ปิตามาตาอัญชลี & คีตะมาตา

กระทู้: ปิตามาตาอัญชลี & คีตะมาตา

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. รูปส่วนตัว ทั่นยาย

    ทั่นยาย said:

    Re: ปิตามาตาอัญชลี & คีตะมาตา

    " รักแม่เท่าดวงใจ "

    เด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณสองขวบเศษ ช่างพูดช่างถาม
    จนคุณแม่รำคาญ เลยแก้เกมลูกสาวตัวน้อยโดยเป็นฝ่ายยิงคำถามบ้าง
    เมื่อถูกถามว่า " รักแม่มากแค่ไหนจ๊ะ " แม่หนูน้อยก็ตอบโดยไม่ต้องคิดว่า
    "รักแม่จ๋าเท่าจักรวาล" อ้างปากกว้างพอที่ปลาวาฬจะเข้าไปได้ทั้งตัว
    พร้อมกางมือกางแขนป้อมๆออกให้กว้างที่สุดเท่าที่จะกว้างได้
    แม่มักจะถามคำถามเดิมซ้ำๆกันอยู่เสมอ แต่น่าแปลกยิ่งนัก แม้จะเป็นคำถามเดิมๆ
    แต่คำตอบกลับไม่เหมือนเดิมเลยสักครั้งเดียว เพราะจากวันนั้นที่เธอเคยบอกว่า
    "รักแม่จ๋าเท่าจักรวาล" แต่วันต่อมาเธอบอกว่า " รักแม่จ๋าเท่าโลกเลย" แถมทำ
    ท่าประกอบแบบเดิมคือกางมือออกจนสุดแขนดูเหมือนจะใหญ่เท่ากับจักรวาลนั่นแหล่ะ
    และเมื่อถูกถามคำถามเดิมในครั้งต่อๆมาเธอก็ตอบว่า "รักแม่จ๋าเท่าฟ้าเลย"
    " รักแม่จ๋าเท่าบ้านเลย " เอ..รู้สึกว่าความรักมันชักจะหดเล็กลงทุกทีๆเลยนะนี่
    จนผู้เป็นแม่เริ่มกังวลว่า ต่อไปหนูจะเหลือความรักให้แม่สักเท่าไหนหนอ
    จะเล็กกว่าเม็ดทราย หรือไม่เหลือเลยหรือเปล่าหนอ แล้วคำตอบก็เป็นดังที่แม่
    ได้คาดคิดไว้จริงๆเสียด้วยซี เพราะคำตอบของเธอแต่ละครั้งนั้น จะรักแม่เล็กลง
    หรือน้อยลงเรื่อยๆ จากรักเท่าบ้าน ก็เป็นรักเท่ารถ รักเท่ามุ้ง รักเท่าเตียง รักเท่าโอ่ง
    รักเท่ากะทะ รักเท่าจาน..ฯลฯ
    และในที่สุดความรักของเธอก็เหลือแค่......รักแม่เท่าดวงใจ...

    ทั่นยาย 09/04/09

    เพลง : รักหม่าม้า
    ศิลปิน : กลุ่มเด็กน้อยเสียงใส

    http://music.gmember.com/player/html...gid=0200808101

    เช้าวันหนึ่งวันนั้น วันหนึ่งวันนั้น เจ็ดนาฬิกา
    หนูกระโดดออกมา ก็บอกว่ารัก รักหม่าม้าคนเดียว
    หม่าม้าก็บอกว่ารัก ก็บอกว่ารัก รักหนูคนเดียว
    คนอื่นก็ไม่แลเหลียว ก็บอกว่ารัก รักหม่าม้าคนเดียว
    เช้าวันหนึ่งวันนั้น วันหนึ่งวันนั้น เจ็ดนาฬิกา
    หนูกระโดดออกมา ก็บอกว่ารัก รักหม่าม้าคนเดียว
    หม่าม้าก็บอกว่ารัก ก็บอกว่ารัก รักหนูคนเดียว

    คนอื่นก็ไม่แลเหลียว ก็บอกว่ารัก รักหม่าม้าคนเดียว
    ลันลันลันลันลา ลันลันลันลันลา ลันลันลันลันลา
    ลันลันลันลันลา ลันลันลันลันลา ลันลันลันลันลา
    ลันลันลันลันลา ลันลันลันลันลา


     
  2. รูปส่วนตัว ทั่นยาย

    ทั่นยาย said:

    Re: ปิตามาตาอัญชลี & คีตะมาตา

    สวัสดีค่ะ ญาติธรรมทุกท่าน

    ทั่นยายได้อ่านเจอเรื่องราวที่ลูกคือ คุณพิง ลำพระเพลิง เขียนถึงแม่ได้อย่างน่ารัก
    น่าเอ็นดูมากๆเชียวค่ะเชื่อว่าใครได้อ่านก็ต้องคิดถึงแม่อยากกอดแม่เหมือนทั่นยายแน่ๆเลยค่ะ
    และที่สำคัญจะรักแม่มากขึ้นด้วยค่ะ อยากบอกแม่ว่า แม่คือคนดีที่หนึ่งในดวงใจ..
    รักแม่ที่สุดในโลกเลยค่ะ ( รองจากพ่อนิ๊ดดดดดดดดเดียว อิ อิ )
    จึงขออนุญาตินำบทความนี้มาลงไว้ ณ ที่นี้ด้วย เพื่อเป็นการเทิดทูนพระคุณแม่
    และขอยกย่องผู้เขียนว่าเขียนได้อย่างยอดเยี่ยมมากค่ะ


    พิง ลำพระเพลิง เขียนถึงแม่ “ค่าน้ำนม”

    ถ้าให้จัดเรียงความสำคัญของ ’ผู้หญิง’ ในชีวิตเรามาสามอันดับแรก น่าเป็นดังนี้
    อันดับที่หนึ่ง คือ “แม่”
    อันดับที่สอง คือ “แม่”
    อันดับที่สาม คือ “แม่”
    ใช่ครับ ผมกำลังจะพูดถึง “แม่” สิ่งที่เราทุกคนรู้กันดีอยู่แล้ว แต่ว่าอาจมีบ้างบางครั้ง

    ที่เราหลงลืมไป จนขาดความใส่ใจกับบุคคลใกล้ตัวท่านนี้ จำได้มั๊ยครับ
    ครั้งสุดท้ายที่คุณกอดแม่น่ะเมื่อไหร่? อย่าบอกนะว่าคุณอายุมากเกินไปแล้ว...
    เป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครแก่เกินกว่าจะกอดแม่หรอก ผมอยากอวดแม่ของผมครับ
    แม่ผมเป็นคนบ้านนอก เชยๆ ผมชอบนั่งแอบมองแม่เวลาแกเผลอ หล่อนอยากทำอะไร

    ผมก็ปล่อยให้แกทำ ล่าสุดนี่เธอเหยาะน้ำยาปรับผ้านุ่มลงไปในน้ำสุดท้ายของการอาบน้ำให้หมาด้วย
    ด้วยเหตุผลของคนซื่อ คือเธอบอกว่า ทำตั้งหลายครั้งแล้ว ก็ไม่เห็นหมามันบ่นอะไร
    แม่ผมเรียนมาน้อย เรียกว่าไม่ได้เรียนเลยก็เกือบจะว่าได้ เธอศึกษาทุกอย่างด้วยการจำ

    เห็นเขาพูดเขาทำอะไรในโฆษณาก็พยายามเอามาใช้กับลูกชาย ครั้งนึงผมน้ำเข้าหู
    เธออวดภูมิด้วยการบอกให้ผมใช้ไม้สำลีเช็ดหูของ จอห์นสันไมโครบัส...

