พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้มักโอ่รูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
เรื่องของภิกษุนั้น เช่นกับเรื่องที่กล่าวแล้วในหนหลัง นั่นแล แปลกแต่ว่า
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นเศรษฐีผู้มีสมบัติมาก ภรรยาของท่านคลอดกุมาร แม้ทาสีของท่านก็คลอดบุตรในวันนั้นเหมือนกัน เด็กทั้งสองนั้นเติบโตมาด้วยกันทีเดียว เมื่อบุตรท่านเศรษฐีเรียนหนังสือก่อน แม้ลูกทาสของท่านก็ถือกระดานชนวนตามไป พลอยศึกษาหนังสือกับบุตรเศรษฐีนั้นด้วย ได้เขียนอ่านสองสามครั้ง ลูกทาสนั้นก็ฉลาดในถ้อยคำ ฉลาดในโวหารโดยลำดับ เป็นหนุ่มมีรูปงามชื่อ กฏาหกะ เขาทำหน้าที่เป็นเสมียนคลังพัสดุ ในเรือนของท่านเศรษฐี
กฏาหกะดำริว่า คนเหล่านี้คงจะไม่ใช้ให้เรากระทำหน้าที่เป็นเสมียนคลังพัสดุตลอดไป พอเห็นโทษอะไร ๆ เข้าหน่อย ก็คงจะเฆี่ยน จองจำ ทำตราเครื่องหมาย แล้วก็ใช้สอยทำนองทาสต่อไป ก็ที่ชายแดนมีเศรษฐี ผู้เป็นสหายของท่านเศรษฐีอยู่ ถ้ากระไร เราถือหนังสือด้วยถ้อยคำของท่านเศรษฐีไปในที่นั้น บอกว่าเราเป็นลูกท่านเศรษฐี ลวงเศรษฐีนั้นแล้วขอธิดาของท่านเศรษฐีเป็นคู่ครอง พึงอยู่อย่างสบาย เขาถือหนังสือไปด้วยตนเอง เขียนว่า ข้าพเจ้าส่งลูกชายของข้าพเจ้า ชื่อโน้น ไปสู่สำนักของท่าน ขึ้นชื่อว่าความสัมพันธ์ฐานเกี่ยวดองกัน ระหว่างข้าพเจ้ากับท่าน และระหว่างท่านกับข้าพเจ้า เป็นการสมควร เพราะฉะนั้น ขอท่านได้โปรดยกธิดาของท่านให้แก่ทารกนี้ แล้วให้เขาอยู่ในที่นั้นแหละ แม้ข้าพเจ้าได้โอกาสแล้ว จึงจะมา ดังนี้ แล้วเอาตราของท่านเศรษฐี นั่นแหละประทับ ถือเอาเสบียง และของหอม กับผ้าเป็นต้น ไปตามชอบใจ ไปสู่ปัจจันตชนบท พบท่านเศรษฐี ไหว้แล้วยืนอยู่ ครั้งนั้นท่านเศรษฐีถามเขาว่า มาจากไหนเล่า พ่อคุณ ?
ตอบว่า มาจากพระนครพาราณสี
ถามว่า พ่อเป็นลูกใคร ?
ตอบว่า เป็นบุตรของพาราณสีเศรษฐีขอรับ
ถามว่า มาด้วยต้องการอะไร เล่า พ่อคุณ ?
ในขณะนั้น กฏาหกะก็ให้หนังสือ พร้อมกับกล่าวว่า ท่านดูหนังสือนี้แล้วจักทราบ ท่านเศรษฐีอ่านหนังสือแล้ว ดีใจว่า คราวนี้เราจะอยู่อย่างสบายละจัดแจงยกธิดาแต่งให้ บริวารของท่านเศรษฐีมีเป็นอันมาก ในเมื่อมีผู้น้อมนำยาคูและของเคี้ยว เป็นต้นเข้าไปให้ หรือน้อมนำผ้าที่อบด้วยของหอมใหม่ ๆ เข้าไปให้ ก็ติเตียนข้าวยาคูเป็นต้นว่า โธ่เอ๋ย คนบ้านนอกต้มยาคูกันแบบนี้ ทำของเคี้ยวก็อย่างนี้ หุงข้าวกันแบบนี้เอง ติเตียนผ้าและ กรรมกรเป็นต้นว่า เพราะเป็นคนบ้านนอกนั่นเอง พวกคนเหล่านี้ จึงไม่รู้จักใช้ผ้าใหม่ ๆ ไม่รู้จักอบของหอม ไม่รู้จักร้อยกรองดอกไม้.
