รัตนวลีคาถาที่ ๑-๓๘ แปล

กระทู้: รัตนวลีคาถาที่ ๑-๓๘ แปล

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. *8q* said:

    รัตนวลีคาถาที่ ๑-๓๘ แปล

    นโม รตฺนตฺรยายฯ

    สรฺวโทษวินิรฺมุกฺตํ

    คุไณะ สรฺไวรลํกฤมฺ ฯ
    ปฺรณมฺย สรฺวชฺญมหํ
    สรฺวสตฺตฺไวกพานฺธวฺม ฯ๑ฯ

    สพฺพโทสวินิมุตฺตํ
    คุเณหิ สพฺเพหิ อลํกตํ
    นตฺวาน สพฺพญฺญุมหํ
    สพฺพสตฺเตกพนฺธวํ ฯ

    ขอน้อมพระรัตนตรัย

    (๑) ข้าพระเจ้าประณมพระสรรเพชญ์เจ้า พระองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นพวกพ้องสรรพสัตว์ ผู้พ้นจากโทษทั้งสิ้น แต่ประดับด้วยคุณทั้งปวง ฯ

    ธรฺมเมกานฺตกลฺยาณํ
    ราชนฺ ธรฺโมทยาย เต ฯ
    วกฺษฺยามิ ธรฺมะ สิทฺธึ หิ
    ยาติ สทฺธรฺมภาชเนฯ๒ฯ

    ธมฺมํ เอกนฺตกลฺยาณํ
    ราช ธนฺโมทยาย เต
    วกฺขามิ ธมฺโม สิทฺธํ หิ
    ยาติ สทฺธมฺมภาชเนฯ

    (๒) ดูก่อนพระราชา,แล้ว,อาตมาจักกล่าวธรรมมีแต่คุณงามส่วนเดียว เพื่อความเจริญใจแด่พระองค์ท่านฯ ก็ธรรมย่อมถึงความสำเร็จเป็นผล ในชนผู้สมที่จะเป็นภาชนะรองรับสัทธรรม ฯ (ดูบท ๖)

    บันทึก : เอกานฺตกลฺยาณมฺ อรรถกถาแก้ว่า อาทิมธฺยานฺตกลฺยาณมฺ งามแต่ต้นถึงกลางจนที่สุด.

    ปฺราคฺ ธรฺมาภฺยุทโย ยตฺร
    ปศฺจานฺ ไนะเศฺรยโสทยะฯ
    สมฺปราปฺยาภฺยุทยํ ยสฺมา-
    เทติ ไนะเศฺรยสํ กฺรมาตฺฯ๓ฯ

    ปเค ธมฺมพฺภุทโย ยตฺร
    ปจฺฉา เนสฺเสยฺยสูทโย
    สมฺปตฺวา อพฺภุทยํ ยสฺมา
    เอติ เนสฺเสยฺยสํ กมาฯ

    (๓) มีอัภยุทัยแห่งธรรมก่อน ภายหลังมีการเกิดขึ้นแห่งเนสไสยสธรรม ฯ เพราะบุคคลบรรลุอัภยุทัยธรรมแล้ว จึงถึงเนสไสยสธรรมโดยลำดับ ฯ

    บันทึก : ปฺราคฺ เคยเห็นใช้ในบาลีว่า ปเคว ถ้าจะใช้ในที่นี้บ้าง ก็จะเกินกำหนดปัฐยาวัตต์ซึ่งยังไม่จำเป็น จึงใช้แค่ปเค โดยโถดมาจาก อติปฺปเค เช่นใช้ในชาดกเล่ม ๓ หน้า ๔๘ฯ อัภยุทัย ความเจริญเต็มที่หมายถึงความเจริญทางโลก ทั้งโลกนี้และโลกหน้า (อิหปรเลากิโลนฺนติ) ฯ เนสไสยส (นิ+เสยฺยโส) ภาวะไม่มีอะไรดีกว่า,คล้ายๆ กับ อนุตฺตโร,หมายเอาโมกษะ,ฉะนั้น น่าจะเทียบได้กับนิรพาณฯ แต่โมกษะทางมหายาน ตามที่ปรากฏในคัมภีร์ของพระนาคารชุนเป็นเพียงชั้นที่ ๒ แห่งญาณสมภารฯ เนสไสยส ต่ำกว่าโมกษะ,กับยังมีปรัชญาและศูนยตา เหนือโมกษะไปอีก ๒ ชั้นฯ อนึ่งทางถึงนิรพาณ คือปรัชญา;แต่ยังไม่ควรสอนเรื่องปรัชญาแก่คนที่ยังไม่สุก (ดูบท ๗๔)ฯ และเมื่อพิจารณาถึงศูนยตา จะต้องผ่านบุณยสมภารก่อนฯ ศูนยตาคือขั้นสุดท้ายแห่งปรัชญามรรคฯ ถึงนิกายสมัยหลังๆ ฝ่ายมหายานก็ว่าทางนิรพาณเป็น ๒ อย่างคือ อุปายะและปรัชญาฯ อุปายะนี้พระนาคารชุนหมายเอาศรัทธา,แต่ผู้อื่นๆ หมายเอากรุณา ฯ ทางนิรพาณมีเป็น ๒ นั้นดังนี้
    ๑. บุณยสมภาร
    - อัภยุทัยธรรม
    - สุข
    - ศรัทธา
    - อุปายะ
    - กรุณา

    ๒. ญาณสมภาร
    - เนสไสยสธรรม
    - โมกษะ
    - ปรัชญา
    - ศูนยตา

    สุขมภฺยุทยสฺ ตตฺร
    โมกฺโษ ไนะเศฺรยโส มตะฯ
    อสฺย สาธนสํกฺษปะ
    ศฺรทฺธาปฺรชฺเญ สมาสตะฯ๔ฯ

    สุขํ อพฺภุทโย ตตฺร
    โมกฺโข เนสฺเสยฺยโส มโต
    อสฺส สาธนสํเขโป
    สทฺธาปญฺเญ สมาสโตฯ

    (๔) บรรดาธรรมนั้น ท่านกำหนดอัภยุทัยธรรม ว่านำความสุขมาและเนสไสยสธรรมว่านำโมกษะมาฯ ความย่อย่นธรรมอันนี้ก็สำเร็จโดยรวมเข้าในศรัทธาและปรัชญา ฯ

