เรื่องดีมีสาระ และประโยชน์สำหรับผู้อ่าน (ใครมีเรื่องดีๆ ก็มาลงที่นี่น่ะครับ)

กระทู้: เรื่องดีมีสาระ และประโยชน์สำหรับผู้อ่าน (ใครมีเรื่องดีๆ ก็มาลงที่นี่น่ะครับ)

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. รูปส่วนตัว ทั่นยาย

    ทั่นยาย said:

    Re: เรื่องดีมีสาระ และประโยชน์สำหรับผู้อ่าน (ใครมีเรื่องดีๆ ก็มาลงที่นี่น่ะครับ)

    สวัสดีค่ะพี่นพฯ

    แรกๆที่ได้อ่านก้ออาการเดียวกันค่ะ น้ำตาซึม เพราะสงสารสามแม่ลูกมากๆ
    แต่หลังๆมานี่จะยิ้มได้ทุกครั้ง เพราะประทับใจเถ้าแก่ทั้งสองค่ะ
    หากทั้งสองไม่มีจิตใจที่ดี รู้จักให้,แบ่งปัน,เอื้ออาทรอย่างจริงใจแล้ว
    เรื่องนี้คงไม่เกิดเพื่อจะเป็นตำนาน เป็นกำลังใจให้กับทุกคนมาจนทุกวันนี้ค่ะ
    อ่านเรื่องนี้ครั้งใด อยากทานบะหมี่น้ำมากๆเลยค่ะ แต่ใครจะเป็นเจ้ามือล่ะ



     
  2. รูปส่วนตัว noppakorn

    noppakorn said:

    Re: เรื่องดีมีสาระ และประโยชน์สำหรับผู้อ่าน (ใครมีเรื่องดีๆ ก็มาลงที่นี่น่ะครับ)

    วันนี้ขอนำเรื่องดีๆมาให้อ่านกันครับ


    [BLOCKQUOTE][BLOCKQUOTE][BLOCKQUOTE]


    พระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัว
    โดย พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร

    ด้วยพระเมตตา แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิ พลอดุลยเดช ที่ทรงสละความสุขส่วนพระองค์ เพื่อพสกนิกร ชาวไทยพระองค์ประดุจพระผู้สร้างแผ่นดิน ทรงเป็นดั่งผู้ มอบชีวิต มอบความรุ่งเรือง มอบความเจริญงอกงามภายใน หัวใจคนไทยทั้งชาติ ทรงเป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นแรง บันดาลใจจุดประกายพลังแผ่นดิน

    หากเราได้มีโอกาสศึกษาพระบรมราโชวาท แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เราจะเข้าใจได้อย่างแจ่มชัดด้วยคำสอน ที่พระองค์ทรงพระราชทานให้ แต่ละข้อ แต่ละอย่างนั้น ล้วนเกิดขึ้นจากการที่พระองค์ ทรงไตร่ตรองพิเคราะห์ถึงปัญหานั้น อย่างถ่อง แท้ แล้วว่าจะเป็นหนทางแห่งการแก้ปัญหา การดับทุกข์ได้ด้วยสมาธิ

    ธรรมดาสภาวะจิตอันเป็นสมาธินั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดขึ้นจากการบังคับควบคุม เกิดขึ้นจาก ความผ่อนคลาย หรือเกิดขึ้นจากภาวะคับขันต่อการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้าจะทำให้ต้อง เร่งรวบรวมสติให้มั่น ไม่ว่าสมาธิจะเกิดขึ้นอย่างไร สมาธิเป็นของดี เป็นของที่เกิดขึ้นได้จากการ ฝึกฝน เป็นของที่มีอยู่ในกาย และในจิตอันพร้อมเป็นของเข้าใจได้ เป็นของเข้าใจง่าย และใช้ได้ กับคนทุกเพศทุกวัยและความเข้าใจอันแจ่มชัดที่แสดงให้เห็นว่า สมาธิ เองก็มิใช่ของที่เกิดขึ้น โดยลำพังหรือใช้โดยลำพัง แต่สมาธิที่ดีจะยังประโยชน์แก่ผู้อื่นได้มากหากผู้ใช้สมาธิรู้จักการ ปฏิบัติอันถูกต้อง ถูกต้องทั้งแก่ตนแลถูกต้องทั้งแก่ผู้อื่น ดังที่ได้ศึกษาจากรอยพระจริยวัตร แห่ง องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช อันได้แสดงไว้ถึงเรื่องราวของ "พระสมาธิ"

    ผู้ที่เคยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในงานหรือพิธีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องประทับอยู่ เป็นเวลานานๆ เช่น ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร คงจะได้เห็นด้วยความพิศวงกันทุกคนว่า พระเจ้าอยู่หัวนั้น เมื่อทรงนั่งลงแล้ว จะประทับอยู่ในพระอิริยาบถนั้นตั้งแต่เริ่มพิธีไปจนกระทั่ง จบไม่ทรงเปลี่ยนพระอิริยาบถเลย

    นอกจากนั้น ยังทรงปฏิบัติพระราชกรณีย์กิจอย่างกระฉับกระเฉง ต่อเนื่อง ไม่มีพระอาการที่ แสดงว่าทรงเหนื่อย หรือทรงเบื่อเลย ผมเคยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร พิธีนั้นยาวถึงประมาณ ๔ ชั่วโมง และมี บัณฑิตผู้สำเร็จการศึกษาเฝ้าฯ รับพระราชทานปริญญาบัตรเป็นจำนวนหลายพันคน ได้เห็นเหตุ การณ์เช่นว่านั้น แต่ผมได้เห็นมากกว่านั้นคือ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับไปถึงพระตำหนักจิตรลดารโหฐานในตอนค่ำวันนั้น พระเจ้าอยู่หัวยังทรงออกพระกำลังบริหารพระวรกายด้วยการวิ่งใน ศาลาดุสิตาลัยอีก