พระโพธิสัตว์เมื่อไม่เห็นทาส ก็ถามว่า กฏาหกะ เราไม่พบหน้าเลย มันไปไหน ช่วยกันตามมันทีเถิด ดังนี้แล้วใช้ให้คนเที่ยวหาโดยรอบ บรรดาคนเหล่านั้น คนหนึ่งไปที่นั้นเห็นเขาแล้ว จำเขาได้ เขาไม่รู้ว่าตนมา ไปบอกแก่พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ ฟังเรื่องนั้นแล้วคิดว่า มันทำไม่สมควรเลย ต้องไปจับมากราบทูลพระราชา จึงออกจากบ้านไปด้วยบริวารเป็นอันมาก ข่าวก็ปรากฏไปทั่วว่า ท่านเศรษฐีจะไปสู่ปัจจันตชนบท กฏาหกะได้ยินว่า ท่านเศรษฐีมา คิดว่าท่านคงไม่มาด้วยเรื่องอื่น ต้องมาด้วยเรื่องเรานั่นแหละ ก็ถ้าเราจักหนีไปเสีย จักไม่อาจกลับมาได้อีก ก็อุบายนั้นยังพอมี เราต้องไปพบกับท่านผู้เป็นนาย แล้วกระทำกิจของทาส ทำให้ท่านโปรดปรานให้จนได้ นับแต่นั้น เขากล่าวอย่างนี้ในท่ามกลางบริษัทว่า พวกคนพาลอื่น ๆ ไม่รู้คุณของมารดาบิดา เพราะตนเป็นคนพาล ในเวลาที่ท่านบริโภค ก็ไม่กระทำความนอบน้อม บริโภครวมกับท่านเสียเลย ส่วนเราในเวลามารดาบิดาบริโภค ย่อมคอยยกสำรับเข้าไป ยกกระโถนเข้าไป ยกของบริโภคเข้าไปให้ บางทีก็หาน้ำดื่มให้ บางทีก็พัดให้ เข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ ดังนี้แล้ว ประกาศกิจที่พวกทาสต้องกระทำแก่นายทุกอย่าง ตลอดถึงการถือกระออมน้ำไปในที่ลับ ในเวลาที่นายถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ครั้นให้บริษัทกำหนดอย่างนี้แล้ว เวลาที่พระโพธิสัตว์มาใกล้ปัจจันตชนบท ก็บอกกับเศรษฐีผู้เป็นพ่อตาว่า คุณพ่อครับ ได้ยินว่า บิดาของผมมา เพื่อพบคุณพ่อ คุณพ่อโปรดให้เขาเตรียมขาทนียโภชนียาหารเถิดครับ ผมจักถือเอาเครื่องบรรณาการสวนทางไป พ่อตาก็ รับคำว่า ดีแล้วพ่อ.
กฏาหกะถือเอาบรรณาการไปเป็นอันมาก เดินทางไปพร้อมด้วยบริวารกลุ่มใหญ่ ไหว้พระโพธิสัตว์แล้วให้บรรณาการ ฝ่ายพระโพธิสัตว์รับบรรณาการ กระทำปฏิสันถารกับเขา ถึงเวลาบริโภคอาหารเช้า ก็ให้ตั้งกองพัก แล้วเข้าไปสู่ที่ลับเพื่อถ่ายสรีรวลัญชะ กฏาหกะให้บริวารของตนกลับแล้วถือกระออมน้ำ ไปสำนักพระโพธิสัตว์ เมื่อเสร็จอุทกกิจแล้ว ก็หมอบที่เท้าทั้งสอง กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นนาย กระผมจักให้ทรัพย์แก่ท่าน เท่าที่ท่านปรารถนา โปรดอย่าให้ยศของกระผมเสื่อมไปเลย ขอรับ
พระโพธิสัตว์เลื่อมใสในความสมบูรณ์ด้วยวัตรของเขา ปลอบโยนว่า อย่ากลัวเลย อันตรายจากสำนักของเราไม่มีแก่เจ้าดอก แล้วเข้าสู่ปัจจันตนคร สักการะอย่างมากได้มีแล้ว ฝ่ายกฏาหกะก็กระทำกิจที่ทาสต้องทำแก่ท่านตลอดเวลา ครั้งนั้น ปัจจันตเศรษฐีกล่าวกะพระโพธิสัตว์ผู้นั่งอย่างสบายในเวลาหนึ่งว่า ข้าแต่ท่านเศรษฐี พอผมเห็นหนังสือของท่านเข้าเท่านั้น ก็ยกบุตรสาวให้แก่บุตรของท่านทีเดียว พระโพธิสัตว์ก็กระทำ กฏาหกะให้เป็นบุตรเหมือนกัน กล่าวถ้อยคำเป็นที่รักอันคู่ควรกัน ให้เศรษฐียินดีแล้ว ตั้งแต่นั้นก็ไม่มีใครสามารถมองหน้ากฏาหกะ ได้เลย
อยู่มาวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์เรียกธิดาเศรษฐีมาหากล่าวว่า มานี่เถิดแม่คุณ ช่วยหาเหาบนศีรษะของเราหน่อยเถิด ดังนี้แล้ว กล่าวถ้อยคำอันเป็นที่รักกะนางผู้มายืนหาเหาให้ ถามว่า แม่คุณ ลูกของเราไม่ประมาทในสุขทุกข์ของเจ้าดอกหรือ เจ้าทั้งสองครองรักสมัครสมานกันดีอยู่หรือ ?
