ส่งสาวกไปประกาศพระศาสนา (แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒)
เมื่อสาวกมีมากถึง ๖๐ รูป จึงส่งสาวกไปประกาศศาสนา เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวโลก ด้วยพระดำรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เราได้พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ ท่านทั้งหลายจงเที่ยวไปในชนบท เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนเป็นอันมาก แต่อย่าไปทางเดียวกัน ๒ รูป จงแสดงธรรมที่งามในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด (ศีล-สมาธิ-ปัญญา) เพราะผู้ที่รู้ธรรมมีอยู่ แม้เราก็จะไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคมเพื่อแสดงธรรมเช่นกัน
ทรงอนุญาตการอุปสมบทแก่สงฆ์
พระสงฆ์ ๖๐ รูป ที่ส่งไปประกาศศาสนา ไม่สามารถทำการอุปสมบทกุลบุตรที่เลื่อมใสปรารถนาจะบวชได้ ต้องพามาเฝ้าพระศาสดาให้ทรงอุปสมบทให้ ทำให้ได้รับความลำบากในการไป-มา พระองค์จึงทรงอนุญาตให้พระสงฆ์บวชกุลบุตรได้ เรียกการบวชนี้ว่า ติสรณคมนูปสัมปทา โดยให้ผู้ต้องการบวชปลงผม-หนวด-คิ้ว แล้วกล่าวคำปฏิญาณว่า ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นสรณะ ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ ผู้บวชด้วยวิธีนี้เป็นคนแรกคือ พระปุณณมันตานีบุตร มีพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นอุปัชฌาย์ ทำให้การอุปสมบทเกิดขึ้น ๒ วิธี คือ
เอหิภิกขุอุปสัมปทา พระศาสดาประทานเอง
ติสรณคมนูปสัมปทา ทรงอนุญาตแก่สาวก
พบภัททวัคคีย์
พระพุทธเจ้าเสด็จไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ เพื่อโปรดชฎิล ๓ พี่น้อง ระหว่างทางทรงประทับใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ที่ไร่ฝ่าย พบภัททวัคคีย์กุมาร ๓๐ คน โอรสของพระเจ้าปเสนทิโกศล เมืองสาวัตถี กำลังตามหาหญิงคนหนึ่ง ทรงถามว่า จะแสวงหาตนดีหรือแสวงหาหญิงดี ทั้งหมดรับว่า แสวงหาตนดี จึงแสดงอนุปุพพิกถาและอริสัจ ๔ โปรดทั้งหมดบรรลุธรรมขั้นสูงสุดไม่เกินขั้นอนาคามี ทรงประทานอุปสมบทให้แล้ว ส่งไปประกาศศาสนายังเมืองปาวา หรือปาฐา ทางตอนใต้ของแคว้นโกศล เป็นรุ่นที่ ๒ (พระภัททวัคคีย์ต่อมาได้ฟังธรรมชื่อ อนมตัคคสูตร ได้สำเร็จพระอรหันต์ทั้งหมด) แล้วเสด็จไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อโปรดชฎิล ๓ พี่น้อง คณาจารย์ใหญ่แห่งลุ่มน้ำเนรัญชราต่อไป
โปรดชฎิล ๓ พี่น้อง
ชฎิล คือ นักบวชนอกศาสนา เกล้าผมเป็นกระเซิง บูชาไฟ มี ๓ พี่น้อง คือ
๑. อุรุเวลกัสสปะ มีบริวาร ๕๐๐ คน ตั้งอาศรมอยู่ริมแม่น้ำเนรัญชรา
๒. นทีกัสสปะ มีบริวาร ๓๐๐ คน ตั้งอาศรมอยู่แม่น้ำคงคา
๓. คยากัสสปะ มีบริวาร ๒๐๐ คน ตั้งอาศรมอยู่ ตำบลคยาสีสะ
ทรงโปรดชฎิล ๓ พี่น้องด้วยพระธรรมเทศนา ชื่อ อาทิตตปริยายสูตร ณ ตำบลคยาสีสะ จนบรรลุพระอรหันต์ทั้งหมด(๑,๐๐๓ รูป)
ใจความย่อของอาทิตตปริยายสูตร
กล่าวถึงไฟ ๓ กอง คือ ๑.ราคัคคิ ไฟคือราคะ ๒. ไทสัคคิ ไฟคือโทสะ ๓. โมหัคคิ ไฟคือโมหะ ที่เกิดจากการกระทบกันระหว่างอายตนะภายในกับอายตนะภายนอก ทำให้จิตใจเร่าร้อนเพราะเพลิงกิเลส
โปรดพระเจ้าพิมพิสาร
พระพุทธเจ้าทรงพาพระชฏิล ๑,๐๐๓ รูป เสด็จไปยังเมืองราชคฤห์ โดยมีพระประสงค์ ๒ ประการคือ
๑ เพื่อประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้มั่นคงในแคว้นมคธ
๒ เพื่อเปลื้องปฏิญาณที่ประทานแก่พระเจ้าพิมพิสาร
ประทับอยู่ที่ลัฏฐิวัน สวนตาลหนุ่มทางทิศตะวันตกของเมืองราชคฤห์ พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยข้าราชบริพาร ๑๒ นหุต (๑ นหุต เท่ากับ ๑ หมื่น) เข้าเฝ้า บริวารบางคนแสดงอาการไม่เคารพ เพราะไม่ทราบว่าระหว่างพระพุทธเจ้ากับอุรุเวลกัสสปะ ใครคือศาสดากันแน่ พระพุทธเจ้าจึงตรัสให้พระอุรุเวลกัสสปะลุกขึ้นชี้แจงให้ทุกคนทราบ พระอุรุเวลกัสสปะจึงประกาศว่า พระองค์เป็นศาสดาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นสาวกผู้ฟังคำสอนของพระองค์ ทุกคนจึงสิ้นสงสัยพากันแสดงความเคารพพระพุทธเจ้า ทรงแสดงอนุปุพพิกถาและอริสัจ ๔ โปรดพระเจ้าพิมพิสารและข้าราชบริพารบรรลุโสดาปัตติผล ๑๑ นหุต อีก ๑ นหุต ตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์
ความปรารถนาของพระเจ้าพิมพิสาร ๕ อย่าง
๑. ขอให้อภิเษกเป็นพระเจ้าแผ่นดินในแคว้นมคธนี้
๒. ขอให้พระอรหันต์เสด็จมาสู่แคว้น
๓. ขอให้ได้นั่งใกล้พระอรหันต์นั้น
๔. ขอให้พระอรหันต์แสดงธรรม
๕. ขอให้รู้ธรรมของพระอรหันต์นั้น