    ผู้หญิงคนเดียวกันนี้เองที่ลากครกกับสากกะเบือออกไปตำน้ำพริกมะม่วงนอกบ้าน

    เพราะเห็นลูกชายกำลังนอนหลับอยู่ในบ้าน ไม่ใช่ตำแค่นอกบ้านนะ แต่เธอออกไปตำ
    นอกรั้วบ้านเลยทีเดียว

    ผมกับแม่ทุกวันนี้เราอาศัยอยู่ด้วยกันที่ต่างจังหวัด ทุกครั้งที่ผมขับรถเข้ามาคุยงาน
    ในกรุงเทพฯ เธอยังคงทำกับข้าวใส่กล่องมาให้ผมกินอยู่เสมอ และเธอไม่เคยลืม
    ที่จะเด็ดดอกจำปีหน้าบ้าน มาใส่ในกล่องข้าวด้วยทุกครั้ง ผมตื้นตัน
    แต่! แม่ครับ ผมอยากจะบอกแม่ว่า...ดอกจำปีมันไม่อร่อยเลยครับ...

    เมื่อไม่นานมานี้ครอบครัวของเราได้มีวาสนาไปออกรายการโทรทัศน์ รายการ “ เจาะใจ ”
    ผมบอกแม่ว่า “นี่เธอ ชั้นจะพาเธอไปออกโทรทัศน์นะ ดีใจมั๊ย”
    แม่อิดออด แบ่งรับแบ่งสู้ “ไม่เอาดีกว่ามั๊งลูก เดี๋ยวเขาถามอะไรแล้วแม่ตอบไม่ได้”
    “แม่ครับ รายการเขาไม่ได้มีสิบหกคำถาม สามตัวช่วย ถามใครก็ได้ ตอบได้สองครั้ง

    หรือว่าเปลี่ยนคำถาม ถึงแม่จะตอบผิด เกมส์เขาก็ไม่ได้จบลงทันทีซะเมื่อไหร่ นะแม่นะ
    ไปด้วยกันเถอะนะ”
    “ไม่เอาหรอก แม่ไม่ไปดีกว่า”
    “เอาน่าแม่ ไปด้วยกันเถอะ”
    “ไว้ถึงวันนัดก่อนแล้วกัน แม่จะให้คำตอบ”
    แล้วคำตอบของแม่ก็คือ การตื่นไปทำผมตั้งแต่มืด ร้อยวันพันปีเธอเคยเข้าร้านเสริมสวย
    กับเขาซะที่ไหน
    แต่ผมก็รู้ดีว่าเธอไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง...เธอทำเพื่อชายไทยทั้งประเทศต่างหาก!!!!!!!!!!
    เรื่องราวแม่มีมากมายไม่รู้จบ เป็นนิทานให้เรานั่งมองได้ไม่รู้เบื่อ ถ้าเราจะหาเวลาว่างๆ

    นั่งลอบมองดูเธอคนนั้นบ้างเท่านั้นเอง ผมเชื่อว่า แม่ของพวกเราทุกคนมีมุมน่ารัก
    ให้เราได้อมยิ้มอยู่เสมอ เป็นเรื่องน่าแปลก ที่เรามักจะรู้กันอยู่ในใจว่าเรารักผู้หญิงคนนี้
    แต่ทว่าเรากลับนั่งกินข้าวกับเธอน้อยกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ ซะอีก
    เราถูกสอนมาให้รักแม่ แต่เรากลับซื้อของขวัญให้คนอื่นบ่อยกว่าซื้อให้แม่ของเราซะอีก
    เดี๋ยวนี้ผมอายุมากขึ้น แม่ก็อายุมากกว่าเราอีกเท่าตัว ผมยังคงนั่งแอบมองแม่อยู่

    แม่ผมแก่ลงไปมาก หล่อนจะมีเวลามาโพสต์ท่าให้เรานั่งแอบมองได้อีกสักกี่ปี
    บนโลกกลมๆใบนี้ ผมมัวแต่วิ่งวนเร็วจี๋จนแทบจะชนหลังตัวเองอยู่ร่อมร่อ

    ตลอดเวลาเราไขว่คว้าหาอะไรอยู่ก็ไม่รู้จนเกือบลืมผู้หญิงคนนี้ กว่าจะนึกขึ้นมาได้เวลาก็ผ่านไปมากมาย
    ถ้าบทความนี้ สะกิดให้ใครนึกถึงแม่ขึ้นมาได้มั่งล่ะก้อ ขอร้องล่ะ อย่าทำได้แค่นั่งมองแม่

    เพราะเกรงว่าเพียงแค่นั้นจะไม่ทันการณ์ เวลาไม่ได้มีเหลือเฟือ...เวลาไม่ได้มีอยู่จริง
    สิ่งที่เรามี มันเป็นแค่นาฬิกา มันเป็นแค่ปฏิทิน เวลาที่แท้จริงมันเป็นของวัฏจักรเขา
    เพราะฉะนั้น เรามาเตรียมคำตอบกันเอาไว้ดีกว่า เผื่อมีใครถามเราว่า ครั้งสุดท้ายที่กอดแม่น่ะ มันเมื่อไหร่

    เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลามานั่งเอียงคอนึกกันอีกว่า ครั้งสุดท้ายที่คุณกอดแม่น่ะเมื่อไหร่?


    อ่านแล้วได้อะไรดีๆจากบทความนี้ก็ขอให้เกิดเป็นกุศลกับผู้เขียน (คุณพิง ลำพระเพลิง )
    และคุณแม่ ขอให้มีสุขภาพแข็งแรงและเจริญในทุกๆด้านค่ะ
     
  3. รูปส่วนตัว ทั่นยาย

    ทั่นยาย said:

    Re: ปิตามาตาอัญชลี & คีตะมาตา

    เรื่องจริงจาก รร.อัญสัมชัญ อ่านแล้วจะกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่...
    เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับ " มิสอุไรพร " ครูที่มีจิตวิทยาสูง
    ในการสอนเด็ก

    รักใดไหนเล่าเท่ารักแม่...วีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ของแม่ที่ลูกทุกคนต้องอ่าน!

    ตึกเซนต์หลุยส์มารี โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม ราวกลางปี พ.ศ. 2539
    “ มิสคะ ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องรับรองค่ะ ”
    โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ทำให้ มิสอุไรพร นาคะเสถียร
    ครูสาวประจำระดับชั้นป. 4 รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะจำได้ว่ามีการโทรนัดหมาย
    จะมาพบจากคุณแม่ท่านหนึ่ง เพียงท่านเดียวในวันนี้ เอ...ใครล่ะนี่ จะมีเรื่องอะไรรึเปล่านะ
    เมื่อมิสอุไรพรเดินมา ถึงหน้าห้องประชาสัมพันธ์ ครูสาวก็แทบยกมือรับไหว้
    จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน หากก็รู้สึกแปลกใจ ที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่ง
    ยกมือไหว้ แต่เพียงแขนข้างเดียว อย่างไรก็ตาม มิสได้เชิญ คุณแม่ท่านแรก
    เข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัดโดยเก็บงำความแปลกใจไว้
    หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จมิสจึงเชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง
    ภาพแรกที่ได้เห็นชัดๆ
    ทำให้ครูสาวตกใจเล็กน้อย แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม
    คุณแม่มาปรึกษาเรื่อง การเรียนของลูก
    เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปี
    เมื่อต้นปีการศึกษาที่ผ่านมา “ ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาว่าเขาอายที่แม่ใส่แขนเทียม
    กลัวโดนเพื่อนล้อแม่มาทีเพื่อนก็ล้อกันประจำว่าแม่แขนเดียว
    แม่เป็นหุ่นยนต์เหรอ
    อะไรนี่น่ะค่ะ เลยไม่ได้มา ”
    น้ำเสียงของคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ
    มิสอุไรพรขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม
    เมื่อได้ทราบความจริงทั้งหมดครูสาว ก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องจัดการ
    เรื่องที่ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่นี้
    โดยเร็ว หากปล่อยเรื่องนี้ไป...
    ก็จะเป็นบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปในภายหน้า ทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนด้วย

    ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก มิสอุไรพรจึงได้โอกาสนำเรื่องนี้
    มาเล่าให้นักเรียนฟังในห้องเรียน เรื่องราวที่ว่านั้น มีดังต่อไปนี้
    วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2536 หลังวันแม่เพียงไม่กี่วัน... ครอบครัวหนึ่งได้เดิน
    ทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัดสตูล
    ครอบครัวนี้ประกอบด้วยคุณพ่อ คุณแม่ และลูกชายอีกสามคน
    พวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคันดิน
    ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่น
    ของธรรมชาติ
    โดยคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคน ส่วนคุณแม่เดินตามหลังมากับลูกชายคนเล็ก
    ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำ
    ซึ่งมีใบพัดทำ
    จากเหล็กสูงจากคันดินราว 25 ซม คุณพ่อและลูกคนโตสองคนก็ข้ามท้องร่อง
    แล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า
    ไม่มีใครฉุกใจคิดระวังถึงเหตุร้าย

    แต่แล้วลูกชายคนเล็ก กลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง ขากางเกงเข้าไปติด
    กับร่องของระหัดวิดน้ำ ที่กำลังหมุนอยู่
    และฉุดขาของลูกทั้งสองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก
    “ ถ้าเป็นพวกคุณน้องตกลงไปอย่างนี้คุณจะทำอย่างไร ”
    มิสหยุดเรื่องไว้ก่อนเพื่อซักถาม มองหน้าเด็กนักเรียน ทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบหน้าซีด
    โดยเฉพาะ “ ลูกชาย ”
    ของคุณแม่ท่านนั้น
    “ ทุกคนตกตะลึงใช่มั้ย คิดไม่ทันใช่มั้ย แต่นักเรียนรู้มั้ยว่าคุณแม่ท่านตัดสินใจทำอย่างไร ”
    คุณแม่ไม่ยอม เสียเวลาคิดอะไรเลย
    ท่านรีบยึดดึงตัวลูกเอาไว้แล้วเอาแขนซ้าย
    ที่ว่างอยู่เข้าไปขวางใบพัดเหล็กไว้ก่อน ใบพัดจึงหมุนเอาแขนของคุณแม่เข้าไป
    คนงานที่เห็นเหตุการณ์รีบปิดเครื่องทันที แต่แรงเฉื่อยทำให้ใบพัดยังหมุนต่อด้วยกำลังแรง...

    แรงจนกระชากแขนซ้ายของคุณแม่ ขาดสะบั้นลง!
    คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสสติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันที
    ท้องร่องทั่วบริเวณแดงฉานไปด้วย
    เลือด...เลือดของแม่...
    ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อยและบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็ก
    จนกระดูกหัก...แต่ไม่ขาด ...ไม่ขาด ...
    เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน...
    ไม่ขาด...เพราะแม้จะไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ มือขวาของคุณแม่ก็ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น...
    ไม่ยอมปล่อย...

    คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมามอง ตามเสียงตะโกนเอะอะโวยวาย
    ของคนงาน พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องของคุณแม่
    ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช็อกจนแทบสิ้นสติ!
    คุณพ่อกระโจนพรวดเดียวถึงตัวคุณแม่และลูกน้อย
    แต่... มันสายเกินไปแล้ว!
    สิ่งเดียวที่ทำได้คือรีบพาสองแม่ลูกส่งโรงพยาบาลทันที ผลของการรักษาคือ
    คุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนแขนซ้ายที่ขาดไป
    ส่วนลูกคนเล็กที่ขาหักต้องอยู่
    โรงพยาบาลนานราวสามเดือน จึงสามารถเดินเหินได้เป็นปกติ
    มิสอุไรพรกวาดสายตามองไปรอบๆห้องถามขึ้นอีกว่า
    “ นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญมั้ยคะ ”
    “ กล้าหาญมาก ”
    เด็กๆพากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า
    หลายๆคนยังหน้าซีดเซียวเมื่อนึกภาพเหตุการณ์ไปตามที่ครูเล่า
    มิสมองหน้า “ ลูกชาย ” ของคุณแม่แล้วบอกต่อว่า นักเรียนทราบมั้ยว่า
    คุณแม่ท่านนี้เป็นคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เองไหนใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนี้
    ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิ เด็กนักเรียนคนนั้นยืนขึ้น
    ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อนทั้งห้อง
    วันนี้เมื่อคุณกลับไปบ้านมิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่าพวกเราชื่นชมและยกย่อง
    ท่านมากจริงมั้ยพวกเรา
    "จริงครับๆ ใช่ครับๆ ”
    เสียงเล็กๆตอบมาเป็นทางเดียวกัน

    “ มิสได้ทราบมาว่ามีหลายๆคนไปล้อเลียนเพื่อนไหนคนไหนบ้างคะ ที่เคยล้อ
    คุณแม่เขา ถ้ามีเราเป็นลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ ”
    มีนักเรียน 3-4 คนยืนขึ้น
    สีหน้าของแต่ละคนซีดเซียวอย่างสำนึกผิด
    มิสอุไรพรมองหน้าของเด็กกลุ่มนี้อย่างอ่อนโยน
    ถามว่า
    “ ดีมากนักเรียนตอนนี้คุณคงอยากพูดอะไรกับเพื่อนใช่มั้ยคะ ”
    เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอแล้ว
    กล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ
    ครูสาวน้ำตาคลอ
    ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มยินดีหนักใจอยู่เหมือนกัน
    ว่าหากถามขึ้นมาแล้วไม่มีใครยอมรับว่าเคยล้อเพื่อน...จะทำอย่างไร ?

    เธอไม่เคยผิดหวังในตัวนักเรียนอัสสัมชัญและจนถึงเวลานี้ก็ยังคงไม่ผิดหวัง
    ใครเล่า...จะเข้าใจความเจ็บช้ำขมขื่นในหัวใจเล็กๆของเด็กชายคนหนึ่ง
    ที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กโดยไม่ทันคิด
    หากบัดนี้...ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อนได้สลายปมด้อยในใจของเด็กคนนี้
    ลงจนสิ้นแล้ว
    เหลือเพียงความรักและภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น
    เมื่อหมดชั่วโมงเรียน
    มิสอุไรพรได้เ รียกตัว “ ลูกชาย ” เข้าไปคุยอีกครั้ง
    “ วันนี้เรามีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่มั้ยคะ ”
    เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอื้นไห้ว่า
    “ ผม...ผมจะไปขอโทษคุณแม่แล้ว...แล้วบอกคุณแม่ว่าผมรักคุณแม่ ที่สุดในโลกเลยครับ ”
    รู้มั้ยน้ำนมหยดหนึ่งซึ่งไหลมาต้องใช้น้ำตาหยาดเหงื่อสักเท่าไหร่ บอกแม่เถอะนะ
    บอกทุกวันว่ารักท่านมากมาย กอดแม่เถอะนะให้คุ้นเคย กอดเลยไม่ต้องอาย ก่อนไม่มีแม่ให้กอด...

