"ใช้ทุกข์ดับทุกข์" โดย พระอาจารย์มานพ อุปสโม

กระทู้: "ใช้ทุกข์ดับทุกข์" โดย พระอาจารย์มานพ อุปสโม

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. **wan** said:

    "ใช้ทุกข์ดับทุกข์" โดย พระอาจารย์มานพ อุปสโม



    "ใช้ทุกข์ดับทุกข์"
    โดย พระอาจารย์มานพ อุปสโม
    เชิญพิมพ์แจก ไม่สงวนลิขสิทธิ์ หากแจกฟรี


    คำปรารภ
    หนังสือเล่มนี้ ที่ท่านกำลังถืออยู่ในขณะนี้ ได้ถอดเทปมาจากคำบรรยายใน หัวข้อเรื่อง “ใช้ทุกข์ดับทุกข์” สำเร็จขึ้นมาได้ด้วยความวิริยะอุตสาหะของ คณะคุณสุภาพรรณ เดโชพลชัย และได้รวบรวมทุนทรัพย์ร่วมกันกับคณะเพื่อนๆ และผู้มี จิตศรัทธาอีกหลายท่าน จัดพิมพ์มาถวายให้แก่ ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษาราชนครินทร์ ไว้แจกกับบุคคลทั่วไป เพื่อต้องการให้เกิดประโยชน์แก่ท่านผู้อ่าน ทั่วๆไป
    ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ การดำรงชีวิตของบุคคลทั่วไป เป็นไปด้วยความลำบาก และทุกข์ยาก หลายๆคนกำลังมีความทุกข์ เกี่ยวกับการดำรงชีวิต เพื่อต้องการผ่อนคลาย ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับหลายๆคน จึงได้นำเอาบทบรรยายในเรื่องนี้ มาพิมพ์เพื่อแจกเป็น ธรรมทาน
    หวังว่าจะเป็นประโยชน์ทางใจแก่ท่านผู้อ่าน สามารถที่จะนำไปเป็นอุบายลดคลายความ เครียด ความทุกข์ใจให้แก่ตัวเอง และทำให้การดำเนินชีวิตเป็นอยู่ต่อไป ด้วยจิตใจที่ไม่ไหวหวั่นต่อความทุกข์ เมื่อทุกข์เกิดกับใจเวลาใด ก็จะได้อาศัยทุกข์ทางใจที่กำลังเกิดขี้น มาดับความทุกข์ใจให้แก่ตัวเองเวลานั้น และขอเป็นกำลังใจให้ผู้อ่านสามารถดับทุกข์ทางใจของตัวเรา ได้ประสบผลสำเร็จ
    ขออนุโมทนาแก่ผู้จัดทำที่กล่าวมาแล้วทุกๆท่าน และขออนุโมทนาต่อพระมหาสายัณห์ วิสุทโธ ที่ได้ช่วยตรวจทาน
    ขอให้ท่านทั้งหลายประสบบุญอันใหญ่หลวง เข้าถึงความพ้นทุกข์ ในระยะเวลาอันใกล้นี้ เทอญ
    พระอาจารย์มานพ อุปสโม
    ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษาราชนครินทร์ (เขาดินหนองแสง ) จังหวัดจันทบุรี
    สำนักปฎิบัติธรรมประจำจังหวัดจันทบุรี แห่งที่ ๗
    ๒๖ กรกฏาคม ๒๕๕๒


    ใช้ทุกข์ดับทุกข์
    ขบวนการของความทุกข์ หรือในเรื่องของความทุกข์ ที่เกิดขึ้นแก่ตัวเรานั้น สามารถดับได้ สามารถแก้ไขได้ ถ้าเราเข้าใจอุบายวิธีในการดับทุกข์
    วิธีการดับทุกข์ ที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้นั้น เป็นอย่างไร ในหัวข้อ เรื่องได้ตั้งชื่อเรื่องเอาไว้แล้วว่า “ใช้ทุกข์ดับทุกข์”
    ก่อนอื่นเราต้องไปดูก่อนว่าทุกข์เกิดมาจากอะไร บรรดาความทุกข์ที่เกิดขึ้นแก่ตัวเรานั้น มีทุกข์อยู่ ๒ ประการ คือ ทุกข์ทางกาย และทุกข์ทางใจ
    ทุกข์ทางกายต้องแก้ไขด้วยการบำบัด ทุกข์เกิดขึ้นที่ร่างกาย แก้ไขกันตามสถานการณ์ อย่างทุกข์เกิดขึ้นจากดินฟ้าอากาศ หนาวเกินไปบ้าง ร้อนเกินไปบ้าง เราก็บำบัดทุกข์ด้วย เครื่องป้องกันหนาว ป้องกันร้อน ทุกขเวทนาเกิดขึ้นบนร่างกาย เกิดขึ้นจากการเจ็บไข้ได้ ป่วย เราก็ไปหาหมอเพื่อหายาบำบัด
    ส่วนทุกข์ที่จะปรารภถึงในวันนี้ เน้นไปถึงเรื่องทุกข์ทางใจ ก่อนอื่นเราควรทำความเข้าใจ ในทุกข์ให้ถ่องแท้ เพราะการที่จะดับทุกข์ทางใจ จะต้องเข้าใจเรื่องของใจของตัวเราเอง ก่อน ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องของใจ ไม่รู้จักใจ ตอนใจเป็นทุกข์ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร ทุกข์ เกิดขึ้นที่ใจ เวลาดับก็ต้องดับที่ใจ วิธีการดับทุกข์ทางใจ เราจะสามารถดับได้ เมื่อเรารู้ เท่าทันใจของตัวเราเอง
    ทุกข์ทางใจเกิดมาจากอะไร ให้เราต้องเข้าใจก่อนเป็นอันดับแรก พระพุทธเจ้า ทรงแสดงว่า ทุกข์เกิดขึ้นจากการดำริถึง ตัวคิดถึง ตัวปรารภถึง เป็นสาเหตุทำให้ใจของ เรานั้นเป็นทุกข์ ดำริถึงอะไร ดำริถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ทำให้ใจเป็นทุกข์ แล้วจะแก้ไขอย่าง ไร ถ้าไม่ต้องการให้ใจเป็นทุกข์ ก็หยุดดำริถึง การดำริถึง ก็คือการคิดถึงนั้นเอง
    ใจของคนเรานั้นมีปกติชอบคิด เราลองย้อนกลับไปมองดู หรือนึกทบทวนทุกข์ทางใจที่ เคยเกิดขึ้นแก่ตัวเรา ทุกข์ทางใจที่ทำให้เราเดือดร้อนใจ ไม่สบายใจ น้อยใจ เสียใจ กลุ้มใจ หนักใจ กังวลใจ หวั่นวิตก กังวลต่าง ๆ เป็นเรื่องของใจทุกข์ทั้งสิ้น


    ต่อตอน 2..
     
  2. **wan** said:

