยนตร์สารคดี ซึ่งเธอตั้งมั่นว่าจะนำเสนอการดำเนินชีวิตตามอย่างวิถีพุทธของ แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต สตรีผู้ที่เธอประทับใจอย่างยิ่งในงานประชุมผู้นำสตรีทางศาสนาและจิตวิญญาณเพื่อสันติภาพโลก กรุงเจนีวา เมื่อปี 2000

    แม่ชีศันสนีย์ย้อนอดีตแห่งศรัทธาให้ฟังว่า

    "ในงานนั้น วิคตอเรียได้เห็นผู้หญิงในทุกศาสนา ทุกสาขาอาชีพที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ทีนี้วิคตอเรียก็ถูกฮุกมาเรื่อย คนที่ทำให้เขาค่อยๆ เปิดโลกกว้างก็คงมี แต่สิ่งหนึ่งก็คือตอนที่เขาสัมภาษณ์แม่ วิคตอเรียร้องไห้มากเลย ร้องไห้อยู่ตลอดเวลาในการให้สัมภาษณ์ เพราะเขามีอะไรที่เราไปฮุกเขา ไปเยียวยาเขาจากการให้สัมภาษณ์"


    ...ในระหว่างงานประชุมที่เจนีวายังมีเวลาอีก 2-3 วัน ซึ่งเขามีความซาบซึ้งกับสิ่งที่แม่ปฏิบัติ คือแม่มีหน้าที่เป็นผู้นำภาวนา มีหน้าที่ช่วยประสานความขัดแย้ง ระหว่างความเข้าใจที่มันเห็นแตกต่าง

    เมื่อความประทับใจเกิด ศรัทธาก่อ วิคตอเรียเลือกที่จะขอเดินทางตามแม่ชีตลอด 2 ปี เพื่อดูการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายตามแบบวิถีพุทธ และสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อเดียวกับท่อนฮุกที่ช่วยจุดประกายความคิดให้เธอ "a WALK of WISDOM"

    การถ่ายทำเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2002 จนกระทั่งเสร็จสิ้นในปี 2004 และก็ได้เข้าฉายในงาน "Santa Barbara Film Festival 2005" ที่มีภาพยนตร์ดีเด็ดจากทั่วโลกเข้าร่วมกว่า 150 เรื่อง

    ที่สำคัญ ภาพยนตร์สารคดีชีวประวัติเรื่องนี้เข้าตากรรมการ โดยผ่านเข้ารอบสุดท้ายติด 1 ใน 10 สารคดียอดเยี่ยม !

    "หนังเรื่องนี้นำเสนอในมิติของการนำคำสอนของพุทธเจ้าออกมาแสดงให้เห็นถึงการ ใช้ชีวิตที่เรียบง่าย เพราะฉะนั้น พอหนังเรื่องนี้เข้าประกวด ก็ดูแปลก เราก็แปลกใจเหมือนกัน ...ทำไมถึงถูกต้อนรับโดยคณะกรรมการ แล้วมันก็กลายเป็นหนังที่อยู่ 1 ใน 10 จาก 150 เรื่องสารคดีทั่วโลก"

    ...วันที่ฉาย แม่ได้รับเชิญไปร่วมชมด้วย ซึ่งวันนั้นเกิดสิ่งที่แม่ งง ! แม่ไม่คิดว่าหนังที่เป็นเรื่องเรียบง่ายของเราจะมีคนเข้าคิวรอชมมากมายขนาดนั้น โดยเฉพาะเวลาที่อยู่ในการประกวด เขาต้องเพิ่มรอบเลย วันแรกจุคนได้ประมาณ 300 แต่คนมาดู 600 คน

    "สำหรับแม่แล้ว รู้สึกว่าเป็นปรากฏการณ์อีกมิติหนึ่งที่จะเผยแพร่ธรรมะในแบบอินเตอร์ โดยใช้ธรรมะนำ คือธรรมะจะนำหน้าแม่ แม่จะทำงานเพื่อพระธรรมเท่านั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จะเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้คนดูมีคำถามกับตัวเอง แล้วเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราเช็กคนทุกวัย เขาจะเริ่มตั้งคำถามว่า เขาเกิดมาทำไม ? จากที่คิดว่าตัวตนเขาใหญ่...ก็เริ่มเล็กลง แต่สำคัญที่สุดอันหนึ่งก็คือ แม่อยากจะบอกว่า คนจะเข้าใจคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยผ่านการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและให้อภัยอย่างลึกซึ้ง แล้วก็เข้าใจเลยว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร"