    ที่มา... กัลยาณมิตร FW เมล์มาให้ค่ะ ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
    อ่านแล้วได้อะไรดีๆจากบทความนี้ก็ขอให้เกิดเป็นบุญเป็นกุศลกับผู้เขียน

    เล่าเรื่องราวดีๆแบบนี้ และคุณแม่ผู้ประเสริฐท่านนั้นด้วยเถิด
    ขอให้มีสุขภาพแข็งแรงและเจริญในทุกๆด้านค่ะ
     
  4. รูปส่วนตัว ทั่นยาย

    ทั่นยาย said:

    Re: ปิตามาตาอัญชลี & คีตะมาตา




    กราบเท้า ปิตามาตา มหามงคล

    น้ำขันน้อยลอยมะลิมีมาลัย มากราบไหว้มาตาปิตาท่าน
    ลูกสำนึกในบุญคุณอนันต์ ทั้งสองท่านเมตตาเอื้ออาทร

    ลูกเตรียมน้ำสำหรับล้างบาทา ขอพ่อจ๋าแม่จ๋านั่งลงก่อน
    ให้ลูกได้ล้างเท้าเพื่อขอพร เมตตาสอนลูกได้ใส่ใจจำ
    ผสมน้ำอบไทยให้หอมฟุ้ง เพื่อจรุงจิตใจให้ชื่นฉ่ำ
    เอาเท้าพ่อแม่ใส่ได้ลูบคลำ เท้านี้ย่ำมาเท่าไหร่ให้ลูกโต



    ล้างเท้าพ่อแม่แล้วแก้วใจจ๋า เอาผ้ามาซับให้ได้บุญโข

    เท้าของท่านนั้นไม่ใช่จะใหญ่โต มิได้โอ่แต่เท้านี้มีบุญคุณ
    ลูกขอเทิดทูนไว้ใส่เหนือเกล้า ขอกราบเท้าพ่อแม่แกเกื้อหนุน
    เท้าของพ่อแม่นี้ที่การุญ เทิดพระคุณขอวางไว้เหนือใจกาย
    เท้าของพ่อวางไว้ในบ่าขวา เท้ามารดาวางไว้ในบ่าซ้าย
    เปรียบเสมือนได้แบกท่านนั้นจนตาย ทดแทนได้ท่านอุ้มชูเลี้ยงดูมา

    เป็นมงคลแก่ตัวเราเท่าไหร่แล้ว มีพ่อแก้วแม่แก้วอยู่ซ้ายขวา
    กราบขอพรท่านได้ในทุกครา อย่ารอว่าเทศกาลนั้นค่อยทำ
    ทำทุกวันนั้นจะได้ใจสดชื่น หลับหรือตื่นดวงฤทัยได้ชื่นฉ่ำ
    หากว่าใครทำได้เป็นประจำ จะสุขล้ำยินดีเปรมปรีดา...



    ทั่นยาย ๑๑/๔/๕๒

    สงกรานต์นี้ขอให้ทุกท่านสุขกายสุขใจ เจริญในทุกๆด้าน
    สุขภาพแข็งแรงตลอดไปนะคะ
     
  5. รูปส่วนตัว ทั่นยาย

    ทั่นยาย said:

    Re: ปิตามาตาอัญชลี & คีตะมาตา




    กตัญญู ...ค่าน้ำนม

    ค่าน้ำนม ผสมเลือด ไม่เหือดหาย
    เป็นสายใจ ไม่รู้ลืม เคยดื่มด่ำ
    เคยซุกซบ เคยอบอุ่น คุณควรจำ
    ทุกทุกคำ ทุกค่ำเช้า เราเคยกิน



    พระเจ้าฮั่นบุ้นเต้ ผู้เปี่ยมกตัญญู

    ในสมัยราชวงศ์ฮั่น เมื่อฮั่นอ๋องเสร็จศึกมีชัยชนะฌ้อปาอ๋องแล้วก็ปราบดาภิเศกตัวเอง

    เป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์เจ้อฮั่น ทรงพระนามว่าพระเจ้าฮั่นโกโจ
    กาลต่อมาเจ้าผู้ครองเมืองเตี๋ยกับเมืองต่ายเกิดการแข็งเมืองขึ้น พระเจ้าฮั่นโกโจจึง
    ยกทัพไปปราบจนราบคาบ เจ้าเมืองทั้งสองตายในสนามรบ พระเจ้าฮั่นโกโจจึงทรง
    แต่งตั้งพระโอรสล่ายอี้เป็นเตียอ๋องไปครองเมืองเตี๋ย และแต่งตั้งเล่าเฮงเป็นต่ายอ๋อง
    ไปครองเมืองต่าย ต่ายอ๋องทูลขอพระอนุญาติพาพระมารดาไปอยู่ด้วย
    เพราะตั้งแต่ต่ายอ๋องยังทรงพระเยา ก็จะคอยดูแลเอาพระทัยใส่ปรนนิบัติพระมารดา
    ด้วยความเคารพเทอดทูนพระมารดาเหนือสิ่งอื่นใดมาตลอด พระองค์จะเสด็จไปกราบ
    พระบาทพระมารดาทุกค่ำเช้าเป็นกิจวัตร
    คราวหนึ่งพระมารดาประชวนเป็นเวลานานถึง ๓ ปี ต่ายอ๋องไม่เป็นอันทรงเสวย
    หรือบรรทมเลย ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน พระองค์จะทรงประทับอยู่
    ข้างพระแท่นบรรทมของพระมารดาตลอดเวลา ไม่ยอมแม้แต่จะไปเปลี่ยนเครื่องทรง
    แม้ว่าจะมีข้าราชบริพารมากมายก็ตามแต่ไม่ทรงไว้วางใจให้ใครดูแลเลย ทรงปฎิบัติทุกอย่าง
    ด้วยพระองค์เอง แม้แพทย์จะประกอบโอสถขึ้นถวายก็ต้องทรงชิมก่อนแล้วจึงนำถวายพระมารดา
    กิตติศัพท์แห่งความกตัญญูกตเวทีของต่ายอ๋องที่ทรงมีต่อพระมารดาเป็นที่ประจักษ์
    เป็นที่แซ่ซ้องสรรเสริญไปทั่วราชอาณาจักร แม้พระเจ้าฮั่นโกโจพระบิดาก็ตรัสชมเชย
    ต่ายอ๋องในที่ประชุมขุนนางผู้ใหญ่ บรรดาขุนนางและราษฎรทั้งหลายต่างก็เพิ่มความ
    สวามิภักดิ์ต่อพระองค์ยิ่งขึ้น
    เมื่อพระเจ้าฮั่นโกโจเสด็จสวรรคตแล้ว เล่าอย้งไทจือราชบุตรก็ขึ้นครองราชแทน
    ทรงพระนามว่าพระเจ้าฮั่นฮุยเต้ ทรงครองราชอยู่เพียง 7 ปีก็สวรรคต พระนางลื่อสีไทเฮา
    พระมารดาของฮั่นฮุยเต้จึงสำเร็จราชการแผ่นดินได้ ๘ ปีก็ทิวงคต ขุนนางทั้งหลาย
    จึงอัญเชิญต่ายอ๋องเล่าเฮงขึ้นสืบราชสมบัติเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าฮั่นบุ้นเต้
    พระองค์ทรงสถาปนาพระมารดาขึ้นเป็น เป๊าะไทเฮา
    พระเจ้าฮั่นบุ้นเต้มีพระราชอัธยาศัยที่เปี่ยมด้วยความกตัญญูกตเวที กอปรกับทรงมี
    ความเมตตาปรานีสูง ทรงสงเคาระห์ผู้ยากจนคนชรา ลดภาษีอากร พระราชทานอภัย
    ลดหย่อนโทษให้แก่นักโทษทั้งหลาย ทรงปกครองอาณาประชาราษฎรด้วยทศพิตรราชธรรรม
    ในรัชสมัยของพระองค์ จึงมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ประชาชนพลเมืองมีแต่ความสุขไพบูลย์
    กันถ้วนหน้าสืบมา