    Re: "ใช้ทุกข์ดับทุกข์" โดย พระอาจารย์มานพ อุปสโม

    ทุกข์ใจคืออะไร
    ทุกข์ใจคือความไม่สบายใจ ความรู้สึกไม่สบายทางใจนี้ ถามว่าเคยเกิดขึ้นแก่ตัวเราบ้าง ไหม ให้เราทบทวนดูว่า ขณะที่เราไม่สบายใจนั้น ใจของเราคิดถึงอะไรอยู่ เมื่อเราย้อน กลับไปมองดู เราก็จะเห็นว่าใจของเรานั้น กำลังคิดถึงใครคนใดคนหนึ่งอยู่ เราเป็นทุกข์ เพราะใจคิดถึงเขา แสดงว่าใจของเราเป็นทุกข์นั้น เกิดจากการคิดถึงเขาที่ทำให้ใจของเรา เป็นทุกข์นั้นเอง
    พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ทุกข์เกิดจากการดำริ ถ้าดำริถึงอารมณ์ที่เราไม่ค่อยชอบใจ ก็คิด ถึงในเชิงลบ คิดถึงอะไรๆ ก็คิดแต่เรื่องเลวร้าย ใจของเราก็เกิดอาการขัดเคือง ใจก็ขุ่นข้อง ใจก็มีมัวหมอง แล้วใจก็เป็นทุกข์
    ใจเป็นทุกข์เพราะส่งใจออกไปข้างนอก ออกนอกตัวเรา ใจกำลังคิดถึงเขาอยู่ แล้วเราก็ เป็นทุกข์ เราคิดถึงเขาอย่างไร คิดถึงเขาทางเลวร้าย-ประการหนึ่ง คิดว่าเขา กำลัง กระทำ อะไรๆ แก่เรา หรือเขา จะกระทำ อะไรๆ แก่เรา เขา ได้ทำอะไรๆ แก่เรา คิด อย่างนี้ทำให้ใจหวั่นวิตก คิดอย่างนี้แล้วทำให้ใจกังวล คิดอย่างนี้แล้วใจเป็นทุกข์นั่นเอง
    ในบางครั้ง ทุกข์ทางใจที่เกิดขึ้นมา ก็มิได้เกี่ยวกับตัวเรา แต่เขานั้นไปกระทำอะไรๆ ที่ไม่ดี กับบุคคลที่เรารัก เห็นไหมว่าเรามีความทุกข์เพราะดำริถึงคนอื่น เราไปดำริถึงเขาว่า เขา กระทำอะไรๆไม่ดี กับบุคคลที่เรารักที่เราชื่นชอบ หรือเขาจะกระทำอะไรๆ ไม่ดีกับบุคคลที่ เรารักเราชื่นชอบ หรือเขาได้เคยกระทำอะไรๆ ไม่ดีกับคนรักคนที่เราชื่นชอบ พอคิดอย่าง นี้ เราก็ขัดใจแล้ว เกิดอาการขุ่นข้องหมองใจ ใจเศร้าหมองแล้ว หรือเกิดขึ้นในลักษณะ ว่า เขาไปกระทำดีกับบุคคลที่เราเกลียด เห็นเขาจะกระทำดี เห็นเขาได้เคยกระทำดี หรือ เห็นเขากำลังกระทำดี ต่อบุคคลที่เราไม่ชื่นชอบ เราก็เกิดความขัดใจในตัวเขาทันที
    เมื่อทุกข์ทางใจเกิดขึ้นแล้วไปมองดู จะเห็นว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเขา ไม่ได้เกี่ยวกับตัวเรา เลย แต่ใจของเราชอบไปยุ่งเรื่องของเขา ชอบไปคิดถึงเขา ใจของเราก็เลยเป็นทุกข์ คือ ไปหาเรื่องทุกข์ใส่ตัว เตือนใจบ้าง พอเราดุ เรากำราบ ใจนั้นก็ไม่กำเริบเสิบสาน ใจนั้น ก็จะดำริถึงเขาน้อยลง เป็นเพราะดำริถึงเขาจึงทำให้ใจเราเป็นทุกข์ ถ้าไม่มีเขามานั่งใน ใจเรา เราจะไม่รู้สึกเป็นทุกข์เลย เวลาเขามานั่งในใจเรา ใจของเราก็เกิดปัญหา
    ที่จริงแล้วปัญหาทางใจไม่ใช่ขัดใจเพียงอย่างเดียว การที่เราชอบใจก็เป็นทุกข์ได้ คิดถึง เขาแล้วพอใจในตัวเขา …ทุกข์ทำไม… พอใจในตัวเขาแล้วไม่น่าทุกข์เลยนะ การที่เรา คิดถึงเขา เราเกิดชื่นชมยินดีในตัวเขา พอใจในตัวเขาขึ้นมาแล้ว เขาก็จะเป็นที่รักที่ชื่น ชอบแก่ตัวเรา พอเขาเป็นที่รักเป็นที่ชื่นชอบแก่ตัวเราแล้ว ใครจะมาแตะต้องตัวเขาไม่ ได้ คือเราไม่อยากให้ใครมายุ่งเกี่ยว ใครจะมารักเขา เราก็ไม่ชอบอีก เมื่อเรารัก เรา พอใจ ไม่อยากให้ใครมารักร่วมกับเรา ใจนั้นเห็นแก่ตัวไหม พอใครแสดงตนว่าจะมาชอบ เขาขึ้นมา เราเกิดไม่ชอบขึ้นมาทันที เพราะเราไม่อยากให้ใครมาเกี่ยวข้อง ถ้าจะมาเกี่ยวข้องในฐานะเลวร้าย เราก็ไม่ชอบอีกใช่ไหม มีใครมาแตะต้องไม่ได้ ใจของเราเริ่มเป็น ทุกข์ ใจนั้นเป็นอย่างนี้
    แต่ก็แล้วแต่บุคคลว่ารักหรือพอใจ ในสถานะอย่างไร พอจะกล่าวได้ ๒ สถานะ คือ รักพอใจด้วยความบริสุทธิ์ใจ รักพอใจแล้วใจไม่บริสุทธิ์ รักพอใจด้วยความบริสุทธิ์ใจ เหมือน กับพ่อแม่รักลูก พ่อแม่รักลูกนั้น รักด้วยความบริสุทธิ์ใจ เป็นความรักที่เกิดขึ้นเหมือนกับ พรหม เขาเรียกว่า “พรหมวิหารธรรม”
    ถ้าเป็นความรักที่เกิดจากความบริสุทธิ์ใจ คนอื่นมารักมาชอบด้วย แบบนี้ไม่มีปัญหา เราดีใจ เรามีความสุข แต่ถ้าคนอื่นมายุ่งในลักษณะกระทำไม่ดีๆ ก็ไม่ได้ เราจะรู้สึกเป็นทุกข์ เราจะเป็นทุกข์เป็นร้อน เป็นห่วงเป็นใย อะไรต่าง ๆ นานา
    ยกตัวอย่างพ่อแม่รักลูกก็ทุกข์ ทุกข์เพราะลูก ห่วงใยลูก วิตกกังวล เกรงกลัวว่าคนที่เรา รักนั้น จะเกิดอันตราย กลัวลูกของเรานั้นจะเป็นทุกข์ จะเดือดร้อน เราก็เลยไม่สบายใจ ทุกข์ทางใจเกิดจากการห่วงใย เกิดจากรัก ถ้าไม่รัก แล้วจะไม่เป็นทุกข์
    อีกสถานะหนึ่ง เรารักเราพอใจในสถานะยึดมั่น ผูกพัน แต่เพียงผู้เดียว ตรงนี้ทุกข์มาก หน่อยหนึ่ง แบบนี้ไม่ต้องการให้ใครมารักคนคนเดียวร่วมกับเรา หรือมาพอใจคนคนเดียว ร่วมกับเรา ถ้าคนอื่นมาแสดงปฏิกิริยาพอใจในคนที่เรารักเราพอใจ เราก็ไม่สบายใจ อย่างนี้เรียกว่าเรารักเราพอใจแบบยึดมั่น ยึดมั่นว่าเป็นของของเรา เป็นของเราแต่เพียงผู้เดียว เป็นสามีเราเป็นภรรยาเรา รักในฐานะชายหนุ่มหญิงสาวรักกัน ไม่ต้องการให้ใครมาแสดง ความรัก ร่วมกับตัวเรา เราเกิดการหวาดกลัวนั่นเอง กลัวว่าสิ่งที่เรารักนั้น จะเป็นอื่นจะไป ปันใจ ไปแบ่งใจให้กับคนอื่น รักแบบนี้เรียกว่ารักด้วยความยึดถือ เป็นความรักที่ไม่ บริสุทธิ์ใจ ความรักแบบนี้ทำให้ใจเป็นทุกข์ ทำให้เดือดร้อนใจมาก ทุกข์ใจมาก
    พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า รักสิ่งใดแล้วไม่เป็นทุกข์…ไม่มี ความเศร้าโศกย่อมเกิดจากของที่รัก บุคคลใดมีอะไรๆเป็นที่รัก สิ่งนั้นจะทำให้ใจเราเป็นทุกข์ มีทรัพย์สินเงินทอง ทรัพย์สินเงิน ทองนั้นทำให้ใจเราเป็นทุกข์ มีบุตรมีภรรยา บุตรภรรยาที่เรารักก็จะทำให้ใจเราเป็นทุกข์ ทุกข์เกิดมาจากของที่รัก รักแล้วไม่เป็นทุกข์ไม่มี พอเราปล่อยใจให้คิดถึงเขา ใจไปคิด ถึงเขา ไปคิดในเชิงน่ารักน่าพอใจแล้วใจก็เกิดการผูกพัน เมื่อใจยึดถือก็เริ่มเป็นทุกข์ ถ้า ใจไม่ผูกพัน ใจไม่ยึดถือ สิ่งนั้นก็จะไม่ทำให้ใจเป็นทุกข์
    สมัยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องนี้ ว่ารักสิ่งใด สิ่งนั้นจะทำให้ใจเป็นทุกข์ ก็มีบุคคลคัดค้านว่า ทำไมเรารักเราพอใจอะไรสักอย่างหนึ่งแล้ว ทำไมต้องเป็นทุกข์ด้วย


    ต่อตอน 3...
     
  3. **wan** said:

    Re: "ใช้ทุกข์ดับทุกข์" โดย พระอาจารย์มานพ อุปสโม

    ดังเช่นพระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์ก็ทรงคัดค้าน จนกระทั่งพระวรชายาของท่านต้อง อธิบายให้ฟังว่า ทำไมจึงเป็นทุกข์ ได้ยกตัวอย่างว่า การที่พระองค์รักหม่อมฉัน หากถ้าหม่อมฉันไปเกิดอันตราย ไปเป็นอะไรๆไป พระองค์จะเป็นทุกข์ไหม พระราชาก็เริ่มมองเห็นความจริงว่า รักสิ่งใดแล้ว เราจะไม่กังวลใจเพราะสิ่งนั้นไม่มี รักบุตรก็กังวลใจในตัวบุตร รักภรรยาก็กังวลใจในตัวภรรยา รักสามีก็กังวลใจในสามี รัก วัตถุสิ่งของก็กังวลใจในวัตถุสิ่งของ กังวลใจไปต่างๆนานา เราชอบใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว เราก็มัวกังวลใจ พ่อแม่รักลูก พ่อแม่ก็กังวลใจในลูก ห่วงลูก กลัวลูกจะเรียนไม่สำเร็จ กลัวเขาจะไม่เก่ง กลัวเขาจะไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต กลัวเขาจะเรียนไม่จบ แล้วก็ กลัวลูกของเรา จะไปเกิดอันตราย ไปคบเพื่อนไม่ดี ติดยาเสพติดอะไรต่างๆ ความทุกข์ ของพ่อแม่นี้ ใครเป็นพ่อเป็นแม่แล้วจะรู้ดี
    คราวนี้จะชี้ให้เห็นอีกว่า รักแล้ว เป็นทุกข์ไม่สบายใจ เพราะใจคิดถึงเขา หรือถ้าคิดถึงเขา แล้วไม่ชอบใจในตัวเขาก็ทุกข์อีก แปลกไหม ทำไมชอบใจแล้วมาเปลี่ยนเป็นไม่ชอบใจ ลองชอบใจอะไรสักอย่าง แล้วต่อไปใจของเราก็เปลี่ยนเป็นขัดใจ เช่นสามีภรรยา รักกัน ใหม่ๆ ต่างคนต่างซ่อนเร้นกัน เก็บความไม่ดีซุกซ่อนไว้ ไม่ยอมให้ไหลออกมา พูดจาก็ ระวัง แสดงปฏิกิริยาอะไรก็ระวัง พอเราอยู่กันไปสักระยะหนึ่ง ก็ถูกเปิดเผยออกมาทีละ นิดๆ แล้วเราก็เปิดเผยเต็มที่ ขัดใจกันบ้าง น้อยใจกันบ้าง กระฟัดกระเฟียดอะไรต่างๆ
    พระพุทธเจ้าท่านแสดงว่า ทุกข์ เกิดจากใจดำริ เมื่อดำริถึงอะไร ๆ แล้ว เราไม่ได้ระวังใจ เราไม่รู้ทันใจ ใจที่ดำริถึงสิ่งนั้น ก็จะแสดงปฏิกิริยา ๒ ประการ คือแสดงปฏิกิริยาเป็นไปใน ฐานะชื่นชมยินดีพอใจ แล้วจึงสร้างปัญหาตามมา ให้เกิดเป็นความทุกข์ ดำริถึงแล้วเกิด อาการขัดอกขัดใจ ใจก็เป็นทุกข์ จิตคิดอย่างนี้ล้วนทำให้ใจเป็นทุกข์ แล้วจะแก้ทุกข์ได้ อย่างไร
    จิตคิด เราห้ามไม่ได้ จิตจะคิดอย่างไรๆ หากเราสามารถดูใจที่กำลังคิดนั้นทัน ตรงนี้ แหละจะเป็นทางแก้ หรือกล่าวว่า ถ้าห้ามใจไม่ให้คิดได้ ปัญหาก็น่าจะแก้ได้ การคิดใน ๒ ลักษณะ คิดถึงในลักษณะน่ารักน่าพอใจ…ก็ไม่คิด คิดถึงในลักษณะไม่น่ารักไม่น่าชอบ ใจ…ก็ไม่คิด ถ้าเราไม่คิด ๒ อย่างนี้ ใจของเราจะไม่เป็นทุกข์ ถ้าเราวางใจเฉยได้ ใจก็ไม่ เป็นทุกข์
    ตรงนี้นี่แหละ ที่พระพุทธเจ้าต้องการให้เรามาฝึก มาฝึกใจของเราให้หนักแน่น ทำใจให้ หนักแน่นเหมือนกับแผ่นดิน ทำใจให้หนักแน่นเหมือนกับแม่น้ำ ทำใจให้หนักแน่นเหมือน กับศิลาแท่งทึบ เหมือนกับก้อนหินใหญ่ ท่านบอกว่า บางครั้งบุคคลก็ถ่ายสิ่งสกปรกลง บนผืนแผ่นดิน ผืนแผ่นดินก็เฉยๆ เอาสิ่งดีๆ ไปราดรดบนผืนแผ่นดิน ผืนแผ่นดินก็เฉยๆ ภูเขาศิลาแท่งทึบไม่หวั่นไหวเพราะแรงลม ลมพัดมาอย่างไรศิลาใหญ่ไม่เคยคลอนแคลน มั่นคง เราเทสิ่งสกปรกโสโครกลงในน้ำ น้ำก็เฉย เอาสิ่งดีๆ เทลงไปในน้ำ น้ำก็เฉย
    ถ้าใครทำใจให้หนักแน่นอย่างนี้ได้ แล้วใจจะไม่เป็นทุกข์ ทำใจให้หนักแน่นแบบนี้ ใครมา ด่าเรา เราก็ฟังเฉยๆ ใครมาชมเรา เราก็ฟังเฉยๆ เขาชมเรา เรารู้สึกชื่นใจไหม มีคนมา ชมเรา เราก็ชื่นใจ ใจนั้นก็ไม่เฉยแล้ว หวั่นไหวแล้ว เขามาด่าเรา เราขัดใจ ก็หวั่นไหว แล้ว ไม่เฉยแล้ว ต้องทำใจให้เฉยๆ ทำได้ไหม ทำใจเฉยๆ การทำให้เฉย คงจะทำได้ยาก เขาด่าปั๊บ ก็ขัดใจขึ้นทันที ถ้าเขาชม เราก็กลับพอใจ การที่จะทำให้ใจเฉย พระพุทธเจ้าแสดงวิธีทำใจให้วางเฉย ไว้ ๒ วิธี
    ด้วยวิธีเราไม่เอาใจใส่ต่อสิ่งนั้น เบนเบี่ยงใจไปใส่ใจในสิ่งอื่น อย่างเขามาด่าเรา เราก็เบนเบี่ยงใจเสีย ไม่ไปใส่ใจในเรื่องที่เขาด่า เขาชมเราเราก็เบนเบี่ยงใจ ไม่ไปเอาใจใส่ในเสียงที่เขาชม โดยเอาใจไปกำหนดอย่างใดอย่างหนึ่งแทน กำหนดอะไร… กำหนดลมหายใจ เข้า-ออก ลองนั่งสังเกตลมหายใจเฉยๆ จะเป็นการเบนเบี่ยงใจ เขาด่า เราได้ยินไม่ใช่ไม่ได้ยิน แต่เราไม่ใส่ใจ ไปใส่ใจลมหายใจแทน เขาชมเรา เราก็ได้ยิน แต่เราไม่ได้ใส่ใจ ไปใส่ใจลมหายใจแทน พอใส่ใจลมหายใจแทน เบนเบี่ยงใจได้สำเร็จ ใจไม่เป็นทุกข์ ใจ หนักแน่น ทำให้ใจหนักแน่น
    วิธีที่ ๑ ทำใจให้หนักแน่น ด้วยการเอาจิตไปอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพียงอย่างเดียว เมื่อจิต ไปอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว จิตไม่รับรู้สิ่งต่างๆ หรือเรื่องอื่นๆ เรียกว่าจิตตั้ง มั่น เป็นการฝึกจิตของตัวเราให้ตั้งมั่น การทำจิตให้ตั้งมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงสิ่งเดียวนี้ เรียกว่า สมาธิ สมาธิแปลว่าการทำจิตให้ตั้งมั่น ทำจิตให้สงบ เขาเรียกว่า สมถะ สงบ ในอารมณ์เดียวนี้ เป็นวิธีการอย่างที่ ๑ ที่เราจะทำใจให้หนักแน่น ใจไม่หวั่นไหวด้วยการ เบนเบี่ยงใจ ให้ใจไปรับรู้อยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเพียงอย่างเดียว แล้วใจของเราก็ เริ่มหนักแน่น ใจของเราก็ไม่หวั่นไหว พอใจหนักแน่น พอใจไม่หวั่นไหว ใจก็ไม่เป็นทุกข์
    วิธีที่ ๒ ฝึกใจให้รอบรู้เท่าทันใจ แล้วใจจะไม่เป็นทุกข์ ใจรู้สึกอย่างไรให้เราตามดูใจจน เรารู้เท่าทัน เรียกว่าวิธีดูใจ ทำได้ไหมการดูใจตัวเอง ขณะนี้มีใจไหม ใจเดียวหรือหลาย ใจ เราเป็นคนใจเดียวหรือหลายใจ จริงๆ แล้วเราไม่ได้มีใจเดียว แต่มีหลายใจ
    วิธีการฝึกดูใจให้เป็น เราจะเริ่มต้นอย่างไร
    ให้เราสังเกตว่าในวันหนึ่งๆ เราคิดถึงเรื่องต่างๆ มากมาย เราไม่ได้คิดถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพียงเรื่องเดียว ฝึกดูความคิดว่าจิตของเรานั้น คิดถึงเรื่องใหม่ๆอยู่เรื่อยๆ เปลี่ยนเรื่องคิด อยู่เรื่อยๆ ฝึกดูความรู้สึกในขณะจิตคิดถึงเรื่องต่างๆ แต่ละอย่างๆ จิตเปลี่ยนความรู้สึกอยู่ เรื่อยๆ ที่ว่าจิตคิดถึงเรื่องใหม่อยู่เรื่อยๆ เมื่อเราสังเกตเราจะเห็นว่าจิตคิดถึงเรื่องใดเรื่อง หนึ่งแล้ว จิตจะไปคิดถึงเรื่องอื่นๆ ต่ออีก แล้วก็คิดถึงเรื่องใหม่ๆ อยู่ไม่หยุด บางครั้งก็จะ กลับมาคิดถึงเรื่องเหล่านั้นซ้ำอีก แล้วก็เปลี่ยนเรื่องต่อไปอีก
    ถ้าเราเห็นใจเปลี่ยนเรื่องคิด เราก็จะเริ่มรู้จักใจ และที่ให้ฝึกดูจิตเปลี่ยนความรู้สึก เวลาคิด ถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็จะมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง บางครั้งก็รู้สึกดีๆต่อเรื่องๆนั้น บางครั้งก็รู้สึกไม่ ดีต่อเรื่องๆนั้น บางครั้งก็รู้สึกเฉยๆต่อเรื่องๆนั้น บางครั้งคิดถึงแล้วอยากได้ บางครั้งคิดถึง แล้วไม่อยากได้ บางครั้งคิดถึงแล้วลำบากใจ บางครั้งคิดถึงแล้ว สบายใจ บางครั้งคิดถึง แล้วก็เฉยๆ บางครั้งคิดถึงแล้วชอบคิดถึงบ่อยๆ บางครั้งคิดถึงแล้วก็ผ่านไปเลย ฝึกสังเกตให้เห็นความรู้สึกเหล่านี้ จิตของเรานั้น บางครั้งก็ปลอดโปร่งโล่งใจ บางครั้งก็ อึดอัด ขัดใจ หนักใจ เมื่อมีความรู้สึกอย่างหนึ่งอย่างใด ฝึกมองดูใจที่เปลี่ยนความรู้สึก ก็จะทำให้เรารู้จักใจ เมื่อเรารู้จักใจของตัวเราเองแล้ว เราก็เข้าไปสู่ขบวนการ “ ใช้ทุกข์ดับทุกข์ ”


    ต่อตอน 4...
     