    บันทึก : ตามที่อรรถกถาแก้ไว้ ความหมายที่แท้คือว่า อัภยุทัยธรรมมิใช่ความสุข และเนสไสยสธรรมมิใช่ตัวโมกษะ ฯ แต่ความสุขและโมกษะ ค่อนข้างเข้าใจกันว่าเป็นผลแห่งอัภยุทัยธรรมและเนสไสยสธรรมนั้น ฯ

    ศฺราทฺธตฺวาทฺ ภชเต ธรมํ
    ปฺราชฺญตฺวาทฺ เวตฺติตตฺตวตะฯ
    ปฺรชฺญา ปรธานํ ตฺวนโยะ
    ศฺรทฺธา ปูรฺวงฺคมาสฺย ตุฯ๕ฯ

    สทฺธตฺตา ภชเต ธมฺมํ
    ปญฺญตฺตา เวตฺติ ตตฺตโต
    ปญฺญา ปธานํ เตฺวตาสํ
    สทฺธา ปุพฺพงฺคมาสฺส ตุฯ

    (๕) เพราะความที่มีศรัทธา จึงดำเนินสู่ธรรม,เพราะความที่มีปรัชญา จึงทราบตามความจริง ฯ ก็บรรดาคุณชาติทั้งสองนั้นปรัชญาเป็นประธาน ฯ ส่วนศรัทธา นำหน้าประธานคือปรัชญานั้นฯ

    บันทึก : ในสํสกฤต มี ศฺราทฺโธ ปฺราชฺโญ, บาลีมีแต่สทฺโธ เป็นพื้น ,ปญฺโญ (ตัทธิต) มีที่ใช้น้อยเต็มที พบครั้งหนึ่งในคาถามหาสุตตโสมชาดก อสีตินิบาตว่า น เตน เมตฺตึ ชิรเยถ ปญฺโญ ฉะนั้นจึงทำศัพท์เป็นปญฺญตฺตา (เพราะความเป็นผู้มีปัญญา) ฯ เวตฺติ คือ วิทฺในความรู้ ความประสพ. วัตตมานา เอกปฐม ในสํ. เป็นเวตฺติ, เคยพบในบาลีเป็น วินฺทติ. แต่ Rhys Davids (Pali English Dictionary by T.W. Rhys Davids & William Stede) ว่ามีครั้งหนึ่งในเถรคาถาบท ๔๙๗ เป็น เวตฺติ (แต่ทำรูปเป็นเวติ) ฯ

    ฉนฺทาทฺ เทฺวษาทฺ ภยานฺ โมหาทฺ
    โย ธรฺมํ นาติวรฺตเต ฯ
    ส ศฺราทฺธ อิติ วิชฺเญยะ
    เศฺรยโส ภาชนํ ปรมฺฯ๖ฯ

    ฉนฺทา โทสา ภยาโมหา
    โย ธมฺมํ นาติวตฺตติ
    ส สทฺโธ อิติ วิญฺเญยฺโย
    เสยฺยโส ภาชนํ ปรํฯ

    (๖) ผู้ใด ไม่ประพฤติล่วงธรรม เพราะฉันทะ โทสะ ภยะและโมหะ , พึงทราบผู้นั้นว่าคือคนมีศรัทธา เป็นภาชนะอันดีแก่งสิริยิ่ง (คือไม่มีใครๆ จะเป็นที่รองรับโมกษธรรมเหมาะไปกว่าเขา) ฯ

    บันทึก : จากบทนี้จนถึงบท ๒๔ ศรัทธามีผลให้ปฏิบัติธรรมที่แสดงไว้แล้ว ให้สมกับอัภยุทัยฯ ฉันทะ โทสะ ภยะ โมหะเป็นอาการสำแดงแห่งมารทั้งสิ่ผู้บันดาลให้บุคคลเชือนไปจากการบำเพ็ญกุศลธรรมฯ เศฺรยโส ศัพท์เดิม ศรี,อียสฺปัจจัย ในเสฏฐตัทติตเป็นศฺรยสฺ ฯ ปฐมาเอกวจนะเป็นศฺรยะ ได้ในความว่าวรฺธนาทฺ รกฺษณํ เศฺรยะ รักษาเป็นสิริยิ่งกว่าบำรุง ฯ ฉัฏฐีเอกวจนะเป็นเศฺรยโส แปลความว่า แห่งสิริยิ่ง ที่บาลีนำมาใช้เป็นเสยฺยโส คือคงรูปฉัฏฐีวิภัตติตามสํสกฤต แต่ทว่าใช้ในฐานเป็นอัพยยศัพท์ฯ

    กายวางฺมานสํ กรฺม
    สรฺวํ สมฺยกฺปรีกฺษฺย ยะฯ
    ปราตฺมหิตมาชฺญาย
    สทา กุรฺยาตฺ ส ปณฺฑิตะฯ๗ฯ

    กายวจีมโนกมฺมํ
    สพฺพํ โย สมฺมเปกฺขิย
    ปรตฺตหิตมญฺญาย
    สทา กยิรา ส ปณฺฑิโตฯ

    (๗) ผู้ใดพิจารณาโดยระมัดระวังซึ่งกรรมทั้งสิ้น อันทำด้วยกายหรือวาจาใจ รู้ทั่วถึงกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นและแก่ตนตนเองแล้ว ก็พึงทำกรรมนั้นเสมอ,ผู้นั้นเป็นบัณฑิต ฯ

    บันทึก : บัณฑิตในที่นี้คือ ผู้มีปรัชญาในบทที่ ๔-๕ เมื่อในบทที่ ๖ แยกพูดเฉพาะผู้มีศรัทธาแล้ว ในบทนี้จึงแสดงลักษณะ ผู้มีปรัชญา ฯ ปรีกษา (อ่านว่า ปะรีกษา) การดูโดยรอบคอบคือพิจารณา ประกอบในการพินิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นกุศลอกุศลหรืออัพยากฤต ฯ เขาก็อยู่ในภาวะแห่งความรู้สึกผิดชอบบริบูรณ์และในความรู้ตัวซึ่งเรียกว่าสัมประชันยะ หรืออะประมาท ฯ ปรีกษา นี้มีความแจ่มแจ้งในบทต่อไป (ในบาลีใช้ว่า ปริกฺขา เช่น อตฺถปริกฺขา สทฺธมฺโมปายน หน้า ๕๓๒ ) ฯ