    เรื่องราวของ a WALK of WISDOM จะเล่าผ่านมุมมองของคนตะวันตกในศตวรรษที่ 21 ที่มีชีวิตอยู่กับความสมบูรณ์ของวัตถุ แต่ขาดความหมายที่แท้จริงของชีวิตในด้านจิตวิญญาณ โดยเปิดเรื่องด้วยชีวิตของเด็กสาวชาวอยุธยาที่เข้ามาทำงานในเมืองหลวง และชะตาชีวิตก็พลิกผันสู่การเป็นนักบวชหญิงในพระพุทธศาสนา ปมชีวิตที่สะเทือนใจในอดีตกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดโครงการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์มากมายในโลก และฟันฝ่าจนผ่านพ้นปัญหาในชีวิตด้วยการให้อภัย อันเป็นปัญญาในวิถีของชาวพุทธ

    "หนังเรื่องนี้พูดชัดเจนมากว่า ถ้าผู้หญิงคนหนึ่งเลี้ยงลูกด้วยหัวใจแล้ว ลูกจะรักคุณได้อย่างมากมาย ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเลี้ยงลูกตามลำพัง หรือมีพ่อให้ลูก แม่ชีเกิดในครอบครัวที่แม่เลี้ยงลูกตามลำพัง โดยลูกคนนั้นไม่เคยเกลียดพ่อเลย นอกจากไม่เกลียดแล้ว ยังกตัญญูต่อพ่ออย่างลึกซึ้ง"

    แม่ชีศันสนีย์ยังบอกอีกว่า...ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ "ฝรั่งร้องไห้" ได้ เพราะแม่ชียังมีความรักพ่ออยู่เต็มหัวใจ จนในที่สุดพ่อขอโทษเรา นั่นเป็นเพราะอะไร ? ก็เพราะแม่เราไม่เคยมีอคติต่อผู้ชายที่ไม่ได้รับว่าเด็กในท้องคือลูก !

    "ดูแล้วก็ต้องหันกลับมาถามว่า ผู้หญิงคนนี้ใช้อะไรในการดำเนินชีวิต ซึ่งมันก็คือใช้ธรรมะนั่นเอง"

    หนังเรื่องนี้ไม่ใช่แนวยัดเยียด ที่จะบอกว่าแม่ชีศันสนีย์กำลังสอนอะไร แต่จะบอกว่า แม่ชีศันสนีย์กำลังเดิน กำลังดำเนินชีวิตอย่างมีธรรมะ ที่ทำให้ชีวิตของแม่ชีมีความทุกข์น้อยลงได้อย่างไร

    "แม่ว่าในยุคนี้ คนกำลังหิวกระหายความสุข แม่เองเดินทางมากคนหนึ่ง แล้วในการเดินทาง แม่มีหน้าที่ก็คือการไปเยียวยา การนำภาวนา การได้พูดคุยกับคนระดับครีมที่ต้องการมีชีวิตที่เป็นสุข หลายคนรวยแล้ว แต่เขาก็ยังไม่มีความสุข เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องการอะไรสักอย่างที่จะบอกว่า เขาจะมีความสุขได้อย่างไร ?"


    ...และอาหารอย่างหนึ่งที่ช่วยได้ก็คือ อาหารทางใจ อะไรล่ะที่เป็นอาหารทางใจ นั่นก็คือ ธรรมะ !