  4. **wan** said:

    Re: "ใช้ทุกข์ดับทุกข์" โดย พระอาจารย์มานพ อุปสโม

    [HIGHLIGHT=#c6d9f0]ใช้ทุกข์ดับทุกข์ได้อย่างไร [/HIGHLIGHT]
    เมื่อใจของเราเป็นทุกข์เวลาใด ท่านให้เราเอาใจที่เป็นทุกข์นั้นมามองดู ในขณะที่เรามอง ดูใจที่กำลังเป็นทุกข์ ขณะนั้นเราได้หยุดดำริถึงเรื่องหรือบุคคลที่ทำให้ใจของเราเป็น ทุกข์ ทุกข์ของตัวเรานั้น ที่กล่าวไว้เบื้องต้นว่า เกิดขึ้นจากการดำริถึง ใจที่ดำริถึงเป็น สาเหตุทำให้ใจเป็นทุกข์ เราดำริถึงใครคนใดคนหนึ่ง ที่เราไม่ชอบใจ ใจของเราก็รู้สึกขัด ใจในตัวเขาทันที พอรู้สึกขัดใจ ใจเราก็เริ่มทุกข์
    องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้เราตามดูใจ เพื่อสกัดกั้นใจ ไม่ให้ดำริถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เรื่องใดเรื่องหนึ่งที่กำลังทำให้ใจเป็นทุกข์ หลักธรรมในพระพุทธศาสนานั้น ท่านให้ใช้ทุกข์ดับทุกข์ โกรธดับโกรธ หงุดหงิดดับหงุดหงิด รำคาญดับรำคาญ ฟุ้งซ่านดับ ฟุ้งซ่าน หวาดกลัวดับหวาดกลัว หวาดระแวงดับหวาดระแวง น้อยใจดับน้อยใจ
    มีบุคคลที่เราคิดถึงแล้วเราเป็นทุกข์ บุคคลคนนั้นอยู่ข้างนอกตัวเรา แต่ใจของเราที่เป็น ทุกข์นั้นเกิดขึ้นข้างใน พอเรามองดูใจที่กำลังเป็นทุกข์ข้างใน เราก็หยุดคิดถึงคนที่ทำให้ ใจของเราเป็นทุกข์ข้างนอก เมื่อเราไม่คิดถึงคนคนนั้น ใจของเราก็เลยไม่เป็นทุกข์อีกต่อไป
    ขณะที่ใจหงุดหงิด ใจรำคาญ ใจฟุ้งซ่าน ใจขัดเคือง ก็เหมือนกัน คิดถึงเรื่องที่ทำให้ใจหงุดหงิดใจเลยหงุดหงิด พอดูใจที่หงุดหงิด ก็เลยหยุดคิดถึงเรื่องที่ทำให้ใจหงุดหงิด เลยหาย หงุดหงิด คิดถึงเรื่องที่ทำให้ใจฟุ้งซ่าน ใจก็เลยฟุ้งซ่าน พอมาดูความรู้สึกฟุ้งซ่านเลย หยุดดำริถึงเรื่องที่ฟุ้งซ่าน เมื่อไม่ดำริถึงเรื่องที่ทำให้ใจฟุ้งซ่าน ก็เลยหายฟุ้งซ่าน ในยามที่ใจหวาดกลัว เพราะไปคิดถึงเรื่องที่น่ากลัว เรื่องน่ากลัวนั้นอยู่ข้างนอก พอคิดถึง เรื่องที่น่ากลัวข้างนอก ก็เกิดความรู้สึกกลัวข้างใน พอดูความรู้สึกกลัวข้างในขณะนั้นก็ไม่ ไปใส่ใจเรื่องที่น่ากลัวข้างนอก ก็เลยหายหวาดกลัว
    ปัญหาใจของคนเรา เกิดจากใจดำริถึงเรื่องต่างๆ ที่ทำให้ใจมีปัญหา ท่านให้เราหยุดดำริ ถึงเรื่องต่างๆที่ทำให้ใจมีปัญหา ใจของเราก็จะไม่มีปัญหา ใจหมดปัญหา ทุกข์ทางใจก็ไม่ เกิด
    ใช้ทุกข์ดับทุกข์ หมายถึง ดูใจที่กำลังเป็นทุกข์ พอดูใจที่กำลังเป็นทุกข์ ก็หยุดคิดถึงเรื่องที่ ทำให้ใจทุกข์ ใจของเราก็เลยไม่ทุกข์ พอจะเข้าใจไหม
    การจะดูใจตรงนี้ได้ ก็ต้องอาศัยสติและสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะจะเป็นอุปกรณ์ในการ ใช้ดูใจ สติสัมปชัญญะนั้นคืออะไร ที่เราจำได้และเข้าใจ สติคือความระลึก ส่วน สัมปชัญญะนั้นได้แก่ความรู้สึก พอเอามารวมกันแล้วแปลว่าระลึกรู้ การระลึกรู้นี้แหละ เรียกว่า สติสัมปชัญญะ
    ถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆ สติสัมปชัญญะนั้น ตรงกับภาษาไทยของเราคำหนึ่งคือ การสังเกต ในการสังเกตมีทั้งสติและสัมปชัญญะอยู่ครบบริบูรณ์ ถ้าถามว่ามีสติสัมปชัญญะแล้วหรือ ยัง ก็ต้องถามต่อไปว่าได้สังเกตแล้วหรือยัง ถ้าได้สังเกตแล้วเกิดความรู้สึกขึ้น ความรู้สึก ที่เกิดขึ้นจากการสังเกตนั้น เรียกว่า สติสัมปชัญญะ
    คราวนี้ก็มาดูต่อไปว่า สังเกตอะไรแล้วได้สติสัมปชัญญะ พระพุทธเจ้าให้เราสังเกตสิ่ง ๔ สิ่ง ที่ท่านเรียกว่า สติปัฎฐาน ๔ ได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรม ที่มีอยู่ในตัวเราด้วยกันทุกคน สิ่ง ๔ สิ่งที่มีอยู่ในตัวเรานั้นคืออะไร ได้แก่ ร่างกายและความรู้สึก
    ร่างกายท่านนับเป็น ๑, ความรู้สึก ท่านแบ่งออกเป็น ๓ คือ
    ความรู้สึกสบาย ไม่สบาย และเฉยๆ ท่านเรียกว่า เวทนา,
    ความรู้สึกทางตาในขณะมองดู ความรู้สึกทางหูในขณะมีเสียงดัง ความรู้สึก ทางจมูกเมื่อมีกลิ่นมากระทบ ความรู้สึกทางลิ้นขณะรับประทานอาหาร ความรู้สึกในความ เย็นร้อนอ่อนแข็งหย่อนตึงทางร่างกาย ความรู้สึกโดยตรงทางใจ เหล่านี้ท่านเรียกว่า จิต,
    ความรู้สึกชอบ ความรู้สึกไม่ชอบ ยินดี ยินร้าย หวั่นไหว หวาดระแวง รู้สึกง่วงเหงาหาว นอน รู้สึกสงสัยลังเลใจ ที่เป็นความรู้สึกไม่ค่อยดีๆ หรือความรู้สึกดีๆ ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ เหล่านี้เป็นต้น เป็นสภาพธรรม
    สติสัมปชัญญะเกิดขึ้นจากการสังเกตสิ่ง ๔ สิ่ง ที่ท่านเรียกว่า กาย เวทนา จิต ธรรม คือ สติปัฏฐาน ๔ นั้น นั่นเอง



    ต่อตอน 5...
     
  5. **wan** said:

    Re: "ใช้ทุกข์ดับทุกข์" โดย พระอาจารย์มานพ อุปสโม

    ที่เรียกว่า สติปัฏฐาน ต้องเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการสังเกตเท่านั้น ขอยกตัวอย่าง สัก ๒ อย่าง
    ในอิริยาบถ ๔ อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่มีอยู่แก่ตัวเราในขณะนี้ ถ้ามีใครถามว่าทำอะไรอยู่ เรา สามารถตอบได้ทันทีว่าเราทำอะไรอยู่ ถ้าเรานั่งอยู่…เราก็ตอบว่านั่ง ถ้าเรายืนอยู่…เราก็ ตอบว่ายืน ถ้าเราเดิน...เราก็ตอบว่าเดินเล่น หรือเรานอนอยู่…เราก็ตอบว่านอน ตอบด้วย ความรู้สึกเคยชิน จึงไม่ได้มีการสังเกต อย่างนี้ เรียกว่ายังไม่มีสติสัมปชัญญะ
    ถ้าจะให้มีสติสัมปชัญญะ จะต้องมีการสังเกตก่อนแล้วเรารู้สึกตัวทั่วพร้อม เมื่อรู้สึกตัวทั่ว พร้อม เรียกว่ามีสติสัมปชัญญะ
    รู้สึกตัวทั่วพร้อมเป็นอย่างไร…คือสังเกตแล้วมองเห็นในอากัปกิริยาอาการของร่างกาย ไป มองเห็นด้วยความรู้สึกในอาการต่างๆ ของร่างกายว่าปรากฏอยู่อย่างไรๆ ไปเห็นอาการ ของศีรษะของตัวเราเอง ไปเห็นอาการของแขนแต่ละข้างของตัวเราเอง ไปเห็นอาการ ของลำตัวของตัวเราเอง ไปเห็นอาการของขาแต่ละข้างของตัวเราเอง ที่ปรากฏในอาการ นั้นที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนั่งอยู่ ในขณะยืนอยู่ และในขณะนอนอยู่ ทั้ง๓ อิริยาบถใด อิริยาบถหนึ่งอย่างนี้ เรียกว่ารู้สึกตัวทั่วพร้อม เกิดขึ้นจากการสังเกตในอากัปกิริยาอาการ ของร่างกายนั้น เรียกว่า สติสัมปชัญญะ
    ส่วนอิริยาบถเดิน เป็นอิริยาบถที่พิเศษ มีสิ่งให้เราสังเกตแล้วเกิดความรู้สึกได้มากมาย มี ทั้งกาย และความรู้สึก ให้เราสังเกตรู้ เราจะเริ่มสังเกตอย่างไร
    เริ่มต้นด้วยการยืนอย่างสบายๆ เท้า ๒ ข้างห่างกันประมาณ ๑ คืบ ปรับแขนทั้ง ๒ ข้างให้ อยู่ในท่าสบายๆ อย่างใดอย่างหนึ่งใน ๔ ท่า จับมือไว้ข้างหน้าจับมือหลวมๆจับมือ สบายๆ หรือจับมือไว้ข้างหลังจับมือหลวมๆจับมือสบายๆ หรือปล่อยแขน ๒ข้าง อย่าง สบายๆ มีอีกท่าหนึ่งกอดอกหลวมๆ กอดอกสบายๆ แล้วสังเกตดูว่าอยู่ท่าไหนสบายที่ สุด ก็เลือกเอาท่านั้น อยู่ในท่าสบายๆ ทำให้ร่างกายไม่มีอาการเกร็ง
    ต่อจากนั้นให้สังเกตการเคลื่อนกาย โดยการทิ้งน้ำหนัก ไปไว้ที่ขาซ้ายสังเกตเห็นกาย เคลื่อนไปทางซ้ายอย่างช้าๆ ทิ้งน้ำหนักไปทางขวา สังเกตเห็นกายเคลื่อนไปทางขวา อย่างช้าๆ เคลื่อนไปเคลื่อนมา สังเกตให้ชัดเจนสักพักหนึ่ง
    แล้วให้เพิ่มการสังเกตที่บริเวณฝ่าเท้า เราจะเคลื่อนไปทางไหน เช่นเราจะเคลื่อนไปทาง ซ้าย สังเกตบริเวณฝ่าเท้าข้างซ้ายที่กระทบพื้นอยู่ แล้วเคลื่อนไปทางซ้ายอย่างช้าๆ สังเกตดีๆตรงฝ่าเท้าข้างซ้ายที่กระทบพื้นอยู่ เราจะเกิดความรู้สึกมองเห็นด้วยความรู้สึก ว่า ตรงฝ่าเท้าข้างซ้ายนั้นหนักเพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ เคลื่อนไปจนสุดจะมองเห็น บริเวณส่วนขาด้านบนตึงนิดๆ แล้วย้ายจิตไปสังเกตที่บริเวณฝ่าเท้าข้างขวาตรงที่ถูกพื้นเหมือน กัน ใส่ใจตรงนั้นให้ดีแล้วเคลื่อนตัวไปทางขวาทีละน้อยๆ เราจะมองเห็นด้วยความรู้สึกว่า บริเวณนั้นหนักเพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ เคลื่อนไปเคลื่อนมาใส่ใจให้ชัดเจน
    ต่อจากนั้น ให้สังเกตให้ละเอียดยิ่งขึ้น จะเคลื่อนไปทางซ้าย ใส่ใจที่เดิมตรงฝ่าเท้าที่ กระทบพื้น แล้วเคลื่อนตัวไปทางซ้ายช้าๆ ใส่ใจดีๆจะเห็นด้วยความรู้สึกว่ามีกายเคลื่อนไป ทางซ้าย และตรงบริเวณฝ่าเท้าที่กระทบพื้นอยู่นั้น มีความรู้สึกหนักเพิ่มขึ้นๆ ทำให้เรา สังเกตเห็น ด้วยความรู้สึกในการเคลื่อนกาย และเท้าหนักเพิ่มขึ้นๆ ได้ ๒ ประการ จะเห็นว่า มีกายเคลื่อนก่อนไปนิดหนึ่ง และเห็นความรู้สึกตรงฝ่าเท้าหนักเพิ่มขึ้นนิดหนึ่ง แล้วก็เห็น หนักๆได้อย่างชัดเจน อย่างนี้ เรียกว่า สติสัมปชัญญะเพิ่มพูนมีความก้าวหน้าแล้ว