    ในการประกอบพระราชกรณีย์กิจอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน พระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติด้วยพระอาการที่ แสดงว่า เอาพระทัยจดจ่ออยู่กับพระราชกรณีย์กิจนั้นๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ทรงเหนื่อยหรือเบื่อหน่าย เช่น ในการทรงดนตรี ( ที่ใครๆ มักจะนึกว่าเป็นการหย่อน พระราชหฤทัย) เป็นต้น ผมเคยเห็น พระเจ้าอยู่หัวประทับทรงดนตรี ตั้งแต่หัวค่ำจนสว่าง โดยทรงนั่งไม่ลุกเลยแม้แต่จะเพื่อเสด็จฯ ไปห้องสรงในขณะที่นักดนตรีอื่นๆ ลงกราบแล้วถอยหลังลุกไปเข้าห้องน้ำกันเป็นครั้งคราวทุกคน

    ในการทรงเรือใบก็เช่นเดียวกัน ทรงจดจ่ออยู่กับการบังคับเรืออย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระ ทั่งจบ ครั้งหนึ่งเสด็จฯ ออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นเรือใบเข้าฝั่ง ตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯ อยู่ ด้วยความฉงนว่าเสด็จฯ กลับเข้าฝั่งเพราะเรือใบพระที่นั่งแล่นไปโดนทุ่นเข้าซึ่งในกติกาการแข่ง เรือใบถือว่า ฟาวล์ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครเห็น

    แสดงว่าการทรงดนตรีก็ดี ทรงเรือใบก็ดี สำหรับพระเจ้าอยู่หัว เป็นงานอีกชนิดหนึ่ง ที่จะต้อง ทำด้วยความจดจ่อและต่อเนื่องไปจนกว่าจะเสร็จเหมือนกัน

    พระราชกรณียกิจอื่นๆ ทั้งน้อยและใหญ่ ทรงปฏิบัติแบบเดียวกัน คือด้วยการเอาพระราชหฤทัย จดจ่อไม่ทรงยอมให้ขาดจังหวะจนกว่าจะเสร็จ และไม่ทรงทิ้งขว้างแบบทำๆ หยุดๆ เพราะฉะนั้น จึงจะเห็นว่าพระราชกรณียกิจทั้งหลายนั้น สำเร็จลุล่วงไปเป็นส่วนใหญ่
    ผมไปรู้เอาหลังจากที่เข้ารับราชการในตำแหน่งนายตำรวจราชสำนักประจำอยู่ได้ไม่นานว่าที่ ทรงสามารถจดจ่ออยู่กับพระราชกรณียกิจทุกชนิดได้เช่นนั้นก็เพราะพระสมาธิ

    ผมไม่ทราบว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มฝึกสมาธิตั้งแต่เมื่อใด แต่สันนิษฐานว่าคงจะเริ่มในเดือน ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ เมื่อทรงผนวชที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) หลังจากทรง ผนวชแล้ว ประทับจำพรรษาอยู่ที่พระตำหนักปั้นหย่า วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงอยู่ในสมณเพศเป็น เวลา ๑๕ วัน ครั้งนั้นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งทรงเป็นพระอุปัชฌาย์จารย์ทรงเลือกสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก (เมื่อครั้งยัง เป็นพระโสภณคณาภรณ์) ให้เป็นพระอภิบาล (พระพี่เลี้ยง) ของพระเจ้าอยู่หัว เป็นที่ทราบกันดี ว่า แม้จะทรงมีเวลาน้อยแต่พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด และคงจะได้ทรงฝึกเจริญพระกรรมฐานในโอกาสนั้นด้วย

    เมื่อผมเข้าไปเป็นนายตำรวจราชสำนักประจำในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ นั้น ปรากฏว่าการศึกษา และปฏิบัติสมาธิหรือกรรม ฐาน ในราชสำนักกำลังดำเนินอยู่แล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติ เป็นประจำ และข้าราชสำนักข้าราชบริพารหลายคน ทั้งฝ่าย พลเรือน และทหารก็กำลังเจริญรอยพระยุคลบาทอยู่ด้วยการ ฝึกสมาธิอย่างขะมักเขม้น

    ผมไม่ได้ตั้งใจจะหัดสมาธิ แม้จะเคยศึกษามาก่อน โดย เฉพาะจากหนังสือของ ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ แต่ ระหว่างการตามเสด็จฯ โดยรถไฟ จากกรุงเทพมหานคร ไปอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ การเดินทางไกลกว่าที่ผมคาดคิด หนังสือเล่มเดียวที่เตรียมไปอ่านฆ่าเวลาบนรถไฟ ก็อ่านจบเล่ม เสียตั้งแต่กลางทาง ขณะนั้นผมเห็นนายทหารราชองครักษ์ ประจำที่ปฏิบัติหน้าที่ถวายความ ปลอดภัยร่วมกันสองนาย ใช้เวลาว่างนั่งหลับตาทำสมาธิ ผมจึงลองทำดูบ้างโดยใช้อานาปานสติ
    ( คือกำหนดรู้แต่เพียงว่ากำลังหายใจเข้า และหายใจออก) อันเป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ และ ท่านอาจารย์พุทธทาสแนะนำ ปรากฏว่าจิตสงบเร็วกว่าที่ผมคาด แลเห็นนิมิตเป็นภาพสีสวยๆ งามๆ มากมายและเป็นเวลาค่อนข้างนานด้วย ตั้งแต่นั้นมาผมก็ติดสมาธิและกลายเป็นอีกผู้หนึ่ง ที่ปฏิบัติสมาธิเป็นประจำมาจนทุกวันนี้