    อหึสา เจารฺยวิรติะ
    ปรทารวิวรฺชนมฺ ฯ
    มิถฺยาไปศุนฺยปารุษฺยา-
    พนฺธวาเทษุ สํยมะ ฯ๘ฯ

    อหึสา เถยฺยวิรติ
    ปรทารวิวชฺชนํ
    มิจฺฉาเปสุญฺญผารุสฺสา-
    พนฺธวาเทสุ สญฺญโม ฯ

    (๘) ความไม่ผลาญชีพ, ละเว้นการเป็นขโมย, เว้นขาดภริยาผู้อื่น; สำรวม (คือบังคับคำของตนเองมิให้เหไป) ในมิจฉาวาท (มุสาวาท) ปิสุณาวาจ ผรุสวาจ และอพัทธวาท(สัมผัปปลาป) ฯ (มีต่อในบทที่ ๙ )

    บันทึก : อหึสา กับบทที่ ๑๐ อวิหึสา มีความหมายต่างกัน และจะเห็นได้ชัดในบทที่ ๑๔ ฯ

    โลภวฺยาปาทนาสฺติกฺย-
    ทฤษฏีนา ปริวรฺชนมฺ ฯ
    เอเต กรฺมปถา ศุกฺลา
    ทศ กฤษฺณา วิปรฺยยาตฺ ฯ๙ฯ

    โลภพฺยาปาทนตฺถิกฺก-
    ทิฏฺฐีนํ ปริวชฺชนํ
    เอเต กมฺมปถา สุกฺกา
    ทส กณฺหา วิปรียยา ฯ

    (๙) เว้นสิ้นความโลภ ความพยาบาท และนัตถิกฺกทิฏฐิฯ เหล่านี้ เป็นกรรมบถฝ่ายขาวสิบประการ ที่เป็นฝ่ายดำก็โดยผิดจากนี้ ฯ

    บันทึก : วิปรฺยยาตฺ ปัญจมี เอกวจนะ แห่งศัพท์วิปรฺยย ฯ บาลีใช้เป็น วิปริยย เช่นในอัฐกถาสุตตนิบาตหน้า ๔๙๙ ฯ

    อมทยปานํ สฺวาชีโว
    ,วิหึสา ทานมาทราตฺ ฯ
    ปุชฺยปูชา จ ไมตฺรี จ
    ธรฺมศฺ ไจษ สมาสตะ ฯ๑๐ฯ

    อมชฺชปานํ สุชีโว
    อวิหึสา ทานมาทรา
    ปุชฺชปูชา จ เมตฺตี จ
    ธมฺโม เจส สมาสโต ฯ

    (๑๐) การไม่ดื่มน้ำเมา อาชีพอันชอบ ไม่เบียดเบียนผู้อื่นเอื้อเฟื้อแบ่งปัน บูชาที่ควรบูชาและไมตรี นี้เป็นธรรมโดยสังเขป ฯ

    ศรีรตาปนาทฺ ธรมะ
    เกวลานฺ นาสฺติ เตน หิ
    น ปรโทฺรหวิรติรฺ
    น ปเรษามนุคฺรหะ ฯ๑๑ฯ

    สรีรตาปนา ธมฺโม
    เกวลํ นตฺถิ เตน หิ
    น ปรทฺโทหวิรติ
    น ปเรสํ อนุคฺคโหฯ

    (๑๑) เพียงเหตุทรมาณตัว ธรรมยังไม่มี(แก่เขา)ฯ เพราะมิใช่ว่าจะเว้นประทุษต่อผู้อื่น มิใช่ว่าจะอนุเคราะห์ผู้อื่น ด้วยวิธีนั้น ฯ

    บันทึก : บทนี้แย้งวิธีโยคปฏิบัติแห่งนิกายอื่นซึ่งเห็นว่าธรรม ต้องมาอยู่ในการปฏิบัติทรมาณตัวตึงเครียด คือพวกอาชีวกและนิครนถ์ ฯ โทฺรห บาลีเป็น โทห เช่นในอัฐกถาทีฆนิกายเล่ม ๑ หน้า ๒๙๖ ฯ

    ทานศีลกฺษมาสฺปษฺฏํ
    ยะ สทฺธรฺมมหาปถมฺ ฯ
    อนาทฤตฺย วฺรเชตฺ กาย-
    เกฺลศโค ทณฺฑโกตฺปไถะ ฯ๑๒ฯ

    ทานสีลขมาทิฏฐํ
    โย สทฺธมฺมมหาปถํ
    อนาริย วเช กาย-
    กิเลสโค ทณฺฑกุปฺปเถหิฯ

    (๑๒) ผู้ใด ไม่เอื้อเฟื้อทางใหญ่แห่งสัทธรรม อันเห็นได้ชัดด้วยทานศีลและขันตี เป็นผู้ลุแก่กายกิเลส จะต้องเที่ยวฝ่าทางผิดเป็นพงชัฏ ฯ (ความไปต่อที่บท ๑๓)

    บันทึก : สฺปษฺฏมฺ จาก สฺปศฺ(หมวดภู) ในความดูหรือความเห็น กับ ต ปัจจัย ไม่ทราบว่าคำในบาลีใช้อย่างไร จึงขอยืมทิฏฐิมาใช้แทน ฯ บาลีมี ปสฺ (เห็น) สํ. ก็มี ปศฺ หมวดทิวฺอย่างเดียวกัน ฯ วฺรเชตฺ สัตตมีเอกวจนะประถมบุรุษแห่ง วฺรชฺ (ในความเว้น) บาลีเป็นวชติ ซึ่งในจุลนิเทส(หน้า ๔๒๓) แก้ว่า คจฺฉติ กมติ ได้ในความว่า น เว กทริยา เทวโลกํ วชนฺติ (ธมฺมปท โลกวคฺค) ฯ บางทีเพี้ยนเป็นภชฺ ดังมีมาแล้วในบทที่ ๕ แต่ในรูปมาพ้องกับ ภชฺ (คบ) เลยแปลว่าคบไปด้วย เช่นในความว่า ภเชถ นกฺขตฺตปถํว จินฺทิมา(ธมฺมปท สุขวคฺค) ซึ่งอันที่จริง ถ้าแปลว่า “พึงไปหา.....เหมือนดวงจันทร์โคจร(ไปหา)คลองนักษัตร” ก็จะได้ความหมายอย่างตรงไปตรงมา ดีกว่าที่จะแปลอ้อมค้อมว่า “คบคลองนักษัตร” และจะต้องตีความอีกที่หนึ่งว่า “โคจรไปหา” ฯ อุตฺปไถะ ตติยาวิภัติพหูพจน์ บาลีต้องเป็น อุปฺปเถหิ เลยไม่ถูกคณะฉันท์ เป็นตัวอย่างอันหนึ่งว่าสํสกฤตจะแปลงเป็นบาลีให้ลงกันทุกส่วนไม่ได้เลย ฯ