    ต่อตอน 6...
     
  6. **wan** said:

    Re: "ใช้ทุกข์ดับทุกข์" โดย พระอาจารย์มานพ อุปสโม

    ต่อจากนั้นให้ก้าวเท้าสบายๆ เท้าข้างใดข้างหนึ่ง เอาเท้าที่หย่อนอยู่ สมมุติว่าเท้าซ้าย หย่อนอยู่ ให้เราใส่ใจที่เท้าข้างซ้ายให้ดีๆ ใส่ใจอย่างแนบชิดกับเท้าข้างซ้าย แล้วก้าวเท้า ซ้ายอย่างสบายๆ ก้าวเท้าสั้นๆ ก้าวเท้าเล่น ๆ เพื่อไม่ให้เกิดอาการเกร็ง ใจแนบชิดกับเท้า ซ้าย ในขณะเหวี่ยงเท้าไปข้างหน้า จะทำให้รู้ทันในการก้าวเท้า ทำให้ไม่หลงลืม พอก้าวเท้าไปกระทบพื้น อย่าเพิ่งกดเท้า วางเท้าหย่อนเบาๆ สบายๆ ให้หนักคงอยู่ที่เท้า หลังก่อน เพื่อป้องกันในการเกร็ง หยุดนิดหนึ่ง ขณะหยุดอยู่ ใส่ใจบริเวณฝ่าเท้าข้างหน้าที่ กระทบพื้น ให้แนบชิดชัดเจน การใส่ใจอย่างแนบชิด เป็นภาวะของสติสัมปชัญญะ ท่าน เรียกว่า อปิลาปนลักขณาสติ แปลว่า สติแนบชิด ติดกับอารมณ์ คือ เท้าที่ก้าวไปและ กระทบพื้นอยู่ ทำให้ใจไม่หลุดไปในอารมณ์อื่นๆ เมื่อใจแนบชิดสติแนบชิดอยู่ตรงฝ่าเท้า ที่กระทบพื้น
    แล้วต่อจากนั้น ให้เคลื่อนตัวไปข้างหน้าช้าๆ เคลื่อนตัวไปสบายๆ อย่าเกร็ง หย่อนเท้า หลังตามด้วยเพื่อไม่ให้เกร็ง แล้วสังเกตให้ชัดเจน จะเห็นว่ามีการเคลื่อนกาย และบริเวณ ฝ่าเท้าข้างหน้า หนักเพิ่มขึ้นๆ ก็จะเห็นเคลื่อนแล้วหนัก จนกระทั่งเคลื่อนไปจนสุด บริเวณ หน้าขา, ต้นขาด้านบนของเท้าหน้า มีอาการตึงๆนิดๆ ให้ย้ายจิตย้ายสติไปสังเกตเท้าหลัง
    สังเกตก่อนแล้วค่อยก้าวเท้าใหม่ เมื่อเราสังเกตอยู่ เราจะรู้สึกว่าบริเวณเท้าหลังที่จะก้าว ใหม่นั้นอยู่ในอาการหย่อนๆ เบาๆ สบายๆ เราสังเกตเห็นเท้าหลังหย่อนอยู่ เราได้สติจาก การรู้การหย่อน เราสังเกตเห็นเท้าหลังเบาอยู่ เราได้สติสัมปชัญญะจากความรู้สึกเบาๆ เราสังเกตเห็นเท้าหลังสบายๆ เราได้สติสัมปชัญญะจากความรู้สึกสบายๆ
    ต่อไปนั้น ให้เริ่มก้าวเท้าใหม่ เมื่อเราใส่ใจอยู่ ที่บริเวณเท้าหลังหย่อนๆ เบาๆ สบายๆ แล้ว ก้าวเท้าใหม่ จะทำให้เราก้าวเท้าสบาย ทำให้เราเห็นการก้าวเท้า ด้วยความรู้สึก เราก็ได้ สติสัมปชัญญะจากการมองเห็นการก้าวเท้าอีก พอเท้าไปกระทบพื้น เราก็ใส่ใจ (สังเกต) ฝ่าเท้าที่กระทบพื้นนั้นทันที หยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อน อย่าเพิ่งกดเท้า อย่าเพิ่งเคลื่อนกาย ใส่ใจตรงบริเวณฝ่าเท้าอย่างสบายๆ แล้วค่อยเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ก็จะมองเห็น ว่ามีกายเคลื่อน มีเท้าข้างหน้าหนักเพิ่มขึ้นๆ จนกระทั่งบริเวณส่วนหน้าขาของเท้าข้าง หน้ามีอาการตึงนิดๆ เราก็ย้ายจิตไปสังเกตเท้าหลัง แล้วไปก้าวเท้าใหม่ กระทำอย่างนี้ เดิน อย่างนี้ไปเรื่อยๆ
    ความรู้สึก ที่เกิดขึ้นทุกๆความรู้สึก เรียกว่าสติสัมปชัญญะทั้งหมดนี้ ที่ท่านเรียกว่า เมื่อเดิน อยู่ให้ทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมในกายเดิน เข้าใจไหม
    นี้คือวิธีการเจริญสติจากอิริยาบถใหญ่ทั้ง ๔ ประการของร่างกาย ท่านให้เราทำความรู้ตัว ทั่วพร้อมอยู่เนืองๆ
    ตัวอย่างที่ ๒ ที่เรียกว่า สติสัมปชัญญะ ที่เกิดขึ้นจากการสังเกต ขณะเรานั่งอยู่ในห้องปรับ อากาศเย็นๆ ถ้ามีใครถามว่าเรารู้สึกอย่างไร เย็นหรือร้อน เราก็จะตอบเขาไปทันทีว่าเย็น สบาย ที่เรารู้สึกเย็นสบายนั้น ถามว่ามีสติสัมปชัญญะแล้วหรือยัง หรือจะต้องถามว่า ที่เรา ตอบว่าเย็นสบายนั้นเราได้สังเกตแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่ได้สังเกต ความรู้สึกเย็นของเรานั้น ยังไม่เรียกว่าสติสัมปชัญญะ
    ถ้าเป็นสติสัมปชัญญะ จะต้องมีการสังเกตก่อนว่า เย็นที่กำลังเย็นอยู่นั้น มากระทบกับร่างกายของเราเย็นที่ตรงไหน พอสังเกตแล้ว เราจะเห็นว่าเย็นๆ ที่มากระทบกับร่างกายของเรา นั้น มีเย็นบางแห่ง แล้วก็บนร่างกายของเรานั้นยังมีสถานที่อบอุ่นร้อนๆ อยู่เป็นบางแห่ง ที่เราตอบว่าเย็นๆ เป็นการตอบอย่างเห็นความเย็นในภาพรวม เห็นอย่างนี้ไม่ใช่เห็นด้วยสติ สัมปชัญญะ เป็นการเห็นด้วยจิตธรรมดาๆ ถ้าเห็นด้วยสติสัมปชัญญะ จะเห็นทั้งเย็นและ ร้อนที่กระทบอยู่บนร่างกายบางแห่ง เห็นด้วยสติสัมปชัญญะนั้น เป็นการเห็นอย่างพิเศษ เห็นละเอียดเห็นชัดเจน ทั้งเย็นและร้อนของร่างกายที่มีอยู่ เห็นละเอียดอย่างนี้ จึงเรียก ว่า สติสัมปชัญญะ
    สรุปแล้ว สติสัมปชัญญะ เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการสังเกตเท่านั้น สังเกตกายเห็น อาการของกาย สังเกตใจก็เห็นความรู้ของใจแต่ละใจ จึงเรียกว่าสติสัมปชัญญะ เราต้อง การเข้าถึงใจ ตามดูใจ เพื่อดับทุกข์ทางใจ ก็จะต้องอาศัยการหมั่นสังเกตทั้งกายและใจอยู่ เนือง ๆ คิดว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านทุก ๆ ท่าน วันนี้ขอจบเพียงเท่านี้ก่อน ขอดวงตาเห็นธรรม จงบังเกิดแก่ท่านผู้อ่านทุก ๆ ท่าน


    ต่อตอน 7...
     