    เมื่อความทราบถึงพระกรรณว่าผมเริ่มปฏิบัติสมาธิ พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงกรุณาพระราชทาน หนังสือ และแถบบันทึกเสียงคำสอนของครูบาอาจารย์ต่างๆ ลงมา และบางครั้งก็ทรงพระกรุณา พระราชทานพระราชดำรัส แนะนำด้วยพระองค์เอง ผมจึงได้รู้ว่า พระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัว นั้นก้าวหน้าไปแล้วเป็นอันมาก รับสั่งเล่าเองว่าแม้จะทรงใช้ อานาปานสติ เป็นอุบายในการทำ สมาธิ แต่พระเจ้าอยู่หัวก็ไม่ทรงสามารถที่จะกำหนดพระอัสสาสะ (ลมหายใจเข้า) และพระปัสสาสะ (ลมหายใจออก) ได้แต่ลำพัง ต้องทรงนับกำกับ วิธีนับของพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงทำดังนี้ หายใจเข้าครั้งที่หนึ่งนับหนึ่ง หายใจเข้าครั้งที่สอง นับสอง หายใจเข้าครั้งที่สาม นับสาม หายใจเข้าครั้งที่สี่ นับสี่ หายใจเข้าครั้งที่ห้า นับห้า หายใจออกครั้งที่หนึ่ง นับหนึ่ง หายใจออกครั้งที่สอง นับสอง หายใจออกครั้งที่สาม นับสาม หายใจออกครั้งที่สี่ นับสี่ หายใจออกครั้งที่ห้า นับห้า

    เมื่อถึงห้าแล้ว หากจิตยังไม่สงบ ก็นับถอยหลังจากห้าลงมาหาหนึ่ง แล้วนับจากหนึ่งขึ้นไปหา ห้าใหม่ กลับไปกลับมาเช่นนั้น จนกว่าจิตจะสงบ

    รับสั่งว่า ที่เห็นพระองค์ประทับอยู่นิ่งๆ นั้น พระจิตทรงอยู่กับหนึ่งเข้าหนึ่งออกตลอดเวลา
    พระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาเรื่องสมาธิด้วยการรวบรวม และประมวลคำสอนของครูบาอาจารย์ทุก คน แล้วก็ทรงพระกรุรา พระราชทานประมวลคำสอนนั้นแก่ผู้ที่ทรงทราบว่ากำลังปฏิบัติ สมาธิอยู่

    ครั้งหนึ่ง ทรงพระกรุณาพระราชทานแถบบันทึกเสียงของ สมเด็จพระญาณสังวรฯ ให้ผม รับสั่งว่าเป็นบันทึกเสียงการ แสดงธรรมเรื่อง ฉฉักกสูตร (คือพระสูตรว่าด้วยธรรมะ หมวด ๖ รวม ๖ ข้อ ซึ่งอธิบายความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความไม่มีตัวมีตนของสิ่งต่างๆ มีอายตนะภายนอก อายตนะภายใน วิญญาณ ผัสสะ เวทนา และตัณหา พระสูตรนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน) และ ทรงแนะนำให้ผมฟังธรรมบทนั้น

    ผมรับพระราชทานแถบบันทึกเสียงม้วนนั้นมาแล้วก็เอาไป ใส่เครื่องบันทึกเสียงและเปิดฟัง ฟังไปได้ไม่ทันหมดม้วนก็ ปิดแล้วก็เก็บเอาไว้ไม่ได้ฟังอีก หลังจากนั้นไม่นานนัก ได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระเจ้าอยู่หัว มีพระราชกระแสรับสั่งถามว่า ฟังเทปของสมเด็จฯ แล้วหรือยัง เป็นอย่างไร

    ผมไม่อาจจะกราบบังคมทูลความอันเป็นเท็จได้ ต้องกราบบังคมทูลตรงๆ ว่าฟังได้ไม่ทันจบ ม้วนก็ได้หยุดฟังเสียงแล้ว ตรัสถามต่อไปถึงเหตุผลที่ผมไม่ฟังให้จบ และผมก็จำเป็นต้องกราบ บังคมทูลตรงๆ ว่า สมเด็จฯ ท่านเทศน์ฟังไม่สนุก พูดขาดเป็นวรรคๆ เป็นห้วงๆ เนื่องจากสมเด็จฯ พิถีพิถันในการใช้ถ้อยคำและประโยคเทศน์ของท่านนั้น ถ้าเอามาพิมพ์ก็จะอ่านได้สบายกว่าฟัง

    พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามว่า ที่ฟังสมเด็จฯ เทศน์ไม่รู้เรื่องนั้นก็เพราะคิดไปก่อนใช้หรือไม่ว่า สมเด็จฯ ท่านจะพูดว่าอย่างนั้น อย่างนี้ ครั้นท่านพูดช้ากว่าที่คิด หรือพูดออกมาแล้วไม่ตรงกับที่ คาดหมายจึงเบื่อ เมื่อผมนิ่งไม่กราบบังคมทูลตอบ ก็ทรงแนะนำว่า ให้กลับไปฟังใหม่ คราวนี้อย่า คิดไปก่อนว่าสมเด็จฯ จะพูดว่าอย่างไร สมเด็จฯ หยุดก็ให้หยุดด้วย ผมกลับมาทำตามพระราช กระแสรับสั่ง เปิดเครื่องบันทึกเสียงฟังเทศน์ของสมเด็จฯ จากแถบบันทึกเสียงม้วนนั้นใหม่ตั้ง แต่ต้น ฟังด้วยสมาธิ

    สมเด็จฯ หยุดตรงไหน ผมก็หยุดตรงนั้น และ ไม่คิดๆ ไปก่อนว่า สมเด็จฯ จะพูดว่าอย่างไร คราวนี้ ผมฟังได้จนจบและเห็นว่าจริงดังพระราชดำรัส แถบบันทึกเสียงม้วนนั้น เป็นม้วนที่ดีที่ สุดม้วนหนึ่ง

    ครั้งหนึ่ง หลังจากที่นั่งสมาธิแล้ว ผมได้มีโอกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทและกราบบังคมทูล ประสบการณ์ที่ได้ขณะทำสมาธิ ผมกราบบังคมทูลว่า ขณะที่นั่งสมาธิครั้งนั้น รู้สึกว่าตัวเองลอย ขึ้นจากพื้นสูงประมาณศอกหนึ่ง ทีแรกก็ยังไม่รู้สึกอะไรแต่ครั้นหัวเริ่มคล้อยลงไปข้างหน้า ทำท่า เหมือนจะตีลังกา ผมก็ตกใจและต้องเลิกทำสมาธิ

    พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวิจารณ์ว่า ถ้าหากสติยังอยู่ ยังรู้ตัวว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่ควรจะ เลิก แต่ควรจะปล่อยให้เป็นไปตามสภาพนั้น