    ส สํสาราฎวึ โฆรา-
    มนนฺตชนปาทปามฺ ฯ
    เกฺลศวฺยาลาวลีฒางฺคะ
    สุทีรฺฆํ ปฺรติปทฺยเต ฯ๑๓ฯ

    โส สํสาราฏวึ โฆรํ
    อนนฺตชนปาทปํ
    กิเลสพาฬาวลิฬฺหงฺโค
    สุทีฆํ ปฏิปชฺชติ ฯ

    (๑๓) ผู้นั้นก็เข้าดงอันน่ากลัวคือสังสารวัฏ มีต้นไม้คือประชาชาติอเนกอนันต์ ตลอดกาลนานแสนนาน มีสัตว์ร้ายคือกิเลสตามเลียตนไป ฯ (บทต่อๆไปนี้ แสดงผลแห่งความเป็นผู้ลุกายกิเลส)

    บัณทึก : อวลีฆ อว-ลิหฺ(ในความเลีย) ต ปัจจัย ในบาลีไม่ทราบว่าสำเร็จรูปเป็นอย่างไร แต่เมื่อเทียบกับรุหฺ-รุฬฺห มุหฺ-มุฬฺห วุหฺ-วุฬฺห แล้ว ในที่นี้จึงเป็น ลิฬฺห บ้างฯ Rhys Davids ว่า ลีฬฺหา มาจาก ลิหฺ ธาตุ (ขัด,ถู) เป็นนาม ยกตัวอย่างว่า พุทฺธลีฬฺหาย ธมฺมํ เทเสติฯ

    หึสยา ชายเต ,ลปายุะ
    พหฺวาพาโธ วิหึสยา ฯ
    เจารฺเยณ โภควฺยสนี
    สศตฺรุะ ปรทาริกะ ฯ๑๔ฯ

    หึสาย ชายเตปฺปายุ
    พหฺวาพาโธ วิหึสาย
    เถยฺเยน โภคพฺยสนี
    สสตฺตุ ปรทาริโก ฯ

    (๑๔) เกิดเป็นผู้มีอายุสั้น เพราะผลาญชีพเขา เป็นผู้มีโรคมาก เพราะเบียดเบียนเขา เป็นผู้มีความติดใจในโภค เพราะขโมยเขา เป็นผู้มีศัตรู เพราะประพฤติผิดเมียเขา ฯ

    บันทึก : มนูธรรมศาสตร์ อัธยาย ๗ โศลก ๔๕ เป็นต้นไป กล่าวถึง วยสนะ ความติดใจ ๑๐ อย่าง เกิดแต่กามและอีก ๗ อย่างแต่โกรธ คือ

    ทศ กามสมุตฺถานิ ตถาษฺเฏา โกฺรธชานิ จ
    วฺยสนานิ ทุรนฺตานิ ปฺรยตฺเนน วิวรฺชเยตฺ ฯ ๔๕
    กามเชษุ ปฺรสกฺโต หิ วฺยสเนษุ มหึปติะ
    วิยุชฺยเต ,รฺถธรฺมาภฺยํา โกฺรธเชษฺวาตฺมไนว ตุ ฯ ๔๖
    มฤคยากฺษา ทิวาสฺวปฺนะ ปริวาทะ สตฺริโย มทะ
    เตารฺยตฺริกํ วฤถาฐฺยา จ กามโช ทศโก คณะ ฯ ๔๗
    ไปศุนฺยํ สาหสํ โทฺรห อีรฺษฺยาสูยารฺถทูษณามฺ
    วาคฺทณฺฑชํ จ ปารุษฺยํ โกฺรธโช ปิ คโณ ,ษฺฏกะ ฯ ๔๘

    ล่าสัตว์ พะนันสกา นอนกลางวัน นินทาเขา ติดหญิง น้ำเมา เต้นรำ ขับร้อง สังคีต เดินเตร็ดเตร่ ๑๐ อย่างเกิดแต่กาม ฯ ปิศุนาวาจ มุทะลุ ทรยศ ริษยา อิจฉา ชิงประโยชน์ ด่าทอ ผรุสวาจ ๗ อย่างเกิดแต่โกรธ ฯ

    ปฺรตยาขฺยานํ มฤษาวาทาตฺ
    ไปศุนยานฺ มิตฺรเภทนมฺ ฯ
    อปฺริยศฺรวณํ เรากฺษฺยา-
    ทพทฺธาทฺ ทุรภคํ วจะ ฯ๑๕ฯ

    ปจฺจกฺขานํ มุสาวาทา
    เปสุญฺญา มิตฺตเภทนํ
    อปฺปิยสฺสวนํ โรสา
    อพทฺธา ทุพฺภคํ วโจ ฯ

    (๑๕) ถูกกล่าวตู่ เพราะมุสาวาท แตกเพื่อน เพราะปิสุณาวาจ ได้ยินแต่คำไม่ถูกหู เพราะผรุสวาท ได้ยินแต่เสียงอัปมงคล เพราะอพัทธวาท ฯ

    บันทึก : ปฺรตฺยาขฺยานํ กล่าวตู่ ฯ ศัพท์บาลีที่ว่า ปจฺจกฺขานํ เป็นสักแต่แปลงให้ตรงกันตัวต่อตัวเท่านั้น ส่วนความที่ใช้หาตรงกันไม่ ในอภิธานปฺปทีปิกา บท ๗๗๕ แปลว่า “ความกล่าวคืน ความไม่รับ ความไม่ยอม” พบที่ใช้ในมโหสธชาดก มหานิบาตว่า “ปจฺจกฺขานุปทํ เหตํ” อรรถกถาแก้ว่า “ปจฺจกฺขานสฺส อนุปทํ, ปจฺจกฺขานการณํ ปจฺจกฺขานโกฏฺฐาโส” แต่ท่านแปลในชาดกนั้นว่า “เพราะถ้อยคำแห่งเจ้านั้นเป็นเหตุให้รู้ประจักษ์แล้ว ฯ สำหรับ “กล่าวตู่” บาลีใช้คำว่า อพฺภกฺขานํ (อภิธานปฺปทีปิกา บท ๑๑๖) เช่น “อพฺภกฺขานํ ว ทารุณํ” (ธมฺมปท ทณฺฑวคฺค) ฯ