  7. **wan** said:

    Re: "ใช้ทุกข์ดับทุกข์" โดย พระอาจารย์มานพ อุปสโม

    คำถามที่ ๑ : ท่านอาจารย์ เจ้าคะ สำหรับผู้ใกล้ชิดของเรา เขามีปัญหากับคนรอบข้าง มีอัตตาสูง แตะต้องไม่ได้ เมื่อเขามีความทุกข์เกิดขึ้น เราจะช่วยเขาได้อย่างไรบ้าง เจ้าคะ
    พระอาจารย์ : เป็นเรื่องลำบากนะ จะช่วยคนอื่นนี่ ทางที่ดีคือ ช่วยตัวเราเองก่อน ปรับตัว เราเอง เอาตัวเราเองให้ดีก่อน เมื่อเราแก้ไขที่ตัวเราเองได้แล้ว เราอยู่ใกล้ชิดกับบุคคลที่ เขามีอารมณ์ร้อน เราสามารถไม่ร้อนตามเขาได้ เราดับทุกข์ทางใจของตัวเราได้ แล้ว ต่อไป ก็จะค่อย ๆ ซึมซับเข้าไปสู่ในตัวเขา ทำตัวเราให้เขาดู เขาร้อนมา เราเย็นกลับ เขาดุมา เรานิ่งเฉย เขาบริภาษมา เราเฉย เราไม่ตอบโต้
    ถ้าเราทำแบบนี้ได้สักระยะหนึ่ง ที่เขารุนแรงมา มันจะค่อย ๆ ลดลง ๆ แล้วก็จะไม่มี เลย ถ้าเราทำที่ตัวเราได้ ถ้าเขารุนแรงมา แล้วเราตอบโต้กลับ มันจะทำให้เกิดปฏิกิริยา สืบเนื่องต่อไป ดังนั้นเราแก้ไขที่ตัวของเราเองก่อน ฝึกจิตทำจิตของตัวเราให้หนักแน่น จิตของเราหนักแน่น แล้วเราก็อยู่กับเขา เราก็ไม่หวั่นไหว อยู่กับเขาเราดูใจตัวเราเอง เรา คิดจะไปแก้เขาอย่างเดียว แล้วไม่แก้ตัวเรา ก็แก้ไม่สำเร็จ
    จะแก้เขา ต้องเอาตัวเราให้เขาดู พอเขาดูตัวเราไปสักระยะหนึ่ง เขาทำอะไรมาเราก็ไม่ ตอบโต้ เขาร้อนมาเราก็ไม่ร้อนกลับ เรามีแต่เย็นอย่างเดียว วิธีที่จะทำให้ใจของเราเย็นก็ คือ เราต้องดูใจของตัวเราทัน ฝึกดูใจบ่อยๆ ฝึกสังเกตใจบ่อยๆ แล้วใจที่ว่าเราจะต้อง สังเกต ไม่ใช่ว่า เอาใจชนิดที่มันเร่าร้อนอย่างเดียวมาสังเกต ใจที่ดีๆ ก็ควรสังเกตด้วย แล้วเมื่อใจไม่ดีๆเกิด เราก็จะสังเกตได้ไม่ยาก พยายามสังเกตใจตัวเราให้มาก สังเกตใจ บ่อย ๆ แล้วต่อไปเราจะชนะเขาได้


    คำถามที่ ๒ : พระอาจารย์บอกว่าให้วางเฉยกับทั้งคำชมและคำด่า แต่ว่าคำชื่นชมก็เป็น สิ่งที่ดี ที่ทำให้เราชื่นใจ เอาใจไปยินดีรับรู้ แต่เวลาโดนว่าก็รู้เท่าทันใจ แล้วก็ทำใจเฉย วางเป็นกลาง เพื่อไม่ให้เราเป็นทุกข์ อย่างนี้ได้ไหม เจ้าคะ
    พระอาจารย์ : คือสิ่ง ๒ สิ่ง มันคู่กันอยู่ ถ้ามีชื่นใจ ตัวไม่ชื่นใจก็จะตามมา มันเป็นของคู่กัน เขาเรียกว่า โลกธรรม การได้มา ได้มาเขาเรียกว่าลาภ และก็จะคู่กับสูญเสียไป เขาเรียกว่าเสื่อมลาภ มีลาภแล้วก็เสื่อมลาภ ถ้าไม่มีลาภ เสื่อมลาภก็จะไม่มี ถ้าเราไม่ ยินดีในสิ่งที่เราได้มา ตอนที่เราเสียอะไรไป เราก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะเราไม่ได้ยินดีใน สิ่งนั้น มียศก็จะคู่กับเสื่อมยศ มีสุขก็จะคู่กับทุกข์ มีคนสรรเสริญก็จะคู่กับการนินทา ดังนั้น ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จะควบคู่กับ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เรามัว แต่ไปชื่นชมยินดีอยู่ จิตของเราไม่หนักแน่น มีสิ่งเลวร้ายมากระทบ เราก็หวั่นไหว เราก็ดู ไม่ทัน ฉะนั้น วิธีฝึกดู ท่านให้ดูทั้ง ๒ อย่าง เพราะว่ายินดีเป็นสาเหตุทำให้เราพอใจ ทำ ให้เราอยากได้ ทำให้เราครอบครอง ทำให้เราเป็นเจ้าของ พอเราเข้าไปครอบครองเป็นเจ้าของขึ้นมาตอนนี้นี่แหละ ใครจะมาแตะต้องไม่ได้แล้ว แต่ถ้าเราระวังตัวยินดีได้ เราก็จะ ไม่ไปผูกพันในอะไรๆ ใครจะมาแตะต้องเราก็ไม่เกี่ยวแล้ว
    คราวนี้ วิธีการทำใจให้หนักแน่น ต้องอาศัยสติสัมปชัญญะ ต้องฝึกเจริญสติบ่อยๆ ฝึก สังเกตจิตบ่อยๆ ฝึกดูจิตบ่อยๆ รู้เท่าทันจิตบ่อยๆ เมื่อเรารู้เท่าทันจิตอยู่บ่อยๆ แล้ว ต่อไป จิตคิดอะไร เราดูทันหมด เวลาดูทันจริงๆ ที่เราดูนั้นได้หายไปแล้ว ตัวใหม่ไม่ตามมา ถ้าเราไม่ดู ก็จะดำริถึงอารมณ์เก่า แล้วตัวใหม่ๆ จะตามมาเรื่อยๆ แล้วก็เกิดตลอด
    เห็นไหมเวลาที่เราโกรธไม่หยุด เราเสียใจไม่หยุดอย่างนี้ เราเศร้าใจ การที่เราเศร้าใจไม่หยุดอย่างนี้ เพราะเราดูไม่ทัน ถ้าเราดูใจทัน เราจะเห็นใจนั้นเปลี่ยนอยู่เรื่อยๆ ใจนั้นไม่ใช่เสียใจอย่างเดียว เปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น ไปรู้อย่างอื่นด้วย ถ้าเราไปตามดูเราจะเห็นใจนั้นเปลี่ยน พอเห็นใจเปลี่ยน ก็เลยไม่ผูกพันในสิ่งที่ทำให้เราสะเทือนใจ เป็นทุกข์ ไปดูบ่อยๆ แล้ว เราก็จะเห็นใจเปลี่ยนแปลง จุดมุ่งหมายของการดูใจก็คือ เห็นใจเปลี่ยนแปลง ไม่ยึดถือ ทุกข์ทางใจเลยไม่เกิด นี้คือประเด็นที่สำคัญ


    คำถามที่ ๓ : ผู้ที่ฝึกจิตใหม่ๆ เอาใจดูใจที่เป็นทุกข์ ในเรื่องที่ทุกข์ยิ่งใหญ่ ทำให้ถูก ความทุกข์นั้นดูดเข้าไป ไม่สามารถปล่อยวางได้เลย เจ้าค่ะ จะปฏิบัติอย่างไรดี เจ้าคะ
    พระอาจารย์ : คือเราดูไม่ถูก ดูใจแต่ไม่ถูกใจ จึงไม่หายทุกข์ ดูใจต้องถูกตัวใจ จึงจะ ดับทุกข์ได้ เมื่อมีคนมาตำหนิเรา แล้วเราทุกข์ ทุกข์ใจเพราะเราถูกตำหนิติเตียน ถ้าเรา ดู เราไม่ได้ดูใจที่เป็นทุกข์ ก็เลยทุกข์ไม่หยุด ตอนเราดู เราไปดูคนที่ตำหนิเรา เราไม่ ได้ดูใจเรา พอเราไปดูคนที่ตำหนิเรา เราเลยทุกข์ไม่หยุด เรียกว่าทุกข์นั้นดูดเข้าไป เกิด อยู่เรื่อยๆ เพราะเราดูไม่ถูกตัวใจ ไม่ถูกความรู้สึก คนที่ทำให้เราทุกข์อยู่ข้างนอก ใจ ทุกข์อยู่ข้างใน ดูใจทุกข์ต้องดูข้างใน แต่เราไม่ดูข้างใน เราส่งใจไปดูข้างนอก ไปดูคนนั้นต่อ พอไปดูคนนั้นต่อ ก็เลยทุกข์ต่อ เขาเรียกว่าดูผิดตัว ถ้าดูถูกตัว ทุกข์ต้องดับ ถ้าดูผิด ทุกข์จะเกิดอยู่ตลอด



    ต่อตอน 8...
     