    อีกครั้งหนึ่ง หลังจากทำสมาธิแล้ว ผมกราบบังคมทูลว่า พอจิตสงบผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเลื่อน ต่ำลงไปในท่อขนาดใหญ่ครือตัวผม และที่ปลายท่อข้างล่างผมแลเห็นแสงสว่างเป็นจุดเล็กๆ แสดงว่าท่อยาวมาก กลัวจะหลุดออกจากท่อไป ผมก็เลยเลิกทำสมาธิรับสั่งเช่นเดียวกันว่า หากยังรู้ตัว (มีสติ) อยู่ ก็ไม่ควรเลิก ถึงหากจะหลุดออกนอกท่อไปก็ไม่เป็นไร ตราบเท่าที่สติยัง อยู่ และรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตน

    ต่อมาภายหลังจากการศึกษาคำสอนของครูปาอาจารย์ทุก ท่าน และโดยเฉพาะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัส สอนให้ "ดำรงสติให้มั่น" ในเวลาทำสมาธิ

    ในส่วนที่เกี่ยวกับพระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัว เคยตรัสเล่า ให้ผมฟังว่า ครั้งหนึ่งขณะที่กำลังทรงทำสมาธิอยู่ พระจิต สงบและเกิดนิมิต ในนิมิตนั้น พระเจ้าอยู่หัวทรงทอดพระ เนตรเห็นพระกร (แขนท่อนล่าง) ลอกออกทีละชั้นๆ ตั้งแต่จากพระตจะ (หนัง) ลงไปจนถึงพระอัฐิ (กระดูก)

    พระเจ้าอยู่หัวทรงประยุกต์พระสมาธิในการประกอบพระราชกรณียกิจทุกอย่างทั้งน้อยและ ใหญ่ จึงทรงสามารถเผชิญกับพระราชภาระอันหนัก ในตำแหน่งพระมหากษัตริย์ได้โดยไม่ทรง สะทกสะท้านหรือหวั่นไหว ไม่ทรงคาดการณ์ล่วงหน้าไปไกลๆ อย่างเลื่อนลอยและเปล่าประโยชน์ ไม่ทรงอาลัยอดีตหรืออนาคต ไม่ทรงเสียเวลาหวั่นไหวไปกับความสำเร็จ หรือความล้มเหลวอัน เป็นเรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ทรงจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ทรงสนพระราชหฤทัยอยู่แต่กับ พระราชกรณียกิจเฉพาะพระพักตร์เท่านั้น

    ในฐานะที่เกิดมาเป็นพลเมืองของประเทศที่มีพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้เป็นพระประมุข และใน ฐานะที่ทุกคนมีหน้าที่ในการทำนุบำรุงเมืองไทยนี้ให้เป็นที่ร่มเย็นของเรา และของลูกหลานของเรา จึงสมควรที่เราจะเจริญรอยประพฤติตามพระยุคลบาทด้วยการศึกษาและปฏิบัติสมาธิกัน อย่างจริงจัง และนำสมาธิมาประยุกต์ในการดำเนินชีวิต เช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา



    บทความจาก :
    http://www.dvthai2.com/myking.htm


    [/BLOCKQUOTE][/BLOCKQUOTE][/BLOCKQUOTE]
    การตั้งชื่อและแปลชื่อโดยคุณอุบาสกนพกรณ์
    จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทาน
    - ของดตอบคำถามเป็นการส่วนตัว
    - ของดการแจ้งลบกระทู้ (โดยไม่มีเหตุอันควร) หลังจากที่ได้คำตอบแล้ว
    - กรุณาตั้งคำถามให้ตรงตามหมวดหมู่อักษร
    - ขอตอบวันละ 3 ชื่อ (กรุณารอคิวหากมีผู้ถามเข้ามามาก)


    ขอชื่อใหม่ต้อง...
    1. แจ้งชื่อนามสกุลหรือทักษาเลข
    2. วันเกิด(จ-อ)
    3. อาชีพ
    4. เหตุผล(เพื่อวิเคราะห์ชื่อมงคล)
     
  3. plyfha said:

    Re: เรื่องดีมีสาระ และประโยชน์สำหรับผู้อ่าน (ใครมีเรื่องดีๆ ก็มาลงที่นี่น่ะครับ)

     
  4. รูปส่วนตัว noppakorn

    noppakorn said:

    Re: เรื่องดีมีสาระ และประโยชน์สำหรับผู้อ่าน (ใครมีเรื่องดีๆ ก็มาลงที่นี่น่ะครับ)

    ..ห้ามเบิกเงินแค่ที่มีในบัญชี ให้ใช้วิธี....ไม่กรอกตัวเลข...แต่..เขียน..ปิดบัญชี
    เพียงเท่านี้..ธนาคารต้องจ่ายดอกเบี้ยคุณ 6 เดือน


    วิธีนี้..เป็นวิธีที่ธนาคารไม่พยายามบอกคนฝากเงิน เพราะธนาคารมันเสียเปรียบ...

    แต่ต้องเป็นกรณีที่เป็นบัญชีออมทรัพย์นะ ถ้าเป็นบัญชี ฝากประจำเราจะไม่ได้ดอก เพราะถือว่าฝากไม่ครบตามกำหนด
    แต่ถ้าบัญชีเงินฝากแบบออมทรัพย์ หรือที่เรียกว่า savings (สะสมทรัพย์)
    ธนาคาร จะคิดดอกให้ทุวันตามยอดเงินที่มี...เข้าๆออก ครบ6 เดือนทีหนึ่งก็จะมีดอกเข้ามาให้ ดังนั้นถ้าใครปิดบัญชี เขาก็ต้องคิดดอกมาให้ด้วย
    ส่วนมากประชาชนจะไม่รู้ ก็จะถอนแค่จำนวนเงินที่มีในบัญชี
    แล้วก็ทิ้งสมุดไว้..ตรงนี้แหละที่ธนาคารได้กำไร
    เพราะสมุดนั้นพอทิ้งไว้นานเกินก็จะปิดไปเอง
    และเดี๋ยวนี้ธนาคารส่วนมากจะกำหนดให้ บัญชีต้องมีเงินเหลือติดอยู่
    อย่างน้อยๆ 500 บาท หากขาดการเคลื่อนไหวนานเกิน 3-6 เดือน ก็จะเริ่มหักค่ารักษาบัญชี
    รายละประมาณ 50 บาทหรือไงเนี่ยแหละ