    มโนนรถานฺ หนฺตฺยภิธฺยา
    วฺยาปาโท ภยทะ สฺมฤตะ ฯ
    มิถฺยาทฤษฺฏิะ กุทฤษฺฏิตฺวํ
    มทฺยปานํ มติภฺรมะ ฯ๑๖ฯ

    มโนรถํ หนฺตฺยาภิชญา
    พฺยาปาโท ภย มโต
    มิจฺฉาทิฎฺฐิ กุทิฏฺฐิตฺตํ
    มชฺชปานํ มติพฺภโม ฯ

    (๑๖) อภิชญา เป็นเหตุฆ่ามโนรถ พยาบาท ว่าให้ผลเป็นภัย มิจฉทิฐิ(ความเห็นผิด)ให้กุทิฐิ(ความเห็นที่ไม่ดี) การดื่มน้ำเมา ส่งให้ความคิดป่วน ฯ

    อปฺรทาเนน ทาริทรฺยํ
    มิถฺยาชีเวน วญฺจนา ฯ
    สฺตมฺเภน ทุะกุลีนตฺว-
    มลฺเปาชสฺกตฺวมีรฺษยา ฯ๑๗ฯ

    ทาฬิทฺทิยํ อปฺปทาเนน
    มิจฺฉาชีเวน วญฺจนา
    ถมฺเภน ทุกฺกุลีนตฺตํ
    อิสฺสายปฺโปชกตฺตนํ ฯ

    (๑๗) เพราะให้ทานอย่างเสียไม่ได้ จึงยากจน เพราะมิจฉาชีพ จึงถูกลวง เพราะดื้อดัน จิงเกิดในตระกูลเลว เพราะริษยา จึงไม่กำลังน้อย ฯ

    บันทึก : อลฺเปาชสฺกตฺวมฺ แยกออกเป็น อลฺป (อปฺป) โอชสฺ (โอชา กำลัง) ก ตฺวมฺ (ตฺต ภาวตัทธิต) ฯ

    โกฺรธาทฺ ทุรฺวรฺณตา เมารฺขย-
    อปฺรศฺเนน วิปศฺจิตามฺ ฯ
    ผลเมตนฺ มนุษฺยตฺเว
    สรฺเวภฺยะ ปฺรากฺ จ ทุรฺคติะ ฯ๑๘ฯ

    โกธา ทุพฺพณฺณตา มุกฺขํ
    อปฺปญฺเหน วิปสฺสินํ
    ผลํ เอตํ มนุสฺสตฺเต
    สพฺเพหิ ปเค จ ทุคฺคติ ฯ

    (๑๘) เพราะโกรธ จึงมีผิวพรรณน่าเกลียด เพราะไม่ไต่ถามนักปราชญ์ จึงโง่เง่า ฯ นี้เป็นผลในอัตภาพมนุษย์ ฯ แต่ทุคคติ (ต้องประสพ) ก่อนอื่นทั้งปวง ฯ

    บันทึก : เมารฺขยมฺ จากศัพท์เดิมว่ามูรฺข (โง่บ้า) กับ ณฺย ปัจจัยภาวะตัทธิต,ทำศัพท์บาลีเอาเองเป็นมุกฺข ฯ

    เอษามกุศลาขฺยานำ
    วิปาโก ยะ ปฺรกีรฺติตะ ฯ
    กุศลานำ จ สรฺเวษำ
    วิปรีตะ ผโลทยะ ฯ๑๙ฯ

    อิเมสากุสลาขฺยานํ
    วิปาโก โย ปกิตฺติโต
    กุสลานํ จ สพฺเพสํ
    วิปรีโต ผลูทโย ฯ

    (๑๙) กรรมเหล่านี้ ให้ผลตามที่กล่าวมาแล้ว เรียกว่าอกุศลกรรม ฯ ส่วนกุศลกรรมทั้งปวง บังเกิดผลผิด (ตรงกันข้าม) ฯ

    http://board.agalico.com/showthread.php?t=26157
    ก่อนเกิดใครเป็นเรา<br />เมื่อเกิดแล้วเราเป็นใคร<br /><br />สิ่งที่ทำอยู่คือกรรมใหม่<br />ผลที่ได้รับคือกรรมเก่า<br /><br />ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน<br />มองในสิ่งที่ไม่เห็น<br />ทำในสื่งที่ไม่มี
     
  2. *8q* said:

    Re: รัตนวลีคาถาที่ ๑-๓๘ แปล

    (๑๙) กรรมเหล่านี้ ให้ผลตามที่กล่าวมาแล้ว เรียกว่าอกุศลกรรม ฯ ส่วนกุศลกรรมทั้งปวง บังเกิดผลผิด (ตรงกันข้าม) ฯ

    บันทึก : ในพากย์บาลี ใช้ อาขฺยา ตามอภิธานปฺปทีปิกา บท ๑๑๙ ฯ


    โลโภ เทฺวษศฺ จ โมหศฺ จ
    ตชฺชํ กรฺเมติ จาศุภมฺ ฯ
    อโลภา โมหาเทฺวษาศฺ จ
    ตชฺชํ กรฺเมตรจฺฉุภมฺ ฯ๒๐ฯ

    โลโภ โทโส จ โมโห จ
    ตชฺชํ กมฺมนฺติ จาสุภํ
    อโลภา โทสา โมหา จ
    ตชฺชํ กมฺมีตรํ สุภํ ฯ

    (๒๐) โลภะ โทสะ และ โมหะ และกรรมที่เกิดจากอกุศลมูลทั้งสามนั้น เรียกว่าอศุภกรรม ฯ ส่วนอโลภะ อโทสะ อโมหะ และกรรมที่เกิดจากกุศลมูลทั้งสามอย่างหนึ่งนั้น เรียกว่าศุภกรรม ฯ