  8. **wan** said:

    Re: "ใช้ทุกข์ดับทุกข์" โดย พระอาจารย์มานพ อุปสโม

    คำถามที่ ๔ : ที่พระอาจารย์ได้เทศน์ว่า การที่เราคิดถึงใคร ก็เป็นความทุกข์ที่ใจเรา แล้ว เราจะใช้วิธีใด ในการที่จะไม่คิดถึงเขา เพื่อให้หายทุกข์ เจ้าคะ
    พระอาจารย์ : วิธีการไม่ให้คิดถึงเขา ถ้าเราไปมัวบังคับ ใจจะคิดไม่หยุด แต่ถ้าเรา ตามสังเกตความคิดของเราไปเรื่อยๆ ก็จะหยุดคิดถึงไปเอง สังเกตดูจิตเปลี่ยน จิตของ เรานั้นจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามดูจิตไปเรื่อยๆ เราจะมองเห็นจิตนั้นเปลี่ยน ไปรู้สิ่ง หนึ่ง แล้วก็เปลี่ยนไปรู้อีกสิ่งหนึ่ง พอมองเห็นจิตเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ก็เลยหยุดคิดถึงเขา ถ้าเราไม่ดูจิต จิตก็เลยไปดูเขา ก็เลยคิดถึงเขาไม่หยุด การดูใจเป็นตัวห้ามที่ดีที่สุด เพราะดูใจต้องดูข้างใน ดูเขาเป็นการดูข้างนอก คิดถึงเขา เขาอยู่ข้างนอก สังเกตความ รู้สึกข้างใน ก็เป็นการหยุดส่งใจไปข้างนอก เรียกว่าหยุดคิดถึงเขาไปในตัวด้วย


    คำถามที่ ๕ : เราสามารถใช้หลักของอานาปานสติเพื่อที่จะดำเนินการแก้ไขทุกข์นั้น ได้ หรือไม่ เจ้าคะ
    พระอาจารย์ : คือแก้วิธีนี้ เรียกว่า แก้แบบกลบ การแก้มีอยู่ ๒ อย่าง คือแก้แบบกลบ และแก้แบบถอน
    แก้แบบกลบนี้เหมือนกับหินทับหญ้า หินที่ทับหญ้า ถ้าเราเอาหินไปทับไว้แล้วหญ้าไม่งอก แต่พอยกหินออกมาเวลาใด หญ้าจะค่อยๆ งอกตามมาเวลานั้น สมาธิจะเป็นการกลบไว้ ชั่วครั้งชั่วคราว ทำให้เราหยุดคิด เวลาจิตเป็นสมาธิเราก็หยุดคิด แต่เวลาที่เราไม่ได้ทำ สมาธิเราก็คิดต่อ
    แต่ถ้าเราดูใจทัน อานุภาพของสตินั้นจะไม่ทิ้งใจ จะคอยตามดูใจไปเรื่อยๆ จะยืน จะ เดิน จะนั่ง จะนอน จะทำอะไรก็ตามดูไปเรื่อยๆ ขณะที่ตามดูใจไปเรื่อยๆ ตรงนี้นี่แหละ จิตคิดถึง จะคิดถึงเขาก็คิดได้ คิดถึงเขาทำให้ใจเราเป็นทุกข์ คิดถึงได้ สติตามไปดู ทัน เห็นความคิดตัวใหม่เปลี่ยนไป ก็ตามตัวใหม่ไปเรื่อย ๆ ตัวจิตนี้จะเปลี่ยนไม่หยุด จิตจะไม่นิ่ง เวลาดูจิตเราไม่ได้ดูให้นิ่ง ดูจิต เราต้องการจะให้เห็นจิตเปลี่ยนไม่หยุด เห็นจิตเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้วจิตจะไม่ไปผูกติดกับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเพียงอารมณ์เดียว
    แต่ถ้าเราไม่ตามดูจิต เราเลยเข้าใจว่า จิตผูกติดกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงเรื่องเดียว พอจิตหวนกลับไปหาเรื่องนั้น เราก็เลยสะเทือนใจ แต่พอจิตไปหาเรื่องอื่น เราไม่ตามดู พอจิตหวนกลับมาหาเรื่องนั้นอีก เราก็สะเทือนใจอีก แล้วเราก็สะเทือนใจอยู่เรื่อยๆ เราก็เลยคิดว่า เราคิดไม่หยุด แต่จริงๆแล้วหยุด ใจนั้นเปลี่ยนไป เราไม่ตามดู
    ถ้าเราไปตามดู ตามดู ตามดู จะเห็นว่าเขาเปลี่ยนไปยาวเลย และกว่าเขาจะหวนมาใหม่ บางทีไปตั้งนานแล้ว เรากำลังคิดถึงอะไรสักอย่างหนึ่ง เสียงดังก็ไปรู้เสียงแล้ว กลิ่นมีก็ ไปรู้กลิ่นแล้ว จิตได้เปลี่ยนไปเรื่อยๆ พอเราเห็นจิตเปลี่ยน ก็ทำให้จิตไม่เกาะกับอารมณ์ นั้น พอจิตไม่เกาะกับอารมณ์นั้น ทุกข์ก็ไม่เกิด แต่เราไม่ตามดูจิตเปลี่ยน อุปาทานจะเข้า ไปเกาะในอารมณ์นั้น
    ถ้าตามจิตทัน อุปาทานไม่เกิด ถ้าเราไม่ตามดูจิต อุปาทานจะเกิด อุปาทานเกิดก็เข้ายึด ถือ ยึดถือแล้วใจก็เป็นทุกข์ แต่ถ้าเราตามดูจิตไปเรื่อยๆ อุปาทานไม่มีที่เกาะ ฉะนั้นการ ตามดูจิตนั้น แก้ไขปัญหาใจได้จริง ๆ

    คำถามที่ ๖ : ดังที่ได้บรรยายมาที่เราใช้ทุกข์ดับทุกข์นั้น เรากำลังดำเนินอยู่ในเรื่องของ สติปัฏฐาน ๔ ใช่ไหม เจ้าคะ
    พระอาจารย์ : ทุกอย่างก็หนีไม่พ้นเรื่องสติปัฏฐาน ธรรมะทุกหมวดสามารถ สงเคราะห์เข้าในสติปัฏฐานได้ทั้งหมด ถามว่าทุกข์คืออะไร ทุกข์เป็นความรู้สึกเท่านั้น เอง เป็นความรู้สึกไม่สบาย ความรู้สึกไม่สบายกาย เขาเรียกว่า ทุกขเวทนา ความรู้สึก ไม่สบายใจเป็นทุกขเวทนา มีทุกขเวทนาทางกาย และก็ทุกขเวทนาทางใจ แต่ถ้าเราจะ เรียกชื่อแบบแยกออกจากกันก็คือไม่สบายกาย ท่านเรียกว่าทุกขเวทนา แต่ไม่สบายใจ ท่านเรียกว่าโทมนัส ทั้งโทมนัส ทั้งทุกขเวทนา เอามาเรียกเป็นชื่อเดียวกันว่า ทุกขเวทนา ดังนั้น ทุกข์ก็คือเวทนานั่นเอง
    ถ้าเราไปตามดูความรู้สึกทุกข์ ก็เรียกว่าไปตามดูเวทนา ขณะตามดูเวทนาตรงนี้เขาเรียก ว่า เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถ้าเราอยากได้ เราก็ไปสังเกตความอยากได้ เรียกว่า ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถ้ามีเย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง มากระทบกายให้ใจได้รู้สึก ไปรู้สึกทางกาย ไปสังเกตทางกาย เห็นอากัปกิริยาอาการของกาย ก็เป็นกายานุปัสสนา สติปัฏฐาน ถ้าไปเห็นความรู้สึกทางใจ ก็จะเป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน แล้วแต่จะ สงเคราะห์ลงสติปัฏฐานข้อใด
    ฉะนั้น ธรรมะทั้งหมด ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ต้องสงเคราะห์ลงใน มหาสติปัฏฐานได้ หมด แล้วแต่เราจะหยิบยกสติปัฏฐานข้อใดข้อหนึ่ง มาพูดกัน เท่านั้นเอง



    ต่อตอน 9...
     
  9. **wan** said:

    Re: "ใช้ทุกข์ดับทุกข์" โดย พระอาจารย์มานพ อุปสโม

    คำถามที่ ๗ : แล้วมีความเกี่ยวเนื่องกับทุกข์ใน อริยสัจจ์ ๔ อย่างไรเจ้าคะ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
    พระอาจารย์ : ทุกข์ในอริยสัจจ์ ๔ นั้น ทุกขเวทนา ก็เป็นทุกข์ในอริยสัจจ์ ๔ ด้วย อย่างทุกข์ในอริยสัจจ์ ๔ นี้ ท่านแสดงว่าภาวะของตัวทุกข์ หรือ สภาพของทุกข์ที่เป็น ทุกขสัจจ์ ท่านต้องการจะแสดงสภาวะธรรมนี้เป็น ๒ ชนิด คือ ส่วนโลกียะส่วนหนึ่ง แล้ว ก็ส่วน โลกุตตระอีกส่วนหนึ่ง
    ในส่วนของโลกียะ มีอะไรบ้าง ส่วนของโลกียะก็มี ภาวะของจิตใจ ภาวะของรูปร่างกาย รูปร่างกายของตัวเราทั้งหมด เป็นส่วนของโลกียะล้วนๆ รูปขันธ์ทั้งหมดเป็นรูปร่างกาย ล้วน ๆ แล้วก็เกี่ยวกับจิตใจ ภาวะของจิตในส่วนของโลกียะ ที่ยังไม่หลุดพ้นยังไม่ได้บรรลุ เป็นอริยบุคคล ภาวะของจิตทั้งหมดในส่วนที่เป็นโลกียะนี้ ท่านเรียกว่า เป็นตัวทุกขอริยสัจจ์ และก็ยังมีตัวปรุงแต่งจิต เวทนาที่เราพูดเมื่อสักครู่นี้ก็คือ ทุกขอริยสัจจ์
    ท่านยกเว้นอย่างเดียวคือตัวตัณหา ตัวตัณหา ตัวยินดีนี้ท่านเรียกว่า สมุทัย นอกนั้น เป็น ทุกขอริยสัจจ์ทั้งหมด ขัดเคืองใจ ตัวโทสะ ปฏิฆะ เป็นทุกขอริยสัจจ์ ฉะนั้นเรียกว่า เป็น ทุกขสัจจ์ทั้งหมด สัจจะ ๔ ประการ ก็มีทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
    ตัวสมุทัย ท่านเอาตัวตัณหา ตัณหา–ความอยากได้ ตัณหา–ความพอใจ เป็นตัวสมุทัย สิ่งต่างๆ ทั้งหมด ก็เอาไปจัดเป็นอริยสัจจ์ตัวอื่นๆ นิพพานเป็นนิโรธ แล้วถ้ามรรค ท่าน เอาสภาวะธรรม ๘ ชนิด
    สภาวะธรรม ๘ ชนิดมีอะไรบ้าง มีปัญญา ท่านเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ และก็สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
    สตินี้ ถ้าเป็นสติในโลกุตตระท่านเรียกว่ามรรค สติที่เราเจริญสติปัฏฐานธรรมดาเป็นทุกขสัจจ์ ฉะนั้น ตัวสติเป็นได้ทั้งทุกขสัจจ์ เป็นได้ทั้งมรรคสัจจ์ เป็นได้ ๒ อย่าง ถ้าเอาสติที่ตามระลึกถึงกาย เวทนา จิต ธรรม ตัวนี้ก็เป็นทุกขอริยสัจจ์ ถ้าเราเอาสติที่เกิดขึ้นกับ มรรคจิต เป็นจิตของพระอริยบุคคลก็เรียกว่ามรรคสัจจะ แล้วแต่จะสงเคราะห์ลงไป

    คำถามที่ ๘ : การที่เราดูที่ใจ เมื่อดูไปเรื่อย ๆ นะเจ้าคะ จะสามารถสำเร็จได้ถึงขั้นไหน คือว่า จะสามารถที่จะบรรลุถึงพระอรหันต์ได้หรือไม่ เจ้าคะ
    พระอาจารย์ : การบรรลุธรรมบรรลุที่ใจ ไม่ได้บรรลุที่อื่น การบรรลุธรรมนั้นไม่ใช่อื่น ไกล คือดูใจตัวเองทันทุกความรู้สึกเป็นพระอรหันต์ เกิดความรู้สึก แล้วเราสามารถติดตาม ดูความรู้สึกทันทุกความรู้สึก ไม่หลงลืมในการสังเกตความรู้สึก เรียกว่าพระอรหันต์แล้ว พอ มีความรู้สึกเกิดขึ้นต้องไม่หลงลืม รู้สึกทางตาก็ไม่หลงลืมสังเกต เสียงมารู้สึกทางหู ก็ ต้องไม่หลงลืมสังเกต มีกลิ่นใจก็รู้สึกไม่หลงลืมสังเกต พอลิ้มรสอาหารใจรู้สึก ก็ไม่หลง ลืมสังเกต เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง กระทบกาย ให้ใจได้รู้สึกเราก็ไม่ลืมสังเกต
    พอมีความรู้สึกทางใจคิดไปถึงอดีต อนาคต ทุกๆความคิด เราไม่หลงลืมในการสังเกตดู พระอรหันต์ท่านตามดูได้หมดเลย ความรู้สึกทุกๆความรู้สึก เมื่อท่านไปตามดูความรู้สึก ได้ทุกความรู้สึก ท่านจึงไม่ปล่อยจิตให้ไปเกาะติดกับอารมณ์ ที่ทำให้ใจเป็นทุกข์ อุปาทานเลยไม่เข้าไปเกาะติด จิตของพระอรหันต์เลยไม่เป็นทุกข์
    ท่านมองเห็นภาวะจิตที่ท่านตามดู รู้สึกแล้ว ก็ดับไป แล้วรู้สึกตัวใหม่ก็มาแทน แล้วท่านก็ดูอีก แล้วก็ดับไป รู้สึกตัวใหม่ก็มาแทนอีก ท่านก็ดูอีก จะเห็นความรู้สึกเปลี่ยนให้ท่านดูอยู่ เรื่อยๆ พอดูทัน ใจนั้นจะเปลี่ยนมาเปลี่ยนไป มาแล้วไป จะเป็นอย่างนี้ มีอะไรๆ จรเข้ามา ให้ใจรู้สึกแล้วก็จากไป ท่านก็ไปมองเห็นทุกอย่าง ที่เข้ามาแล้วก็ออกไป ดังนั้นการตามดู ใจทันตรงนี้นี่แหละ เป็นหนทางเข้าถึงความดับทุกข์
    การบรรลุธรรมนี้ ต้องไปดูที่ท่านแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร พระพุทธเจ้าแสดง ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แสดงแก่ภิกษุปัญจวัคคีย์ พอแสดงจบ ท่านพระโกณฑัญญะบรรลุธรรม ท่านบรรลุอย่างไรรู้ไหม ท่านบรรลุอย่างนี้
    ยังกิญจิ สะมุทะยะ ธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะ ธัมมันติ
    [HIGHLIGHT=#d7e3bc]“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งปวงนั้น มีความดับเป็นธรรมดา” [/HIGHLIGHT]
    คือท่านไปมองเห็นทุกอย่างที่มาให้ใจได้รู้สึก แล้วก็มองเห็นความรู้สึกของตัวเองที่เกิดขึ้น รับรู้ รับรู้ รับรู้ แล้วล้วนดับไป ดับไป ดับไป สิ่งที่มาให้ใจรู้ก็ล้วนหายไป หายไป มาให้ ใจรู้แล้วหมดไป ใจเกิดขึ้นรับรู้แล้วดับไป พอมาให้รู้ใหม่ ตัวรู้ตัวใหม่เกิดอีกดับอีกทุกๆ ครั้งของความรู้สึกที่เกิดขึ้น ท่านมองเห็นเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แล้วหมดไปเป็นธรรมดา
    พอเห็นอย่างนี้ เรียกว่ามีดวงตาเห็นธรรมแล้ว ท่านพระโกญทัญญะได้บรรลุเป็นพระโสดาบันบุคคล บรรลุด้วยการตามดูใจทัน การตามดูใจทันตรงนี้ละกิเลสได้จริง ๆ ละ ความยินดียินร้ายได้จริงๆ ขณะเราตามดูใจอยู่ จิตก็หยุดคิดถึงอดีต อนาคต จิตหยุดคิด ถึงเขา พอจิตไม่คิดถึงเขา ไม่คิดถึงอดีต อนาคต จิตก็ไม่มีการปรุงแต่ง เมื่อไม่มีการปรุงแต่ง ยินดีก็ไม่เกิด ยินร้ายก็ไม่เกิด แต่ถ้าดูใจไม่ทัน การปรุงแต่งก็จะเกิด
    ลองมองมาที่นี่ มองมาแล้ว ถามว่ารู้ไหม รู้อยู่ที่ไหน เกิดที่ไหน รู้เกิดที่ใจ แต่เราไม่ได้ มองใจใช่ไหม เรามองดอกไม้ แบบนี้ไม่เห็นใจ แต่ถ้ามองใจ ก็ทิ้งดอกไม้ มองใจก็เห็น ความรู้สึกนั้นหาย แต่ถ้าไม่มองใจ ก็ไปเจอดอกไม้ เรียกว่ารู้เป็นอนุพยัญชนะ พอเจออนุ พยัญชนะตอนนี้นี่แหละ ก็มีการปรุงแต่ง แล้วก็เกิดความยินดียินร้าย การดูใจทัน ดับทุกข์ ได้จริงๆ ดูใจทัน แล้วบรรลุธรรมได้จริงๆ


    คำถามที่ ๙ : ขอคำแนะนำเพิ่มเติม ในการเจริญวิปัสสนากรรมฐานที่ถูกต้อง เจ้าค่ะ
    พระอาจารย์ : การเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั้น จุดมุ่งหมายของการเจริญวิปัสสนา กรรมฐาน ก็คือตามดูความรู้สึกให้ทัน พอเราไปตามดูความรู้สึกทัน ทุกๆอย่างมาปรากฏที่ ใจทั้งหมด รูปกระทบตาก็มาปรากฏที่ความรู้สึก ตามความรู้สึกทันก็เห็นรูปที่กระทบตา เสียงกระทบหู ก็มาปรากฏที่ความรู้สึก ตามความรู้สึกตรงนี้ทัน ก็จะเห็นเสียงที่มากระทบ หู กลิ่นที่มากระทบจมูก ก็ให้ใจรู้สึก ตามความรู้สึกทัน ก็จะเห็นกลิ่นที่กระทบจมูก รสที่ มากระทบลิ้นแต่ละครั้งๆ แล้วก็ให้ใจเรารู้สึก ถ้าเราตามความรู้สึกทัน เราก็เห็นสิ่งนั้นหมด ไปจากความรู้สึก นี้คือจุดมุ่งหมายของการเจริญวิปัสสนา ท่านต้องการให้ตามดู เมื่อมี อะไรๆ มากระทบตา กระทบหู กระทบจมูก กระทบลิ้น กระทบกาย หรือผุดขึ้นในใจ แล้ว ใจรับรู้ เอาสติไปตามดูตรงนี้ทัน แล้วเห็นความจริงของสิ่งเหล่านั้นเปลี่ยนไปอยู่เรื่อยๆ ตรงนี้เรียกว่า วิปัสสนากรรมฐาน



    ขอบคุณที่มา
    http://www.dhammathai.org/webbokboon/view.php?No=3624