    ที่มา : หนังสือยอดกตัญญู ของ ร. บุนนาค


    *******************************************************
    พระเจ้าฮั่นอู่ตี้ สำนึกในค่าน้ำนม

    ในรัชสมัยของพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ ครั้งหนึ่งแม่นมของพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ได้กระทำผิดขึ้น
    พระเจ้าฮั่นอู่ตี้โกรธมากเตรียมการจะลงโทษแม่นมอย่างหนัก แต่แม่นมซึ่งแก่เฒ่ามากแล้ว
    กลัวการถูกลงโทษมาก จึงไปขอร้องให้ท่านราชเลขาตงฟังสั่วช่วยเหลือ ท่านราชเลขาฯแนะนำว่า
    “ เมื่อฮ่องเต้จะตัดสินลงโทษไม่ต้องร้องขอหรือโต้แย้งอย่างไรทั้งสิ้น ให้มองดูฮ่องเต้

    ด้วยความรักเหมือนเมื่อครั้งพระองค์ยังเล็กอยู่ก็พอ ”
    เมื่อฮ่องเต้เรียกตัวแม่นมมาจะลงโทษ แม่นมก็ได้แต่มองดูฮ่องเต้นัยน์ตาละห้อย

    ท่านราชเลขา ฯเห็นเช่นนั้นก็แกล้งพูดเหน็บให้สะกิดใจฮ่องเต้ขึ้นว่า
    “ อย่าเพ้อฝันไปเลยว่าฮ่องเต้จะอาทรถึงความหลังครั้งที่เคยเสวยเลือดในอกของแม่นม ”
    พระเจ้าฮั่นอู่ตี้แม้จะเด็ดเดี่ยวห้าวหาญเพียงไร เมื่อได้ฟังคำของตงฟังสั่วก็อดสะดุ้งในใจไม่ได้

    จึงได้โปรดนิรโทษกรรมแม่นมในที่สุด

    ที่มา :
    http://thai.mindcyber.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=124

     
  6. รูปส่วนตัว ทั่นยาย

    ทั่นยาย said:

    Re: ปิตามาตาอัญชลี & คีตะมาตา


    อุ่นไอรัก..ตักละมุน

    ปากน้อยๆดูดน้ำนมสมใจนัก
    อุ่นไอรักแม่เอื้อเกื้อวงแขน
    ได้หนุนตักอุ่นกายาหาใดแทน
    สุขใดแม้นได้อิ่มอุ่นหนุนตักนอน...

    ทั่นยาย 03/04/2009

    เพลง แม่
    ศิลปิน พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ

    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=babylovely&month=08-2008&date=05&group=11&gblog=8

    น้ำค้างยังหยดใส น้ำใพรยังไหลมา น้ำใจของมารดา มีน้ำตาและน้ำนม

    ก่อกำเนิดเกิดกาย ร้อนในธาตุไฟจม หมดธาตุดินสิ้นธาตุลม ได้ธาตุน้ำมาค้ำจุน

    จึงเอาน้ำลูบท้องลูกที่ร้องนั้นลูกคน ให้ดื่มกินนมจนๆ นมไม่ข้นสายนมขาด

    ลูกกินนมแม่กินน้ำ เช้าค่ำก็คุ้ยเขี่ย ไม่ได้พลอยแม่ก็เพลีย ไม่ได้พักเพราะรักลูก

    ดิ้นรนสู้ทนถักสายใยสายใจผูก ถักทอชีวิตลูกให้เป็นไท ใช่เป็นทาส

    น้ำค้างยังหยดใส น้ำใพรยังไหลมา น้ำใจของมารดา มีน้ำตาและน้ำนม...
     
  7. รูปส่วนตัว ทั่นยาย

    ทั่นยาย said:

    Re: ปิตามาตาอัญชลี & คีตะมาตา




    น้ำตา...ค่าน้ำนม

    ลูกน้อยเจ้ากลอยตา แม่ห่วงหากว่าชีวัน
    ถึงแม่จะอาสัญ ก็ไม่หวั่นเกรงอันใด
    ห่วงอยู่ก็แต่ลูก รักพันผูกลูกเกินใคร
    หากแม่ต้องจากไป จะมีใครไหนดูแล

    แม้แม่ต้องม้วยมรณ์ ห่วงอาวรณ์ลูกของแม่
    รักลูกผูกดวงแด ไม่ห่วงแม้แต่ชีวัน
    ลูกน้อยไร้เดียงสา โผผวาหาแม่พลัน
    น้ำนมแม่เท่านั้น ที่ช่วยให้ได้เติบโต

    * * * * *

    ชีวิตแม่แม้ใกล้ตายไม่ถวิล
    ให้ลูกกินนมแม่แค่ยาไส้
    ชีวิตแม่ไม่ว่าเป็นหรือว่าตาย
    แม่พลีได้เพื่อลูกน้อยเจ้ากลอยตา

    ชีวิตแม่แม้ใกล้ตายไม่วายห่วง
    ลูกคือดวงหฤทัยที่ใฝ่หา
    แม้เจ็บป่วยอย่างไรไม่นำพา
    ขอลูกยาอยู่รอดและปลอดภัย...

    ทั่นยาย 13/05/52

    เห็นภาพนี้แล้วสะท้อนใจอย่างมากค่ะ ทำให้เกิดหลายมุมมองค่ะ
    ชีวิตเพื่อชีวิต ... ชีวิตหนึ่งอยู่เพื่ออีกชีวิตหนึ่งรอด หรือ ชีวิตหนึ่งไปเพื่อให้ชีวิตหนึ่งอยู่
    แต่ไม่ว่าจะเป็นเพื่ออะไรก็ตาม ชีวิตที่ยอมเสียสละได้ทุกอย่างเพื่อคนที่ตนรักนั้นย่อมมีค่าเสมอ...

     
  8. รูปส่วนตัว ทั่นยาย

    ทั่นยาย said:

    Re: ปิตามาตาอัญชลี & คีตะมาตา

    ต้นแอปเปิ้ล...กับเด็กน้อย

    นานมาแล้ว มีต้นแอปเปิ้ลใหญ่อยู่ต้นนึงและก็มีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ คนนึง
    ชอบเข้ามาอยู่ใกล้ๆและเล่นรอบๆต้นไม้นี้ทุกๆวัน
    เขาปีนขึ้นไปบนยอดของต้นไม้ และก็กินผลแอปเปิ้ล
    และก็นอนหลับไปภายใต้ร่มเงาของต้นแอปเปิ้ล
    เขารักต้นไม้ และต้นไม้ก็รักเขา
    เวลาผ่านไป เด็กน้อยโตขึ้น และเขาไม่มาวิ่งเล่นรอบๆต้นไม้ทุกวันอีกแล้ว
    วันหนึ่ง เด็กน้อย กลับมาหาต้นไม้ เด็กน้อยดูเศร้า
    ' มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ ' ต้นไม้ถาม
    'ฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆแล้วนะ ฉันไม่อยากเล่นรอบๆต้นไม้อีกแล้ว
    ฉันต้องการของเล่น ฉันอยากได้เงินไปซื้อของเล่น' เด็กน้อยตอบ
    'ฉันไม่มีเงินจะให้ ....เก็บลูกแอปเปิ้ลของฉันไปขายสิ เพื่อเอาเงินไปซื้อของเล่น ' ต้นไม้ตอบ
    เด็กน้อยตื่นเต้นมาก เขาเก็บลูกแอปเปิ้ลไปหมด และจากไปอย่างมีความสุข
    หลังจากเขาเก็บแอปเปิลไปหมดแล้ว เขาไม่กลับมาหาต้นไม้อีกเลย ต้นไม้ดูเศร้า....

    วันหนึ่ง เด็กน้อยกลับมา เขาดูโตขึ้น ต้นไม้รู้สึกตื่นเต้นมาก
    'มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ' ต้นไม้ถาม
    'ฉันไม่มีเวลามาเล่นหรอก ฉันมีครอบครัวแล้ว ฉันต้องทำงานเพื่อครอบครัวของฉันเอง
    เราต้องการบ้าน ช่วยฉันได้ไหม '
    'ฉันไม่มีบ้านจะให้ แต่... ตัดกิ่งก้านของฉันไปสิ ....เอาไปสร้างบ้าน'
    ดังนั้นเด็กน้อยตัดกิ่งก้านทั้งหมดของต้นไม้ไป และจากไปอย่างมีความสุข
    อีกครั้งที่ต้นไม้ถูกทิ้งให้เดียวดาย และเศร้า ....