    "ตอนนี้วิคตอเรียบอกว่า ดิสทริบิวเตอร์จะนำภาพยนตร์เรื่องนี้ขายไปทั่วโลก แม่ขอเขาเลยว่า ขอให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังทางการเยียวยาโรค ธรรมะต้องจาริกไปเพื่อประโยชน์และความสุข เพราะฉะนั้น ถ้าการเยียวยาอะไรก็ตามที่ทำโดยใช้กิจกรรมความบันเทิง เอ็นเตอร์เทนเมนต์ต่างๆ แล้วทำให้คนรอดพ้นจากความทุกข์ แม่ว่ากิจกรรมนั้นเป็นบุญทั้งสิ้น"


    เสียดายที่ a WALK of WISDOM เข้าฉายในบ้านเราแค่ 2 รอบ ในวาระครบรอบ 25 ปี ของการอยู่ในเพศนักบวชของแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต เมื่อวันที่ 22-23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่เชื่อแน่ว่า...อีกไม่นาน ถ้าดิสทริบิวเตอร์ทำให้หนังเรื่องนี้ได้เข้าฉายทั่วโลก คนไทยก็จะได้ชมหนังที่มีความซาบซึ้งใจเรื่องนี้

    เป็นหนังที่ทำให้ วิคตอเรีย โฮลท์ ผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับ ถึงกับให้คำมั่นว่า จะทำงานด้านการสร้างความบันเทิงทางสติปัญญา (spiritual entertainment) ต่อไป

    วิคตอเรียกล่าวว่า "ท่านแม่ชีศันสนีย์และดิฉันเชื่อว่า สิ่งใดที่คนเห็น สิ่งนั้นคือสิ่งที่เขาคิด เราจึงตั้งใจที่จะร่วมกันสร้างภาพยนตร์และภาพยนตร์โทรทัศน์ที่จะนำมาซึ่งความคิดที่งดงามและสงบเย็น แทนความคิดที่รุนแรงและติดลบเช่นที่เป็นอยู่"

    ...เราเชื่อมั่นว่าการสร้างสื่อในลักษณะนี้เป็นหนทางเดียวที่จะช่วยเยียวยาโ ลกนี้อย่างแท้จริง !!!




    มีต่อคะ





    สิ้นทุกข์สุขที่แท้จึงได้พบพาน
     
  7. รูปส่วนตัว DAO

    DAO said:

    Re: แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต

    ความวิเวกแห่งธรรม...ณ เสถียรธรรมสถาน



    โพสท์ในลานธรรมเสวนา หมวดชีวิตกับธรรมะ กระทู้ 14278 โดย: ตรงประเด็น 28 ก.พ. 48

    เสถียรธรรมสถาน เป็นสถานที่สงบร่มรื่น สวยงาม เขียวครึ้มด้วยไม้ดอกและไม้ใบ เป็นสถานที่จัดสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อเอื้ออำนวยส่งเสริมการปฏิบัติธรรม เผยแผ่ธรรม อีกทั้งดำเนินงานพัฒนา คุณภาพชีวิตของ บุคคลในชุมชน เน้นชีวิตเด็ก สตรี และนักบวชสตรี

    ความเป็นมาของ เสถียรธรรมสถาน
    บนพื้นที่ ๑๔ ไร่ เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐ โดย แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ภายใต้ความอนุเคราะห์จาก กองทุนเสถียรธรรม คือส่งเสริมการศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ และเผยแพร่ธรรมะ ได้เริ่มต้นงานพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน โดยเฉพาะเด็ก สตรีและนักบวช ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๑ เพื่อแบ่งปันความสนุก สงบเย็นต่อเพื่อนมนุษย์ ให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากปัญหา

    โดยใช้หลักพุทธธรรมนำสังคม เมื่อแรกก่อตั้ง เสถียรธรรมสถาน พระธรรมโกศาจารย์ (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ) ได้เมตตามอบธรรมพร แด่เสถียรธรรมสถาน ใจความตอนหนึ่งว่า

    "สถานที่นี้ ผู้จัดสร้าง มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมการศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ และเผยแพร่ธรรมะแก่คนที่ยังไม่รู้ ไม่เข้าใจ หรือคนที่รู้ที่เข้าใจแล้ว แต่ยังไม่ก้าวหน้า ก็มาพัฒนาให้ก้าวหน้าขึ้น เพราะการที่ธรรมะเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับชีวิต ชีวิตที่มีธรรมะเป็นชีวิตที่สมบูรณ์ ชีวิตที่ขาดธรรมะเป็นชีวิตที่บกพร่อง"