นางตอบว่า ข้าแต่คุณพ่อ มหาเศรษฐีบุตรของท่านไม่มีข้อตำหนิอย่างอื่นดอก นอกจาก จะคอยจู้จี้เรื่องอาหารเท่านั้น
ท่านเศรษฐีกล่าวว่า แม่คุณ เจ้าลูก คนนี้ มีปกติกินยากเรื่อยมาทีเดียว เอาเถิด พ่อจะให้มนต์สำหรับ ผูกปากมันไว้แก่เจ้า เจ้าจงเรียนมนต์นั้นไว้ให้ดี เมื่อลูกเราบ่น ในเวลากินข้าวละก็ เจ้าจงยืนกล่าวตรงหน้า ตามข้อความที่เรียนไว้ แล้วให้นางเรียนคาถา พักอยู่สองสามวัน ก็กลับพระนครพาราณสีตามเดิม ฝ่ายกฏาหกะขนขาทนีย โภชนียาหารมากมาย ตามไปส่งให้ทรัพย์เป็นอันมากแล้วกราบลากลับ ตั้งแต่เวลาที่พระโพธิสัตว์กลับไปแล้ว เขายิ่งเย่อหยิ่งมากขึ้น วันหนึ่ง เมื่อ ธิดาเศรษฐีน้อมนำโภชนะมีรสเลิศต่าง ๆ เข้าไปให้ ถือทัพพี คอยปรนนิบัติอยู่ เขาเริ่มติเตียนอาหาร เศรษฐีธิดาจึงกล่าวคาถานี้ ตามทำนองที่เรียนแล้ว ในสำนักของพระโพธิสัตว์ ว่า : [BLOCKQUOTE]"ผู้ใดไปสู่ชนบทอื่น ผู้นั้นพึงกล่าวอวดแม้มากมาย
ดูก่อนกฏาหกะ เจ้าของเงินจะติดตามมาประทุษร้ายเอา
เชิญท่านบริโภคอาหารเสียเถิด" ดังนี้.
[/BLOCKQUOTE]
อธิบายว่า
ผู้ใดไปสู่ชนบทอื่น จากชาติภูมิของตน ในที่ใดไม่มีคนรู้กำเนิดของเขา ผู้นั้นพึงจู้จี้ คือกล่าวคำข่มแม้ มากก็ได้.
เพราะย้อนทางไปทำกิจของทาสให้แก่นายแล้ว เจ้าจึงพ้นจากการถูกเฆี่ยนด้วยหวาย และการตีตราทำเครื่องหมายทาสไปคราวหนึ่งก่อน ถ้าเจ้าขืนทำไม่ดีในคราวหลัง นายของเจ้าเขาย้อนกลับมาตามประทุษร้ายเจ้าอีกได้ เหตุนั้น กฏาหกะเอ๋ย เจ้าจงละความประพฤติไม่ดีนี้เสีย บริโภคโภคะทั้งหลายเถิด อย่าทำให้ความเป็นทาสของตน ปรากฏแล้วเป็นผู้ต้องเดือดร้อนในภายหลังเลย
ส่วนธิดาเศรษฐี ไม่รู้ความหมายนั้น กล่าวได้คล่องแต่พยัญชนะ ตามข้อที่เรียนมาเท่านั้น กฏาหกะคิดว่า ท่านเศรษฐีบอกเรื่องโกงของเราแล้ว คงบอกเรื่องทั้งหมดแก่นางนี้แล้วเป็นแน่ ตั้งแต่นั้นก็ไม่กล้าติเตียนภัตรอีก ละมานะได้ บริโภคตามมีตามได้ ไปตามยถากรรม.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า กฏาหกะในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุผู้มักโอ้อวด ส่วนพาราณสีเศรษฐีได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ กฏาหกชาดก
<!-- / message -->