    วันหนึ่งในฤดูร้อน เด็กน้อยกลับมา ต้นไม้ดีใจมาก
    'มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ' ต้นไม้ถาม
    'เปล่า ฉันรู้สึกผิดหวังกับชีวิต และเริ่มแก่ขึ้น ฉันอยากแล่นเรือไปพักผ่อนไกลๆ ให้เรือฉันได้ไหม'
    'ใช้ลำต้นของฉันได้ เอาไปสร้างเรือ เพื่อเธอจะได้เล่นเรือไปและมีความสุข' ต้นไม้ตอบ

    ดังนั้น เด็กน้อยตัดลำต้นของต้นไม้ไปสร้างเรือ เขาล่องเรือไป และไม่เคยกลับมาอีกเลย
    หลายปีผ่านไป ในที่สุดเด็กน้อยกลับมา คราวนี้เขาดูแก่ลงไปมาก
    'ฉันเสียใจ ฉันไม่เหลืออะไรจะให้อีกแล้ว ไม่มีผลแอปเปิ้ลให้ ...ฉันไม่มีลำต้นให้ปีนอีกแล้ว'
    'ฉันไม่มีฟันจะกินแล้ว ฉันปีนไม่ไหว และฉันก็แก่แล้ว ' เด็กน้อยตอบ
    'ฉันไม่มีอะไรเหลือให้อีกแล้ว สิ่งเดียวที่เหลือ มีเพียงรากที่กำลังจะตาย'
    'ตอนนี้ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แค่อยากได้ที่พักพิง ฉันเหนื่อยมาหลายปีแล้ว'
    'รากของต้นไม้แก่ๆ จะเป็นที่พักพิงของหนูได้ ...... มาสิ นั่งลงข้างๆฉัน ...หลับให้สบาย...'
    เด็กน้อยนั่งลงข้างๆ ต้นไม้ดีใจ ยิ้ม ...และน้ำตาไหล........

    นี่เป็นเรื่องสำหรับทุกๆคน ต้นไม้ในเรื่องคือพ่อแม่ เมื่อเราเป็นเด็กตัวเล็กๆ เรารักที่จะเล่นกับพ่อกับแม่...
    เมื่อเราโตขึ้น เราทอดทิ้งพ่อ และแม่ และกลับมาหาท่าน เมื่อเราต้องการบางสิ่งบางอย่าง

    หรือเมื่อเรามีปัญหาไม่ว่าอย่างไร ...พ่อ และแม่ของเราก็จะอยู่และให้ทุกสิ่งอย่างที่ท่านทำได้
    หวังเพียงเรามีความสุข คุณอาจจะคิดว่า 'เด็กน้อย' ในเรื่องโหดร้าย
    แต่นั่นคือความจริงที่สะท้อนให้เห็นว่าพวกเราทำกับผู้มีพระคุณอย่างไร ?
    ........ แล้วต้นไม้ของคุณล่ะ ....... เด็กน้อย .....
     
  9. รูปส่วนตัว ทั่นยาย

    ทั่นยาย said:

    Re: ปิตามาตาอัญชลี & คีตะมาตา

    สวัสดีค่ะญาติธรรมทุกท่าน อยากให้ได้อ่านจดหมายจากแม่ฉบับนี้จังค่ะ
    แล้วจะรู้ว่าผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าแม่หน่ะ น่ารักขนาดไหน ไม่เชื่อลองอ่านดูสิคะ


    แม่จะเขียนจดหมายนี้ช้าๆ น๊ะ เพราะแม่รู้ว่า แกน่ะ อ่านหนังสือไม่ค่อยเร็ว
    ตอนนี้พวกเราไม่ได้อยู่ที่บ้านเดิมแล้วนะลูก พ่อแกเขาอ่านหนังสือพิมพ์เจอ
    เค้าบอกว่าอุบัติเหตุส่วนใหญ่จะเกิดในบ้านตัวเอง 45 %
    ดังนั้น พวกเราจึงย้ายบ้านมาเช่าเขาอยู่ไง รอบคอบดีมั๊ยล่ะ


    ที่นี่อากาศดีนะลูก ฝนตกแค่อาทิตย์ละสองครั้งเอง ครั้งละสามวัน กับครั้งละสี่วัน
    เออ..แต่แม่ส่งที่อยู่ใหม่ให้แกไม่ได้หรอกน๊ะ เพราะคุณคนเช่าคนก่อนมันเอาป้ายเลขที่บ้านไปด้วย
    สงสัยมันคงจะเอาไปติดบ้านหลังใหม่พวกมัน
    อ้อ.. บ้านนี้มีเครื่องซักผ้าด้วยนะ แต่เครื่องแบบนี้มันเสียอยู่อย่างเดียว สงสัยถังมันรั่วน่ะลูก
    ใส่น้ำทีไรมันไหลออกทางท่อข้างหลังทุกที ใส่น้ำเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม แม่เลยหันมาใช้กาละมังเหมือนเดิม


    อ้อ .... เสื้อแจ็กเก็ตที่แกอยากให้แม่ส่งไปให้น่ะ กระดุมมันเป็นเหล็กน๊ะลูก หนักมาก
    เวลาส่งไปก็จะเสียตังค์เยอะ ดีที่ป้าแกเขาฉลาด เขาก็เลยเลาะกระดุมออกหมด

    ถ้าแกอยากใส่ก็เย็บกระดุมเอาเองน๊ะ แม่เอากระดุมใส่ถุงแนบมาพร้อมกับแจ็กเก็ตแล้ว
    เออ..... น้องสาวแกเพิ่งคลอดลูกน๊ะเช้านี้ แม่ยังไม่รู้ว่าเป็นชาย หรือ หญิง
    ดังนั้น แม่เลยบอกไม่ได้ว่าแกจะได้เป็นป้าหรือเป็นลุง

    ป.ล. แม่กะจะส่งเงินให้แกอยู่พอดี แต่แม่ดันปิดซองจดหมายแล้วน่ะสิ.....ลืม

    รัก...จาก แม่


    ที่มา : Fw เมล์จากลูกที่น่ารักคนหนึ่งซึ่งเป็นกัลยาณมิตรที่แสนดีด้วยค่ะ อิอิ
     
  10. รูปส่วนตัว ทั่นยาย

    ทั่นยาย said:

    เรื่องจริงของ"คิม" เกาหลี กตัญญู

    สวัสดีค่ะญาติธรรมทุกท่าน

    วันนี้มีเรื่องราวของลูกกตัญญูมาให้อ่านค่ะ เพื่อสะกิดเตือนว่า ที่เรามีพ่อมีแม่อยู่ชิดเคียงใกล้ ให้อบอุ่นใจอยู่เสมอนั้น
    ช่างเป็นบุญอันมากมายยิ่งเชียวค่ะ เพราะว่าบางคนเค้าไม่มีโอกาสได้ซุกหาไออุ่ยจากอกพ่อแม่เหมือนเราหรอกค่ะ
    บางคนเกิดมาไม่เคยได้เห็นหน้าพ่อแม่ด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าพ่อแม่เป็นใคร ไม่เคยได้สัมผัสไออุ่นจากอกพ่อแม่เลย
    บางคนก็ต้องพลัดพรากจากพ่อแม่ตั้งแต่ยังเด็ก ความอบอุ่นจากอกพ่อแม่เป็นเพียงความทรงจำอันเลือนลาง
    ที่คอยสะกิดเตือนให้คิดถึงและโหยหา พยายามติดตามค้นหาเพื่อจะให้ได้เห็นหน้าพ่อแม่อีกสักครั้งในชีวิต...
    บางคนก็โชคดีได้เจอหน้าพ่อแม่ ได้โผเข้าหาอ้อมกอดอันอบอุ่น แต่บางคนช่างโชคร้ายนัก
    แม้จะค้นหาจนแทบพลิกแผ่นดิน ตราบถึงวันตายก็ไม่ได้เห็นหน้าพ่อแม่แม้เสี้ยววินาที...
    อ่านเรื่องจริงของคนๆ หนึ่งที่เฝ้าตามหาแม่ จนตัวตาย...