    ที่บอกนี่เป็นผลประโยชน์ของผู้บริโภคน่ะ
    แต่ส่วนมากมักจะไม่ชอบไปธนาคาร ถอนทางเอทีเอ็ม
    แล้วก็คิดว่าที่เหลือแค่เศษสตางค์ช่างมัน..
    พอเราขาดการติดต่อธนาคาร เขาก็หักค่ารักษาบัญชี
    เงินไม่พอเขาก็ปิด บช เองตามกฎ

    การตั้งชื่อและแปลชื่อโดยคุณอุบาสกนพกรณ์
    จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทาน
    - ของดตอบคำถามเป็นการส่วนตัว
    - ของดการแจ้งลบกระทู้ (โดยไม่มีเหตุอันควร) หลังจากที่ได้คำตอบแล้ว
    - กรุณาตั้งคำถามให้ตรงตามหมวดหมู่อักษร
    - ขอตอบวันละ 3 ชื่อ (กรุณารอคิวหากมีผู้ถามเข้ามามาก)


    ขอชื่อใหม่ต้อง...
    1. แจ้งชื่อนามสกุลหรือทักษาเลข
    2. วันเกิด(จ-อ)
    3. อาชีพ
    4. เหตุผล(เพื่อวิเคราะห์ชื่อมงคล)
     
  5. piangfan said:

    Re: เรื่องดีมีสาระ และประโยชน์สำหรับผู้อ่าน (ใครมีเรื่องดีๆ ก็มาลงที่นี่น่ะครับ)

    โรคไตเป็นสาเหตุความเจ็บป่วย และสาเหตุการตายที่สำคัญ ของผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเบาหวานชนิดพึ่งอินสุลิน โดย 30-35 % ของผู้ป่วย จะเกิดภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ซึ่งต้องทำการรักษาต่อด้วยวิธีไตเทียมหรือด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนไตที่เรียกเป็นทางการว่า การปลูกถ่ายไต
    ผู้ป่วยเบาหวานที่มีความผิดปกติของไตในระยะแรกๆ จะไม่มีอาการแสดงใดๆ แต่จะตรวจพบโปรตีนไข่ขาวในปัสสาวะ เมื่อมีการเสื่อมของไตมากขึ้น ซึ่งต้องใช้เวลาอีก 4-7 ปี จะมีการเปลี่ยนแปลงจนไตเสียหน้าที่ มีการสะสมการคั่งของของเสียภายในร่างกาย ผู้ป่วยอาจมีอาการบวมร่วมด้วย หลังจากระยะนี้อีกประมาณ 1-2 ปี จะเกิดภาวะไตวายเรื้อรังขึ้น
    สำหรับหลักทั่วไปในการดูแลผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทางไต หรือไม่ให้ไตเสื่อมเร็วเกินไป สรุปได้ดังนี้
    1. เมื่อทราบว่าเป็นเบาหวาน ต้องพยายามรักษาระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับปกติ หรือใกล้เคียงปกติมากที่สุด เพื่อทำให้ไตยังทำหน้าที่ได้ดีเหมือนเดิม
    2. ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน โดยการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย
    3. ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    4. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ , เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอาหารโปรตีนสูง
    5. ควบคุมระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ
    6. เมื่อจำเป็นต้องใช้ยา ควรหลีกเลี่ยงยาที่มีผลทำให้ไตเสื่อม


    ที่มา : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ


    สาธุค่ะ พี่นพ ทั่นยาย พี่ปลายฟ้า และทุกท่านค่ะ
    ขอบคุณค่ะ

    grup'/yo..เพียงฝัน

    ตะวันส่องแสงธรมนำ มิตรภาพไร้พรมแดน



     
  6. รูปส่วนตัว noppakorn

    noppakorn said:

    Re: เรื่องดีมีสาระ และประโยชน์สำหรับผู้อ่าน (ใครมีเรื่องดีๆ ก็มาลงที่นี่น่ะครับ)



    อีืกหน่อยเราก็ตายจากกัน......แล้วนะ - ข้อคิดดี ๆ จากน้าเน๊กเกตุเสพย์สวัสดิ์

    1. คนเราอายุเฉลี่ย 60 ปี 1 ปี เท่ากับ 365 วันแสดงว่าแต่ละคนมีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วัน
      คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาทีลองนับเป็นสัปดาห์ อืม......... ไม่เลว 3,120 สัปดาห์
      อุแม่เจ้า.........แสดงว่าเรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง
      คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกาแทบเบือนหน้าหนีจากปฏิทินเพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับถอยหลังเพื่อรอวันลาโลก...
      เปล่าเลยผมไม่ได้กลัวตายและขอโทษที่หากเรื่องอาจไม่ค่อยขำแต่ตลอดเวลาที่ใช้เวลาอยู่บนโลกนี้มันน้อยมากหากคำนวนในเชิงตัวเลข
      *ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน
      *เพลงอีกหลายเพลงยังไม่ได้ฟัง
      *หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดู
      ความรู้สึกในใจอีกมากมายที่ยังไม่เคยบอก
      พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตรที่ยังไม่เคยไป โอ๊ย..... กลุ้ม สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามัน
      น้อยเกินไปจริง ๆและที่น่ากลุ้มไปกว่านั้นคือใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปีแน่นอน 1 ปียังเท่ากับ 365 วัน
      นั่นแสดงว่าบางคนไม่ได้มีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วันหรอกนะอาจไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ!
      อุแม่เจ้าเทค 2
      คืนวันเสาร์ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึงสามพันวันแล้วเหรอเนี่ย!!!!
      คิดแบบนี้ต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดูกางปฏิทินออกกว้าง ๆ
      เพราะมันคือเวลาที่เราเหลือ.... บนโลกนี้
      นี่ชั้นกำลังทำบ้าบออะไรอยู่.....ไม่เลยน้องสาวนี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งสิ้น หากเป็นความจริงที่
      เราไม่ค่อยได้มองมันเอาล่ะ งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 17 ปีแปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,205 วัน
      และผ่านคืนวันเสาร์มาร้อยกว่าครั้งส่วนหน่วยนาทีนั้น ......
      คำนวณเองบ้างซิว้อยย.....
      เอาเวลาที่ใช้ไปนั้นหักลบกับเวลา ( ที่คาดว่าจะ) เหลืออยู่
      ผลลัพธ์ที่ได้
      เราจะทำยังไงกับมันดี .....
      แต่น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อนั่งเอา