    อศุภาตฺ สรฺวทุะขานิ
    สรฺวทุรฺคตยสฺ ตถา ฯ
    ศุภาตฺ สุคตยะ สรฺวาะ
    สรฺวชนฺมสุขานิ จ ฯ๒๑ฯ

    อสุภา สพฺพทุกฺขานิ
    สพฺพทุคฺคติโย ตถา
    สุภา สุคติโย สพฺพา
    สพฺพชาติสุขานิ จ ฯ

    (๒๑) เพราะอศุภกรรม จึงมีทุกข์ทั้งปวง และทุคคติทุกชาติ ฯ เพราะศุภกรรม จึงมีสุคติทั้งปวง และความสุขทุกชาติ ฯ

    นิวฤตฺติรศุภาตฺ กฤษฺณาตฺ
    ปฺรวฤตฺติสฺ ตุ ศุเถ สทา ฯ
    มนสา กรฺมณา วาจา
    ธรฺโม ,ยํ ทฺวิวิธะ สฺมฤตะ ฯ๒๒ฯ

    นิวตฺติ อสุภา กณฺหา
    ปวตฺติ ตุ สุเภ สทา
    กาเยน วาจามนสา
    ธมฺโมยํ ทุพฺพิโธ มโต ฯ

    (๒๒) กลับจากฝ่ายดำ คืออศุภกรรม แต่ประพฤติในศุภกรรมอยู่เสมอ ด้วยกาย วาจา ใจ ฯ นี้ที่บัณฑิตกำหนดไว้ว่าเป็นธรรมสองประการ ฯ (ต่อในบท ๒๓)

    นรกเปฺรตติรฺยคฺโภฺย
    ธรฺมาทสฺมาทฺ วิมุจฺยเต ฯ
    นฤษุ เทเวษุ จาปฺโนติ
    สุขศฺรีราชฺยวิสฺตรานฺ ฯ๑๓ฯ

    นรกปฺเปตติรจฺฉาเนหิ
    อสฺมา ธมฺมา วิมุจฺจติ
    นเรสุ เทเวสุ จ ปปฺโปติ
    สุขสิริรชฺชวิตฺถรํ ฯ

    (๒๓) เพราะธรรม (สองประการ)นี้ บุคคลย่อมพ้นจากกำเนิดนรกเปรตและดิรัจฉาน และย่อมถึงความไพศาลแห่งสุขสิริรและอานุภาพปานพระราชา ในหมู่หมุษย์และเทวนิกาย ฯ

    ธฺยานาปฺรมาณารูปฺไยสฺ ตุ
    พฺรหฺมาทฺยสุขมศฺนุเต ฯ
    อิตฺยภฺยุทยธรฺโม ยํ
    ผลํ จาสฺย สมาสตะ ฯ๒๔ฯ

    ฌานปฺปมญิญารูเปหิ
    พฺรหฺมาทิสุขํ อสติ
    อิจฺจพฺภุทยธมฺโมยํ
    ผลํ จสฺส สมาสโต ฯ

    (๒๔) ก็บุคคลย่อมเสวยสุขแห่งพรหมเป็นเบื้องหน้า เพราะรูปฌาน อัปปมัญญาภาวนา และอรูปฌาน ฯ นี้คือ อัภยุทัยธรรมและผลแห่งธรรมนั้น โดยสังเขปฉะนี้ ฯ

    ไนะเศฺรยสะ ปุนรฺ ธรฺมะ
    สูกฺษฺโม คมฺภีรทรฺศนะ ฯ
    พาลานามโศฺรตฺรวตา-
    มุกฺตสฺ ตฺราสกโร ชิไนะ ฯ๒๕ฯ

    เนสฺเสยฺยโส ปุน ธมฺโม
    สุขุโม คมภีรทสฺสโน
    พาลานํ อสฺสุตวตํ
    ชิเนหิ ตาสกโร วุตฺโตฯ

    (๒๕) อีกประการหนึ่ง เนสไสยสธรรม เป็นธรรมสุขุมปรากฏลึกซึ้ง พระชินะทั้งหลายว่าเป็นสภาพทำความหวาดหวั่นแก่พวกเขลาที่ขาดการสดับ ฯ

    บันทึก : พระนาคารชุนชี้ให้เห็นว่า อะไรเป็นความหลุดพ้นและทางซึ่งนำไปสู่ความหลุดพ้นนั้นคือปรัชญา ฯ ความหลุดพ้นนั้นเป็นความที่ว่างเปล่าจากทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งลึกโล่งโว่งลงไปคล้ายกับเป็นเหวลึกโว่งว่างจนแลไม่เห็นกัน น่าหวาดเสียวแก่ผู้ที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังเป็นพื้นไว้เลย ฯ เพราะฉะนั้น คำสอนของพระพุทธเจ้าจึงมักเขยิบความรู้ที่ละขั้นๆ เป็นพื้นฐานแก่ผู้ฟังเพื่อฝึกความรู้สึกให้หยั่งลงไปทีละน้อย ไม่วูบวาบที่เดียว วิธีนี้เรียกว่า อุปายเกาศลย์ ฯ-นัย ตุจจิ

    นาสฺมฺยหํ น ภวิษฺยามิ
    น เม ,สฺติ น ภวิษฺยติ ฯ
    อิติ พาลสฺย สนฺตฺราสะ
    ปณฺฑิตสฺย ภยกฺษยะ ฯ๒๖ฯ

    นาหมสฺมิ น ภวิสฺสสามิ
    น มตฺถิ น ภวิสฺสติ
    อิติ พาลสฺส สนฺตาโส
    ปณฺฑิตสฺส ภยกฺขโย ฯ

    (๒๖) คนเขลาย่อมเกิดหวั่นหวาดใจว่า “อันว่าเราไม่มีอยู่ อันว่าเราจักไม่มีเลย สำหรับไม่มีปัจจุบัน ไม่มีอนาคต” ฯ ส่วนบัณฑิต สิ้นความนึกกลัว ฯ

    อหํการปฺรตูเตยํ
    มมกาโรปสํหิตา ฯ
    ปฺรชา ปฺรชาหิไตกานฺต-
    วาทินา ,ภิหิตา ขิล ฯ๒๗ฯ

    อหํการปฺปสุตายํ
    มมํการูปสญฺหิตา
    ปชา ปชาหิเตกนฺต-
    วาทินา อภิหิตา กิร ฯ