    "คิม" เกาหลี กตัญญู สุดท้ายตายก่อนพบแม่

    "ไอ้คิม"...คือชื่ออันคุ้นชินของหนุ่มน้อยเกาหลียอดกตัญญู ปาร์ค ยอง แบ ของหมู่ตาด

    หรือ ส.ท.ตราด กองจันดี และหมู่วีระ หรือ พ.ท.สุริยิน ประภาสวัตร สองทหารไทย
    ที่ไปร่วมรบในสมรภูมิสงครามเกาหลีเหนือและใต้

    นับจากปี พ.ศ.2524 เป็นเวลา 28 ปี...ล่วงมาแล้ว เรื่องราวของไอ้คิม เหมือนหนังเรื่องยาว

    ที่เริ่มนับหนึ่งในหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
    ไอ้คิมเป็นผลผลิตของสงครามเกาหลีเหนือ...เกาหลีใต้ เขาพลัดหลงกับแม่และน้องชาย

    ด้วยวัยเพียงแค่ 7 ขวบ ขณะกำลังชุลมุนอยู่ท่ามกลางเสียงปืน ควันระเบิดคละคลุ้ง
    ในเสี้ยววินาทีที่มีความเป็นความตาย หมู่ตาดกับหมู่วีระ สองทหารไทยในสมรภูมิเกาหลี

    ก็เข้าไปช่วยอุ้มไอ้คิมขึ้นรถทหารพาไปเลี้ยงในค่ายทหาร
    ไอ้คิมมีหน้าที่ซักผ้า รีดผ้า ช่วยทำงานสารพัดแลกกับอาหารและเครื่องนุ่งห่มกันหนาว

    พร้อมกับหัดพูดภาษาไทย คิมกับหมู่วีระ...หมู่ตาดใกล้ชิดกันมาก

    เขาเรียกทหารทั้งสองว่าพ่อปีเดียวกันสองทหารไทยถูกส่งตัวกลับไทย คิมยังผูกพันกับค่ายทหาร

    รับใช้ ทหารรุ่นต่อๆมา บ่มเพาะความรู้สึกผูกพันไปถึงคนไทยทุกคนที่เจอ คิมช่วยเหลือรับใช้
    คนไทยทุกคณะที่เดินทางไปเกาหลี เมืองที่เขาอยู่โดยไม่เคยพูดถึงค่าตอบแทน

    บ้านของปาร์ค ยอง แบ อยู่ที่อินชอน ห่างจากโซล 30 กิโลเมตรด้วยสายใยรักที่มีต่อคนไทย

    ในบ้านของปาร์คจึงเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ไทยและทุกอย่างที่ได้จากคนไทย แม้กล่องใส่น้ำพริก
    ทัพฟุตบอลไทย คณะสื่อมวลชนที่ไปแข่ง "ปักจุงฮีคัพ" น่าจะคุ้นเคยกับปาร์คดี มักเรียกเขาว่า

    อาจารย์ปาร์ค หรือ อาจารย์พัก

    เพื่อนนักข่าวกีฬาอยู่ในวัยใกล้กับปาร์คในวันนี้ บอกว่าคิมมาด้วยใจ ตำแหน่งหน้าที่ก็ไม่มี

    เวลาทำงานไม่มีปัญหา เวลานอนก็นอนขลุกอยู่ด้วยกัน แต่เวลากินแต่ละมื้อก็ต้องอาศัยน้ำใจ
    เพื่อนพี่น้องคนไทย โดยเฉพาะสื่อช่วยตุนอาหารมาเผื่อประทังหิว
    เป็นอีกฉากชีวิตจริงที่ต้องจดจำ และยอมรับว่าปาร์คกับพวกเรามีความรักผูกพันต่อกันมาก
    ปาร์คสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกียงฮีในเกาหลี วิชาพลศึกษา แต่ความที่ชอบมาขลุก

    กับคนไทย ทำให้ทางโรงเรียนเชิญออกมาแล้วหลายครั้ง อีกทั้งยังมีโรคประจำตัว โรคกระเพาะ
    ทำให้ปาร์คต้องว่างงานเป็นประจำ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องร้อนใจ ภรรยาปาร์คมีอาชีพสอนดนตรี
    มีรายได้ ค้ำจุนครอบครัว
    เลี้ยงลูกชายลูกสาวได้อย่างไม่ขัดสน

    วันเวลาผ่านไป ปาร์ค ยอง แบ อายุ 30 ปีเศษในความรู้สึกโหยหาสองทหารที่เขานับถือ

    เป็นพ่อบุญธรรมในไทย ลึกๆในหัวใจ คิมก็ยังโหยหาแม่ เขาลงประกาศตามหาพ่อแม่
    ในหน้าหนังสือพิมพ์ ไม่นานนักก็ได้ข่าว พ่อและแม่แยกไปอยู่ทางเกาหลีเหนือ
    เมื่อมีคนไทยไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ นักเขียน ส่วนใหญ่เป็นนักข่าวเดินทางไปเกาหลี

    ไอ้คิมเข้ามาอาสาตัวช่วยเป็นล่าม แล้วก็มักจะฝากให้ช่วยประกาศตามหาหมู่ตาดกับหมู่วีระ
    ในความทรงจำที่ติดตรึงมาตั้งแต่อายุ 7 ขวบ เขามีภาพถ่ายโพลารอยด์ เวลาผ่านมากว่า 20 ปี

    สีของภาพเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลคล้ำ ในภาพนั้นมีสองทหารไทยรูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่คู่กัน
    คิมตอนนั้นความสูงเลยหัวเข่าสองทหารไทยไปนิดเดียว
    คิมจำได้แม่นยำ คนหนึ่งชื่อหมู่วีระ อีกคนชื่อหมู่ตาด เขาไม่มีข้อมูลอันใดมากไปกว่านี้
    ทีมนักข่าวกีฬาไทยรัฐขอหลักฐานนั้นไว้ กลับมาถึงไทยก็เริ่มค้นหาทะเบียนทหารในสงครามเกาหลี

    มีชื่อ "วีระ" 32 คน ยากที่จะเจาะจงไปว่า "วีระ" ไหน
    โชคดี ชื่อหมู่ตาดหรือตราด...มีคนเดียว ปี 2524 ยศเป็นพันตรี เปลี่ยนชื่อเป็นนรชัย

    พ.ต.นรชัย กองจันดี สังกัดศูนย์การทหารราบธนรัชต์ ปราณบุรี
    เวลาผ่านมายาวนาน ถึงวันนั้น 28 ปี แต่หมู่ตราดก็ยังจำ "ไอ้คิม" ได้ ไม่ลืมเลือน

    เขาอุทานทันทีเมื่อเห็นภาพว่า "ไอ้คิมนั่นเอง...มันยังไม่ตายอีกหรือ"
    หมู่ตาดเล่าว่า วีรกรรมของเจ้าคิมมีมาก ครั้งหนึ่งทหารในแคมป์อดอาหาร เพราะขาดการติดต่อ

    กับหน่วยเหนือ คิมเดินออกไปหาชาวบ้านขอเนื้อมาให้กินประทังหิว"อิ่มแล้ว คิมมันจึงบอกว่า
    เป็นเนื้อหมา จะโมโหมันก็ไม่ได้"
    เมื่อเจอหมู่ตราดแล้วก็เท่ากับได้กุญแจไขไปหาหมู่วีระ ซึ่งถึงวันนั้นเปลี่ยนชื่อแล้วเป็นครั้งที่ 3