      หัวตากแอร์ไปวัน ๆยอม


      ให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้
      เพื่ออะไรบางอย่างที่เราเรียกว่า ' เงินเดือน '
      บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้อยู่ 4 ปี ทั้ง ๆ
      ที่ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ
      ไม่ก็เห็นแค่ว่าเพื่อนเรียน


      เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่ากูจะเป็นอะไรดี
      [HIGHLIGHT=#00b0f0]บางคนแอบรักเขาซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น[/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#00b0f0]
      ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น[/HIGHLIGHT]
      [HIGHLIGHT=#00b0f0]แต่กลับปล่อยให้ใจตัวเองเหลืออยู่แต่ความ[/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#00b0f0]
      รู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวันทุกวัน[/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#00b0f0]
      บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวัน ๆ[/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#00b0f0]
      ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ มึงแน่ กูแน่ งอนการกุศล[/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#00b0f0]
      ประชดทำลายสถิติเชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ....ไอ้บ้า[/HIGHLIGHT]
      และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม ' ฆ่าเวลา ' ชีวิตมันว่างจัด
      ขนาดต้องฆ่าเวลากันเลย
      บอกตรง ๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล
      เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี
      อีกหน่อยเราก็ตายจากัน ...... แล้วนะ
      ลองคิดแบบนี้บ้าง
      ใช่แล้ว ...เราจะเกิดความเสียดาย
      เพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านที่เรายังไม่ได้ทำ
      ตายได้ไงหากฝันไม่สำเร็จ
      ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย
      [HIGHLIGHT=#d99694]แต่ให้รีบทำทุกอย่าง ก่อนที่จะตาย ..ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้[/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#d99694]
      และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ...[/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#d99694]
      มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า[/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#d99694]
      เอาแบบตายวันตายพรุ่งก็จะได้นอนตายตาหลับ[/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#d99694]
      ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า....พรุ่งนี้ฉันจะตายแล้ว[/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#d99694]
      ทำงานในสิ่งที่เรารักเสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก[/HIGHLIGHT]
      [HIGHLIGHT=#d99694]ตามความฝันของเราไปสุดโต่ง ...ต้องรีบแล้วเดี๋ยวตายนะ...เตือนแล้วไง[/HIGHLIGHT]
      [HIGHLIGHT=#d99694]รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี[/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#d99694]
      ส่วนจะรักหรือไม่รักกู ไม่สนว้อย ... เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ ) ตายแล้ว[/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#d99694]
      ใช้เวลา ( ที่อาจจะ) สุดท้ายที่มีต่อกันไว้[/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#d99694]
      [/HIGHLIGHT]
      [HIGHLIGHT=#d99694]กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดครั้งสุดท้ายของเรา[/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#d99694]
      นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้[/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#d99694]
      เพราะอย่างน้อย ๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอนให้สัมภาษณ์ยมบาล[/HIGHLIGHT]

      .......
      คนข้างบ้านเดินแป้นแล้นมาบอกข่าวดี ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน
      ในมือมีซองสีชมพูพร้อมการ์ด
      ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น
      แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง
      เมื่อกี๊ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทรมาปรึกษาแม่เรื่องชุดแต่งงาน.........
      หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย ......
      แต่กว่าคนเป็นแม่จะรู้ข่าวร้าย ก็ปาไป 5 วัน
      ซองในมือผม กลายเป็นเงินช่วยงานศพ ช่อดอกไม้ กลายเป็นพวงหรีด
      และทั้งหมดกลายเป็นแรงบันดาลใจ ที่อยากจะบอก
      ว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน .... แล้วนะ
      อ้าว.... รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก
      รีบแยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ไปทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ทำ



      เดี๋ยวตายซะก่อน .... เสียดายแย่

      โดย น้าเน๊ก ...... เกตุเสพย์สวัสดิ์ปาละกะวงศ์ ณ อยุธยา



    การตั้งชื่อและแปลชื่อโดยคุณอุบาสกนพกรณ์
    จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทาน
    - ของดตอบคำถามเป็นการส่วนตัว
    - ของดการแจ้งลบกระทู้ (โดยไม่มีเหตุอันควร) หลังจากที่ได้คำตอบแล้ว
    - กรุณาตั้งคำถามให้ตรงตามหมวดหมู่อักษร
    - ขอตอบวันละ 3 ชื่อ (กรุณารอคิวหากมีผู้ถามเข้ามามาก)


    ขอชื่อใหม่ต้อง...
    1. แจ้งชื่อนามสกุลหรือทักษาเลข
    2. วันเกิด(จ-อ)
    3. อาชีพ
    4. เหตุผล(เพื่อวิเคราะห์ชื่อมงคล)
     
  7. plyfha said:

    Re: เรื่องดีมีสาระ และประโยชน์สำหรับผู้อ่าน (ใครมีเรื่องดีๆ ก็มาลงที่นี่น่ะครับ)

    เรื่องเล่าสอนใจ กาแฟ กับถ้วยกาแฟ
    มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง แห่งหนึ่งของสยามประเทศ บรรดาศิษย์เก่าที่จบจากสถาบันนี้ แยกย้ายกันไปประกอบอาชีพ มีชื่อเสียงในวงสังคม ตามวงการต่างๆ มากมาย มีทั้งที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และที่กระท่อนกระแท่น ยังดิ้นรนอยู่ในหน้าที่การงานก็เยอะ