    วัตถุประสงค์ของเสถียรธรรมสถาน

    ๑.เพื่อใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม เผยแผ่ธรรมะแก่เพื่อนมนุษย์ สามารถนำธรรมะไปใช้ดับทุกข์ในชีวิตประจำวัน ให้มีชีวิตที่สงบเย็นและเป็นประโยชน์

    ๒.เพื่อสาธิตการทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน โดยใช้หลักพุทธธรรมนำสังคม

    ๓.เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลที่มีความพร้อมในด้านต่างๆ ได้มาทำแบบฝึกหัดร่วมกัน ในการให้ และการรับ ผ่านการทำงานเพื่อสังคม อันจะเป็นประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น

    ที่นี่...มีดอกไม้ สวยสดใสในพื้นหญ้า

    ที่นี่...มีแววตา ไร้มายาพาสับสน

    ที่นี่...มีความรัก อบอุ่นนักยามมืดมน

    ที่นี่...ไม่อับจน เพราะมากล้นคนเข้าใจ

    ที่นี่...มีแสงธรรม ส่องนำทางชีวิตได้

    ที่นี่...มีน้ำใจ หล่อเลี้ยงไว้ให้ทุกคน

    นอกจากนี้ เสถียรธรรมสถาน มีสถานที่พักใจด้วยแสงสว่างแห่งธรรม ภาวนาอยู่กับกิจกรรมแห่งสติ กราบนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ภายในหอประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและต้นพระศรีมหาโพธิ์ อนุสรณ์ร่มไม้แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ ซึ่งสมเด็จพระมหานายะกะ ประธานสงฆ์สยามนิกาย อรัญวาสี ประเทศศรีลังกา ได้ประทานให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยเพื่อเป็นการสืบสานสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศไทยและศรีลังกา เนื่องในโอกาสครบรอบ ๒๕๐ ปี ที่พระอุบาลีมหาเถระได้เป็นพระธรรมทูตไปยังประเทศศรีลังกา

    โดยพระบรมสารีริกธาตุและ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ได้ประดิษฐานไว้เป็นการถาวรที่เสถียรธรรมสถาน และพระธาตุของพระเถรีและมหาอุบาสิกาทั้ง ๓ คือ พระนางอุบลวรรณาเถรี พระนางภัททกัจจนาเถรี และนางวิสาขา มหาอุบาสิกา และมีสื่อทางธรรม ร้านหนังสือ Open Secret ? หนังสือ ศิลป ลมหายใจ ดนตรีและชีวิต? ภาวนากับการทำงานศิลปะต่างๆ ภาวนากับการดูแลสุขภาพ (ซุ้มนวดเพื่อสุขภาพ) ภาวนากับการทำงานอาสาสมัคร

    ในการปฏิบัติบูชาเพื่อน้อมจิตระลึกถึงนัยสำคัญแห่งการประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพาน และการกตัญญูต่อปูชนียบุคคลที่อยู่เบื้องหลังการเจริญเติบโตของพวกเรา ทั้งทางกายและทางจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นครั้งพุทธกาลหรือสมัยปัจจุบัน นอกจากนั้นของขวัญพิเศษสุดที่ทำให้พวกเราตระหนักได้ถึงสภาวะธรรมอันเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันสูงสุดและสุดท้ายที่พระพุทธองค์ทรงฝากไว้ก็คือ พระบรมสารีริกธาตุและต้นพระศรีมหาโพธิ์ จะเป็นการเตือนว่าพระองค์ทรงอยู่ใกล้ชิดคนเราเสมอ

    สอบถามรายละเอียดเส้นทางการเดินทางไป เสถียรธรรมสถาน ๒๔/๕ ซอยวัชรพล ถนนรามอินทรา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ ๑๐๒๓๐ โทรศัพท์ ๐-๒๕๐๙-๐๐๘๕, ๐-๒๕๐๙-๒๒๓๗, ๐-๒๕๑๐-๔๗๕๖, ๐-๒๕๑๐-๖๖๙๗ โทรสาร ๐-๒๕๑๙-๔๖๓๓ หรืออีเมล savika@lo info.co.th

    โดย: ตรงประเด็น 28 ก.พ. 48





    ขอขอบคุณที่มาคะ http://www.dharma-gateway.com/ubasik...-main-page.htm





    สิ้นทุกข์สุขที่แท้จึงได้พบพาน