    ชื่อใหม่ยศใหม่ พ.ท.สุริยิน ประภาสวัตร สังกัดกรม การรักษาดินแดน
    พ.ท.สุริยินฟื้นความหลังช่วงที่ทหารไทยช่วงสงครามเกาหลีปี 2493-2494 เจอเจ้าคิมครั้งแรก

    ก็รู้สึกถูกชะตา
    "มันเป็นเด็กฉลาด คล่องแคล่ว บุคลิกก็ดี" หมู่วีระบอก

    วันที่ต้องเดินทางกลับไทย ถุงทะเลใบใหญ่ที่ทหารไทยต้องแบกลงเรือใบของหมู่วีระอัดแน่นเป็นพิเศษ

    ฝรั่งขอตรวจถุงทะเลเจอเจ้าหนูน้อยคิมซุกอยู่ในนั้นแผนพาเจ้าคิมมาไทยล้มเหลว
    หมู่วีระต้องออกแรงฝากฝังให้เพื่อนทหารไทย ที่มารับช่วงภารกิจดูแลต่อข่าวการพบหมู่ตาด หมู่วีระ
    ถูกส่งไปถึงปาร์ค ยอง แบ ที่เกาหลีใต้ ช่วงเวลานั้น ปาร์คช่วยงานอยู่ในกองถ่ายภาพยนตร์ไทย
    เรื่องอารีดัง ที่ไปถ่ายทำถึงเกาหลี นางเอกใช้คนเกาหลี แต่พระเอกไทย จตุพล ภูอภิรมย์
    ถ่ายในเกาหลีจบแล้วก็ยกกองถ่ายกลับไทย ปาร์คขออาศัยเดินทางมาไทยด้วย
    ที่สนามบินดอนเมือง ดาราไทย ดาราเกาหลี เดินเข้าไปให้สัมภาษณ์นักข่าว บันเทิงในห้องวีไอพี

    ปาร์ค ยอง แบ หรือเจ้าคิมในชุดสากลสีเทา ถูกพาไปเจอกับ พ.ท.สุริยิน
    "พ่อวีระ..." ... "ไอ้คิม มึงหรือ"
    สองลูกผู้ชายที่ผูกสายสัมพันธ์กันยาวนานถึง 28 ปี อุทานแล้วก็ยืนจ้องหน้ากันครู่ใหญ่

    จากนั้นก็โผเข้ากอดกัน น้ำตาซึมทั้งสองคน ภาพและข่าวนี้ขึ้นหน้าหนึ่งเป็นข่าวเดี่ยวขายดีของยุคนั้น
    ความดังของปาร์ค ยอง แบ เขามักเล่าให้นักข่าวรุ่นหลังฟังว่า เรียกแท็กซี่ เรียกตุ๊กตุ๊กกี่คัน

    ไม่มีโชเฟอร์คนไหนคิดค่าโดยสารสักคน
    นับแต่วันนั้น ปาร์ค ยอง แบ ก็ผูกขาดอยู่ในประเทศไทย นานๆทีจะไปเกาหลี พบสองพ่อบุญธรรม

    หมู่ตาด หมู่วีระแล้ว ก็ยังเหลือฝันสุดท้าย เขาอยากจะพบหน้าแม่สักครั้ง
    "ก่อนเกิดวิกฤติสงคราม ครอบครัวเราเป็นเกษตรกรปลูกโสมขายในหมู่บ้านปันมุนจอมของเกาหลีใต้

    " ปาร์คฟื้นความหลัง ปันมุนจอม เป็นหมู่บ้านกั้นกลางแบ่งเขตระหว่างเกาหลีเหนือและใต้
    ได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านที่ปลูกโสมดีที่สุดในโลก

    วันหนึ่งทหารเกาหลีเหนือบุกเข้ายึดหมู่บ้าน กวาดต้อนผู้คน ครอบครัวปาร์คต้องอพยพหนีลงมาทางใต้

    ท่ามกลางความหนาวและหิว ระหว่างที่กำลังเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำขนาดเล็กเชื่อมสันเขาสองลูก
    ทหารเกาหลีใต้ยกกำลังมาสกัดกองทัพเกาหลีเหนือ เกิดปะทะกันรุนแรงปาร์ค ยอง แบ วัย 7 ขวบ
    พลัดหลุดมือจากแม่ตรงกลางสะพาน จากนั้นเขาระเหเร่ร่อนในฐานะเด็กจรจัด
    กับเพื่อนคนไทยใกล้ตัว ปาร์ครำพันความหลังให้ฟังเสมอ
    "จากวันนั้นผมก็ไม่เคยเจอแม่และพี่น้องอีก ตอนนี้ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมเกิดวันไหน

    แม่หน้าตาอย่างไร" หลังสงครามสิ้นสุด ปาร์ค ยอง แบ สร้างเนื้อสร้างตัวจนมีธุรกิจทำโรงงาน
    ผลิตเปียโน แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ปาร์คก็ยังไม่คลายความหวังที่จะพบแม่

    นับวันปาร์คยิ่งรู้สึกว่า เวลามันยาวนานเหลือเกิน เขาใช้ความพยายามตามแม่ทุกทาง ทั้งทางตรง

    ทางลับ แต่ก็ไม่เคยได้ผล รัฐบาลเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ยังไม่ยอมเป็นญาติดีกัน
    สองประเทศเกาหลีต่างมีระเบียบเข้มงวด ใครในประเทศติดต่อกับประเทศศัตรูก็จะมีความผิดฐาน

    เป็นสายลับ โทษเด็ดขาดถึงขั้นประหารปาร์คเล่าว่า เขาร้องไห้ทุกครั้งที่ฝันถึงแม่ เมื่อความหวังพบแม่
    ยังไม่มี เขาก็ให้คนงานโรงงานเซรามิกปั้นรูปแม่ตามจินตนาการมาตั้งไว้ดูต่างหน้าเป็นเครื่องปลอบ
    ประโลมจิตใจยามคิดถึง ช่วงหลังๆปาร์คเศร้าซึมมากขึ้น เขาเริ่มป่วยเป็นโรคหัวใจ ดิ้นรนรักษาชีวิตไว้
    กินแต่ผัก อาหารจืด พร้อมทั้งออกกำลังกายเป็นประจำตามคำแนะนำของหมอลูกสาวคนโต
    ปาร์คพามาเรียนหนังสือในไทย ฝากฝังให้หลายๆคนช่วยดูแล ถึงวันนี้ปาร์ค ยอง แบ
    มีอายุ 72 ปี

    เช้าวันที่ 21 ก.ค. 2552 ในประเทศไทย อายุปาร์ค 72 ปี ถึงวาระสุดท้าย เจ้าคิม หนุ่มเกาหลี

    ยอดกตัญญูก็ลาจากโลกนี้ไปสู่อีกโลก
    ที่ใช้คำเรียกกันว่า...โลกหน้า
    โลก...นั้น ไม่น่าจะมีเส้นขนานที่ 38 แบ่งเกาหลีเหนือออกจากเกาหลีใต้ หวังกันว่า ปาร์ค ยอง แบ

    น่าจะพบแม่...ผู้ให้กำเนิดของเขาแล้ว สมดังที่ถวิลหา มาค่อนชีวิต.


    ปาร์ค ยอง แบ (คิม)

    ขอจดจำจารไว้ในหัวใจ...
    กุศลใดเกิดจากการนำเรื่องของคุณคิมมาเผยแพร่
    ขอดวงวิญญาณของคุณคิมได้รับรู้และอนุโมทนา
    ขอให้ไปสู่สุคติ มีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไปเทอญ


    ที่มาจาก ไทยรัฐ
    http://www.thairath.co.th/content/pol/21330