    (๒๗) ท่านว่า พระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ประโยชน์เกื้อกูลโดยส่วนเดียวแก่ประชากร ก็ได้ตรัสไว้แล้วว่า ประชากรนี้เกิดมาจากอหังการ (ความสำคัญว่าตัวเรา) ประด้วยมมังการ (ความสำคัญว่าเป็นของเรา) ฯ

    อสฺตฺยหํ มม จาสฺตีติ
    มิถฺไยตตฺ ปรมารฺถตะ ฯ
    ยถาภูตปริชฺญานานฺ
    น ภวตฺยุภยํ ยตะ ฯ๒๘ฯ

    อตฺถิ มม จตฺถีติ
    มิจฺเฉตํ ปรมตถฺโต
    ยถาภูตปริญฺญาณา
    น โหติ อุภยํ ยโต ฯ

    (๒๘) ข้อว่า “มีตัวเราและเป็นของเรา” นี้ เป็นความสำคัญผิดโดยปรมัตถ์ ฯ เพราะว่าประชุมทั้งสองนี้ย่อมมีไม่ได้ หากรู้รอบคอบตามที่ปรากฏ ฯ

    บันทึก : “หากรู้รอบคอบตามที่ปรากฏ” ความหมายถึงอีกทางหนึ่งว่า เรื่องตัวตนที่จะกล่าวว่ามีได้ ก็เพียงเพราะเห็นสัจจะตามที่โลกหมายเอาเอง คือสํวฤติสัตย โลกสัตย พยวหารสัตย ฯ –ตุจจิ. สํวฤติสัตย ใช้ตรงกับบาลีว่า สมมุติสัจจะ ฯ สํวฤติ คือ สํ-วฤ (ในความปิด,กั้น,ที่ลง อ ปัจจัยเป็นสํวร) กับติ ปัจจัย ฯ สํวฤติสัตย ว่าสัจจะโดยกำหนดเอา โลกสัตย ว่าสัจจะตามคดีโลก พยวหารสัตย ว่าสัจจะโดยที่ชินกัน ฯ

    อหํกาโรทฺภวาะ สฺกนฺธาะ
    โส ,หํกาโร ,นฤโต ,รฺถตะ ฯ
    พีชํ ยสฺนานฤตํ ตสฺย
    ปฺรโรหะ สตฺยตะ กุตะ ฯ๒๙ฯ

    อหํการุพภวา ขนฺธา
    โสหํกาโร (อนฤโต) อตฺถโต
    พีชํ ยสฺส (อนฤตํ) ตสฺส
    ปโรโห สจฺจโต กุโต ฯ

    (๒๙) ขันธ์ (ทั้งห้ามีอหังการเป็นแดนเกิดขึ้น ฯ ก็อหังการ (ความสำคัญว่าตัวเรา) นั้น ไม่จริงเลยโดยปรมัตถ์ ฯ อันว่าพืชแห่งสิ่งใดไม่แท้แล้ว จะหาหน่อแห่งสิ่งนั้นให้จริงมาแต่ไหน ฯ

    บันทึก : อนฤต : น,ฤ(ธาตุ), ต ปัจจัย ฯ ฤ ในความไป เคลื่อนไป แผ่ไป ที่ในบาลีใช้ว่าทุกฺขํ อติจฺจ อิริยติ อิริยาปถ ฯ อนฤต เป็นไปไม่ได้ คือไม่จริง ฯ

    สฺกนฺธานสตฺยานฺ ทฤษฺไฏวว-
    มหํการะ ปฺรหียเต ฯ
    อหํการปฺรหาณาจฺ จ
    น ปุนะ สฺกนฺธสมฺภวะ ฯ๓๐ฯ

    ขนฺเธ อสจฺเจ ทิเสฺววํ
    อหํกาโร ปหิยฺยติ
    อหํการปฺปหานา จ
    น ปุน ขนฺธสมฺภโว ฯ

    (๓๐) เมื่อเห็นขันธ์ (ทั้งห้า) ว่าไม่จริงฉะนี้แล้วก็ย่อมละอหังการเสียได้ ฯ และเพราะประหาณอหังการนั้น ขันธสมภพหาปรากฏอีกไม่เลย ฯ

    ยถาทรฺศมุปาทาย
    สฺวมุขปฺรติพิมฺพกํ ฯ
    ทฤศฺยเต นาม ตจฺไจวํ
    น กิญฺจิทปิ ตตฺตฺวตะ ฯ๓๑ฯ

    ยถาทาสมุปาทาย
    สมุขปฏิพิมฺพกํ
    ทิสฺสติ นาม ตญฺเจวํ
    น กิญฺปิ อปิ ตตฺตโต ฯ

    (๓๑) เหตุยกแว่นส่องดู เงาหน้าของตนจึงนับว่าปรากฏ ฯ แต่ตัวเงาไม่มีจริงเช่นนั้นแม้น้อยหนึ่ง ฉันใต ฯ

    อหํการสฺ ตถา สฺกนฺธา-
    นุปาทาโยปลภฺยเต ฯ
    น จ กศฺจิตฺ ส ตตฺเตฺวน
    สฺวมุขปฺรติพิมฺพวตฺ ฯ๓๒ฯ

    อหํกาโร ตถา ขนฺเธ
    อุปาทายูปลพฺภติ
    น จ ตตฺเตน โส โกจิ
    สมุขปฏิพิมฺพิว ฯ

    (๓๒) อหังการก็ฉันนั้น อาศัยขันธ์จึงปรากฏ ฯ แต่ตัวอหังการไม่มีจริงสักน้อยเลย เสมือนกับเงาหน้าของตน ฯ

    ยถาทรฺศมนาทาย
    สฺวมุขปฺรติพิมฺพกมฺ ฯ
    น ทฤศฺยเต ตถา สฺกนฺธา-
    นนาทายาหมิตฺยปิ ฯ๓๓ฯ

    ยถาทาสมนาทาย
    สมุขปฏิพิมฺพกํ
    น ทิสฺสติ ตถา ขนฺเธ
    อนาทายาหมิจฺจปิ ฯ

    (๓๓) เหตุไม่ถือแว่นส่องดู ย่อมไม่ปรากฏเงาหน้าของตน ฉันใด ฯ เมื่อไม่ยึดถือขันธ์ ความสำคัญว่าตัวเราก็ไม่ปรากฏ ฉันนั้น ฯ