    เนื่องในวาระ ที่อาจารย์พ่อซึ่งเป็นที่เคารพ ของศิษย์เก่าทุกคน เกษียณอายุ บรรดาศิษย์เก่า จึงถือเป็นโอกาสดี ที่จะกลับไปเยี่ยมสถาบัน เพื่อเลี้ยงสังสรรค์และรำลึกถึงอาจารย์พ่อ

    หลังจากกินเลี้ยงกันมาได้พักใหญ่ วงสนทนาก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นการบ่นพร่ำเกี่ยวกับความเครียด ในการทำงานและ ปัญหาชีวิต แต่ละคน มีปัญหาแตกต่างกันออกไปมากบ้างน้อยบ้าง อาจารย์พ่อฟังปัญหาของลูกศิษย์ทุกคนอย่างตั้งใจ รับฟังโดยไม่มีคำวิจารณ์ หรือนำเสนอความเห็นของอาจารย์เลยแม้แต่น้อย

    เมื่อฟังปัญหาของลูกศิษย์จบทุกคน อาจารย์พ่อเสนอเลี้ยงกาแฟกลุ่มลูกศิษย์เก่า ท่านเดินเข้าไปในครัว และออกมาพร้อมกับกาแฟเหยือกโตและถ้วยกาแฟ แบบต่างๆ บ้างเป็นถ้วยกระเบื้องบ้าง เป็นถ้วยพลาสติก และบ้างทำด้วยแก้ว มีถ้วยกาแฟหลายใบที่เป็นแบบพื้นๆ ธรรมดา บางใบ สวยวิจิตรสูงค่า

    อาจารย์ ชงกาแฟใส่เหยือกมาให้แล้ว พวกเธอจัดการรินใส่แก้วดื่มกันเองนะ บรรดาลูกศิษย์ มองถ้วยกาแฟหลากหลาย ด้วยความสนใจ แล้วพากันเลือกถ้วยกาแฟพร้อมๆ กับรินกาแฟออกมาจากเหยือกใส่ถ้วยต่างกันออกไปเอามือไว้

    เมื่อลูกศิษย์ทุกคนต่างมีถ้วยกาแฟในมือกันทุกคน แล้วอาจารย์พ่อ กล่าวว่า

    'ลองดูถ้วยกาแฟในมือของพวกเธอ กับถ้วยกาแฟที่เหลืออยู่ในถาดซึ่งไม่มีคนเลือกสิ สังเกตกันรึเปล่า…. ถ้วยสวยๆ แพงๆ ถูกเลือกไปหมด เหลือไว้แต่ถ้วยแบบธรรมดาราคาถูก เป็นเรื่องปกติ…ที่พวกเรามักจะเลือก สิ่งที่ดีที่สุดโดยลืมคิดถึงความต้องการที่แท้จริงของเราและ นี่คือที่มาของความเครียดและปัญ หาทั้งหลายในชีวิต'

    ความจริงวันนี้สิ่ง ที่พวกเราต้องการแท้จริงคือกาแฟ ไม่ใช่ถ้วยกาแฟ แต่จิตสำนึกกลับ นำพาเราไปเลือกที่ถ้วย มิหนำซ้ำยังคอยชำเลืองมองถ้วยของคนอื่นๆ อีกด้วย

    หากชีวิตคือกาแฟ หน้าที่การงาน ตำแหน่งต่างๆ ในสังคม ก็คือ ถ้วยกาแฟ มันเป็นเพียงเครื่องมือ อุปกรณ์ช่วยหยิบจับหรือประคองชีวิตของเรา มันไม่ได้ทำให้เนื้อหาจริงๆ ของชีวิต เปลี่ยนไป บางครั้ง….การมัวเพ่งที่ถ้วยใส่กาแฟ มันก็จะทำให้เราลืมใส่ใจกับรสชาติของตัวกาแฟ

    ถ้ารู้จักชีวิตที่แท้จริง….ของหรือตำแหน่งหน้าที่ มันก็แค่ส่วนเคลือบ ไม่ใช่เนื้อหาหรือแก่นแท้ที่สำคัญของชีวิต
     
  8. รูปส่วนตัว noppakorn

    noppakorn said:

    Re: เรื่องดีมีสาระ และประโยชน์สำหรับผู้อ่าน (ใครมีเรื่องดีๆ ก็มาลงที่นี่น่ะครับ)




    ในขณะที่คนไทยยกย่องให้ "ทุเรียน" เป็นราชาและ "มังคุด" เป็นราชินีแห่งผลไม้

    เป็นที่ยอมรับกันว่าทุเรียนไทยมีรสชาติอร่อยและคุณภาพดีที่สุดในโลก ปัจจุบันมีการส่งออกไปขายยังสาธารณรัฐ ประชาชนจีนมากที่สุด ระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคมของทุกปี ทุเรียนจากเขตพื้นที่ ภาคตะวันออกจะออกสู่ตลาด คนไทยนิยมบริโภคทุเรียนกันมากมีผลทำให้ผลไม้ชนิดอื่น ๆ ที่ออกสู่ตลาดในช่วงเวลาเดียวกันมีราคาตกต่ำ ในขณะเดียวกันมักจะมีคำเตือนจากหมอว่าไม่ควรกินทุเรียนในปริมาณมากเกินไป บ้างก็ว่าในเนื้อทุเรียนมีปริมาณแป้งและไขมันสูง เป็นของแสลงของผู้ป่วยโรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูงและคนที่กลัวอ้วนทั้งหลาย

    ขณะนี้มีเรื่องที่น่ายินดีที่จะทำให้คนที่บริโภคทุเรียนได้สบายใจขึ้น เพราะทุเรียนไม่ได้มีแต่เพียงความอร่อยอย่างเดียว รศ.ดร.ระติพร หาเรือนกิจ, รศ.ดร.สุมิตรา ภู่วโรดม จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ร่วมกับ Professor Dr.Shela Gorinstein จากมหาวิทยาลัยฮิบบรูและคณะผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยการเกษตรวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ ได้ทำการศึกษาเชิงลึกของประโยชน์จากทุเรียนมีส่วนในการลดไขมัน ในเส้นเลือดในห้องปฏิบัติการและเมื่อทดลองกับหนูพบว่า ทุเรียนมีสารโพลีฟีนอลและสารฟลาโวนอยด์ ในปริมาณสูงเมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น โดยสารทั้ง 2 ชนิดนี้มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ

    จากงานทดลองพบว่า
    ทุเรียนที่มีความสุกพอดีจะมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าทุเรียนดิบหรือทุเรียนที่สุกเกินไป (ที่เรียกกันทั่วไปว่าทุเรียนปลาร้า) และยังพบว่าทุเรียน พันธุ์หมอนทอง มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระดีกว่า พันธุ์ชะนี และ พันธุ์ก้านยาว นอกจากนั้นเมื่อมีการตรวจวิเคราะห์ แร่ธาตุอาหารที่มีอยู่ในเนื้อทุเรียน อ.สุมิตรา บอกว่า ทุเรียนมีปริมาณเส้นใยอาหารและธาตุเหล็กสูงมากซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เมื่อมีการเปรียบเทียบทุเรียนพันธุ์หมอนทองกับผลไม้เมืองร้อนชนิดอื่น พบว่ามีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้สูงกว่า สละ, มังคุด, ลิ้นจี่, ฝรั่ง และมะม่วงสุก ตามลำดับ

    คณะผู้วิจัยยังได้นำทุเรียนไปเลี้ยงหนูทดลอง ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่พิสูจน์ว่าทุเรียนมีดีจริงไม่ใช่ เพียงข้อมูลในห้องปฏิบัติการเท่านั้น จากการเลี้ยงหนูทดลองด้วยอาหารที่ผสมทุเรียนกับคอเลสเตอรอล พบว่า หนูทดลองที่ได้รับทุเรียนหมอนทองในอาหาร สามารถลดสารคอเลสเตอรอลทั้งหมดได้ 16% และลด LDL คอเรสเตอรอลได้ถึง 31.3% เมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ได้รับอาหารที่มีคอเลสเตอรอล ผสมอย่างเดียว จากการทดลองในครั้งนี้ทำให้พบว่าถึงแม้ว่าในเนื้อทุเรียนจะมีปริมาณไขมันมากแต่ส่วนใหญ่เป็นไขมันดีที่มีประโยชน์ ต่อร่างกาย

    จากงานทดลองในครั้งนี้ทำให้เห็นว่าทุเรียนจัดเป็นผลไม้ไทยอีกชนิดหนึ่งที่สามารถบริโภคเป็นอาหารและยาจัดเป็นผลไม้สุขภาพอีกชนิดหนึ่งของไทยแต่ควรจะบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ


    การตั้งชื่อและแปลชื่อโดยคุณอุบาสกนพกรณ์
    จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทาน
    - ของดตอบคำถามเป็นการส่วนตัว
    - ของดการแจ้งลบกระทู้ (โดยไม่มีเหตุอันควร) หลังจากที่ได้คำตอบแล้ว
    - กรุณาตั้งคำถามให้ตรงตามหมวดหมู่อักษร
    - ขอตอบวันละ 3 ชื่อ (กรุณารอคิวหากมีผู้ถามเข้ามามาก)


    ขอชื่อใหม่ต้อง...
    1. แจ้งชื่อนามสกุลหรือทักษาเลข
    2. วันเกิด(จ-อ)
    3. อาชีพ
    4. เหตุผล(เพื่อวิเคราะห์ชื่อมงคล)
     
  9. รูปส่วนตัว ทั่นยาย

    ทั่นยาย said:

    Re: เรื่องดีมีสาระ และประโยชน์สำหรับผู้อ่าน (ใครมีเรื่องดีๆ ก็มาลงที่นี่น่ะครับ)

    มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สำนักงานคณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์
    126 ถนน ประชาอุทิศ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140
    มือถือ : 08-1809-4631 , 08- 3913-3504
    KING MONGKUT'S UNIVERSITY OF TECHNOLOGY THONBURI

    OFFICE OF THE DEAN, FACULTY OF ENGINEERING
    126 Prachautit Rd. , Bangmod, Tungkru, Bangkok 10140 Thailand

    Mobile: 08-1809-4631 ,08- 3913-3504

    เรียน พี่ๆ น้องๆ และ เพื่อนที่เคารพ
    ได้ทราบจากคุณวุฒิวงศ์ผู้เป็นเจ้าของ บริษัท วงศ์ธนาวุฒิ จำกัดว่า ได้ร่วมกับ เพื่อนๆ
    ประดิษฐ์ขาเทียม
    สำหรับผู้พิการขาขาดตั้งแต่ เหนือ เข่า โดยเป็นเพียงรายเดียวที่สามารถประดิษฐ์ขาเทียม
    ให้ผู้ที่สวมสามารถงอขานั่งพับเพียบและเดินได้เช่นคนปกติ ทำให้ผู้ พิการทุกคนที่ต้องการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
    ในการนี้ คุณวุฒิวงศ์ไม่ต้องการรับเงินบริจาคแต่อย่างใดเพียงแต่ ต้องการความช่วยเหลือ โดยหากท่านพบ
    ผู้พิการในถิ่นห่างไกลที่ต้องการขา เทียมโปรดช่วยจดชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ให้แก่คุณวุฒิวงศ์โดยตรงที่
    โทรศัพท์ 081-847 - 9374


    ขออนุโมทนาในความเมตตาของทุกท่าน ขอผลบุญที่พวกท่านได้ กระทำในวันนี้
    จงดลบันดาลให้ท่านและครอบครัวอยู่ เย็นเป็นสุข และมีความสุขตลอดไป สาธุ... สาธุ...สาธุ


     
  10. piangfan said:

    Re: เรื่องดีมีสาระ และประโยชน์สำหรับผู้อ่าน (ใครมีเรื่องดีๆ ก็มาลงที่นี่น่ะครับ)



    แสงเทียนส่องธรรม
    ด้วยใจใสพิสุทธิ์

    อนุโมทนาสาธุ ค่ะ

    สาธุค่ะ ทั่นยาย พี่นพ พี่ปลายฟ้า และทุกท่านค่ะ

    grup'/yo..เพียงฝัน

    ตะวันส่องแสงธรรมนำ มิตรภาพไร้พรมแดน