    เอวํวิธารฺถศฺรวณาทฺ
    ธรฺมจกฺษุรวาปฺตวานฺ ฯ
    อารฺยานนฺทะ สฺวยํ ไจว
    ภิกฺษุโภฺย ,ภีกฺษฺณมุกฺตวานฺ ฯ๓๔ฯ

    เอวํวิธตฺถสฺสวนา
    ธมฺมจกฺขุ۫ (อวาปฺตวาน)
    อริยานนฺโท สยญฺเจว
    ภิกฺขูนํ อภิณฺหํ วุตฺตวา ฯ

    (๓๔) เพราะสดับเนื้อความมีประการดังนี้ พระอริยเจ้าอานนท์จึงบรรลุธัมมจักขุ และตัวท่านเองก็ได้แสดงแล้วเนืองๆ แก่ภิกษุทั้งหลาย ฯ

    บันทึก : อวาปฺตสานฺ อว,อาปฺ(ธาตุ) ตวนฺตุปัจจัย ปฐมาเอกวจนะ ฯ อาปฺ(ในความถึง) ที่ในบาลีใช้ ป เป็นบทหน้าเช่น ปาปุณาติ ปปฺโปติ, สํ. ปฺราปฺโณติ ฯ อุกฺตวานฺ วุจฺ(ในความกล่าว) ตวนฺตุปัจจัย ปฐมาเอกวจนะ ฯ

    สฺกนฺธคฺราโห ยาวทสฺติ
    ตาวเทวาหมิตฺยปิ ฯ
    อหํกาเร สติ ปุนะ
    กรฺม ชนฺม ตตะ ปุนะ ฯ๓๕ฯ

    ขนฺธคฺคาโห ยาว อตฺถิ
    ตาวเทวาหมิจฺจปิ
    อหํกาเร สติ ปุน
    กมฺมํ ชาติ ตโต ปุน ฯ

    (๓๕) มีการยึดขันธ์อยู่ตราบใด ความสำคัญว่าตัวเราก็มีถึงตราบนั้นทีเดียว ฯ เมื่อมีอหังการอยู่อีก กรรมและชาติก็ออกจากนั้นไปใหม่ ฯ

    ตฺริวรฺไมตทนาทฺยนฺต-
    มธฺยํ สํสารมณฺฑลมฺ ฯ
    อลาตมณฺฑลปฺรขฺยํ
    ภฺรมตฺยนฺโยนฺยเหตุกมฺ ฯ๓๖ฯ

    ติวฏมํ เอตํ อนาทิอนฺต-
    มชฺฌํ สํสารมณฺฑลํ
    อลาตมณฺฑลปกฺขํ
    ภมติ อญโญญฺญเหตุกํ ฯ

    (๓๖) วงกลมแห่งสังสารนี้ ไม่มีเบื้องต้นที่สุดและท่ามกลางย่อมหมุน เหมือนไฟปลายฟืนที่หมุนติ้ว มีทางสามสายเป็นเหตุแก่กันและกัน ฯ

    บันทึก : ทางสามสายคืออหังการ กรรม ชาติ พอจะตรงกับไตรวัฏ คือกิเลส กรรม วิบาก ฯ วฏุมํ อภิธานนฺปทีปิกา บท ๑๙๐ ว่าทาง ทางสามสายนี้ รูปร่างจะต้องต่อถึงกันเป็นวงกลม เป็นอย่างกงเวียนซึ่งใช้ฝักมะขามเพียงสามชิ้น จึงส่งเหตุผลสืบต่อกันและกันได้ ฯ ปฺรขฺยํ ปฺร ขฺยา(ในความเห็น) ที่ในบาลีใช้ว่า ปกฺขาติ ในทีฆนิกายเล่ม ๒ หน้า ๙๙ ฯ ในมิลิทปัญหามีว่า มาตุปกฺขํ เหมือนมารดา ฯ เมื่อจับฟืนที่มีไฟติดอยู่ข้างหนึ่ง หมุนให้บรรจบรอบโดยเร็ว แม้ไฟติดอยู่ปลายฟืนเพียงนิดเดียว ก็เห็นเป็นวงไฟ อันไม่มีต้นกลางและปลาย ฉันใด สังสารวัฏก็เช่นเดียวกัน ฯ

    สฺวปโรภยตสฺ ตสฺย
    ไตฺรกาลฺยโต ,ปฺยปฺราปฺติตะ ฯ
    อหํการะ กฺษยํ ยาติ
    ตตะ กรฺม จ ชนฺม จ ฯ๓๗ฯ

    สปรูภยโต ตสฺส
    เตกาลิกโตปิ อปตฺติโต
    อหํกาโร ขยํ ยาติ
    ตโต กมฺมํ จ ชาติ จ ฯ

    (๓๗) เพราะความที่อหังการนั้น ใครๆไม่อาจแสดงให้เห็นได้ว่ามีขึ้นโดยตัวเอง หรือโดยผู้อื่น หรือโดยทั้งตัวเองและผู้อื่นร่วมกันทั้งสอง หรือว่ามีขึ้นในสามกาล อหังการจึงถึงความสิ้นไปได้ แต่นั้น ก็กรรมและชาติ ฯ

    เอวํ เหตุผโลตฺปาทํ
    ปศฺยํสฺ ตตฺกฺษยเมว จ ฯ
    นาสฺติตามสฺติตำ ไจว
    ไนติ โลกสฺย ตตฺตฺวตะ ฯ๓๘ฯ

    เอวํ เหตุผลุปฺปาทํ
    ปสฺสํ ตกฺขยเมว จ
    นตฺถิตํ อตฺถิตํ เจว
    เนติ โลกสฺส ตตฺตโต ฯ

    (๓๘) บัณฑิต เห็นความเกิดแห่งเหตุและผล และความสิ้นไปแห่งมันนั้นเอง ด้วยประการฉะนี้อยู่ ย่อมไม่ถึงซึ่งความเห็นว่าโลกไม่มีหรือมี ได้ตามที่เป็นจริง ฯ

    http://board.agalico.com/showthread.php?t=26157
    ก่อนเกิดใครเป็นเรา<br />เมื่อเกิดแล้วเราเป็นใคร<br /><br />สิ่งที่ทำอยู่คือกรรมใหม่<br />ผลที่ได้รับคือกรรมเก่า<br /><br />ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน<br />มองในสิ่งที่ไม่เห็น<br />ทำในสื่งที่ไม่มี